เมื่อเติ้งจื่ออวี๋ได้ยินคำสั่งของผู้เป็นนายเขานั้นก็ไม่รอช้า เขาหมุนตัวออกไปจัดการตามรับสั่งทันที ส่วนเว่ยหลิงเฮ่อลุกขึ้นไปยืนที่ริมหน้าต่างมองถนนเส้นเดิมที่ยาวไปสุดความมืด ถึงเขาจะไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ ๆ เผยตั้นเยี่ยนถึงหนีไป แต่เขาก็ไม่ใคร่อยากรู้จนต้องเก็บชีวิตของนางเอาไว้เพื่อหาคำตอบ เพราะจุดประสงค์เดียวที่เขายอมพูดจาราวกับมีใจให้นางมาตลอดนั้น เป็นเพราะตราพยัคฆ์ที่อยู่กับเว่ยเหวินเซียนเท่านั้น
รถม้าที่วิ่งด้วยความเร็ว บวกกับถนนเส้นนี้ไม่ใช่ถนนที่มีผู้คนสัญจรผ่านไปผ่านมาทางจึงทั้งแคบทั้งขรุขระ ทำให้รถม้าโคลงเคลงไปมาจึงไม่แปลกที่คนนั่งข้างในรถม้านั้นจะวิงเวียนศีรษะ
แต่ในยามที่ความตายกำลังมาเยือน ต่อให้เวียนหัวจนต้องอ้วกออกมาเผยตั้นเยี่ยนก็ไม่คิดที่จะให้สารถีลดความเร็วเป็นแน่ เผยตั้นเยี่ยนทั้งเวียนหัวทั้งปวดหัว เพราะนางพยายามจะหาทางออกแต่ทว่าคิดเท่าใดก็คิดไม่ออกเสียที
ฉุยฉุยสาวใช้คนสนิทที่นั่งอยู่ด้านข้างเห็นใบหน้าเคร่งเครียดของคุณหนูก็นึกสงสาร เพราะอีกก้าวเดียวเท่านั้นสิ่งที่คุณหนูของนางปรารถนาก็จะสำเร็จแล้ว แต่สุดท้ายไม่เพียงไม่เป็นไปดังหวังแม้แต่ชีวิตก็ไม่แน่ว่าจะรักษาไว้ได้
‘เฟี้ยว!ฉึก!ฉึก!ฉึก!’
ยังไม่ทันที่เผยตั้นเยี่ยนจะคิดหาหนทางออก เสียงอาวุธแหวกอากาศก็ดังขึ้น ลูกธนูเสียดแทงเข้ามาภายในรถม้า แต่ทว่าโชคดีที่มิได้โดนใคร แต่เพียงไม่นานรถม้าก็เสียหลักเมื่อมีธนูดอกหนึ่งปักเข้าที่ขาของม้า
จิ่งหลินสารถีที่บังคับม้า รู้ดีว่าหากเขามัวแต่เสียเวลาไปกับการปราบพยศม้าในยามนี้พวกที่ตามมาคงมาถึงตัวในไม่ช้า และยามนี้ม้าก็ได้รับบาดเจ็บแล้ว หากจะวิ่งต่อก็คงไปได้ไม่ไกลนัก
“เสวี่ยเฟิงเจ้ากับฉุยฉุยพาคุณหนูไปแอบในป่าไผ่ก่อน เดี๋ยวข้าจะหลอกล่อพวกมันไปเอง” จิ่งหลินบอกกับบุรุษที่นั่งอยู่ด้านข้าง
ถึงม้าตัวนี้จะตื่นกลัวเพราะบาดเจ็บจนไม่ฟังคำสั่งของเขาแล้ว แต่ด้วยกำลังของม้าก็ยังสามารถวิ่งได้อีกระยะหนึ่ง ซึ่งอย่างน้อยเขาก็ยังพอซื้อเวลาให้คุณหนูของเขาหนีได้
