“สวรรค์ฉันทำผิดอะไรมากนักอย่างนั้นเหรอ ฉันเพิ่งตกหน้าผาตายมาแท้ ๆ ทำไมส่งฉันมาตายอีกแล้ว หรือว่าครั้งก่อนฉันตายทรมานไม่พอ ครั้งนี้จึงส่งฉันมาให้ตาอ๋องผู้โหดเหี้ยมนั้นทรมานจนตายอีกรอบ”
จ้าวฉือลี่ยังไม่ทันจะกล่าวตัดพ้อในโชคชะตาของตนเองเสร็จ เสวี่ยเฟิงก็เอ่ยขัดขึ้นมาเสียก่อน
“คุณหนูขอรับ ถึงข้าจะไม่รู้ว่าท่านพูดอันใดอยู่ แต่ยามนี้พวกเรากลับไปจวนตระกูลเผยก่อนเถอะขอรับ หากคนขององค์รัชทายาทหรือคนของชินอ๋องมาเจอพวกเราตอนนี้คงไม่อาจรักษาชีวิตไว้ได้ แต่หากเราไปถึงจวนตระกูลเผยพวกเราอาจมีทางรอด”
เมื่อได้ยินคำว่า ‘อาจมีทางรอด’ จ้าวฉือลี่ถึงกับได้สติ ถึงเวลาจะกระชั้นชิดแต่ก็ถือว่ายังมีโอกาสให้ทุกคนรอดตาย
นางพยายามนึกถึงเนื้อเรื่องในนิยายเรื่องนี้เพื่อหาทางออก แต่เพราะนักเขียนเทงานไว้กลางทางลงตอนสุดท้ายไว้3เดือนแล้วไม่ยอมกลับมาแต่งต่อให้จบ ทำให้นางนั้นจำรายละเอียดทุกอย่างได้ไม่ชัดเจนนัก
นางจำได้ว่าตอนสุดท้ายเผยตั้นเยี่ยนและคนรับใช้ข้างกายทั้งสามถูกเว่ยเหวินเซียนทรมานจนตาย โดยการจับขึงไว้ที่กลางลานฝึกทหารส่วนตัวของเว่ยเหวินเซียน และใช้แส้เฆี่ยนตีทุกวันวันละ50ครั้ง มิหนำซ้ำบางวันเว่ยเหวินเซียนอารมณ์ไม่ดีก็จะมาระบายอารมณ์ลงมือทรมานนางด้วยตนเอง บางครั้งก็ใช้แส้เฆี่ยนตีบางครั้งก็ใช้มีดกรีดไปตามใบหน้าและลำตัวของนาง
พวกนางไม่ได้ทรมานจากการถูกลงทัณฑ์เท่านั้น แต่ยังต้องทนกับอาการป่วยแทรกซ้อนเพราะยามกลางวันตากแดด ยามกลางคืนถูกลมหนาว เมื่อบวกกับบาดแผลเผยตั้นเยี่ยนและคนรับใช้ทั้งสามก็ทนไม่ไหวล้มตายไปทีละคนภายในไม่ถึง7วันเท่านั้น
และคนสุดท้ายที่ตายก็คือเผยตั้นเยี่ยน เพราะเว่ยเหวินเซียนนั้นให้หมอมารักษานางเพื่อให้นางได้ดูการตายของคนรับใช้ข้างกาย และหวังจะยื้อนางให้ทรมานนานกว่านี้ แต่ทว่าไม่รู้ว่าโชคดีหรือไรที่นางไม่อาจทนไหวจึงตายตามคนรับใช้ไป
เพียงแค่จ้าวฉือลี่นึกถึงความตายที่แสนทรมานรออยู่ด้านหน้าก็ทำนางหวาดกลัวขึ้นมาทันที แต่สัญชาตญาณการเอาชีวิตรอดของมนุษย์ก็ทำให้นางคิดหาทางออกขึ้นมาได้
