Masukในตอนนี้สติของขวัญรดายังไม่กระจ่างชัดมากนัก...และยังที่เธอไม่ทันได้ขบคิดให้มากความ...โลกของเจ้าตัวก็ได้หมุนคว้างในขณะที่ร่างเล็กของเธอถูกอุ้มกระเตงเข้าเอวอย่างไม่ใคร่จะถนัดนักของคนเป็นแม่
หลังจากช่อฟ้าคว้าตัวลูกสาวขึ้นมาได้ หล่อนก็กระหืดกระหอบกระเตงเด็กหญิงกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดพัก พร้อมกับเสียงหอบหายใจปะปนกับเสียงพึมพำปลอบโยนที่จับใจความไม่ได้และยังเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกอย่างชัดเจน...
ส่วนขวัญรดาในตอนนี้...เธอรับรู้ได้เพียงสัมผัสของอ้อมแขนที่กอดรัด แรงกระแทกเป็นจังหวะและกลิ่นดินปนกลิ่นสนิมจาง ๆ จากเสื้อผ้าของคนที่เธอยังไม่มั่นใจ
ไม่นานนัก แรงกระแทกก็หยุดลง พร้อมกับร่างของเธอที่ถูกวางลงบนพื้นไม้กระดานเย็น ๆ เธอพยายามปรือตาขึ้นมอง แต่ภาพที่เห็นก็ยังพร่าเลือน เห็นเพียงเงาตะคุ่มของบ้านไม้เก่า ๆ และตุ่มดินเผาใบใหญ่ที่ตั้งอยู่ไม่ไกล
และก่อนที่วิญญาณาของขวัญรดาจะได้ประมวลผลอะไรไปมากกว่านั้น น้ำเย็นเฉียบก็ถูกสาดราดลงมาบนร่าง!
ซ่า!
ความเย็นนั้นเหมือนสายฟ้าที่ฟาดลงมาปลุกทุกสัญชาตญาณของร่างกายที่บอบช้ำให้ตื่นขึ้น มันไม่ใช่การชำระล้างที่อ่อนโยน
แต่เป็นอีกหนึ่งความรุนแรงที่ร่างกายต้องเผชิญ จิตใจของหญิงชราอยากจะกรีดร้องให้หยุด แต่ร่างกายของเด็กวัยห้าขวบกลับมีปฏิกิริยาของมันเอง...
"อุแหวะ! อ้วกกก!"
ร่างเล็กงอตัวเป็นกุ้ง สำรอกเอาของเหลวเหม็นคลุ้งที่เพิ่งสำลักเข้าไปออกมาจนหมดสิ้น มันเป็นปฏิกิริยาที่เธอควบคุมไม่ได้ เป็นการต่อสู้ของร่างกายเพื่อเอาชีวิตรอดล้วน ๆ
จิตวิญญาณของขวัญรดาทำได้เพียงเป็นผู้สังเกตการณ์ความน่าอดสูนี้อย่างช่วยไม่ได้
และหลังจากการสำรอกครั้งสุดท้ายที่ทำให้ร่างทั้งร่างอ่อนเปลี้ยเพลียแรง...ความโกลาหลในหัวของเธอก็พลันสงบนิ่งลงอย่างน่าประหลาด
ความเจ็บปวด...ความสับสน...ความหนาวเหน็บ...ทั้งหมดเริ่มจางหายไป ก่อนถูกแทนที่ด้วยสัมผัสของฝ่ามืออุ่น ๆ ที่กำลังลูบแผ่นหลังของเธอเบา ๆ ตามด้วยความสากของผ้าขนหนูผืนเก่าที่กำลังซับน้ำออกจากผิวของเธอ
ในขณะนี้ขวัญรดาได้พยายามลืมตาขึ้นอีกครั้ง...แต่คราวนี้...ภาพที่เห็นไม่ได้พร่าเลือนอีกต่อไป
และภาพแรกที่เธอเห็นก็คือ...ใบหน้าของหญิงสาวที่เปี่ยมด้วยความรักและความกังวลจนแทบคลั่งอยู่ห่างจากเธอไม่ถึงคืบ...ซึ่งใบหน้านี้ก็ได้ตรงกับภาพโฮโลแกรมของแม่ผู้จากไปเร็ว...จากภาพถ่ายขาวดำใบเก่า...และใบหน้าของผู้หญิงตรงหน้า...ซึ่งทั้งหมดในตอนนี้ได้หลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียวในความทรงจำ
นี่คือแม่...แม่ของเธอ...ที่มีชีวิตและเลือดเนื้อ...หยาดน้ำตาที่ไม่ใช่ของเด็กห้าขวบ ค่อย ๆ ไหลรินออกจากดวงตาเล็ก ๆ มันคือน้ำตาหยดแรกของการกลับมา...การกลับบ้านที่แท้จริง
ช่อฟ้าที่กำลังจะเอ่ยปากปลอบใจลูกสาวถึงกับชะงักไปเพราะโดยปกติแล้ว เด็กที่เพิ่งผ่านเหตุการณ์น่ากลัวมาควรจะร้องไห้กระจองอแง หรือกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว แต่สิ่งที่เธอเห็นกลับไม่ใช่...