เสวี่ยเฟิงเมื่อได้ยินก็มิคิดออกความคิดเห็นใด ๆ เพราะเขาเชื่อว่าบุรุษที่นั่งอยู่ข้างเขานั้นต้องคิดดีแล้วว่าวิธีนี้คือวิธีที่ดีที่สุดในยามนี้ เสวี่ยเฟิงจึงเข้าไปในรถม้า เพื่อจะนำคุณหนูสกุลเผยออกมา แต่ทว่าเมื่อเขาเปิดผ้าที่กั้นอยู่นั้น เขาก็เห็นคุณหนูสกุลเผยสลบไปเสียแล้ว
“ฉุยฉุย! คุณหนูเป็นอะไร” น้ำเสียงของเสวี่ยเฟิงวิตกกังวลเป็นอย่างมาก
“เมื่อครู่ตอนรถม้าเสียหลักหัวของคุณหนูกระแทกอย่างแรง แต่ข้าจับชีพจรแล้วคุณหนูแค่สลบไปเท่านั้น” ฉุยฉุยหันมาตอบ
“เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ ชักช้าเดี๋ยวจะไม่ทันการ”
เสวี่ยเฟิงพูดจบก็เข้าไปอุ้มเผยตั้นเยี่ยนออกมา จิ่งหลินดับไฟในโคมรถม้าทันที ยามนี้มีเพียงแสงจากดวงจันทร์เท่านั้นที่ส่องแสง แต่ทว่าก็มิอาจส่องสว่างได้มากมายนัก จึงทำให้เห็นเพียงระยะสั้น ๆ เท่านั้น เช่นนั้นแล้วมิต้องถามถึงคนที่ขี่ม้าตามหลังมาเลยว่าจะเห็นเหตุการณ์ที่อยู่ข้างหน้าหรือไม่
“ฝากคุณหนูด้วย” จิ่งหลินเอ่ย
เสวี่ยเฟิงที่อุ้มเผยตั้นเยี่ยนอยู่หันมาพยักหน้าให้จิ่งหลินก่อนที่จะใช้วิชาตัวเบากระโดดออกจากรถม้า โดยมีฉุยฉุยกระโดดตามมาทีหลัง
เมื่อออกมาจากรถม้าแล้วพวกเขาก็ซ่อนตัวอยู่ในป่าไผ่ รอจนคนของเว่ยหลิงเฮ่อที่ตามมานั้นผ่านไปแล้วฉุยฉุยจึงหยิบแผงเข็มออกมาจากอกเสื้อ ก่อนที่จะใช้เข็มปักไปตามจุดต่าง ๆ เพื่อทำให้คุณหนูของนางฟื้น
เผยตั้นเยี่ยนเหมือนจะรู้สึกตัวแต่ทว่ากลับไม่ยอมลืมตาตื่น ฉุยฉุยกับเสวี่ยเฟิงทั้งเขย่าทั้งเรียกชื่อ แต่เผยตั้นเยี่ยนก็ยังไม่ยอมลืมตา จนฉุยฉุยนั้นไม่รู้จะทำเยี่ยงไรดี จึงตบหน้าเผยตั้นเยี่ยนไปหนึ่งทีอย่างเต็มแรง
‘เพียะ’
“โอ๊ย!! เจ็บ” สตรีที่ถูกตบร้องครางออกมาเสียงดัง
“คุณหนูฟื้นแล้ว คุณหนูฟื้นแล้ว” ฉุยฉุยเอ่ยด้วยน้ำเสียงดีใจ
เมื่อสตรีที่สลบฟื้นขึ้นมาก็ลูบแก้มที่ขึ้นรอยมือแดงไปมาด้วยความรู้สึกเจ็บ ก่อนจะจับไปตามแขนและลำตัวของตนเอง แล้วก็สำรวจเสื้อผ้าที่ตนเองใส่อยู่ และมองไปรอบ ๆ
‘นี่เราใส่เสื้อผ้าอะไรอยู่ แล้วที่นี่ที่ไหนกัน มืด ๆ แบบนี้นรกอย่างงั้นเหรอ’