“คนชุดดำผ่านไปหรือยัง” จ้าวฉือลี่จำได้ว่าเว่ยหลิงเฮ่อจะต้องส่งคนมา2ชุด ชุดแรกนั้นคงตามรถม้าไปแล้ว ส่วนอีกชุดจะใส่ชุดดำปลอมเป็นโจรมาปล้นตราพยัคฆ์ แต่ทว่าพวกของเว่ยหลิงเฮ่อทั้งสองชุดจะโดนคนของเว่ยเหวินเซียนสังหารทั้งหมด และหลังจากนั้นไม่ถึงหนึ่งเค่อเว่ยเหวินเซียนจะเจอพวกนางทั้งสามคน
“ชุดดำหรือเจ้าคะ” ฉุยฉุยเอ่ยถาม
“ดูจากที่เจ้าไม่รู้เรื่องแสดงว่าพวกเขายังไม่ผ่านไป เช่นนั้นก็ดีพวกเราจะได้มีเวลามากขึ้นอีกหน่อย” จ้าวฉือลี่ระบายลมหายใจออกมาก่อนจะเอ่ยถึงแผนการให้คนทั้งสองตรงหน้าฟัง
“เสวี่ยเฟิงเจ้าเอาตราพยัคฆ์กลับไปที่จวนของชินอ๋อง แล้วเอาตราพยัคฆ์ไปแอบไว้แถว ๆ เรือนนอนของบ่าวรับใช้ ยามนี้กำลังคนที่รักษาจวนชินอ๋องอยู่น่าจะน้อยลงมาก เพราะชินอ๋องนำคนออกมาตามหาข้าและตราพยัคฆ์ ด้วยฝีมือเจ้าน่าจะลอบเข้าไปได้ไม่ยาก หลังจากนั้นเจ้ารีบไปจวนตระกูลเผยเอารถม้าและตามคนมาบอกว่ามีคนดักทำร้ายข้า หลังจากนั้นก็แสร้งตามหาข้าตรงทางสามแยกข้างหน้าสักหนึ่งเค่อ แล้วค่อยไปแจ้งชินอ๋องว่าข้าหายตัวไป เจ้าทำได้หรือไม่”
“ทำได้ขอรับ แล้วคุณหนูจะทำอันใดต่อขอรับ” เสวี่ยเฟิงถามด้วยความเป็นห่วง เพราะหากเขาไปแล้วมีคนของเว่ยเหวินเซียนหรือเว่ยหลิงเฮ่อมา เพียงลำพังฉุยฉุยคงไม่อาจรับมือได้
“เจ้าไม่ต้องห่วง เดี๋ยวข้ากับฉุยฉุยจะไปหลบอยู่ในป่าไผ่แถว ๆ สามแยก หากชินอ๋องมาเจอข้าก็จะบอกว่ามีคนดักทำร้ายข้า และเพราะข้าได้รับบาดเจ็บจึงซ่อนตัวอยู่ตรงนั้น แล้วให้เจ้าไปตามคนมาช่วย จำเอาไว้ไม่ว่าจะถูกคาดคั้นมากเท่าใดก็บอกเพียงเท่านี้ก็พอ นอกนั้นข้าจะจัดการเอง”
เมื่อคนทั้งคู่ตรงหน้าพยักหน้ารับรู้นางก็ล้วงเข้าไปในแขนเสื้อหยิบตราพยัคฆ์ออกมาให้เสวี่ยเฟิง ขณะนั้นเองชายชุดดำก็ขี่ม้าผ่านไปพอดี ฉุยฉุยกับเสวี่ยเฟิงถึงกับดวงตาเบิกโตเพราะทั้งคู่ไม่รู้ว่าเหตุใดคุณหนูถึงรู้ว่าจะมีบุรุษชุดดำขี่ม้าผ่านมา
“ไปได้แล้วอย่ามัวชักช้า เวลาของพวกเราเหลือไม่มากแล้ว” จ้าวฉือลี่เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าทั้งคู่นั้นมัวแต่เหม่อลอย
“เสวี่ยเฟิงอย่าใช้เส้นทางเดิมที่นั่งรถม้ามา ให้เจ้าใช้เส้นทางอื่น” จ้าวฉือลี่เกือบลืมบอกไปแล้ว โชคดีที่นางนั้นนึกขึ้นมาได้ทัน ไม่เช่นนั้นเสวี่ยเฟิงต้องไปเจอกับคนของเว่ยเหวินเซียนแน่นอน
