เข้าสู่ระบบจากวิญญาณในโลกอนาคตได้โอกาสย้อนกลับมาแก้ไขอดีตในร่างเด็ก 5 ขวบ "ขวัญรดา" ต้องการเปลี่ยนแปลง "แม่ผู้เป็นแม่ค้า" ให้พ้นจากความตาย และสร้างความฝันของตัวเองให้สำเร็จ
ดูเพิ่มเติมกลางศตวรรษที่ 27 ตามปฏิทินพุทธศักราช...ปี 2605ขวัญรดาในวัยแปดสิบห้าปี กำลังเอนกายนิ่งอยู่บนเก้าอี้ปรับเอนอัจฉริยะบนชานเรือนของบ้านสวนที่ล้ำสมัย
ตัวบ้านเป็นไม้จริงเคลือบนาโนโพลิเมอร์ที่ปรับอุณหภูมิได้เอง อากาศรอบตัวถูกกรองจนบริสุทธิ์ และในสวนกว้างนั้น หมู่แมกไม้ที่เธอปลูกไว้บางต้นก็เรืองแสงชีวภาพอ่อน ๆ ยามเมื่อแสงอาทิตย์สุดท้ายของวันลับขอบฟ้า
หญิงชรายกมือที่เหี่ยวย่นขึ้นมาวาดในอากาศเบา ๆ ก่อนที่โปรเจกเตอร์ขนาดจิ๋วที่ฝังอยู่บนเพดานจะฉายภาพ โฮโลแกรมสามมิติ ของผู้หญิงคนหนึ่งให้ลอยเด่นขึ้นมาตรงหน้าสายตาฝ้าฟางของเธอ...ภาพนั้นเป็นภาพของมารดาผู้ให้กำเนิดของเธอในวัยสาว
บุคคลในภาพนั้นขยับไหวไปมาได้เล็กน้อยจากโปรแกรมที่ถูกสร้างขึ้น...พร้อมกับข้อมูลที่ถูกกู้คืนและจำลองขึ้นมาจากภาพถ่ายขาวดำที่เสียหายเกือบทั้งหมด
รอยยิ้มของแม่ดูสมจริง แต่ดวงตานั้นยังคงฉายแววเหนื่อยล้า...ซึ่งเป็นสิ่งที่เทคโนโลยีใด ๆ ก็ไม่อาจลบเลือนออกจากความทรงจำของขวัญรดาได้
ซึ่งกว่าที่เธอจะประสบความความสำเร็จอย่างในตอนนี้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย...เพราะนับตั้งแต่ที่แม่จากไป...เธอก็ต้องเป็นฝ่ายทอดทิ้งความฝันของตนเพื่อมาดูแลน้องชายและครอบครัวรวมถึงป๊า...ที่กำลังเริ่มถดถอยจากการดื่มหนักและทำงานใช้แรงงานซึ่งคนที่มองมาอาจจะบอกว่าเป็นงานบาป
ทว่าสำหรับขวัญรดาที่เติบโตมากับกลิ่นอายของโรงฆ่าสัตว์กลับไม่ได้คิดเช่นนั้น เพราะแม้ในจิตสำนึกจะรู้ดีถึงบาปบุญคุณโทษ...กระนั้นเธอก็ยังมองว่ามันคืออาชีพหนึ่งที่ได้เลี้ยงครอบครัวของตน เพราะหากไม่มีคนกินหมู...แล้วจะมีคนฆ่าได้เช่นไร
ในวัยเยาว์...เธอมักจะเถียงในใจเช่นนี้อยู่เสมอเมื่อได้ยินใครนินทาป๊าลับหลัง...ถึงอาชีพของท่าน...อาชีพที่ต่อลมหายใจให้เธอกับน้องได้มีข้าวกิน มีเสื้อผ้าใส่ และได้ไปโรงเรียนเหมือนเด็กคนอื่น ๆ
ความคิดนั้นของเธอ...มันสั่นคลอนและพังทลายลงอย่างไม่เป็นท่าในวันที่ป๊าจากไป...ภาพของท่านในวาระสุดท้ายของชีวิต...ผุดขึ้นมาในม่านโฮโลแกรมความทรงจำ ซ้อนทับภาพโฮโลแกรมของแม่ที่ลอยอยู่ตรงหน้า
มะเร็งในลำคอได้พรากเสียงและพละกำลังของป๊าไปจนหมดสิ้น ความทรมานจากการหายใจไม่ออกบีบคั้นให้แพทย์ต้อง...เจาะคอ...เพื่อต่อท่อออกซิเจนช่วยชีวิต