ขณะที่สตรีที่เพิ่งฟื้นสับสนมึนงงอยู่นั้น สายตาของฉุยฉุยกับเสวี่ยเฟิงที่นั่งมองท่าทีที่แปลกไปของสตรีที่เพิ่งได้สติ ก็หันหน้ามามองกันด้วยความฉงนและหวังว่าอีกคนจะอธิบายได้ แต่ทว่าเมื่อต่างคนต่างเห็นหัวคิ้วของอีกฝ่ายก็เข้าใจได้ทันทีว่าอีกคนก็คงจะคลายข้อสงสัยนี้ไม่ได้เหมือนกัน เพราะคิ้วของทั้งสองตอนนี้แทบจะขมวดกันเป็นปม
ในที่สุดฉุยฉุยก็ทนไม่ไหวจึงได้เอ่ยถาม “คุณหนูเป็นอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ”
สตรีที่เพิ่งได้สติเงยหน้ามองบุรุษและสตรีที่นั่งอยู่ตรงหน้าด้วยท่าทางมึนงง เพราะไม่แน่ใจว่าเมื่อครู่ผู้หญิงคนนี้พูดกับนางหรือไม่
“คุณพูดกับฉันอย่างนั้นเหรอ”
ฉุยฉุยดวงตาเบิกกว้างเมื่อได้ยินคำถามจากคุณหนูของนาง “คุณหนูจำข้าไม่ได้หรือเจ้าคะ”
‘คุณหนูอย่างงั้นเหรอ หรือว่าข้าตายแล้วทะลุมิติมาเหมือนในนิยาย ขอบคุณสวรรค์ที่ให้ข้าทะลุมายังร่างนี้’
เพราะจากที่นางสำรวจดูชุดที่นางใส่ก่อนหน้านี้ ก็รู้ว่าเป็นชุดที่มีราคาเช่นนั้นนางก็คงมีกินมีใช้ไม่ต้องอดยาก
ขณะที่นางพูดกับตนเองอยู่ในใจ ปากของนางก็ฉีกยิ้มกว้าง ทำเอาสองคนที่นั่งมองอยู่ถึงกับรู้สึกกลัว เพราะยามนี้พวกเขาก็รู้อยู่แล้วว่าเป็นช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย แต่คุณหนูของพวกเขากลับยิ้มกว้างออกมาได้แบบหน้าตาเฉย
“คุณหนูท่านคิดแผนการรับมือองค์รัชทายาทกับชินอ๋องได้แล้วอย่างนั้นหรือเจ้าคะ” ฉุยฉุยคิดว่าเรื่องที่ทำให้คุณหนูของนางฉีกยิ้มกว้างได้เช่นนี้คงมีเรื่องนี้เรื่องเดียว คือคุณหนูสามารถหาทางออกได้แล้ว
“ทำไมฉัน!ไม่ใช่ ทำไมข้าต้องรับมือองค์รัชทายาทกับชินอ๋องด้วย” นางเผลอลืมตัวพูดผิดไป แต่โชคดีที่นางนั้นดูซีรีส์จีนบ่อยจึงพอจะจำวิธีการพูดได้บ้าง
“ฉุยฉุยหรือว่าคุณหนูจะความจำเสื่อม” เสวี่ยเฟิงเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าคุณหนูจำเรื่องที่ผ่านมาเพียงไม่ถึงหนึ่งเค่อไม่ได้
“ท่านพี่เฟิง แล้วเราจะทำอย่างไรดี หรือว่าเราจะกลับไปจวนตระกูลเผยก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที” ฉุยฉุยเอ่ยอย่างร้อนใจ
