หลินเหม่ยเหยารู้ดีว่าหยางสุ่ยเซียนไม่มีทางยอมถูกทำร้ายโดยไม่ตอบโต้ หลังจากที่สาวใช้ที่นางส่งไปจับตาที่เรือนหนิงฝูเข้ามารายงานว่าหลินเจวี๋ยผู้เป็นบิดาของนางกลับมาถึงจวนแล้วและยามนี้กำลังพักผ่อนอยู่ที่เรือนแห่งนั้นนางก็รีบตรงไปที่เรือนหนิงฝูเพื่อขอเข้าพบบิดาในทันที
“เกิดอะไรขึ้นเหตุใดวันนี้เจ้าจึงได้มาหาพ่อจนถึงเรือนแห่งนี้ได้” หลินเจวี๋ยเอ่ยพลางยื่นมือรับถ้วยชาที่ชุยอวี้หลันส่งให้ด้วยสีหน้าผ่อนคลาย
“ข้าก็แค่มีเรื่องอยากจะเรียนให้ท่านพ่อและแม่เล็กทราบเอาไว้ก่อน จะได้ไม่ตื่นตระหนกยามที่คนสกุลหยางส่งคนมาเจ้าค่ะ” คำพูดของหลินเหม่ยเหยาทำให้หลินเจวี๋ยวางถ้วยชาลงในทันที
“เกิดอันใดขึ้น เจ้าสามารถบอกกับพ่อมาได้ตามตรง” คำพูดของบิดาทำให้หลินเหม่ยเหยายิ้มออกมาในทันที
“วันนี้ข้าตบหน้าของหยางสุ่ยเซียนเจ้าค่ะ ยามนี้นางน่าจะเอาเรื่องที่ถูกข้าทำร้ายไปฟ้องนายท่านหยางผู้เป็นบิดาของนางแล้ว “คำพูดของนางทำให้หลินเจวี๋ยพลันขมวดคิ้วในทันที
"นางล่วงเกินเจ้าหรือ พ่อรู้ว่าเจ้าไม่มีทางลงมือทำร้ายคนอย่างไม่มีเหตุผลแน่" คำพูดของบิดาทำให้นางยิ้มออกมา ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อันใดขึ้นอย่างน้อยก็ยังมีบิดาของนางที่สามารถเข้าอกเข้าใจนางได้มากที่สุด
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ นางพูดจาล่วงเกินข้าจริงๆ อีกทั้งยังล่วงเกินสกุลหลินของพวกเราด้วย” เมื่อหลินเหม่ยเหยาเอ่ยเช่นนี้หลินเจวี๋ยก็พลันขมวดคิ้ว นางจึงเล่าให้บิดาฟังว่าวันนี้หยางสุ่ยเซียนมาพูดอะไรบ้าง
“เรื่องของข้ากับสกุลซ่งยังเป็นเรื่องที่ยังไม่ได้มีการยืนยัน สัญญาการหมั้นหมายก็เป็นแค่เพียงคำสัญญาปากเปล่าของผู้อาวุโสทั้งสองสกุล อีกทั้งยังเป็นสตรีจึงยังไม่กล้าออกความคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้แต่นางกลับถือดีว่าตนเองเป็นน้องสาวของหยางกุ้ยเฟย พูดจาให้ร้ายหาว่าลูกและจวนสกุลหลินของพวกเราคิดดูแคลนจวนสกุลซ่ง จนไม่คิดจะรักษาสัจจะของผู้อาวุโสในสกุล” คำพูดของหลินเหม่ยเหยาทำให้หลินเจวี๋ยพลันมีโทสะในทันที
“เป็นน้องสาวในสกุลเดิมของกุ้ยเฟยแล้วอย่างไร ต่อให้เป็นกุ้ยเฟยเองก็ไม่มีทางที่จะมาเอ่ยถึงเรื่องการหมั้นหมายของผู้อื่นเช่นนี้ เพียงแต่ลูกรักในเมื่อนางกล้าทำเช่นนั้นเหตุใดจึงไม่นำมาเล่าให้พ่อฟังก่อน เจ้าลงมือทุบตีผู้อื่นเช่นนี้พ่อเกรงว่าเรื่องนี้อาจจะกระทบกับชื่อเสียงของเจ้าในภายหลังเสียแล้ว” เมื่อหลินเจวี๋ยเอ่ยเช่นนี้หลินเหม่ยเหยาก็ส่ายหน้า