ภาพนั้นซ้อนทับกับภาพหมูในโรงเชือดที่ป๊าเคยลงมือสังหารด้วยวิธีการที่ไม่ต่างกันนักอย่างน่าสยดสยอง บาปกรรมที่เธอเคยคิดว่ามันเป็นเรื่องไกลตัว บัดนี้มันได้ปรากฏเป็นรูปธรรมที่เด่นชัดและโหดร้ายอย่างที่สุดอยู่ตรงหน้าของเธอแล้ว
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้...ขวัญรดาก็รู้สึกถึงแรงสั่นสะท้านที่ปลายมือ มันเริ่มจากปลายนิ้ว ก่อนจะลามไปทั่วทั้งฝ่ามือที่เหี่ยวย่น...มือของเธอสั่นเทาราวกับลูกนกต้องลมหนาว แล้วหยาดน้ำตาอุ่นร้อนที่ไม่คิดว่าจะได้ไหลอีกในวัยนี้ ก็รินอาบลงมาบนสองแก้มที่ตอบโรย
คำแก้ต่างในวัยเด็กว่า "หากไม่มีคนกินก็ไม่มีคนฆ่า" มันช่างไร้เดียงสาเสียเหลือเกิน...เพราะท้ายที่สุดแล้วผู้ที่ลงมือ...ก็คือผู้ที่ต้องรับผลของกรรมนั้นไปเต็ม ๆ อย่างไม่มีข้อแม้
และนั่นคืออีกหนึ่งความเสียใจที่กัดกินหัวใจเธอมาตลอดชีวิต...ความเสียใจที่เธอไม่สามารถฉุดรั้งป๊าให้พ้นจากเส้นทางนั้นได้ทันเวลา...
หยาดน้ำตาที่ไหลพรากและความทรงจำอันแสนเจ็บปวดที่ท่วมท้น พลันแปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกเจ็บแปลบที่กลางอก ลมหายใจของหญิงชราเริ่มติดขัดอย่างรุนแรงจนต้องยกมือขึ้นมากุมหน้าอกตัวเองไว้
ทันใดนั้น เก้าอี้ปรับเอนอัจฉริยะก็ส่งเสียงสังเคราะห์ของผู้หญิงดังขึ้นทันที เสียงนั้นราบเรียบไร้ความรู้สึก แต่เนื้อหากลับน่าตกใจ
[ตรวจพบภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะรุนแรง...ความดันโลหิตลดต่ำอย่างรวดเร็ว...ระดับออกซิเจนในเลือดอยู่ในเกณฑ์อันตราย...กำลังส่งสัญญาณฉุกเฉินไปยังหน่วยแพทย์เคลื่อนที่]
เสียงเตือนนั้นดังอย่างต่อเนื่อง แต่สำหรับขวัญรดาแล้ว... เธอกลับรู้สึกปลดปลงอย่างน่าประหลาด ความเสียใจทั้งหมดที่เธอแบกรับมาตลอดแปดสิบห้าปีมันหนักหนาเกินไปแล้ว บางที...นี่อาจจะเป็นการพักผ่อนที่แท้จริงเสียที
เปลือกตาที่หนักอึ้งค่อย ๆ ปิดลง ภาพโฮโลแกรมของแม่คือสิ่งสุดท้ายที่เธอเห็นในห้วงสำนึกสุดท้ายที่กำลังจะสลายไป...เธอจึงได้เสี่ยงลองอธิษฐานด้วยแรงปรารถนาทั้งหมดของชีวิต
(หากชาติหน้ามีจริง...หากมีโอกาสอีกสักครั้ง... ขออย่าให้ครอบครัวของลูกต้องลงเอยเช่นนี้เลย...ขอแค่ได้กลับไป...ปกป้องรอยยิ้มของแม่...ก็พอ)
เสียงสัญญาณชีพจากเก้าอี้ดังลากยาว...ก่อนจะเงียบสนิท ทุกอย่างในโลกปี 2605 ของเธอดับมืดลง
แต่แล้ว...ในเสี้ยววินาทีต่อมา...สติที่ดับสูญของขวัญรดาก็ถูกกระชากกลับมาด้วยเสียงไม้ที่หักดัง เปรี๊ยะ! และความรู้สึกของร่างที่ร่วงหล่น!
