“วอศูนย์รับแจ้งเหตุสองสี่หนึ่งจากเรือประมง พบร่างผู้เสียชีวิตและผู้ต้องสงสัยบนเรือยอร์ชระหว่างเกาะพีพีถึงเกาะราชา พิกัดเจ็ดองศายี่สิบเจ็ดลิปดาเหนือ จุดตัดเก้าสิบแปดองศา สามสิบเจ็ดลิปดาตะวันออก หัวเรือมุ่งหน้าขึ้นทิศเหนือ ขอกำลังตำรวจน้ำเสริมด่วน”“รับทราบปฏิบัติครับ”จ่านายสิบร่างอวบผมเรียบแปล้รีบกดโทรแจ้งหน่วยงานเกี่ยวข้องเสร็จก็วางหูโทรศัพท์เสียงดัง ปิดแฟ้มสำนวนเก็บเข้าที่ เลื่อนเก้าอี้ออกห่าง บิดขี้เกียจแล้วบ่นข้ามโต๊ะไปหานายตำรวจอีกคน“เหนื่อยชิบหายเลยว่ะ”“เมื่อคืนไม่ได้นอนเหรอจ่า”“นอน ผมหมายถึงคดีใหม่มาอีกแล้ว แต่ไม่รู้เมื่อไหร่ผู้กองคนใหม่จะมาซะทีตะหาก”จ่าสิบพุงพลุ้ยบ่นไม่หยุดทำให้นายตำรวจร่างสูงชะลูดอีกคนที่ยังไม่ละสายตาจากเอกสารกองพะเนินตรงหน้าต้องเออออห่อหมกไปด้วย“น้องใหม่ สน.เราไม่รักษาเวลาเลย”“นั่นดิ ไหนว่าจะมาวันนี้ นี่ก็สายแล้วต้องมาแล้วแต่ยังไม่เห็นแม้แต่เงา”“ไม่รู้ไปขัดแข้งขาใครเข้าถึงโดนเด้งมาอยู่นี่ได้” เจ้าของร่างสูงชะลูดตอบแต่โดนจ่าพุงพลุ้ยบุ้ยใบ้ให้มองชายหนุ่มที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ไม่ไกลแล้วกระซิบปราม “เบาๆ หน่อยหน้าต่างมีหูประตูมีช่อง”“เออ ลืมๆ”สองคน
สนามหญ้าหน้าบ้านครึ่งปูนครึ่งไม้สีขาวเต็มไปด้วยข้าวของมากมายที่ถูกลำเลียงใส่กล่องกระดาษขนาดใหญ่หลายกล่องนำมาวางเรียงรายที่หน้ารั้วไม้สีเทาหม่นอินทัชจ้องตุ๊กตาหมีเก่าคร่ามอมแมมในนั้นด้วยความรู้สึกโหยหา มันเป็นของขวัญวันเกิดครบปีที่ห้าของเขาจากใครคนหนึ่งซึ่งผูกพันอาคเนย์...พี่เน...อินทัชหยิบตุ๊กตาหมีออกมากอดแน่นแล้วนึกถึงคนให้มันอุ่น...อุ่นเหมือนหัวใจพี่เน...อินทัชตัดสินใจวิ่งไปที่รั้วบ้านข้างๆ แล้วตะโกนลั่น “พี่เนออกมาหาหน่อย!” “พี่เน... อินจะไปแล้วนะ!” “พี่เน!”อินทัชตะโกนเสียงดังผ่านรั้วไม้สีน้ำตาลอ่อนผุๆ ที่กั้นระหว่างบ้านของเขากับอาคเนย์ด้วยความผิดหวัง เขาหวังว่าจะได้คุยกับอาคเนย์อีกครั้งก่อนที่ต้องแยกจาก แต่กลับไม่มีแม้เสียงตอบรับใดๆ กลับมา“อิน... จะไปแล้วนะ”“ไปจริงๆ แล้วนะ”“พี่เน...”คำพูดสุดท้ายของอินทัชที่เรียกชื่ออาคเนย์นั้นแผ่วเบา ก่อนจะเลือนหายไปกับสายลม...หมดหวังแล้ว...หมดหวังที่อาคเนย์จะฟังกัน...อินทัชตัดใจหันหลังจะเดินกลับไปยังรถที่ติดเครื่องรออยู่หน้าประตูรั้ว แต่ปลายหางตาเหลือบไปเห็นม่านประตูระเบียงบ้านข้างๆ ไหวพะเยิบพะยา