‘ฉุยฉุย ท่านพี่เฟิง ตระกูลเผยอย่างนั้นหรือ หวังว่าข้าจะไม่ได้เข้ามาในนิยายเรื่องนั้นหรอกนะ’
เมื่อนางนึกขึ้นได้ถึงชื่อตัวละครในนิยายเรื่องหนึ่งที่นางติดตามอ่าน ก็ถึงกับเบิกตาโตและภาวนาว่าอย่าให้นางทะลุมาเป็นตัวร้ายในนิยายเรื่องนั้นเลย
“ฉุยฉุย เจ้าบอกข้าหน่อยว่าข้าชื่ออะไร แล้วองค์รัชทายาทกับชินอ๋องที่เจ้าพูดถึงพระนามว่าอะไรอย่างนั้นหรือ”
ฉุยฉุยถึงกับอ้าปากพะงาบ ๆ ไม่มีเสียงใด ๆ หลุดออกมา สมองของนางนั้นว่างเปล่า ส่วนเสวี่ยเฟิงนั้นอ้าปากหวอใบหน้าแปลกประหลาด
นางร้อนใจอยากรู้ว่าใช่ชื่อที่นางนั้นคิดไว้หรือไม่จึงกระตุกแขนเสื้อของฉุยฉุยพร้อมเอ่ยเพื่อเรียกสติ
“ฉุยฉุยเจ้าตอบข้าหน่อย”
เมื่อถูกคุณหนูดึงแขนเสื้อ ฉุยฉุยก็เอ่ยปากตอบไปตามสัญชาตญาณทั้งที่ความจริงนางนั้นยังตั้งสติไม่ได้
“คุณหนูชื่อเผยตั้นเยี่ยน ส่วนพระนามขององค์รัชทายาทคือเว่ยหลิงเฮ่อ พระนามของชินอ๋องคือเว่ยเหวินเซียนเจ้าค่ะ”
เพียงได้คำตอบจ้าวฉือลี่ที่อยู่ในร่างของเผยตั้นเยี่ยนก็แทบเป็นลม นางมองไปเห็นดวงจันทร์กลมใหญ่ทำให้คิดถึงช่วงก่อนที่จะตายขึ้นมาทันที เพราะตอนที่นางตกลงมาจากหน้าผาก็เห็นดวงจันทร์เต็มดวงเช่นนี้เช่นกัน
“สวรรค์ฉันทำผิดอะไรมากนักอย่างนั้นเหรอ ฉันเพิ่งตกหน้าผาตายมาแท้ ๆ ทำไมส่งฉันมาตายอีกแล้ว หรือว่าครั้งก่อนฉันตายทรมานไม่พอ ครั้งนี้จึงส่งฉันมาให้ตาอ๋องผู้โหดเหี้ยมนั้นทรมานจนตายอีกรอบ”
“แล้วฝ่าบาทต้องการให้เหวินเซียนทำอันใดอีกเล่าเพคะ หรือท่านอยากเล่นเป็นบทคนดีแล้วให้เขาเป็นคนเลวอย่างนั้นหรือ ฝ่าบาทบอกว่าเขาติดอิสตรีจนไม่เอาการเอางาน เช่นนั้นใยฝ่าบาทไม่ย้อนคิดหน่อยหรือเพคะ ว่าตอนที่ฝ่าบาทหลงใหลสนมอวี๋มีสภาพเช่นไร” สตรีเจ้าของวังหลังที่เพิ่งเดินเข้ามาตรัสด้วยน้ำเสียงกระแทกแดกดันเจือโทสะเสิ่นฮองเฮาวางถ้วยโอสถลงบนโต๊ะเล็กที่วางอยู่บนตั่ง ถ้วยยากระทบกับโต๊ะจนเกิดเสียงดัง แรงกระแทกทำให้ยากระฉอกออกมาจากถ้วย เหล่านางกำนัลขันทีก้มหน้าก้มตาเป็นพัลวัน ก่อนจะรีบออกไปจากห้องทรงอักษรเมื่อเห็นไป๋กงกงสะบัดมือไล่ท่าทางและน้ำเสียงของเสิ่นฮองเฮาทำให้บุตรชายถึงกับตกตะลึง