“ถ้าแค่คำพูดของนาง ข้าคงจะไม่ลงมือตบตีนางหรอกเจ้าค่ะ แต่เป็นนางคิดจะตบตีข้าก่อน ข้าก็เลยลงมือตอบโต้นางไป” เมื่อหลินเหม่ยเหยาเอ่ยเช่นนี้หลินเจวี๋ยก็รีบถามบุตรสาวด้วยความเป็นห่วงในทันที
“แล้วเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง เหตุใดนางจึงได้ลงมือทำร้ายเจ้าได้” เมื่อบิดาถามเช่นนี้หลินเหม่ยเหยาก็พลันส่ายหน้าในทันที
“ข้าไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ ท่านพ่อก็น่าจะรู้ว่าข้าไม่มีทางปล่อยให้ผู้อื่นมาทำร้ายลูกได้หรอกเจ้าค่ะ ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมนางจึงได้ลงมือทำร้ายลูก ลูกก็แค่ตำหนิที่นางมาพูดจาก้าวก่ายเรื่องการหมั้นหมายของลูก แถมยังใส่ใจความเคลื่อนไหวของคุณชายใหญ่สกุลซ่งอย่างที่สตรีทั่วไปไม่ควรจะกระทำ อีกทั้งก่อนหน้านี้นางยังกล้าพูดจาดูถูกแม่เล็กว่าเป็นแค่เพียงอนุในจวน ข้าก็เลยตำหนินางไปว่ามารดาแท้ๆ ของนางก็เป็นอนุเช่นกันจึงไม่ควรที่จะมาดูถูกแม่เล็กของข้า อีกทั้งวันหน้าก็ไม่แน่ว่านางจะไม่ได้เป็นอนุ ดังนั้นนางจึงได้โกรธเคืองจนถึงขั้นลงไม้ลงมือกับข้า” หลินเหม่ยเหยาเอ่ยเล่าออกไปตามตรง หากเกิดข้อพิพาทขึ้นมาบิดาของนางจะได้ตอบคำถามของจวนสกุลหยางได้อย่างครบถ้วน
“เจ้านี่นะ ยามอยู่กับแม่เล็กของเจ้าทั้งดื้อรั้นทั้งต่อต้านนาง แต่พอมีคนมาว่านางเจ้ากลับทนไม่ได้เสียแล้ว” หลินเจวี๋ยเอ่ยออกมาพลางส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจในความคิดของบุตรสาว
“หลายปีมานี้แม่เล็กเป็นคนคอยเคี่ยวเข็ญและคอยอบรมสั่งสอนข้ามาโดยตลอด ใช้น้ำอดน้ำทนกับข้าอย่างสุดกำลัง มีหรือที่ข้าจะไม่เห็นและไม่รับรู้ ยามนี้ข้าเองก็พยายามที่จะปรับปรุงตนเองให้ดีขึ้นเพื่อที่แม่เล็กจะได้ไม่ต้องมาเหน็ดเหนื่อยเพราะข้า ดังนั้นนางจึงไม่มีสิทธิ์มาเอ่ยถึงแม่เล็กด้วยคำพูดและน้ำเสียงดูแคลนเช่นนั้น” คำพูดของหลินเหม่ยเหยาไม่เพียงทำให้หลินเจวี๋ยตกตะลึง แต่ยังทำให้ชุยอวี้หลันยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดน้ำตาด้วยความซาบซึ้งใจด้วย หลินเหม่ยเหยาจึงได้เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“อันที่จริงท่านแม่ของข้าก็จากไปนานแล้ว ตำแหน่งนายหญิงของจวนก็ไม่ควรจะเว้นว่าง แม่เล็กไม่เพียงเป็นคุณหนูสกุลขุนนาง