ลูกสาวของเธอกำลังร้องไห้...แต่เป็นการหลั่งน้ำตาอย่างเงียบงัน...เงียบจนน่าใจหาย และที่น่าตกใจยิ่งกว่าก็คือดวงตาของลูกสาวที่จ้องมองมาที่เธอ
ดวงตาคู่นั้นทั้งนิ่งและเต็มไปด้วยความลึกซึ้ง...รวมถึงอารมณ์ซับซ้อนที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิตของเด็กหญิง...ซึ่งมันไม่ควรจะใช่แววตาของเด็กอายุเพียงห้าขวบที่เพิ่งรอดตาย แต่มันเหมือน...เหมือนแววตาของคนที่พลัดพรากจากกันมานานแสนนานแล้วเพิ่งได้กลับพบเจอกันอีกครั้ง
"ขวัญ...ขวัญลูก เป็นอะไรไป" น้ำเสียงของช่อฟ้าสั่นเครือด้วยความไม่เข้าใจ "แม่ทำหนูเจ็บตรงไหนเหรอ บอกแม่สิลูก"
เด็กหญิงไม่ตอบ...ทำเพียงส่ายหน้าช้า ๆ ก่อนจะโผเข้าซุกอกผู้เป็นแม่แล้วปล่อยโฮออกมาอย่างเงียบงัน อ้อมแขนเล็ก ๆ กอดรัดร่างกายผอมบางของแม่เอาไว้แน่น...
แน่นเสียจนคนเป็นแม่รู้สึกได้ถึงความโหยหาอันมหาศาล...ความโหยหาที่ดูหนักหน่วงเกินกว่าที่เด็กตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งจะรู้สึกได้
แม้ว่าช่อฟ้าจะมึนงง...แต่หล่อนก็ได้แต่กอดตอบลูกสาวไว้แน่น พร้อมกับลูบศีรษะที่เปียกชื้นที่เธอสระให้ลูกสาวจนสะอาดด้วยใจที่เต็มไปด้วยความสับสนและความประหลาดใจในคราวเดียว
ลูกของเธอปลอดภัยแล้ว...แต่ทำไมเธอถึงรู้สึกเหมือนว่า...เด็กในอ้อมแขนคนนี้ไม่ใช่ลูกสาวคนเดิมที่เธอรู้จักอีกต่อไป...