เพราะปกติมารดาของเขาจะไม่ยุ่งเรื่องของวังหน้าอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ และมิว่าจะโกรธเพียงใดก็จะเก็บอารมณ์เอาไว้เสมอ แต่ครานี้กลับต่างจากที่เขาเคยเห็นอย่างลิบลับ ทำให้เจ้าของตำหนักบูรพานึกขยาดกลัว จึงได้แต่นิ่งเงียบไม่เอ่ยอันใด ไม่เพียงเท่านั้นเว่ยหลิงเฮ่อยังก้มหน้าเพื่อหลบสายตาเจ้าของบัลลังก์ เพราะกลัวว่าเสด็จพ่อจะส่งสายตามาขอความช่วยเหลือไม่เพียงแต่บุตรชายที่แปลกใจ แม้แต่เจ้าของบัลลั
หลังจากเว่ยเหวินเซียนกับเผยตั้นเยี่ยนทานอาหารเสร็จแล้ว ก็ให้ฉุยฉุยไปตามคุณหนูอีกสองคนมาพบ พร้อมกับให้เรียกองครักษ์สาวใช้ทั้งสองคนมาด้วย เพื่อบอกองครักษ์หญิงทั้งสองให้รู้ว่าพรุ่งนี้จะต้องคุ้มกันคุณหนูสามเผิงกับคุณหนูรองเผยกลับเมืองหลวง และหากใครถามถึงเผยตั้นเยี่ยนก็ให้บอกไปว่านางยังไม่หายป่วยครั้นบอกรายละเอียดทุกอย่างแล้วเว่ยชินอ๋องก็ไล่ให้พวกนางออกจากห้องไป แต่ทว่าก่อนที่สตรีทั้งห้าจะออกไป เว่ยเหวินเซียนก็ไม่ลืมเอ่ยคาดโทษพวกนางทั้งห้าที่ลงไปแช่ตัวในบ่อน้ำพุร้อน ด้วยสีหน้าและน้ำเสียงขึงขัง“เรื่องที่พวกเจ้าลงไปในบ่อน้ำพุของข้า ข้าจะยังมิลงโทษ แต่มิใช่ว่าข้าให้อภัยพวกเจ้าหรอกนะ เพียงแต่เมื่อวานนี้ข้าลงทัณฑ์คนมามากแล้ว เหนื่อยแล้ว เอาไว้ข้าจะลงโทษพวกเจ้าทีหลังแล้วกัน” เขามิได้จะลงโทษพวกนางจริง ๆ เพียงแค่อยากให้พวกนางทั้งห้าติดค้างเขาเอาไว้เท่านั้น“ขอบพระทัยเพคะ” สตรีทั้งห้ารีบตอบพร้อมกัน ก่อนจะรีบยอบกายแล้วถอยหลังออกจากห้องไปเช้าวันต่อมาเผยตั้นเยี่ยนได้เดินมาส่งสตรีทั้งสี่ที่หน้าจวนด้วยใบหน้าเบิกบาน ต่างจากเว่ยเหวินเซียนที่ใบหน้าหม
เว่ยชินอ๋องพยายามลุกออกจากเตียงด้วยความระมัดระวัง เพราะไม่อยากให้สตรีที่หลับอยู่ตื่นขึ้นมา แต่ดูท่าจะไม่ทันเสียแล้วเมื่อหญิงสาวลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย ครั้นบุรุษสายเลือดมังกรเห็นภรรยาตัวน้อยตื่นก็รู้สึกอารมณ์เสียขึ้นมาทันที“ปล่อยนางเข้ามา” น้ำเสียงกระโชกโฮกฮากจนหญิงสาวที่เพิ่งตื่นนอนสะดุ้งกลัวกระแสเสียงของอ๋องหนุ่มทำเอาหญิงสาวลืมตาตื่นขึ้นเต็มตา