แต่ยังคลอดน้องชายให้ท่านอีกด้วย หลายปีมานี้แม่เล็กไม่เพียงคอยดูแลจวนอย่างใส่ใจแต่ยังคอยดูแลทั้งท่านและข้าโดยไม่มีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง ท่านพ่อ! ถ้าเช่นนั้นท่านก็เลื่อนฐานะให้แม่เล็กเถิด อย่าปล่อยให้แม่เล็กและน้องชายต้องถูกผู้อื่นมาดูหมิ่นเช่นนี้เลย” คำพูดของหลินเหม่ยเหยาทำให้หลินเจวี๋ยยิ้มออกมาส่วนชุยอวี้หลันพลันมีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความคาดไม่ถึง
“คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะคิดแทนน้องชายและแม่เล็กของเจ้าเช่นนี้” เมื่อหลินเจวี๋ยเอ่ยเช่นนี้หลินเหม่ยเหยาก็พลันยิ้มให้บิดาของตน
“เมื่อก่อนข้าคิดถึงแต่ตนเองมากจนเกินไปหน่อย กว่าจะรู้ตัวก็มีเรื่องให้ต้องเสียใจตั้งมากมาย ตอนนี้พอมีโอกาสได้พูดถึงเรื่องนี้ข้าจึงได้ขอพูดในสิ่งที่ใจของข้าคิดเถิดเจ้าค่ะ” คำพูดของหลินเหม่ยเหยาทำให้หลินเจวี๋ยหันไปมองชุยอวี้หลันที่ในยามนี้มีหยาดน้ำตาเต็มใบหน้าไปแล้ว
หลินเหม่ยเหยารู้ดีว่าชุยอวี้หลันไม่ได้หมายปองตำแหน่งฮูหยินผู้เป็นภรรยาเอก แต่หากเอ่ยถึงหลินโม่วขึ้นมา แน่นอนว่าจะมีมารดาคนไหนอยากให้ลูกชายของตนเองได้ขึ้นชื่อว่าเป็นบุตรชายของอนุบ้าง ทันทีที่ชุยอวี้หลันได้เลื่อนฐานะหลินโม่วผู้เป็นบุตรชายของนางก็จะมีความชอบธรรมในการสืบทอดจวนสกุลหลินต่อจากบิดาในทันที แล้วจะไม่ให้ชุยอวี้หลันหลั่งน้ำตาออกมาด้วยความซาบซึ้งใจได้อย่างไร
“หยุดร้องไห้เถิด เหยาเหยาออกความคิดเช่นนี้มาได้แสดงว่านางเริ่มจะเปิดใจให้เจ้าแล้ว ความพยายามของเจ้าหลายปีมานี้ถือว่าไม่สูญเปล่า ในเมื่อเหยาเหยาเอ่ยออกมาเช่นนี้ข้าก็ย่อมจะต้องจัดการเลือกฐานะให้เจ้า” หลินเจวี๋ยเอ่ยกับชุยอวี้หลันด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความยินดี หลายปีมานี้ใช่ว่าเขาจะไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้แต่เพราะกังวลถึงความรู้สึกของบุตรสาวเขาจึงได้รั้งรอไม่แต่งตั้งตำแหน่งฮูหยินผู้เป็นภรรยาเอกของเขาให้กับชุยอวี้หลันเสียที
คุณหนูสกุลฉางกำลังจะแต่งงาน ข่าวนี้ทำให้ผู้คนในเมืองหลวงต่างพากันแตกตื่นและก็พากันสงสัยว่าใครกันที่จะเป็นเจ้าบ่าวผู้โชคร้ายคนนั้น ที่น่าประหลาดใจก็คือใกล้จะถึงวันมงคลอยู่แล้วแต่จวนสกุลฉางกลับไม่ได้จัดเตรียมงานมงคล แต่จวนที่จัดเตรียมงานมงคลกลับเป็นจวนสกุลหยาง จึงมีหลายคนต่างพากันพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเจ้าสาวอย่างฉางเจียกำลังจะแต่งออกจากจวนสกุลหยาง“เป็นเรื่องที่บ้าไปแล้ว ก่อนหน้านี้นางทำตัวหน้าไม่อายไปขอพักอาศัยที่จวนสกุลหยางก็เป็นเรื่องที่คนทั่วไปไม่กล้าทำอยู่แล้ว แต่ยามนี้นางยังกล้าจัดงานพิธีส่งตัวขึ้นเกี้ยวที่จวนสกุลหยางอีกช่างเป็นสตรีที่ไร้ความเกรงอกเกรงใจเสียจริง” เสียงติฉินนินทาทำให้สวีหย่วนขมวดคิ้ว ในใจของเขารู้สึกไม่สบายใจอยู่แล้วที่ได้รู้ว่าฉางเจียกำลังจะแต่งงานกับผู้อื่น และยิ่งรู้สึกไม่สบายใจมากยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อได้รู้ว่านางแต่งออกไปอย่างไม่ปกติ ในฐานะบุตรสาวเพียงคนเดียวของท่านแม่ทัพฉาง แม้ว่าจะสิ้นไร้บิดาไปแล้วแต่นางก็ยังมีหน้ามีตามากเพียงพอที่จะแต่งออกจากจวนสกุลฉางโดยไม่อายผู้ใด แต่การที่นางแต่งออกจากสกุลหยางเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกว่าเรื่องที่ไม่ปกติเท่าใดนัก“ญาติผู้พี่ช่ว
‘ข้าเคยพูดว่าเขาเป็นคนหน้าตาธรรมดาหรือ ข้าเคยพูดตอนไหนกันนะ’ นี่คือความคิดของฉางเจียหลังจากที่นางมอบถุงผ้าปักของตนเองให้สวีหย่วนเพื่อเป็นของแทนใจแต่กลับถูกเขาส่งคืนมาให้แถมยังบอกกับนางว่า“คุณหนูเคยเอ่ยกับข้าว่าข้าเป็นคนที่มีหน้าตาธรรมดา ดังนั้นคนที่มีหน้าตาธรรมดาเช่นข้าจึงไม่คู่ควรที่คุณหนูฉางจะมาชื่นชอบหรอก” คำตอบของเขาพร้อมกับถุงผ้าปักที่ถูกส่งคืนทำให้ฉางเจียยื่นนิ่งอยู่กับที่ด้วยความสับสนวุ่นวายใจ“คุณหนูพวกเรารีบกลับจวนกันเถิด หากมัวชักช้าจะมืดค่ำเอาได้นะเจ้าคะ” คำพูดของสาวใช้ทำให้ฉางเจียตื่นจากภวังค์ความคิดในที่สุด นางหันไปมองสวีหย่วนอีกครั้งด้วยความปวดใจแล้วจึงได้เดินทางกลับจวนของตนเองด้วยความเหม่อลอยสวีหย่วนคือชายหนุ่มที่มีอนาคตไกล มีอายุแค่เพียงยี่สิบต้นๆ เขาก็ได้เป็นเจ้ากรมอาญาแล้ว ส่วนนางเป็นสตรีที่กำลังจะพ้นวัยออกเรือนแล้ว เดิมทีนางไม่คิดว่าตนเองจะถูกใจบุรุษคนใดนอกจากญาติผู้พี่ของตนเองอีกแล้ว จวบจนนางได้เห็นเขาตอนที่กำลังแสดงฝีมือจับกุมคนร้ายนางจึงได้รู้ว่าบนโลกใบนี้ยังมีคนที่มีความห้าวหาญไม่แตกต่างไปจากญาติผู้พี่ของนางเลย สายตาเย็นชาที่เขาใช้จ้องมองนางทำให้นางรู้สึกได้ว่า
