หลินเหม่ยเหยารู้ดีว่าหยางสุ่ยเซียนไม่มีทางยอมถูกทำร้ายโดยไม่ตอบโต้ หลังจากที่สาวใช้ที่นางส่งไปจับตาที่เรือนหนิงฝูเข้ามารายงานว่าหลินเจวี๋ยผู้เป็นบิดาของนางกลับมาถึงจวนแล้วและยามนี้กำลังพักผ่อนอยู่ที่เรือนแห่งนั้นนางก็รีบตรงไปที่เรือนหนิงฝูเพื่อขอเข้าพบบิดาในทันที
“เกิดอะไรขึ้นเหตุใดวันนี้เจ้าจึงได้มาหาพ่อจนถึงเรือนแห่งนี้ได้” หลินเจวี๋ยเอ่ยพลางยื่นมือรับถ้วยชาที่ชุยอวี้หลันส่งให้ด้วยสีหน้าผ่อนคลาย
“ข้าก็แค่มีเรื่องอยากจะเรียนให้ท่านพ่อและแม่เล็กทราบเอาไว้ก่อน จะได้ไม่ตื่นตระหนกยามที่คนสกุลหยางส่งคนมาเจ้าค่ะ” คำพูดของหลินเหม่ยเหยาทำให้หลินเจวี๋ยวางถ้วยชาลงในทันที
“เกิดอันใดขึ้น เจ้าสามารถบอกกับพ่อมาได้ตามตรง” คำพูดของบิดาทำให้หลินเหม่ยเหยายิ้มออกมาในทันที
“วันนี้ข้าตบหน้าของหยางสุ่ยเซียนเจ้าค่ะ ยามนี้นางน่าจะเอาเรื่องที่ถูกข้าทำร้ายไปฟ้องนายท่านหยางผู้เป็นบิดาของนางแล้ว “คำพูดของนางทำให้หลินเจวี๋ยพลันขมวดคิ้วในทันที
"นางล่วงเกินเจ้าหรือ พ่อรู้ว่าเจ้าไม่มีทางลงมือทำร้ายคนอย่างไม่มีเหตุผลแน่" คำพูดของบิดาทำให้นางยิ้มออกมา ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อันใดขึ้นอย่างน้อยก็ยังมีบิดาของนางที่สามารถเข้าอกเข้าใจนางได้มากที่สุด
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ นางพูดจาล่วงเกินข้าจริงๆ อีกทั้งยังล่วงเกินสกุลหลินของพวกเราด้วย” เมื่อหลินเหม่ยเหยาเอ่ยเช่นนี้หลินเจวี๋ยก็พลันขมวดคิ้ว นางจึงเล่าให้บิดาฟังว่าวันนี้หยางสุ่ยเซียนมาพูดอะไรบ้าง
“เรื่องของข้ากับสกุลซ่งยังเป็นเรื่องที่ยังไม่ได้มีการยืนยัน สัญญาการหมั้นหมายก็เป็นแค่เพียงคำสัญญาปากเปล่าของผู้อาวุโสทั้งสองสกุล อีกทั้งยังเป็นสตรีจึงยังไม่กล้าออกความคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้แต่นางกลับถือดีว่าตนเองเป็นน้องสาวของหยางกุ้ยเฟย พูดจาให้ร้ายหาว่าลูกและจวนสกุลหลินของพวกเราคิดดูแคลนจวนสกุลซ่ง จนไม่คิดจะรักษาสัจจะของผู้อาวุโสในสกุล” คำพูดของหลินเหม่ยเหยาทำให้หลินเจวี๋ยพลันมีโทสะในทันที
“เป็นน้องสาวในสกุลเดิมของกุ้ยเฟยแล้วอย่างไร ต่อให้เป็นกุ้ยเฟยเองก็ไม่มีทางที่จะมาเอ่ยถึงเรื่องการหมั้นหมายของผู้อื่นเช่นนี้ เพียงแต่ลูกรักในเมื่อนางกล้าทำเช่นนั้นเหตุใดจึงไม่นำมาเล่าให้พ่อฟังก่อน เจ้าลงมือทุบตีผู้อื่นเช่นนี้พ่อเกรงว่าเรื่องนี้อาจจะกระทบกับชื่อเสียงของเจ้าในภายหลังเสียแล้ว” เมื่อหลินเจวี๋ยเอ่ยเช่นนี้หลินเหม่ยเหยาก็ส่ายหน้า