ชิษณากระตุ้น ทะเลพยักหน้า ก่อนจะค่อยๆ เดินเข้ามา พร้อมกับอรรถที่ถอยห่างไปหาภรรยา พากันปิดประตูล็อกห้องให้สองคนปรับความเข้าใจกันทันทีที่เสียงประตูปิดลง ทะเลก็โผเข้ากอดวายุซบหน้ากับอกชายหนุ่ม ร้องไห้ออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่เขาได้ยินหมดแล้ว...ได้ยินทุกคำพูดที่วายุคุยกับอรรถ แม้ไม่ได้ยินจากปากของวายุโดยตรง แต่ก็พอจะเข้าใจ วายุตอนนั้นเป็นเด็กมัธยมปลายยังไม่บรรลุนิติภาวะ เขามีสัมพันธ์กับวายุ แม้จะแค่คืนเดียวแต่ก็เหมือนนานชั่วนาน และมันเป็นความสัมพันธ์ที่ผิดพลาด หมิ่นเหม่ต่อศีลธรรมและมนุษยธรรม “ผมขอโทษ ผมขอโทษนะ เพราะผมเองที่ทำให้พี่เดือดร้อน” วายุละล่ำละลักกอดปลอบร่างในอ้อมแขนที่ตัวสั่นงันงกทะเลเงยหน้ามองเด็กหนุ่มที่โตเป็นหนุ่มเต็มตัว ด้วยความอาลัยอาวรณ์ไม่ต่างกัน สองคนตกอยู่ในภวังค์ ก่อนที่ทะเลจะเป็นฝ่ายทำลายความเงียบ“พวกนั้นทำอะไรนายเหรอ” วายุดันร่างนุ่มออกห่างประจันหน้ากัน แล้วส่งสายตามีคำถามอีกครั้ง “พวกไหน”“ฉันได้ยินแล้วว่าพวกนั้นแบล็กเมล์นาย เพราะฉันใช่ไหม นายปกป้องฉัน มันทำอะไรนายบ้างตอนนั้นที่นายหายไป”“ก็ไม่มีอะไรมาก แค่โดนหิ้วปีกไปและได้แผลนิดหน่อย”ไม่พูดเปล่า วายุเปิดขมับใ
“พี่ไม่อยากเจอหน้าเขา”“แต่พี่เลจะหลบแบบนี้ไม่ได้หรอกนะคะ ไหนจะงานอีก พี่เลรักงานบรรณารักษ์จะตายไป ชิษรู้ ไม่งั้นคงไม่สมัครเป็นครูที่นี่แทนการกลับไปรับราชการที่บ้านเกิดไม่ใช่เหรอคะ” ชิษณาถามย้ำทะเลถึงกับสะอึก ไม่ใช่เพราะเขาสอบไม่ผ่านครูที่บ้านเกิด แต่เป็นเพราะเขาผูกพันกับงานที่นี่และอีกอย่างคือเขาอยากรอวายุกลับมาจึงได้พักอยู่ที่นี่ ที่ที่วายุจะหาเขาเจอ แม้ไม่รู้ว่าจะมีวันนั้นหรือไม่ก็ตาม“พี่ไม่รู้จะทำยังไง เขาระรานพี่ที่โรงเรียน แล้วยังตามมาถึงคอนโดมิเนียมอีก พี่ตัดสินใจลาออกเพราะไม่รู้ว่าอยู่ไปจะทำงานได้ยังไงครับคุณชิษ พี่ทำใจไม่ได้ที่เห็นหน้าเขา”ทะเลพูดจบก็ร้องไห้โฮกอดชิษณา สองสามีภรรยาลอบสบตากัน อรรถที่ยืนห่างๆ อย่างห่วงๆ จึงออกจากห้องไปเงียบๆชิษณาโอบกอดพลางลูบหลังทะเลไปพลาง แล้วเอ่ยปลอบ “พี่ไม่อยากรู้เหรอคะ ว่าทำไมน้องวาถึงเพิ่งมา”“อยากครับ” “อยากรู้ก็ต้องถามสิคะ”“แต่พี่ไม่อยากได้ยินคำโกหก”“บางครั้งโกหกสีขาวก็หมายถึงความหวังดีไม่ใช่เหรอคะ”“มันก็ใช่ครับ... แต่...”ทะเลอึ้งไป...โกหกสีขาวหมายความว่ายังไง...วายุมีอะไรที่ต้องปกปิดเขาไว้งั้นเหรอ...ยามนี้ทะเลยิ่งงงหนัก แต่ชิษ