เสวี่ยเฟิงที่กำลังจะก้าวเท้าไป หันหน้ามาพยักหน้ารับรู้ทันที ก่อนจะรีบไปทำตามคำสั่งของผู้เป็นนาย ส่วนฉุยฉุยกับจ้าวฉือลี่ก็รีบเดินไปยังทางสามแยกอย่างรวดเร็ว ยามนี้นางนั้นหวังเพียงว่าขอให้เป็นไปตามที่นิยายเขียนเอาไว้ ที่จิ่งหลินนั้นบอกกับเว่ยเหวินเซียนว่าพวกนางโดนคนร้ายดักทำร้าย โดยไม่ทราบว่าคนเหล่านั้นเป็นใคร
จ้าวฉือลี่กับฉุยฉุยเดินเลยสามแยกที่แยกไปจวนชินอ๋องกับจวนตระกูลเผย ส่วนอีกเส้นทางคือทางที่พวกนางไปยังเรือนที่ใช้นัดพบกับเว่ยหลิงเฮ่อ เมื่อพวกนางมาถึงก็มิได้เดินต่อ นางเพียงหากอไผ่ขนาดใหญ่เพื่อซ่อนตัว ถึงนางจะรู้ว่าเว่ยเหวินเซียนจะต้องหาตัวนางเจอก็ตาม
พวกนางอยู่ในจุดที่ใช้ซ่อนตัวไม่ถึงครึ่งเค่อ เสียงฝีเท้าม้าและเสียงคนจำนวนมากก็ดังเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ หัวใจของจ้าวฉือลี่เต้นรัวเร็วและแรงเสียจนแทบจะทะลุออกมาจากอก เพราะนางนั้นไม่แน่ใจว่าจะสามารถโกหกเว่ยเหวินเซียนได้อย่างแนบเนียนหรือไม่ เพราะอย่างไรเขาก็เป็นพวกขึ้นชื่อเรื่องความฉลาดและมีความสามารถไม่เป็นรองใคร นางจึงกลัวว่าเขาจะจับผิดนางได้
ฉุยฉุยเอื้อมมือมาจับมือคุณหนูของนางเมื่อเห็นว่าสีหน้าและแววตานั้นฉายแววหวาดกลัววิตกกังวลจนชัดเจน มือขาวเนียนนุ่มของเผยตั้นเยี่ยนเย็นเฉียบ ฉุยฉุยถูมือให้คุณหนูของนางเพื่อทำให้อุ่น พร้อมกับเอ่ยเพื่อให้คุณหนูของนางสบายใจ
“คุณหนูเจ้าคะ อย่ากังวลเลยเจ้าค่ะ ฮูหยินที่อยู่บนสวรรค์จะต้องคุ้มครองคุณหนูให้ปลอดภัยอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
จ้าวฉือลี่หันไปมองฉุยฉุยพร้อมกับยิ้มแห้ง ๆ ‘เรื่องโกหกทั้งนั้น ถ้าคนตายคุ้มครองได้จริง พ่อแม่ของฉันที่ตายไปก็คงไม่ปล่อยให้ฉันหนีพวกทวงหนี้จนพลัดตกหน้าผาลงมาตายเช่นนี้หรอก’
“แล้วฝ่าบาทต้องการให้เหวินเซียนทำอันใดอีกเล่าเพคะ หรือท่านอยากเล่นเป็นบทคนดีแล้วให้เขาเป็นคนเลวอย่างนั้นหรือ ฝ่าบาทบอกว่าเขาติดอิสตรีจนไม่เอาการเอางาน เช่นนั้นใยฝ่าบาทไม่ย้อนคิดหน่อยหรือเพคะ ว่าตอนที่ฝ่าบาทหลงใหลสนมอวี๋มีสภาพเช่นไร” สตรีเจ้าของวังหลังที่เพิ่งเดินเข้ามาตรัสด้วยน้ำเสียงกระแทกแดกดันเจือโทสะเสิ่นฮองเฮาวางถ้วยโอสถลงบนโต๊ะเล็กที่วางอยู่บนตั่ง