แต่สำหรับขวัญรดาแล้วมันคือความโหยหาที่อัดแน่นมาตลอดแปดสิบห้าปีในที่สุดก็ได้ถูกปลดปล่อยออกมาในรูปแบบของน้ำตาและอ้อมกอดที่เธอได้รับจากผู้เป็นแม่
จิตวิญญาณของหญิงชราในร่างเด็กน้อยเหมือนจะเริ่มคลายจากความตึงเครียดทั้งหมด ร่างกายที่ผ่านเรื่องเลวร้ายมาและใช้พลังงานไปกับการอาเจียนจนหมดสิ้น บัดนี้กำลังเรียกร้องการพักผ่อนอย่างหนักหน่วง
เปลือกตาของเธอหนักอึ้งเกินจะฝืนต้านทานไหว...และ สุดท้าย...เด็กหญิงตัวน้อยก็ผล็อยหลับไปในอ้อมกอดที่เธอโหยหามาทั้งชีวิต
ขณะที่ร่างกายภายนอกของเด็กหญิงจมดิ่งสู่การหลับใหล...ในห้วงสำนึกที่ลึกที่สุดของขวัญรดาซึ่งมืดมิดและว่างเปล่า พลันปรากฏเสียง "ติ๊ง!" ที่นุ่มนวลดังขึ้น
ก่อนจะมีหน้าต่างแสงสีทองอ่อน...ปรากฏขึ้นตรงหน้า ราวกับหน้าจอคอมพิวเตอร์ในโลกอนาคต ที่มุมขวามีรูปอุ้งเท้าแมวสีขาวเล็ก ๆ กระดิกเบา ๆ
[กำลังเชื่อมต่อกับจิตวิญญาณผู้ใช้งาน...] [...เชื่อมต่อสำเร็จ!...] [ยินดีต้อนรับผู้ถูกเลือกเข้าสู่ระบบแมวกวักนำโชค!]
ตัวอักษรปรากฏขึ้นแล้วหายไป ก่อนจะมีข้อมูลชุดใหม่แสดงขึ้นมา
[ตรวจสอบสภาวะร่างกายผู้ใช้งาน พลังกาย: 5/100 อยู่ในสภาวะอ่อนเพลียรุนแรง สภาวะจิตใจ: ความทรงจำสองภพขัดแย้งกัน...ไม่เสถียรอย่างยิ่ง คำแนะนำสำหรับสถานการณ์ปัจจุบัน: วิกฤตของครอบครัวกำลังจะเกิดขึ้น คำใบ้: คำพูดที่อ่อนน้อมและจริงใจ คือเครื่องมือที่ดีที่สุดในการเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส]
หลังจากสิ้นสุดประโยคนี้...หน้าต่างแสงนั้นก็จางหายไปอีกครั้ง ทิ้งให้จิตของขวัญรดาจมสู่การหลับใหลที่แท้จริง...
ภายนอก...ช่อฟ้าถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นว่าลูกสาวหลับไปแล้ว อย่างน้อยตอนนี้ลูกก็จะได้พักผ่อน แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้พาลูกเข้าไปนอนในบ้านดี ๆ เสียงฝีเท้าเล็ก ๆ และเสียงอ้อแอ้ของลูกชายก็ดังขึ้นจากทางหน้าบ้าน
"มะ..แม่..มา..มา" มนัสในวัยสองขวบเดินเตาะแตะนำหน้าโดยมีสุ่นลั้งหาบตะกร้าผักที่เพิ่งเก็บมาจากสวนของเพื่อนบ้านเดินตามมาติด ๆ
และเมื่อหญิงวัยกลางคนเห็นสภาพของหลานสาวที่ตัวเปียกปอนอยู่ในอ้อมแขนของลูกสะใภ้ ตะกร้าผักในมือก็แทบร่วงลงพื้น
"อาช่อ! เกิดอะไรขึ้น!" หล่อนอุทานเสียงดังด้วยความตกใจ รีบวางตะกร้าแล้วปรี่เข้ามาดูหลานสาวทันที "แล้วทำไมขวัญถึงเป็นสภาพนี้ไปได้!"