ก่อนที่ความมืดมิด...ความเย็น...และกลิ่นเหม็นเน่าของน้ำครำจะโถมเข้าใส่ประสาทสัมผัสที่เพิ่งกลับมาทำงานอีกครั้ง...
ซึ่งในตอนนี้เธอยังไม่รู้ตัวว่า...คำอธิษฐานของตนเองได้เป็นจริงแล้ว...ในระหว่างที่ร่างเล็ก ๆ กำลังจมหายลงไปในความมืดและความโสโครก
ของเหลวข้นหนืดทะลักเข้าปากเข้าจมูกอย่างไร้ความปรานี ความตื่นตระหนกจากจิตวิญญาณของหญิงชราปะปนกับสัญชาตญาณเอาตัวรอดของเด็กห้าขวบ แขนขาเล็ก ๆ ตีน้ำอย่างสะเปะสะปะ พยายามไขว่คว้าหาที่ยึดเหนี่ยวในความมืดมิดนั้น
เสียงไม้หักและเสียงร่างเล็กที่ตกลงน้ำนั้นดังพอทำให้แม่ที่กำลังเดินหาบปี๊บสังกะสีใบเก่าสองใบที่อยู่ข้างหน้าหันหลังกลับมา...ก่อนที่เธอจะทิ้งคานหาบที่หนักอึ้งลงกับพื้นทันที!
เสียงปี๊บสังกะสีตกกระแทกพื้นดินดัง โครม! เศษอาหารที่หามาได้อย่างยากลำบากหกกระจายเกลื่อนกลาด แต่คนเป็นแม่ไม่สนใจสิ่งใดอีกต่อไป เธอรีบวิ่งมาทางด้านหลังที่ตอนนี้ลูกสาวตัวน้อยที่เพิ่งเดินตามมาติด ๆ ได้หายไปจากสายตา
ดวงตาของแม่กวาดมองอย่างรวดเร็วก่อนจะหยุดลงที่รูโหว่บนพื้นถนน...โดยไม่ต้องคิด...สองมือของเธอล้วงลงไปในความมืดของท่อน้ำครำทันที
ในจังหวะที่สติของขวัญรดากำลังจะเลือนหายไปอีกครั้ง...เธอก็รู้สึกถึงแรงคว้าที่แข็งแกร่งแต่ค่อนข้างสั่น...คว้าเข้าที่แขนของเธออย่างแม่นยำ ก่อนจะออกแรงทั้งหมดที่มีกระชากร่างเล็ก ๆ ให้พ้นจากความตายใต้น้ำสกปรกขึ้นมาได้...