หญิงสาวรีบลุกขึ้นนั่งพร้อมจัดแจงอาภรณ์ของตน เพียงครู่เดียวสตรีที่ทำให้เจ้าของเรือนอารมณ์เสียก็เดินเข้ามา เผยตั้นเยี่ยนเบิกตาโตเมื่อรู้ว่าคนของตนเองทำให้บุรุษตรงหน้ามีโทสะ“หม่อมฉันขออภัยเพคะที่เข้ามารบกวน เพียงแต่ใกล้ถึงเวลาที่คุณหนูต้องดื่มยาแล้ว หม่อมฉันจึงได้ทำอาหารมาให้คุณหนูรับประทานก่อนดื่มยาเพคะ อาการของคุณหนูเกี่ยวกับภายในของสตรีมีผลถึงการสืบสายเลือดของท่านอ๋อง หม่อมฉันจึงมิอาจปล่อยผ่านไปได้เพคะ หวังว่าท่านอ๋องจะให้อภัยหม่อมฉันนะเพคะ” ฉุยฉุยพยายามควบคุมความกลัวของตนเองเอาไว้ เพราะรู้ว่าตนเองเป็นสาเหตุให้เว่ยชินอ๋องหงุดหงิดความโกรธก่อนหน้าหายไปในช่ว
ตั้งแต่ก้าวเท้าเดินเข้ามาในเรือนเขาก็รู้แล้วว่าสตรีทั้งหกอยู่ที่บ่อน้ำพุ ถึงยามแรกจะไม่คิดว่าสตรีทั้งหมดจะลงไปแช่ตัว แต่เมื่อเห็นองครักษ์ตะโกนเสียงดัง อีกทั้งเผยตั้นเยี่ยนเดินมาหาเขาเพียงลำพัง จึงทำให้มั่นใจว่าสตรีที่เหลือลงแช่บ่อน้ำพุร้อน ไม่เช่นนั้นคนใช้ทั้งสามจะปล่อยให้เผยตั้นเยี่ยนไปไหนมาไหนโดยไม่เดินตามได้เช่นไรเผยตั้นเยี่ยนรู้ดีว่าไม่อาจขัดขืนบุรุษตัวสูงได้จึงไม่เอ่ยอันใด เพราะนี่คงเป็นวิธีการทรมานนางอย่างหนึ่งที่เขาใช้ ด้วยเหตุนี้นางจึงไม่กล้าที่จะขัดขืนเพราะกลัวว่าจะเป็นเหมือนครั้งก่อนที่ถูกเขากระทำอย่างรุนแรง“ถอยออกไป หากข้าไม่ได้เรียกอย่าคิดเข้ามาใกล้ และอย่าให้ผู้ใดมารบกวนข้ากับพระชายาเข้าใจหรือไม่” เว่ยชินอ๋องหันมาเอ่ยกับองครักษ์ที่เดินตามมาก่อนจะเดินต่อไปยังห้องนอนของตนเองเมื่อมาถึงห้องบุรุษหนุ่มวัยกำหนัดก็มิรอช้าวางหญิงสาวในอ้อมแขนลงบนเตียงอย่างนิ่มนวล ทว่าภาพอุ่นเตียงคราก่อนยังฝังลึกอยู่ในหัวของสตรีร่างบาง ร่างกายจึงสั่นระริกขึ้นมาอย่างไม่อาจหักห้ามได้“กลัวข้าสินะ ต่อไปข้าจะไม่รุนแรงกับเจ้าเช่นนั้นอีก ดีหรือไม่”