"ขวัญตกท่อจ้ะแม่" ช่อฟ้าตอบเสียงแผ่วด้วยความเหนื่อยอ่อน "แต่ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้วจ้ะ เธอแค่ตกใจเลยร้องไห้จนหลับไป"
สุ่นลั้งใช้หลังมืออังหน้าผากหลานสาวอย่างรวดเร็วเพื่อวัดไข้ เมื่อเห็นว่าตัวไม่ร้อนก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่แล้วสายตาของเธอก็กวาดไปเห็นว่าปี๊บเศษอาหารได้หายไป คิ้วที่ขมวดด้วยความเป็นห่วงเมื่อครู่ พลันเปลี่ยนเป็นความกังวลในเรื่องใหม่ทันที
หลายเดือนต่อมาในขณะที่การค้าของครอบครัวศิริเวชเจริญนั้นเป็นไปด้วยดี ในตอนนี้ช่อฟ้ากับสุ่นลั้งเริ่มสบายตัวมากขึ้น เนื่องจากคนทั้งคู่ได้ตัดสินใจแค่ทำของอยู่กับบ้านและให้ป้าพรกับป้าสมศรีเป็นคนออกไปขายแทนทางด้านดวงก็ยังคงทำหน้าที่พนักงานหาบของ...ของตนตามเดิม เพียงแค่...ตอนนี้เด็กหนุ่มไม่จำเป็นต้องเดินหาบตามบ้านอีกต่อไปแล้วทำเพียงแค่ออกไปขายตามตลาดนัดก็เพียงพอแต่สำหรับทางด้านงานของมนตรีที่กำลังช่วยเจ็กใช้ทำงานด้วยความขยันขันแข็งอยู่นั้น กลับได้เกิดปัญหาขึ้นบางอย่าง...เย็นวันหนึ่ง มนตรีกลับมาถึงบ้านด้วยสีหน้าที่ดูเคร่งเครียดมากกว่าปกติ“เป็นอะไรไปป๊า” ช่อฟ้าเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงระหว่างมื้อเย็น“เฮ้อ! ก็เรื่องงานน่ะสิ” เขาถอนหายใจ “ลูกค้าคนล่าสุดเขาติมา... เขาว่าแบบบ้านของอาเจ็กมันซ้ำกับบ้านหลังอื่นในซอย...เขาอยากได้อะไรที่มันดูใหม่มากกว่านี้...แต่อาเจ็กแกก็มีแบบบ้านมาตรฐานอยู่ไม่กี่แบบ”ปัญหาเชิงธุรกิจนั้นทำให้ทุกคนในวงข้าวนิ่งเงียบไป...ขวัญรดาที่นั่งทำการบ้านอยู่ไม่ไกลได้ยินทุกอย่าง...และในตอนนี้จิตวิญญาณของคุณยายชาวสวนที่เคยใฝ่ฝันอยากจะเป็นสถาปนิกพ
สามปีผ่านไปทุกชีวิตในครอบครัวศิริเวชเจริญได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง...จากร้านหาบเร่และรถเข็นเล็ก ๆ ในวันวาน บัดนี้ร้านแม่ช่อฟ้าได้กลายเป็นร้านข้าวแกงเจ้าประจำของชุมชนที่ทุกคนต่างรู้จักและชื่นชอบกิจการของพวกเขาเติบโตขึ้นอย่างมั่นคง เงินเก็บในสมุดบัญชีก็เริ่มมีมากขึ้นตามลำดับจากหยาดเหงื่อแรงกายของทุกคน และในตอนนี้ร้านข้าวแกงแม่ช่อฟ้าจากแม่ค้าตลาดนัดก็มีห้องแถวขนาดกลางเป็นของตัวเองเพิ่มขึ้นมาทางด้านของมนตรีชายหนุ่มก็ได้กลายเป็นหัวหน้าคนงานก่อสร้างที่ใช้ไว้วางใจและให้คุมงานสำคัญแทน ชายหนุ่มเลิกดื่มเหล้าอย่างเด็ดขาด และกลายเป็นเสาหลักที่อบอุ่นและแข็งแกร่งของครอบครัว ส่วนช่อฟ้ากับสุ่นลั้งก็กลายเป็นเถ้าแก่เนี้ยผู้เป็นที่ยอมรับนับถือของคนในตลาดทางด้านขวัญรดาในวัยสิบปี ในปีนี้ซึ่งเป็นการเปิดภาคเรียนใหม่เด็กหญิงกำลังจะขึ้นไปอยู่ชั้นประถมปีที่ 6 อย่างมีความสุข เธอเป็นนักเรียนดีเด่นที่เรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างรวดเร็วและในปีนี้... มนัสน้องชายตัวน้อยของเธอ...ก็ได้ก้าวเข้าสู่รั้วโรงเรียนเดียวกันในชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 เป็นที่เรียบร้อย แม้ว่ามนัสจะไม่ได้มีพร