“ถ้าแค่คำพูดของนาง ข้าคงจะไม่ลงมือตบตีนางหรอกเจ้าค่ะ แต่เป็นนางคิดจะตบตีข้าก่อน ข้าก็เลยลงมือตอบโต้นางไป” เมื่อหลินเหม่ยเหยาเอ่ยเช่นนี้หลินเจวี๋ยก็รีบถามบุตรสาวด้วยความเป็นห่วงในทันที
“แล้วเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง เหตุใดนางจึงได้ลงมือทำร้ายเจ้าได้” เมื่อบิดาถามเช่นนี้หลินเหม่ยเหยาก็พลันส่ายหน้าในทันที
“ข้าไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ ท่านพ่อก็น่าจะรู้ว่าข้าไม่มีทางปล่อยให้ผู้อื่นมาทำร้ายลูกได้หรอกเจ้าค่ะ ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมนางจึงได้ลงมือทำร้ายลูก ลูกก็แค่ตำหนิที่นางมาพูดจาก้าวก่ายเรื่องการหมั้นหมายของลูก แถมยังใส่ใจความเคลื่อนไหวของคุณชายใหญ่สกุลซ่งอย่างที่สตรีทั่วไปไม่ควรจะกระทำ อีกทั้งก่อนหน้านี้นางยังกล้าพูดจาดูถูกแม่เล็กว่าเป็นแค่เพียงอนุในจวน ข้าก็เลยตำหนินางไปว่ามารดาแท้ๆ ของนางก็เป็นอนุเช่นกันจึงไม่ควรที่จะมาดูถูกแม่เล็กของข้า อีกทั้งวันหน้าก็ไม่แน่ว่านางจะไม่ได้เป็นอนุ ดังนั้นนางจึงได้โกรธเคืองจนถึงขั้นลงไม้ลงมือกับข้า” หลินเหม่ยเหยาเอ่ยเล่าออกไปตามตรง หากเกิดข้อพิพาทขึ้นมาบิดาของนางจะได้ตอบคำถามของจวนสกุลหยางได้อย่างครบถ้วน
“เจ้านี่นะ ยามอยู่กับแม่เล็กของเจ้าทั้งดื้อรั้นทั้งต่อต้านนาง แต่พอมีคนมาว่านางเจ้ากลับทนไม่ได้เสียแล้ว” หลินเจวี๋ยเอ่ยออกมาพลางส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจในความคิดของบุตรสาว
“หลายปีมานี้แม่เล็กเป็นคนคอยเคี่ยวเข็ญและคอยอบรมสั่งสอนข้ามาโดยตลอด ใช้น้ำอดน้ำทนกับข้าอย่างสุดกำลัง มีหรือที่ข้าจะไม่เห็นและไม่รับรู้ ยามนี้ข้าเองก็พยายามที่จะปรับปรุงตนเองให้ดีขึ้นเพื่อที่แม่เล็กจะได้ไม่ต้องมาเหน็ดเหนื่อยเพราะข้า ดังนั้นนางจึงไม่มีสิทธิ์มาเอ่ยถึงแม่เล็กด้วยคำพูดและน้ำเสียงดูแคลนเช่นนั้น” คำพูดของหลินเหม่ยเหยาไม่เพียงทำให้หลินเจวี๋ยตกตะลึง แต่ยังทำให้ชุยอวี้หลันยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดน้ำตาด้วยความซาบซึ้งใจด้วย