ซ่งเสวี่ยหรงและกัวไป๋จิ้งถูกตัดสินประหารชีวิตในวันเดียวกัน คนสกุลกัวทั้งสกุลพลอยติดร่างไปด้วย ส่วนคนอื่นๆ ในสกุลซ่งได้รับการอภัยโทษและถูกเนรเทศไปอยู่ชายแดนตลอดชีวิต หวังจื่อเถียนทนรับความลำบากไม่ไหวแขวนคอตนเองตายไปในที่สุด หลินเหม่ยเหยารับฟังเรื่องราวเหล่านี้ด้วยจิตใจอันว่างเปล่า บุญคุณความแค้นในชาติที่แล้วยามนี้นางสามารถปล่อยวางลงได้แล้ว ยามนี้สิ่งเดียวที่สามารถดึงดูดความสนใจของนางได้ก็มีแค่เพียงลูกในท้องที่กำลังจะเกิดมาเพียงเท่านั้นปราบปรามกบฏและสยบเหตุการณ์ก่อจลาจลได้สำเร็จ หยางเจี้ยนก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นไหวกั๋วกงสามารถเข้าเฝ้าได้โดยไม่ต้องคุกเข่าอีกทั้งยังสามารถพกอาวุธเข้าไปในเขตพระราชฐานชั้นในได้อีกด้วย หลินเหม่ยเหยาจึงพลอยได้เป็นไหวกั๋วกงฮูหยินไปด้วย นางได้รับความริษยาจากบรรดาสตรีทั่วทั้งเมืองหลวง ไม่เพียงมีวาสนาที่ดีแต่ยังได้รับความรักจากสามีอย่างล้นเหลือจนทำให้ผู้อื่นอดริษยาไม่ได้ไหวกั๋วกงไม่เพียงกว้านซื้อกิจการร้านค้าให้นางอย่างใจกว้าง แต่ยังประกาศต่อหน้าธารกำนัลว่าชาตินี้จะไม่รับสตรีอื่นเข้าจวนอีก ดังนั้นหากผู้ใดกล้ายัดเยียดอิสตรีมาให้เขาก็จงเตรียมตัวรอรับการลงทัณฑ์จาก
ยามที่หยางเจี้ยนขี่ม้าไปถึงจวนก็เห็นว่าคนของกรมอาญามาอยู่ที่จวนอย่างผิดปกติ เขารีบเดินไปลากคอของกัวไป๋จิ้งให้ลงจากหลังม้าอย่างรวดเร็วในทันที โดยที่เขาไม่สนใจว่ากัวไป๋จิ้งตั้งหลักได้หรือไม่ ดังนั้นภาพที่ทุกคนเห็นก็คือแม่ทัพใหญ่หยางกำลังลากคุณชายกัวในสภาพเนื้อตัวชุ่มไปด้วยเลือดเข้าไปในจวนสกุลหยาง“เหยาเหยา” เมื่อเข้าไปในจวนได้เขาก็ตะโกนเรียกชื่อของภรรยาในทันที ทำให้หลินเหม่ยเหยาที่กำลังมอบยาถอนพิษให้กับข้ารับใช้ภายในจวนต้องรีบเดินออกมาหาเขา“ท่านกลับมาแล้ว” หลินเหม่ยเหยาส่งเสียงทักทายเขาออกมาด้วยความยินดี เมื่อเขาเห็นนางก็เหวี่ยงกัวไป๋จิ้งให้สวีหย่วนที่กำลังยืนทำหน้าเคร่งเครียดอยู่แล้วก็รีบวิ่งไปดึงร่างของนางมาโอบกอดเอาไว้“เจ้าไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงของเขาทำให้หลินเหม่ยเหยารีบพยักหน้าแล้วเอ่ยกับเขาด้วยน้ำเสียงปลอบโยนเพื่อให้เขาสบายใจในทันที“ท่านวางใจได้ข้าไม่ได้เป็นอันใด บ่อน้ำที่ใช้ภายในจวนล้วนต้องผ่านการตรวจสอบจากคนของข้าที่นำมาจากร้านฝูโซ่วก่อน มีเพียงข้ารับใช้แค่เพียงไม่กี่คนเพียงเท่านั้นที่ไม่เชื่อฟังคำสั่งดื่มน้ำในบ่อก่อนตรวจสอบ ก็เลยทำให้พวกเขาไ