“ใช่! ห้องของคุณนั่นแหละ” ครูใหญ่ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดครูวิทยายังคงยืนอึ้งกับการตัดสินใจที่รวดเร็วของผู้บริหาร แต่ก็รีบพยักหน้ารับคำ “ครับท่าน...ถ้าเช่นนั้นผมขอตัวไปแจ้งผู้ปกครองของเด็กก่อนนะครับ”ภายในห้องพักรับรองด้านนอก มนตรีและใช้กำลังนั่งรอผลคำตอบด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นส่ำ ส่วนขวัญรดานั้นแม้ภายนอกของเธอจะยังคงนิ่งแต่ในใจก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้เช่นกันเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าสำหรับคนรอ...ความเงียบในห้องรับรองถูกกดทับด้วยความตึงเครียด มนตรีนั่งไม่ติดที่ เขาขยับตัวไปมา ลูบท้ายทอยตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าส่วนใช้แม้จะพยายามรักษาท่าทีให้สุขุม แต่การที่เขายกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเป็นระยะ ๆ ก็บ่งบอกว่าเจ้าตัวเองก็กำลังลุ้นไม่แพ้กันมีเพียงขวัญรดาที่ยังคงนั่งนิ่ง... แต่หากสังเกตดี ๆ จะเห็นว่าปลายนิ้วเล็ก ๆ ของเธอกำลังจิกอยู่ที่กระโปรงนักเรียนจนแน่นและในที่สุดเสียงเปิดประตูห้องพักรับรองแห่งนี้ก็ดังขึ้น ทำให้ร่างของผู้ใหญ่ทั้งสองคนสะดุ้งเล็กน้อยและรีบลุกขึ้นยืนโดยอัตโนมัติครูวิทยาเดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่ยากจะคาดเดา... มันเป็นสีหน้าที่ผสมปนเป
และแล้วสามวันต่อมา...ซึ่งเป็นวันเสาร์ก็มาถึง วันนี้บ้านสวนหลังนี้คึกคักกันตั้งแต่ตีสามเลยทีเดียวเพราะเป็นวันที่ครอบครัวศิริเวชเจริญจะไปเปิดศึกที่ตลาดนัดลานต้นมะขามซึ่งบรรยากาศในครัววันนี้ได้แตกต่างออกไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง เพราะนอกจากหม้อแกงและขนมหวานที่คุ้นเคยแล้ว วันนี้ยังมีเมนูใหม่แกะกล่องที่สุ่นลั้งและช่อฟ้าบรรจงทำขึ้นเป็นพิเศษอีกด้วย...นั่นคือรายการหมูพะโล้สูตรโบราณที่เคี่ยวจนน้ำเข้าเนื้อส่งกลิ่นหอมของเครื่องเทศจีนไปทั่ว และหมูสามชั้นต้ม ที่ต้มจนเปื่อยนุ่ม ราดด้วยน้ำจิ้มเต้าเจี้ยวรสเด็ดกับน้ำจิ้มซีฟู้ดที่มนตรีเป็นคนปรุงเองกับมือ ซึ่งเมนูเหล่านี้แทบจะไม่มีใครทำขายตามตลาดนัดทั่วไป เพราะเป็นอาหารที่ต้องใช้เวลาและความใส่ใจในการทำสูง ส่วนฝ่ายขนมหวาน...ขวัญรดาก็ได้แสดงฝีมือในฐานะ ผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์เป็นครั้งแรก“แม่จ๋า...ทับทิมกรอบของเรา...ลองทำใส่แก้วพลาสติก ใส ๆ แบบนี้ดีไหมจ๊ะ” เธอนำเสนอ “เราจัดเรียงเป็นชั้น ๆ ให้เห็นเม็ดทับทิมสีแดงสด ตัดกับขนุนสีเหลืองทอง...มันจะดูน่ากินขึ้นเยอะเลย”ความคิดในการจัดวางสินค้าให้น่าสนใจนั้น เป็นสิ่งที่ใหม่มากสำหรับคนในยุค