ถ้วยยากระทบกับโต๊ะจนเกิดเสียงดัง แรงกระแทกทำให้ยากระฉอกออกมาจากถ้วย เหล่านางกำนัลขันทีก้มหน้าก้มตาเป็นพัลวัน ก่อนจะรีบออกไปจากห้องทรงอักษรเมื่อเห็นไป๋กงกงสะบัดมือไล่ท่าทางและน้ำเสียงของเสิ่นฮองเฮาทำให้บุตรชายถึงกับตกตะลึง เพราะปกติมารดาของเขาจะไม่ยุ่งเรื่องของวังหน้าอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ และมิว่าจะโกรธเพียงใดก็จะเก็บอารมณ์เอาไว้เสมอ แต่ครานี้กลับต่างจากที่เขาเคยเห็นอย่างลิบลับ ทำให้เจ้าของตำหนักบูรพานึกขยาดกลัว จึงได้แต่นิ่งเงียบไม่เอ่ยอันใด ไม่เพียงเท่านั้นเว่ยหลิงเฮ่อยังก้มหน้าเพื่อหลบสายตาเจ้าของบัลลังก์ เพราะกลัวว่าเสด็จพ่อจะส่งสายตามาขอความช่วยเหลือไม่เพียงแต่บุตรชายที่แปลกใจ แม้แต่เจ้าของบัลลั
หลังจากเว่ยเหวินเซียนกับเผยตั้นเยี่ยนทานอาหารเสร็จแล้ว ก็ให้ฉุยฉุยไปตามคุณหนูอีกสองคนมาพบ พร้อมกับให้เรียกองครักษ์สาวใช้ทั้งสองคนมาด้วย เพื่อบอกองครักษ์หญิงทั้งสองให้รู้ว่าพรุ่งนี้จะต้องคุ้มกันคุณหนูสามเผิงกับคุณหนูรองเผยกลับเมืองหลวง และหากใครถามถึงเผยตั้นเยี่ยนก็ให้บอกไปว่านางยังไม่หายป่วยครั้นบอกรายละเอียดทุกอย่างแล้วเว่ยชินอ๋องก็ไล่ให้พวกนางออกจากห้องไป แต่ทว่าก่อนที่สตรีทั้งห้าจะออกไป เว่ยเหวินเซียนก็ไม่ลืมเอ่ยคาดโทษพวกนางทั้งห้าที่ลงไปแช่ตัวในบ่อน้ำพุร้อน ด้วยสีหน้าและน้ำเสียงขึงขัง“เรื่องที่พวกเจ้าลงไปในบ่อน้ำพุของข้า ข้าจะยังมิลงโทษ แต่มิใช่ว่าข้าให้อภัยพวกเจ้าหรอกนะ เพียงแต่เมื่อวานนี้ข้าลงทัณฑ์คนมามากแล้ว เหนื่อยแล้ว เอาไว้ข้าจะลงโทษพวกเจ้าทีหลังแล้วกัน” เขามิได้จะลงโทษพวกนางจริง ๆ เพียงแค่อยากให้พวกนางทั้งห้าติดค้างเขาเอาไว้เท่านั้น“ขอบพระทัยเพคะ” สตรีทั้งห้ารีบตอบพร้อมกัน ก่อนจะรีบยอบกายแล้วถอยหลังออกจากห้องไปเช้าวันต่อมาเผยตั้นเยี่ยนได้เดินมาส่งสตรีทั้งสี่ที่หน้าจวนด้วยใบหน้าเบิกบาน ต่างจากเว่ยเหวินเซียนที่ใบหน้าหม