หลินเหม่ยเหยาจึงได้เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“อันที่จริงท่านแม่ของข้าก็จากไปนานแล้ว ตำแหน่งนายหญิงของจวนก็ไม่ควรจะเว้นว่าง แม่เล็กไม่เพียงเป็นคุณหนูสกุลขุนนาง แต่ยังคลอดน้องชายให้ท่านอีกด้วย หลายปีมานี้แม่เล็กไม่เพียงคอยดูแลจวนอย่างใส่ใจแต่ยังคอยดูแลทั้งท่านและข้าโดยไม่มีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง ท่านพ่อ! ถ้าเช่นนั้นท่านก็เลื่อนฐานะให้แม่เล็กเถิด อย่าปล่อยให้แม่เล็กและน้องชายต้องถูกผู้อื่นมาดูหมิ่นเช่นนี้เลย” คำพูดของหลินเหม่ยเหยาทำให้หลินเจวี๋ยยิ้มออกมาส่วนชุยอวี้หลันพลันมีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความคาดไม่ถึง
“คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะคิดแทนน้องชายและแม่เล็กของเจ้าเช่นนี้” เมื่อหลินเจวี๋ยเอ่ยเช่นนี้หลินเหม่ยเหยาก็พลันยิ้มให้บิดาของตน
“เมื่อก่อนข้าคิดถึงแต่ตนเองมากจนเกินไปหน่อย กว่าจะรู้ตัวก็มีเรื่องให้ต้องเสียใจตั้งมากมาย ตอนนี้พอมีโอกาสได้พูดถึงเรื่องนี้ข้าจึงได้ขอพูดในสิ่งที่ใจของข้าคิดเถิดเจ้าค่ะ” คำพูดของหลินเหม่ยเหยาทำให้หลินเจวี๋ยหันไปมองชุยอวี้หลันที่ในยามนี้มีหยาดน้ำตาเต็มใบหน้าไปแล้ว
หลินเหม่ยเหยารู้ดีว่าชุยอวี้หลันไม่ได้หมายปองตำแหน่งฮูหยินผู้เป็นภรรยาเอก แต่หากเอ่ยถึงหลินโม่วขึ้นมา แน่นอนว่าจะมีมารดาคนไหนอยากให้ลูกชายของตนเองได้ขึ้นชื่อว่าเป็นบุตรชายของอนุบ้าง ทันทีที่ชุยอวี้หลันได้เลื่อนฐานะหลินโม่วผู้เป็นบุตรชายของนางก็จะมีความชอบธรรมในการสืบทอดจวนสกุลหลินต่อจากบิดาในทันที แล้วจะไม่ให้ชุยอวี้หลันหลั่งน้ำตาออกมาด้วยความซาบซึ้งใจได้อย่างไร
“หยุดร้องไห้เถิด เหยาเหยาออกความคิดเช่นนี้มาได้แสดงว่านางเริ่มจะเปิดใจให้เจ้าแล้ว ความพยายามของเจ้าหลายปีมานี้ถือว่าไม่สูญเปล่า ในเมื่อเหยาเหยาเอ่ยออกมาเช่นนี้ข้าก็ย่อมจะต้องจัดการเลือกฐานะให้เจ้า” หลินเจวี๋ยเอ่ยกับชุยอวี้หลันด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความยินดี หลายปีมานี้ใช่ว่าเขาจะไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้แต่เพราะกังวลถึงความรู้สึกของบุตรสาวเขาจึงได้รั้งรอไม่แต่งตั้งตำแหน่งฮูหยินผู้เป็นภรรยาเอกของเขาให้กับชุยอวี้หลันเสียที