หลายเดือนต่อมาในขณะที่การค้าของครอบครัวศิริเวชเจริญนั้นเป็นไปด้วยดี ในตอนนี้ช่อฟ้ากับสุ่นลั้งเริ่มสบายตัวมากขึ้น เนื่องจากคนทั้งคู่ได้ตัดสินใจแค่ทำของอยู่กับบ้านและให้ป้าพรกับป้าสมศรีเป็นคนออกไปขายแทนทางด้านดวงก็ยังคงทำหน้าที่พนักงานหาบของ...ของตนตามเดิม เพียงแค่...ตอนนี้เด็กหนุ่มไม่จำเป็นต้องเดินหาบตามบ้านอีกต่อไปแล้วทำเพียงแค่ออกไปขายตามตลาดนัดก็เพียงพอแต่สำหรับทางด้านงานของมนตรีที่กำลังช่วยเจ็กใช้ทำงานด้วยความขยันขันแข็งอยู่นั้น กลับได้เกิดปัญหาขึ้นบางอย่าง...เย็นวันหนึ่ง มนตรีกลับมาถึงบ้านด้วยสีหน้าที่ดูเคร่งเครียดมากกว่าปกติ“เป็นอะไรไปป๊า” ช่อฟ้าเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงระหว่างมื้อเย็น“เฮ้อ! ก็เรื่องงานน่ะสิ” เขาถอนหายใจ “ลูกค้าคนล่าสุดเขาติมา... เขาว่าแบบบ้านของอาเจ็กมันซ้ำกับบ้านหลังอื่นในซอย...เขาอยากได้อะไรที่มันดูใหม่มากกว่านี้...แต่อาเจ็กแกก็มีแบบบ้านมาตรฐานอยู่ไม่กี่แบบ”ปัญหาเชิงธุรกิจนั้นทำให้ทุกคนในวงข้าวนิ่งเงียบไป...ขวัญรดาที่นั่งทำการบ้านอยู่ไม่ไกลได้ยินทุกอย่าง...และในตอนนี้จิตวิญญาณของคุณยายชาวสวนที่เคยใฝ่ฝันอยากจะเป็นสถาปนิกพ
สามปีผ่านไปทุกชีวิตในครอบครัวศิริเวชเจริญได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง...จากร้านหาบเร่และรถเข็นเล็ก ๆ ในวันวาน บัดนี้ร้านแม่ช่อฟ้าได้กลายเป็นร้านข้าวแกงเจ้าประจำของชุมชนที่ทุกคนต่างรู้จักและชื่นชอบกิจการของพวกเขาเติบโตขึ้นอย่างมั่นคง เงินเก็บในสมุดบัญชีก็เริ่มมีมากขึ้นตามลำดับจากหยาดเหงื่อแรงกายของทุกคน และในตอนนี้ร้านข้าวแกงแม่ช่อฟ้าจากแม่ค้าตลาดนัดก็มีห้องแถวขนาดกลางเป็นของตัวเองเพิ่มขึ้นมาทางด้านของมนตรีชายหนุ่มก็ได้กลายเป็นหัวหน้าคนงานก่อสร้างที่ใช้ไว้วางใจและให้คุมงานสำคัญแทน ชายหนุ่มเลิกดื่มเหล้าอย่างเด็ดขาด และกลายเป็นเสาหลักที่อบอุ่นและแข็งแกร่งของครอบครัว ส่วนช่อฟ้ากับสุ่นลั้งก็กลายเป็นเถ้าแก่เนี้ยผู้เป็นที่ยอมรับนับถือของคนในตลาดทางด้านขวัญรดาในวัยสิบปี ในปีนี้ซึ่งเป็นการเปิดภาคเรียนใหม่เด็กหญิงกำลังจะขึ้นไปอยู่ชั้นประถมปีที่ 6 อย่างมีความสุข เธอเป็นนักเรียนดีเด่นที่เรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างรวดเร็วและในปีนี้... มนัสน้องชายตัวน้อยของเธอ...ก็ได้ก้าวเข้าสู่รั้วโรงเรียนเดียวกันในชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 เป็นที่เรียบร้อย แม้ว่ามนัสจะไม่ได้มีพร