เว่ยชินอ๋องพยายามลุกออกจากเตียงด้วยความระมัดระวัง เพราะไม่อยากให้สตรีที่หลับอยู่ตื่นขึ้นมา แต่ดูท่าจะไม่ทันเสียแล้วเมื่อหญิงสาวลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย ครั้นบุรุษสายเลือดมังกรเห็นภรรยาตัวน้อยตื่นก็รู้สึกอารมณ์เสียขึ้นมาทันที“ปล่อยนางเข้ามา” น้ำเสียงกระโชกโฮกฮากจนหญิงสาวที่เพิ่งตื่นนอนสะดุ้งกลัวกระแสเสียงของอ๋องหนุ่มทำเอาหญิงสาวลืมตาตื่นขึ้นเต็มตา หญิงสาวรีบลุกขึ้นนั่งพร้อมจัดแจงอาภรณ์ของตน เพียงครู่เดียวสตรีที่ทำให้เจ้าของเรือนอารมณ์เสียก็เดินเข้ามา เผยตั้นเยี่ยนเบิกตาโตเมื่อรู้ว่าคนของตนเองทำให้บุรุษตรงหน้ามีโทสะ“หม่อมฉันขออภัยเพคะที่เข้ามารบกวน เพียงแต่ใกล้ถึงเวลาที่คุณหนูต้องดื่มยาแล้ว หม่อมฉันจึงได้ทำอาหารมาให้คุณหนูรับประทานก่อนดื่มยาเพคะ อาการของคุณหนูเกี่ยวกับภายในของสตรีมีผลถึงการสืบสายเลือดของท่านอ๋อง หม่อมฉันจึงมิอาจปล่อยผ่านไปได้เพคะ หวังว่าท่านอ๋องจะให้อภัยหม่อมฉันนะเพคะ” ฉุยฉุยพยายามควบคุมความกลัวของตนเองเอาไว้ เพราะรู้ว่าตนเองเป็นสาเหตุให้เว่ยชินอ๋องหงุดหงิดความโกรธก่อนหน้าหายไปในช่ว
ตั้งแต่ก้าวเท้าเดินเข้ามาในเรือนเขาก็รู้แล้วว่าสตรีทั้งหกอยู่ที่บ่อน้ำพุ ถึงยามแรกจะไม่คิดว่าสตรีทั้งหมดจะลงไปแช่ตัว แต่เมื่อเห็นองครักษ์ตะโกนเสียงดัง อีกทั้งเผยตั้นเยี่ยนเดินมาหาเขาเพียงลำพัง จึงทำให้มั่นใจว่าสตรีที่เหลือลงแช่บ่อน้ำพุร้อน ไม่เช่นนั้นคนใช้ทั้งสามจะปล่อยให้เผยตั้นเยี่ยนไปไหนมาไหนโดยไม่เดินตามได้เช่นไรเผยตั้นเยี่ยนรู้ดีว่าไม่อาจขัดขืนบุรุษตัวสูงได้จึงไม่เอ่ยอันใด เพราะนี่คงเป็นวิธีการทรมานนางอย่างหนึ่งที่เขาใช้ ด้วยเหตุนี้นางจึงไม่กล้าที่จะขัดขืนเพราะกลัวว่าจะเป็นเหมือนครั้งก่อนที่ถูกเขากระทำอย่างรุนแรง“ถอยออกไป หากข้าไม่ได้เรียกอย่าคิดเข้ามาใกล้ และอย่าให้ผู้ใดมารบกวนข้ากับพระชายาเข้าใจหรือไม่” เว่ยชินอ๋องหันมาเอ่ยกับองครักษ์ที่เดินตามมาก่อนจะเดินต่อไปยังห้องนอนของตนเองเมื่อมาถึงห้องบุรุษหนุ่มวัยกำหนัดก็มิรอช้าวางหญิงสาวในอ้อมแขนลงบนเตียงอย่างนิ่มนวล ทว่าภาพอุ่นเตียงคราก่อนยังฝังลึกอยู่ในหัวของสตรีร่างบาง ร่างกายจึงสั่นระริกขึ้นมาอย่างไม่อาจหักห้ามได้“กลัวข้าสินะ ต่อไปข้าจะไม่รุนแรงกับเจ้าเช่นนั้นอีก ดีหรือไม่”