ต่อให้หยางเม่าพยายามสั่งให้คนในจวนสกุลหยางห้ามพูดถึงเรื่องความผิดของหยางสุ่ยเซียน แต่มีหรือที่เขาจะสามารถทำได้ จวนสกุลหยางมีคุณชายห้าคนและมีคุณหนูถึงหกคน มีเพียงหยางเจี้ยนและหยางสุ่ยอวี้ที่ถือกำเนิดจากฮูหยินคนก่อนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นบุตรและบุตรีที่เกิดจากภรรยาเอก ส่วนนอกนั้นล้วนเป็นบุตรและบุตรีที่เกิดจากอนุเกือบทั้งสิ้น การแก่งแย่งชิงดีกันเองภายในจวนสกุลหยางดุเดือดไม่ต่างไปจากจวนขุนนางทั่วไปที่มีลูกหลานในจวนมากมายในจวนสกุลหยางมีเพียงหยางเจี้ยนและหยางสุ่ยอวี้ที่ไม่จำเป็นต้องลงไปแก่งแย่งชิงดีและประชันฝีมือด้วย ไม่เพียงชาติกำเนิดดีกว่าผู้อื่น แต่ก่อนที่ฮูหยินคนก่อนจะเสียชีวิตนางได้วางรากฐานให้บุตรชายและบุตรสาวเอาไว้ก่อนแล้ว อีกทั้งฮูหยินคนใหม่ก็ไม่ค่อยจะมีฝีไม้ลายมือเท่าใดนัก หากไม่พึ่งพาหยางเจี้ยนและหยางสุ่ยอวี้ก็แทบจะสู้รบตบมือกับผู้ใดไม่ได้เลย คุณหนูภายในจวนที่มีฝีไม้ลายมือมากที่สุดและได้รับความโปรดปรานรองจากหยางสุ่ยอวี้ก็คือหยางสุ่ยเซียน ดังนั้นพอหยางสุ่ยเซียนพลาดพลั้ง ย่อมมีคนรอที่จะเหยียบย่ำนางให้จมดินอยู่แล้วหลินเหม่ยเหยานั่งทบทวนความทรงจำที่ตนเองมีต่อสกุลหยางด้วยความตั้งอกตั้ง
นายท่านหยางจ้องมองหลินเหม่ยเหยาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ คำพูดที่ว่าหากนางไม่ยั้งมือป่านนี้บุตรสาวของเขาคงจะตายไปแล้วทำให้เขารู้สึกโกรธเคือง เขาจึงได้เอ่ยต่อว่าหลินเหม่ยเหยาออกมาตามตรง“คุณหนูใหญ่สกุลหลินคำพูดคำจาช่างโอหังเสียจริง ท่านรองหัวหน้าแพทย์หลวงหลินท่านดูบุตรสาวของท่านสิ ไร้มารยาทเช่นนี้วันหน้าจะมีสกุลใดอยากจะแต่งนางเข้าสกุลกัน” นายท่านหยางเอ่ยออกมาพลางจ้องมองหลินเหม่ยเหยาด้วยสายตาไม่ชอบใจ แต่หลินเหม่ยเหยากลับไม่ได้เกรงกลัวและไม่ได้ทำตัวเสียมารยาทนางย่อกายคารวะขออภัยด้วยท่วงท่าอันงดงามแล้วจึงได้เอ่ยตอบคำพูดของเขาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความอ่อนน้อม“ต้องขออภัยที่ล่วงเกินท่านหัวหน้าราชบัณฑิตหยางนะเจ้าคะ เพียงแต่คำพูดของข้าไม่ได้ตั้งใจจะข่มขู่หรือว่าแสดงความโอหัง แต่ข้าพูดตามความเป็นจริง ในยามปกติหากถูกทำร้ายข้าแค่โปรยยาพิษหรือไม่ก็ยาสลบก็สามารถเอาตัวรอดได้แล้ว แต่กับคุณหนูสามที่เคยเป็นสหาย ข้าลงมือทำร้ายนางไม่ลงหรอกเจ้าค่ะ แต่หากไม่ลงมือคนที่ถูกตบหน้าคงจะต้องเป็นข้าแน่ ถึงอย่างไรโทสะที่ถูกคุณหนูสามหมิ่นแคลนวงศ์สกุลก็ยังคงอยู่จึงได้ไม่คิดจะออมแรงที่ฝ่ามือเจ้าค่ะ” คำพูด