ทางฝั่งของหยางเจี้ยนยามนี้เขากำลังไล่ล่ากวาดล้างคนของฉินอ๋องที่ซุกซ่อนอยู่ในต่างเมือง ความวุ่นวายในเมืองหลวงมีคนของกรมอาญาและจิ่นหรงคอยดูแลความสงบเรียบร้อย ส่วนเขานำกองกำลังอีกส่วนหนึ่งคอยติดตามจับกุมกัวไป๋จิ้งและจางซิงซิน“จางซิงซินหากเจ้ายินยอมมอบตัวแต่โดยดี ข้าก็ยินดีที่จะไว้ชีวิตบุตรชายที่พึ่งจะคลอดออกมาของเจ้า” หยางเจี้ยนที่ในยามนี้นำกองกำลังส่วนหนึ่งล้อมรอบบ้านหลังหนึ่งเอาไว้ตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดังกึกก้อง“หากเจ้าไม่ยินดีจะมอบตัววันนี้ข้าคงทำได้แค่เพียงต้องจบชีวิตของพวกเจ้าสองแม่ลูกในกองเพลิงเพียงเท่านั้น” คำพูดของเขาทำให้จางซิงซินค่อยๆ อุ้มห่อผ้าออกมาจากบ้านหลังนั้น สภาพเนื้อตัวของนางไม่หลงเหลือเค้าความงามอีกต่อไปแล้ว เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งและเก่าคร่ำคร่า ร่างกายที่พึ่งจะคลอดบุตรได้ไม่นานแต่กลับไม่ได้รับการบำรุงรักษาอย่างที่ควรจะเป็นทรุดโทรมจนแทบจะเดินไม่ไหว นางไม่มีทางเลือกมากนักเพราะคนที่หลบอยู่ในบ้านหลังนั้นสั่งให้นางอุ้มลูกออกมามอบตัว ไม่เช่นนั้นพวกนางสองแม่ลูกก็จะถูกพวกเขาฆ่าทิ้งเช่นเดียวกัน นางจึงทำได้แค่เพียงอุ้มทารกน้อยออกมามอบตัวด้วยสภาพสิ้นไร้หนทาง“ท่านแม่ทัพได้โปรด
ฉางเจียไม่สนใจคำครหาของผู้คน นางเข้ามาอยู่ในจวนสกุลหยางราวกับที่นี่เป็นจวนของตนเอง ที่สำคัญนางเฝ้าติดตามหลินเหม่ยเหยาราวกับเงา แต่หลินเหม่ยเหยากลับไม่ได้รังเกียจนางอีกทั้งยังอยู่ร่วมกับฉางเจียราวกับว่านางคือพี่สาวน้องสาวคนหนึ่ง ซ่งเสวี่ยหรงทนได้รับการสอบสวนจากกรมอาญาไม่ไหวยอมรับสารภาพออกมาว่าเขาได้รับการติดต่อจากกัวไป๋จิ้งให้หาวิธีเข้าไปวางยาพิษเสวียนหมิงหลงฮ่องเต้ แต่เพราะช่วงนี้เขาถูกขับออกจากสำนักแพทย์หลวงทำให้เขาต้องยื่นข้อต่อรองขอให้กัวไป๋จิ้งหาวิธีให้เขาได้กลับเข้าไปทำงานในสำนักแพทย์หลวงอีกครั้งกัวไป๋จิ้งจึงสั่งให้เขาสังหารอนุจากสกุลหยางของตนเองก่อนเพื่อที่จะได้เอาอกเอาใจคนสกุลหวัง แล้วหลังจากนั้นกัวไป๋จิ้งจะไปช่วยพูดกับคนสกุลหวังเพื่อช่วยเขา ช่วงนี้กัวไป๋จูกำลังตั้งครรภ์อยู่แม้ว่านางจะมีฐานะแค่เพียงอนุ แต่ทารกที่อยู่ในครรภ์ของนางถือเป็นหลานคนแรกของท่านเสนาบดีหวัง กัวไป๋จิ้งจึงตั้งใจจะใช้การตั้งครรภ์ของน้องสาวเป็นสะพานให้ตนเองตีสนิทกับสกุลหวังและตั้งใจว่าจะเข้าไปช่วยพูดกับท่านเสนาบดีหาวิธีผลักดันซ่งเสวี่ยหรงด้วย ซ่งเสวี่ยหรงเกรงว่ากัวไป๋จิ้งจะเปลี่ยนใจ เขาจึงได้เก็บจดหมายที่ใช้ต