หลังจากทรมานบุรุษตระกูลหยางเสร็จอ๋องหนุ่มก็ไม่รอช้าควบม้ากลับไปยังจวนข้างค่ายทหารของตนทันที แล้วปล่อยให้ลูกน้องที่ตนเองไว้ใจสองคนตรวจสอบจวนขุนนางร่วมกับแม่ทัพใหญ่เหยียน เพราะอย่างไรขุนนางจวนต่อไปก็เขียนหนังสือสำนึกผิดแล้วในเมื่อแค่ต้องเข้าไปในจวนเพื่อตรวจสอบขุนนางว่าเขียนสารภาพผิดตามความจริงหรือไม่ ไยจะต้องให้อ๋องหนุ่มเช่นเขาลงมือทำด้วย เพราะอย่างไรเรื่องลงทัณฑ์เสด็จพี่ของเขาก็เป็นผู้ตัดสินอยู่แล้ว เว่ยชินอ๋องจึงไม่อยากเสียเวลาที่จะได้อยู่กับสตรีที่ตนรักไปกับเหล่าขุนนางพวกนี้จวนนอกเมืองของชินอ๋องขณะที่เมืองหลวงกำลังวุ่นวาย คุณหนูทั้งสามคนที่อยู่ในจวนข้างค่ายทหารของเว่ยชินอ๋องกลับกำลังพักผ่อนอย่างสบายใจ เพราะจวนของอ๋องหนุ่มแห่งนี้มีบ่อน้ำพุร้อนจากธรรมชาติอยู่ในจวน ถึงการตกแต่งจวนจะไม่หรูหราแต่มองแล้วสบายตายิ่งนักจวนแห่งนี้มีรั้วกั้นสูงมองไม่เห็นภายใน คราแรกที่คุณหนูทั้งสามเห็นก็รู้สึกหวั่นวิตกอยู่มาก แต่เพียงเดินเข้ามายังด้านในกลับเสมือนมีคนนำเรือนหลังหนึ่งมาวางเอาไว้ท่ามกลางน้ำตก ที่โดยรอบมีดอกไม้และต้นไม้สูงต่ำสลับกันไป
เช้าวันต่อมา ณ ท้องพระโรงเหวินหลิงฮ่องเต้สาดสายตามองเหล่าขุนนางที่ยืนอยู่ตรงหน้า นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่เขาขึ้นครองราชย์ที่ได้เห็นสีหน้าท่าทางของเหล่าขุนนางที่เป็นไปในทิศทางเดียวกันมากถึงเพียงนี้เก้าในสิบส่วนของขุนนางในท้องพระโรงมีสีหน้าหม่นหมองดุจเมฆฝน ใบหน้าเคร่งเครียดส่อความรู้สึกราวกับกำลังแบกโลกเอาไว้ทั้งใบ หัวคิ้วของแต่ละคนย่นชนกันอย่างไม่รู้ตัว ทำเอาเจ้าของบัลลังก์รู้สึกดีใจเป็นอย่างมากที่เห็นขุนนางของตนเป็นเช่นนี้“ข้าคิดว่าเมื่อคืนพวกท่านจะนอนหลับอย่างสบายใจเสียอีก ที่มีทหารรักษาเมืองหลวงคอยคุ้มกันจวนไม่ให้มือสังหารเข้าไปในจวนของพวกเจ้า ทว่าดูจากขอบตาของพวกเจ้าแล้วข้าคงคาดเดาผิดไปสินะ หากเรื่องของชาวบ้านพวกเจ้าวิตกกังวลกันจนเป็นสภาพเช่นนี้ ต้าเว่ยของข้าคงจะดีมากขึ้นไม่น้อย” ถึงสุรเสียงของฮ่องเต้แห่งต้าเว่ยจะเรียบเฉย ทว่ากลับกดดันให้สีหน้าของเหล่าขุนนางหม่นหมองลงไปอีก“ฝ่าบาททรงเข้าใจพวกกระหม่อมผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ เมืองหลวงวุ่นวายไปทั่วเช่นนี้ จะให้พวกกระหม่อมข่มตาหลับลงได้เช่นใดกันพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” เสนาบ