ในขณะที่ทางจวนสกุลหลินกำลังพูดคุยถึงเรื่องน่ายินดีด้วยบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความรักความอบอุ่นที่มีให้กัน แต่ทางจวนสกุลหยางกลับเต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ หยางเม่าผู้เป็นนายท่านใหญ่สกุลหยางได้แต่นั่งปลอบใจอนุคนโปรดของตนเองและบุตรสาวคนที่สามที่ถือกำเนิดจากอนุผู้นี้ด้วยความปวดใจ“ท่านพ่อ! หลินเหม่ยเหยาไม่เพียงตบใบหน้าข้า แต่ยังพูดจาดูหมิ่นเรื่องที่ข้าเป็นบุตรสาวของอนุ คำพูดของนางไม่เพียงดูถูกข้าและแม่เล็กของข้า แต่นางยังกล้าพาดพิงไปถึงกุ้ยเฟยที่อยู่ในวังด้วย” หยางสุ่ยเซียนเอ่ยพลางร่ำไห้ออกมา ยามนี้นางนั่งคุกเข่าร้องไห้อยู่ตรงหน้านายท่านหยางด้านข้างของนางยังก็มีเฉินอี๋เหนียงผู้เป็นมารดาแท้ๆ นั่งร่ำไห้อยู่เป็นเพื่อนท่าทีของสองแม่ลูกจากเรือนทิศเหนือทำให้สวีเยียนผู้เป็นภรรยาเอกคนที่สองของนายท่านหยางจำต้องยกถ้วยชาขึ้นมาดื่มเพื่อปกปิดรอยยิ้มของตนเอง ส่วนสายตาของนางก็จ้องมองสองแม่ลูกราวกับกำลังจ้องมองตัวตลกอยู่ นายท่านหยางยังคงโปรดปรานเฉินอี๋เหนียงอยู่ก็จริง แต่ยามนี้เฉินอี๋เหนียงมีอายุมากแล้วจะสู้นางที่อ่อนวัยกว่าอีกทั้งยังมีสกุลสวีคอยหนุนหลังอยู่ได้อย่างไร จริงอยู่ที่นางยังไม่มีบุตรธิดา แต่ในฐานะภ
หลินเหม่ยเหยารู้ดีว่าหยางสุ่ยเซียนไม่มีทางยอมถูกทำร้ายโดยไม่ตอบโต้ หลังจากที่สาวใช้ที่นางส่งไปจับตาที่เรือนหนิงฝูเข้ามารายงานว่าหลินเจวี๋ยผู้เป็นบิดาของนางกลับมาถึงจวนแล้วและยามนี้กำลังพักผ่อนอยู่ที่เรือนแห่งนั้นนางก็รีบตรงไปที่เรือนหนิงฝูเพื่อขอเข้าพบบิดาในทันที“เกิดอะไรขึ้นเหตุใดวันนี้เจ้าจึงได้มาหาพ่อจนถึงเรือนแห่งนี้ได้” หลินเจวี๋ยเอ่ยพลางยื่นมือรับถ้วยชาที่ชุยอวี้หลันส่งให้ด้วยสีหน้าผ่อนคลาย“ข้าก็แค่มีเรื่องอยากจะเรียนให้ท่านพ่อและแม่เล็กทราบเอาไว้ก่อน จะได้ไม่ตื่นตระหนกยามที่คนสกุลหยางส่งคนมาเจ้าค่ะ” คำพูดของหลินเหม่ยเหยาทำให้หลินเจวี๋ยวางถ้วยชาลงในทันที“เกิดอันใดขึ้น เจ้าสามารถบอกกับพ่อมาได้ตามตรง” คำพูดของบิดาทำให้หลินเหม่ยเหยายิ้มออกมาในทันที“วันนี้ข้าตบหน้าของหยางสุ่ยเซียนเจ้าค่ะ ยามนี้นางน่าจะเอาเรื่องที่ถูกข้าทำร้ายไปฟ้องนายท่านหยางผู้เป็นบิดาของนางแล้ว “คำพูดของนางทำให้หลินเจวี๋ยพลันขมวดคิ้วในทันที"นางล่วงเกินเจ้าหรือ พ่อรู้ว่าเจ้าไม่มีทางลงมือทำร้ายคนอย่างไม่มีเหตุผลแน่" คำพูดของบิดาทำให้นางยิ้มออกมา ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อันใดขึ้นอย่างน้อยก็ยังมีบิดาของนางที่สามารถเ
หลังจากวันที่ได้พบกับหยางเจี้ยน หลินเหม่ยเหยาก็ไม่ได้ออกจากจวนอีก ทางจวนสกุลหยางเองนอกจากเทียบเชิญจากหยางสุ่ยเซียนแล้วก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ จากทางจวนสกุลหยางอีกเช่นกัน ซึ่งนั่นก็หมายความว่าลูกสุนัขจิ้งจอกสองตัวนั้นปลอดภัยดี“คุณหนูใหญ่เจ้าคะ คุณหนูสามสกุลหยางมาขอเข้าพบเจ้าค่ะ” เสียงรายงานของสาวใช้ทำให้หลินเหม่ยเหยาได้แต่ขมวดคิ้ว นางจำได้ว่าหยางสุ่ยเซียนไม่ใช่คนชอบเซ้าซี้แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดหยางสุ่ยเซียนจึงได้พยายามจะพบนางให้ได้เช่นนี้ ทั้งที่นางก็ปฏิเสธทั้งเทียบเชิญและเทียบขอเข้าพบของหยางสุ่ยเซียนไปตั้งหลายครั้งแล้ว“ไปเชิญนางเข้ามาเถิด” หลินเหม่ยเหยาเอ่ยพลางก้มหน้าลงไปอ่านตำราในมือต่อ ยามนี้เข้าสู่หน้าร้อนแล้วนางจึงมักจะมานั่งอ่านตำราในศาลากลางน้ำ กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกบัว สายลมที่พัดพาผ่านผิวน้ำทำให้อากาศรอบกายเย็นสบาย ดังนั้นในหน้าร้อนของทุกปีนางจึงชอบมานั่งเล่นในสถานที่แห่งนี้ ยามที่หยางสุ่ยเซียนเดินเข้ามาจึงได้แต่จ้องมองท่วงท่าที่เต็มไปด้วยความผ่อนคลายของนางด้วยความริษยา“เหยาเหยา เหตุใดช่วงนี้เจ้าจึงได้ห่างเหินกับข้ากันเล่า หรือเป็นเพราะว่าคุณชายใหญ่สกุลซ่งผู้เป็นคู่หมาย
แม้ว่ายามนี้หยางเจี้ยนจะยังเป็นแค่เพียงคุณชายใหญ่ของจวนสกุลหยาง ยังไม่ใช่พระมาตุลาผู้สำเร็จราชการแผ่นดินดังเช่นในชาติที่แล้ว แต่รอบกายของเขากลับมีพลังอำนาจคุกคามบางอย่างที่แผ่กระจายออกมาแล้วทำให้ทุกคนต่างก็เกรงขามและหวาดกลัว สายตาอันคมกล้าคู่นั้นของเขาทำให้หลายคนไม่กล้าสบตา แต่คนที่เคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วอย่างหลินเหม่ยเหยากลับจ้องมองเขาด้วยสายตาพินิจพิจารณาพลางคิดในใจว่าทำอย่างไรดีนางและสกุลของนางจึงจะไม่มีเรื่องขัดแย้งกับคนผู้นี้“ข้าน้อยคือหลินเหม่ยเหยา