วายุใช้นิ้วโป้งปาดน้ำตาที่หัวตาแล้วได้แต่ทอดถอนใจ เขาจะเสียทะเลไปเพราะเวลาและความไกลห่างไหมนะไอ้วาคนเลว...วายุตบตัวเองจนหน้าหัน เมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน เขารุนแรงกับทะเลซึ่งมันไม่น่าจะทำให้ทะเลสบายตัวเท่าไร เขาจัดหนักจัดเต็มให้สมกับที่รอคอย โดยไม่สนใจความรู้สึกของทะเลสักนิดแต่ไม่เป็นไร...เขาจะรอปรับความเข้าใจกับทะเลอีกครั้ง...วายุฮัมเพลง เดินไปเปิดตู้เย็น หยิบขวดน้ำเย็นบิดฝาเกลียวยกดื่มกว่าครึ่งขวด แล้ววางลงบนโต๊ะกินข้าว สอดสายตามองไปรอบๆ ก็พบว่ามีบางอย่างที่เปลี่ยนไปนั่นก็คือของที่เป็นของเขาที่วางเดียวดายอยู่บนโต๊ะพวงกุญแจคิตตี้! หรือทะเลจะได้ยินเสียงที่เขาอัดไว้! หรือทะเลจะจำได้!วายุฉุกคิดเปิดตู้เสื้อผ้า หาของใช้ส่วนตัวที่เคยทิ้งไว้ เพราะก่อนหน้าที่จากไป เขาไม่ได้เอาสมบัติอะไรติดตัวกลับไปสักชิ้น เขาไปโดยไม่บอกลาทะเล เป็นความรู้สึกเจ็บปวดในใจอยู่จนทุกวันนี้โล่งอกหน่อย!ในตู้ยังมีเสื้อยืดเก่าๆ กับกางเกงที่พับเก็บเรียบร้อยอยู่ ทะเลไม่ได้ทิ้งไปแต่อย่างใด เขายังเก็บมันไว้ในซอกมุมที่คุ้นเคย จนวายุใจชื้น อย่างน้อยทะเลก็ยังมีเยื่อใย แต่
“คิดถึงเหรอ จะมาโกหกอะไรอีกล่ะ จะขอมาหลบภัยที่นี่อีกหรือไง หรือว่าเห็นฉันหน้าโง่เหมือนตอนนั้นที่เชื่อว่านายความจำเสื่อม จำอะไรไม่ได้”วายุถอนใจเฮือก จ้องดวงหน้าใสไม่ละสายตา ปลายนิ้วเลื่อนขึ้นปัดปอยผมปรกหน้าทะเลอย่างทนุถนอม แล้วโน้มหน้าลงมา แต่ทะเลเบือนหน้าหนีทันที ชายหนุ่มถึงกับชะงักก่อนจะเชยคางอีกฝ่ายให้มองตอบ“ผมโกหกแค่เรื่องนั้นเรื่องเดียว แต่ที่ไปไม่ลาผมมีเหตุผล” “เหตุผลคนโกหกน่ะเหรอ”“ผมไม่ได้โกหก”“ฉันอยากฟัง” คราวนี้เป็นทะเลที่ถามไม่พอยังจ้องตอบอย่างคาดคั้น แต่วายุกลับเป็นฝ่ายหลบตาแทน “บอกมาสิ”“ผมจะบอก หากพี่บอกว่ายังรอผม”“ที่พูดนี่กำลังฝันเหรอ ฝันอยู่ใช่ไหมเนี่ย ถึงได้มาถามฉันว่ารอนายอยู่ไหม หรือว่าไม่ใช่ล่ะ”“ก็ไม่ใช่ไง”“คนอย่างฉัน ไม่รอเด็กน้อยขี้โกหกอย่างนายหรอก!”ทะเลพูดจบก็ผลักไหล่วายุออกห่าง ก่อนจะก้าวฉับๆ ไปที่ประตู ตั้งท่าจะเปิดแต่ก็ไม่ได้ผลเพราะวายุหรือจะยอม“ก็ได้ ไม่บอกว่ารอ งั้นผมจูบ”“นายจะบ้าเหรอ!” ช้าไปเสียแล้วกับคำด่าของทะเล นอกจากจะไม่กระเทือนวายุแล้ว กลับถูกปิดปากด้วยจูบหวานล้ำเข้าให้อีกทะเลดิ้นรนทุบถอง แต่คล้ายกับว่าริมฝีปากของเขากับวายุจะดึงดูดกันและก