หลังจากทรมานบุรุษตระกูลหยางเสร็จอ๋องหนุ่มก็ไม่รอช้าควบม้ากลับไปยังจวนข้างค่ายทหารของตนทันที แล้วปล่อยให้ลูกน้องที่ตนเองไว้ใจสองคนตรวจสอบจวนขุนนางร่วมกับแม่ทัพใหญ่เหยียน เพราะอย่างไรขุนนางจวนต่อไปก็เขียนหนังสือสำนึกผิดแล้วในเมื่อแค่ต้องเข้าไปในจวนเพื่อตรวจสอบขุนนางว่าเขียนสารภาพผิดตามความจริงหรือไม่ ไยจะต้องให้อ๋องหนุ่มเช่นเขาลงมือทำด้วย เพราะอย่างไรเรื่องลงทัณฑ์เสด็จพี่ของเขาก็เป็นผู้ตัดสินอยู่แล้ว เว่ยชินอ๋องจึงไม่อยากเสียเวลาที่จะได้อยู่กับสตรีที่ตนรักไปกับเหล่าขุนนางพวกนี้จวนนอกเมืองของชินอ๋องขณะที่เมืองหลวงกำลังวุ่นวาย คุณหนูทั้งสามคนที่อยู่ในจวนข้างค่ายทหารของเว่ยชินอ๋องกลับกำลังพักผ่อนอย่างสบายใจ เพราะจวนของอ๋องหนุ่มแห่งนี้มีบ่อน้ำพุร้อนจากธรรมชาติอยู่ในจวน ถึงการตกแต่งจวนจะไม่หรูหราแต่มองแล้วสบายตายิ่งนักจวนแห่งนี้มีรั้วกั้นสูงมองไม่เห็นภายใน คราแรกที่คุณหนูทั้งสามเห็นก็รู้สึกหวั่นวิตกอยู่มาก แต่เพียงเดินเข้ามายังด้านในกลับเสมือนมีคนนำเรือนหลังหนึ่งมาวางเอาไว้ท่ามกลางน้ำตก ที่โดยรอบมีดอกไม้และต้นไม้สูงต่ำสลับกันไป
เช้าวันต่อมา ณ ท้องพระโรงเหวินหลิงฮ่องเต้สาดสายตามองเหล่าขุนนางที่ยืนอยู่ตรงหน้า นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่เขาขึ้นครองราชย์ที่ได้เห็นสีหน้าท่าทางของเหล่าขุนนางที่เป็นไปในทิศทางเดียวกันมากถึงเพียงนี้เก้าในสิบส่วนของขุนนางในท้องพระโรงมีสีหน้าหม่นหมองดุจเมฆฝน ใบหน้าเคร่งเครียดส่อความรู้สึกราวกับกำลังแบกโลกเอาไว้ทั้งใบ หัวคิ้วของแต่ละคนย่นชนกันอย่างไม่รู้ตัว ทำเอาเจ้าของบัลลังก์รู้สึกดีใจเป็นอย่างมากที่เห็นขุนนางของตนเป็นเช่นนี้“ข้าคิดว่าเมื่อคืนพวกท่านจะนอนหลับอย่างสบายใจเสียอีก ที่มีทหารรักษาเมืองหลวงคอยคุ้มกันจวนไม่ให้มือสังหารเข้าไปในจวนของพวกเจ้า ทว่าดูจากขอบตาของพวกเจ้าแล้วข้าคงคาดเดาผิดไปสินะ หากเรื่องของชาวบ้านพวกเจ้าวิตกกังวลกันจนเป็นสภาพเช่นนี้ ต้าเว่ยของข้าคงจะดีมากขึ้นไม่น้อย” ถึงสุรเสียงของฮ่องเต้แห่งต้าเว่ยจะเรียบเฉย ทว่ากลับกดดันให้สีหน้าของเหล่าขุนนางหม่นหมองลงไปอีก“ฝ่าบาททรงเข้าใจพวกกระหม่อมผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ เมืองหลวงวุ่นวายไปทั่วเช่นนี้ จะให้พวกกระหม่อมข่มตาหลับลงได้เช่นใดกันพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” เสนาบ