บิดาของข้าคือรองหัวหน้าสำนักแพทย์หลวงหลินเจวี๋ย ส่วนนี่คือน้องชายของข้าเป็นเพราะข้ากังวลว่าลูกสุนัขจิ้งจอกสองตัวนั้นจะทำอันตรายเขาก็เลยลงมือกับลูกสุนัขจิ้งจอกสองตัวนั้นหนักมือไปหน่อย ขอคุณชายใหญ่ได้โปรดให้อภัยข้าน้อยด้วยเถิดเจ้าค่ะ” หลินเหม่ยเหยาเอ่ยพลางย่อกายคารวะขออภัย หยางเจี้ยนได้แต่หรี่ตาลงเมื่อได้เห็นท่าทีของนางแม้ว่าจะดูอ่อนน้อมและขออภัยอย่างจริงใจแต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจก็คือเด็กสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวเขาอย่างที่เด็กสาวคนอื่นๆ มักจะเป็น“คุณหนูใหญ่หลินเป็นสหายสนิทของคุณหนูสามจวนเราขอรับ
เมื่อตามตัวน้องชายได้แล้วหลินเหม่ยเหยาก็ตั้งใจว่าจะพาน้องชายของตนกลับ แต่มู่เปียวผู้ดูแลสำนักคุ้มภัยคนปัจจุบันกลับรั้งให้นางอยู่ต่อเพื่อพูดคุยเรื่องการแบ่งปันผลกำไรจากกิจการในช่วงนี้ นอกจากสำนักคุ้มภัยแล้วมารดาของนางยังทิ้งร้านค้าเอาไว้ให้นางอีกหลายร้าน แต่เพราะนางไม่ค่อยจะได้สนใจเรื่องการค้าชีวิตในชาติก่อนของนางจึงได้ขัดสนเรื่องเงินทองในยามที่ตนเองต้องประสบกับความยากลำบากในชาติที่แล้วพอนางแต่งเข้าจวนสกุลซ่งบรรดาร้านค้าเหล่านั้นส่วนใหญ่ก็ล้วนไม่ค่อยจะทำเงินให้นางจนผลสุดท้ายนางก็ขายทอดตลาดในที่สุด เงินที่ได้มาเป็นเงินจำนวนน้อยนิดที่นางพกติดตัวเอาไว้ ในยามที่บิดาต้องโทษมารดาเลี้ยงและน้องชายถูกคุมขัง นางแทบจะไม่มีเงินพอที่จะติดสินบนเจ้าหน้าที่เพื่อเข้าไปเยี่ยมเยียนพวกเขาได้จนผลสุดท้ายนางจำต้องขายเครื่องประดับทั้งหมดของตนเอง จึงสามารถไปเยี่ยมเยียนได้แค่เพียงมารดาเลี้ยงและน้องชายเพียงเท่านั้น ส่วนบิดากว่านางจะรวบรวมเงินได้เขาก็ถูกประหารที่ลานประหารไปเสียแล้วมาชาตินี้นางรู้แล้วว่าชีวิตของนางไม่อาจจะขาดเงิน ดังนั้นยามที่มู่เปียวเชิญนางเข้าไปฟังเขารายงานผลกำไรทางการค้า นางจึงได้ให้ความสนใจก