หลังจากที่นายดวงเดินออกมาจากท้ายวัดและมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ ซึ่งตรงกันข้ามกับเส้นทางที่ช่อฟ้ากำลังจะไปขายข้าวราดแกงของตนและขนมกับพรในเวลานั้นเด็กหนุ่มไม่รู้เลยว่าการขายขนมของตนวันนี้เป็นเพราะความโชคดีของตนหรือว่าเพราะตุ๊กตาแมวกวักหน้ายิ้มกันแน่ เพราะทันทีที่ปากของเขาร้องตะโกนเรียกลูกค้าไปได้เพียงแค่ครั้งเดียว... และยังไม่ทันจะจบประโยคดีว่า...“ขนมจ้า! ขนมอร่อย ๆ มาแล้วจ้า! ปลากริมไข่...”“พ่อค้า! เดี๋ยว! หยุดก่อน!”เสียงเรียกจากหญิงวัยกลางคน...ได้ดังขึ้นจากหน้าบ้านหลังหนึ่ง ดวงรีบวางหาบลงทันที หญิงคนนั้นเดินเข้ามาดูขนมในหาบด้วยความสนใจก่อนจะขอซื้อปลากริมไข่เต่าไปลองชิมหนึ่งถ้วยและทันทีที่นางได้ชิมขนมเข้าไปคำแรก... ดวงตาของหญิงวัยกลางคนก็เบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ!“อร่อย! อร่อยมาก! ไม่เคยกินปลากริมไข่เต่ารสชาตินี้มาก่อนเลย!” หล่อนกล่าวชมอย่างจริงใจ “พ่อหนุ่ม...ทำของอร่อยขนาดนี้ ทำไมไม่ไปขายที่ตลาดนัดเช้าตรงลานมะขามล่ะ ที่นั่นคนเยอะมากเลยนะ ของอร่อย ๆ แบบนี้ต้องขายดีแน่นอน”“ตลาดนัดเช้าเหรอครับป้า” ดวงทวนคำอย่างสนใจ“ใช่! เขามีก
และครอบครัวศิริเวชเจริญก็ไม่ปล่อยให้แผนการเป็นเพียงแค่ความฝัน...เพราะเช้าวันรุ่งขึ้นมนตรีก็ใช้ทักษะช่างของตนสร้างป้ายไม้แผ่นใหม่ที่ดูสวยงามและแข็งแรงขึ้นมากกว่าเดิมและนอกจากที่เขาจะเขียนชื่อร้านแม่ช่อฟ้าและรายการอาหารคาวหวานที่ขายหน้าร้านแล้ว ที่มุมหนึ่งของป้ายยังมีข้อความเล็ก ๆ ที่เขียนไว้อย่างชัดเจนว่า: “รับสมัครคนช่วยงานทำขนมและคนหาบขนมขาย (มีส่วนแบ่งให้)”ซึ่งป้ายประกาศนี้ของเขาก็ได้สร้างความประหลาดใจและความสนใจให้กับลูกค้าและเพื่อนบ้านในชุมชนเป็นอย่างมาก...พร้อมกับทุกคนต่างคิดเหมือนกันว่า...กิจการของครอบครัวนี้กำลังจะขยับขยายอีกแล้ว!เวลาผ่านไปไม่กี่วัน...ก็มีชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงที่กำลังว่างงานทยอยเดินทางมาสมัครกับสุ่นลั้งที่บ้านสวนเป็นจำนวนมาก ผิดจากแต่ก่อนที่ไม่เคยมีใครกล้าย่างกรายเข้ามาแถวนี้เพราะความกลัว ทว่าบัดนี้บ้านสวนหลังนี้กลับคึกคักขึ้นมากทีเดียวหญิงวัยกลางคนทำหน้าที่เป็นผู้จัดการฝ่ายบุคคลได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง หล่อนสอบถามประวัติความเป็นมาของคนที่มาสมัครรวมถึงเหตุผลและเคยผ่านงานอะไรมาบ้างเพื่อดูถึงความขยันขันแข็งและคว