“ใช่! ห้องของคุณนั่นแหละ” ครูใหญ่ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดครูวิทยายังคงยืนอึ้งกับการตัดสินใจที่รวดเร็วของผู้บริหาร แต่ก็รีบพยักหน้ารับคำ “ครับท่าน...ถ้าเช่นนั้นผมขอตัวไปแจ้งผู้ปกครองของเด็กก่อนนะครับ”ภายในห้องพักรับรองด้านนอก มนตรีและใช้กำลังนั่งรอผลคำตอบด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นส่ำ ส่วนขวัญรดานั้นแม้ภายนอกของเธอจะยังคงนิ่งแต่ในใจก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้เช่นกันเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าสำหรับคนรอ...ความเงียบในห้องรับรองถูกกดทับด้วยความตึงเครียด มนตรีนั่งไม่ติดที่ เขาขยับตัวไปมา ลูบท้ายทอยตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าส่วนใช้แม้จะพยายามรักษาท่าทีให้สุขุม แต่การที่เขายกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเป็นระยะ ๆ ก็บ่งบอกว่าเจ้าตัวเองก็กำลังลุ้นไม่แพ้กันมีเพียงขวัญรดาที่ยังคงนั่งนิ่ง... แต่หากสังเกตดี ๆ จะเห็นว่าปลายนิ้วเล็ก ๆ ของเธอกำลังจิกอยู่ที่กระโปรงนักเรียนจนแน่นและในที่สุดเสียงเปิดประตูห้องพักรับรองแห่งนี้ก็ดังขึ้น ทำให้ร่างของผู้ใหญ่ทั้งสองคนสะดุ้งเล็กน้อยและรีบลุกขึ้นยืนโดยอัตโนมัติครูวิทยาเดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่ยากจะคาดเดา... มันเป็นสีหน้าที่ผสมปนเป
และแล้วสามวันต่อมา...ซึ่งเป็นวันเสาร์ก็มาถึง วันนี้บ้านสวนหลังนี้คึกคักกันตั้งแต่ตีสามเลยทีเดียวเพราะเป็นวันที่ครอบครัวศิริเวชเจริญจะไปเปิดศึกที่ตลาดนัดลานต้นมะขามซึ่งบรรยากาศในครัววันนี้ได้แตกต่างออกไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง เพราะนอกจากหม้อแกงและขนมหวานที่คุ้นเคยแล้ว วันนี้ยังมีเมนูใหม่แกะกล่องที่สุ่นลั้งและช่อฟ้าบรรจงทำขึ้นเป็นพิเศษอีกด้วย...นั่นคือรายการหมูพะโล้สูตรโบราณที่เคี่ยวจนน้ำเข้าเนื้อส่งกลิ่นหอมของเครื่องเทศจีนไปทั่ว และหมูสามชั้นต้ม ที่ต้มจนเปื่อยนุ่ม ราดด้วยน้ำจิ้มเต้าเจี้ยวรสเด็ดกับน้ำจิ้มซีฟู้ดที่มนตรีเป็นคนปรุงเองกับมือ ซึ่งเมนูเหล่านี้แทบจะไม่มีใครทำขายตามตลาดนัดทั่วไป เพราะเป็นอาหารที่ต้องใช้เวลาและความใส่ใจในการทำสูง ส่วนฝ่ายขนมหวาน...ขวัญรดาก็ได้แสดงฝีมือในฐานะ ผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์เป็นครั้งแรก“แม่จ๋า...ทับทิมกรอบของเรา...ลองทำใส่แก้วพลาสติก ใส ๆ แบบนี้ดีไหมจ๊ะ” เธอนำเสนอ “เราจัดเรียงเป็นชั้น ๆ ให้เห็นเม็ดทับทิมสีแดงสด ตัดกับขนุนสีเหลืองทอง...มันจะดูน่ากินขึ้นเยอะเลย”ความคิดในการจัดวางสินค้าให้น่าสนใจนั้น เป็นสิ่งที่ใหม่มากสำหรับคนในยุค