เมื่อได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้งหลินเหม่ยเหยาสิ่งแรกที่หลินเหม่ยเหยาตั้งใจจะทำก็คือใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับครอบให้เต็มที่ เดิมทีนางมีความเย็นชาต่อชุยอวี้หลันอยู่เป็นนิจ ต่อต้านทุกสิ่งที่ชุยอวี้หลันชี้นำให้นางทำ แต่ยามนี้สิ่งที่นางทำก็คือการทำตัวเป็นลูกเลี้ยงที่ดีเชื่อฟังคำชี้แนะของชุยอวี้หลันโดยไม่โต้เถียง“เกิดอะไรขึ้น เหตุใดช่วงนี้คุณหนูใหญ่จึงได้ทำตัวผิดแปลกไปเช่นนี้เล่า” เมื่อชุยอวี้หลันเอ่ยถามเช่นนี้หลินเหม่ยเหยาก็ส่งยิ้มให้พลางเอ่ยถามกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“ข้าเปลี่ยนไปมากเลยหรือ ข้าก็หลงคิดว่าการเปลี่ยนแปลงของข้าน่าจะทำให้แม่เล็กพึงพอใจได้เสียอีก” นางเอ่ยพลางก้มหน้าลงคัดอักษรตามบทคัดลอกที่ชุยอวี้หลันหามาให้“คุณหนูใหญ่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดียินดีเชื่อฟังข้าเช่นนี้ข้าย่อมดีใจ เพียงแต่อยู่ๆ ท่านก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหันเช่นนี้มันทำให้ข้าอดรู้สึกกังวลใจไม่ได้ เกิดอะไรขึ้นกับท่าน มีผู้ใดพูดจาล่วงเกินท่านหรือว่ามีใครทำให้ท่านรู้สึกไม่สบายใจหรือเปล่า” เมื่อมารดาเลี้ยงของนางเอ่ยถามเช่นนี้หลินเหม่ยเหยาก็ส่ายหน้า“ไม่มีหรอกเจ้าค่ะ ข้าก็แค่คิดว่าสิ่งที่แม่เล็กสอนสั่งอีกทั้งยังเข้มงวดกับข
ยามที่หลินเหม่ยเหยาลืมตาตื่นขึ้นมา นางก็พบว่าตนเองกำลังนอนอยู่บนเตียงนอนของตนเองในสกุลหลิน สภาพแวดล้อมภายในห้องล้วนมีสภาพเหมือนตอนที่นางยังไม่ได้ปักปิ่น ในยามนั้นหลินเจวี๋ยผู้เป็นบิดาของนางยังคงเข้าออกห้องของนางโดยไม่ได้ถือสาเรื่องธรรมเนียมใดๆ ทั้งสิ้น“เหยาเหยา เจ้าดูนี่สิพ่อได้ฟู่จื่อมามากมาย เจ้าต้องช่วยพ่อตรวจสอบดูนะว่าพิษของมันถูกพ่อทำให้เจือจางลงไปจนหมดสิ้นแล้วหรือยัง” เสียงของหลินเจวี๋ยทำให้หลินเหม่ยเหยารีบขยับตัวลุกขึ้น ดึงม่านคลุมเตียงออกแล้วจ้องมองไปยังผู้ที่เดินเข้ามาในห้องด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ“ท่านพ่อ!” เสียงเรียกกับท่าทีของบุตรสาวไม่ได้ทำให้หลินเจวี๋ยรู้สึกประหลาดใจแต่อย่างใด ในตอนนี้ความสนใจทั้งหมดของเขากำลังจดจ่ออยู่กับสมุนไพรที่เขาพึ่งจะได้มา“อย่ามัวแต่นอนอยู่เลย ดูนี่สิฟู่จื่อนี่คุณภาพดีมากทีเดียว” หลินเจวี๋ยพูดพลางยื่นกล่องไม้ใส่สมุนไพรให้บุตรสาวดู แต่หลินเหม่ยเหยากลับไม่สนใจนางโผเข้าไปโอบกอดบิดาของตนเองแล้วร่ำไห้ออกมา“ท่านพ่อ ต้องโทษข้าที่มองคนไม่เป็น ทำให้ท่านและทุกคนในครอบครัวต้องได้รับเคราะห์กรรมอันเลวร้าย” ท่าทีของบุตรสาวทำให้หลินเจวี๋ยนิ่งงั