หลังขบวนเสด็จของสองสตรีคนสำคัญของต้าเจาจากไปแล้ว ถนนเส้นใหญ่กลับมาคึกคักดังเดิม พ่อค้าแม่หาบเร่แผงลอยส่งเสียงป่าวประกาศสรรพคุณสินค้าของตนเองให้คนที่เดินผ่านไปมาหันมาสนใจสินค้าหน้าร้านตนเอง
ผู้คนหลั่งไหลพลุกพล่าน ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ทว่าปลายถนนกลับมีร้านหนึ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่อยากเฉียดใกล้หากไม่จำเป็นแต่กลับเป็นร้านที่ฮวงจุ้ยโดดเด่น ร้านดังกล่าวมีชื่อว่า...
...อันเหมียนถัง
หน้าร้านแขวนโคมกระดาษสีขาว สลักตัวหนังสือคำว่า “หลับใหลอย่างสงบ” ริ้วผ้าขาวพาดเหนือป้ายไม้สีหม่นที่จารึกชื่อร้านชัดเจน ยามลมพัดเงาโคมไฟไหวระริก เงาทอดลงพื้นดุจวิญญาณเร่ร่อนชวนผู้ผ่านทางขนลุกขนพอง ผู้คนที่เดินมาเพียงเหลือบมองก็มักเบี่ยงหลบ หรือข้ามถนนไปอีกฟากเพื่อหลีกเลี่ยงกลิ่นอวลชื้นของกำยานและสมุนไพร
ประตูไม้สีดำเปิดแง้ม กลิ่นไม้สนผสมขี้ผึ้งที่ใช้เคลือบโลงโชยคลุ้งไปกับกลิ่นเย็นของใบส้มโอ กานพลู และดอกเบญจมาศแห้ง บรรยากาศข้างในกว้างใหญ่แต่ขรึมเงียบสงบ ริมผนังเรียงรายด้วยโลงศพหลากหลายแบบบางใบสลักลายเมฆ ลายดอกเหมย บางใบเรียบง่ายสงบเสงี่ยม
โต๊ะเก็บเงินกับสมุดบัญชี มีโถสมุนไพรตั้งเรียง ถาดธูปเทียน และเครื่องเซ่นไหว้ครบถ้วน
บ่าวชายสิบหกคนในร้านสวมชุดผ้าฝ้ายสีหม่น คาดเอวด้วยผ้าดำ ขยับทำงานกันอย่างเงียบเชียบ เจ็ดคนเป็นช่างไม้ ก้มหน้าสลักสิ่วตอกค้อน
ห้าคนเป็นเด็กหนุ่ม ขัดโลง ทาขี้ผึ้ง เคลื่อนย้ายสินค้า ส่วนอีกสี่คนทำหน้าที่ต้อนรับลูกค้า จัดเครื่องเซ่น และประสานงานงานศพ
เสียงเคลื่อนไหวของคนเหล่านี้ไม่ใช่ความวุ่นวาย หากเป็นจังหวะช้า ๆ นุ่มนวล ราวกับพวกเขาต่างรู้ว่ากำลังทำงานให้ “ผู้ล่วงลับ”
ด้านในสุดของร้านมีชายวัยกลางคนรูปร่างใหญ่ หนวดเคราเปลี่ยนสีเป็นขาวแซมดำประปราย ยืนกำกับดูแลด้วยท่าทางสุขุม เผยซัน หรือที่ทุกคนเรียกว่า หลงจู๊เผย
เขาคือบิดาของเผยเซียวคนสนิทของเถ้าแก่ซือหม่าหยาง เขาเป็นคนจัดการบัญชีและดูแลโกดังด้านหลัง ซึ่งเต็มไปด้วยไม้สน ไม้หอม และพื้นที่ประกอบโลงศพที่ส่งเสียงเลื่อยและค้อนตอกเป็นระยะ ๆ
หน้าร้านอันเหมียนถังมิได้มีเพียงโลงศพเท่านั้น ยังวางขายเครื่องเซ่นและของใช้ในพิธีศพครบถ้วนทั้งชุดกระดาษเงินกระดาษทอง เครื่องดนตรีสำหรับใช้พิธีศพชิ้นเล็ก ๆ ตะเกียงน้ำมันสำหรับตั้งข้างโลง
รวมถึงผ้าดำผ้าขาวที่ใช้คลุมศพและประดับเรือนศพ กลิ่นสมุนไพรผสมกลิ่นขี้ผึ้งและควันกำยานอบอวลอยู่ตลอดเวลา ชวนให้คนภายนอกขนลุกขนพอง
แม้ผู้คนส่วนใหญ่ไม่กล้าเฉียดใกล้ แต่สำหรับผู้สูญเสีย ร้านนี้คือที่พึ่งสุดท้าย
ซือหม่าหยางในยามนี้ถอดอาภรณ์ยาว เปลี่ยนเป็นเพียงเสื้อผ้าสีหม่น แขนเสื้อถกขึ้นเผยท่อนแขนแข็งแรง เขานั่งขัดขอบโลงด้วยมือตนเองอย่างประณีต
เส้นเอ็นบนแขนเด่นชัด แววตาคมสงบนิ่งดุจน้ำแข็ง ไม่ใช่คุณชายผู้หรูหราของตระกูลแม่ทัพใหญ่ มิใช่ซือหม่าซานกงจื่อ หากเป็นเพียง อู่จั๋ว และเถ้าแก่ของร้านขายโลงศพขนาดใหญ่แห่งนี้
ชายหนุ่มผู้เลือกอยู่ท่ามกลางความเงียบงันและร่างไร้วิญญาณ มากกว่าจะแข่งขันวุ่นวายในสังคมขุนนางหรือสนามรบ
“เถ้าแก่สามขอรับ” เสียงเด็กหนุ่มบ่าวร้องเรียกจากหน้าประตู
“มีอันใด?” ซือหม่าหยางเอ่ยถามโดยมิได้เงยหน้าขึ้นมอง
“มีหญิงชรามาขอซื้อโลงอีกใบ บอกว่าลูกชายเพิ่งสิ้นใจเมื่อคืนขอรับ”
ซือหม่าหยางเงยหน้า ดวงตายังคงเรียบสงบ เขาวางสิ่วในมือลง ลุกขึ้นก้าวไปที่หน้าร้าน ไม่แสดงเวทนาหรือรังเกียจ เพียงเอ่ยสั้น ๆ
“ต้องการแบบเรียบ หรือแบบสลักลาย”
หญิงชราผู้นั้นน้ำตาคลอ เสียงสั่นเครือ “แบบเรียบ…ราคาถูกที่สุดก็พอ”
เขาพยักหน้า แล้วหันไปสั่งบ่าวยกโลงที่เสร็จแล้วออกมา พร้อมบอกเสียงเรียบ “ใช้ไม้สน ข้างในทาด้วยขี้ผึ้งกันชื้น พอเหมาะสำหรับฝังในดิน…ข้าจะลดให้ครึ่งราคา”
หญิงชราทรุดตัวคำนับทั้งน้ำตา แต่ซือหม่าหยางเพียงยกมือห้าม “อย่าคำนับข้า ข้าก็แค่ทำให้คนตายได้ที่พักผ่อนอย่างสบายที่สุดในวาระท้าย”
บรรยากาศกลับคืนสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง เมื่อหญิงชรากับลูกชายลากโลงออกไป ทิ้งไว้เพียงกลิ่นขี้เลื่อยและเสียงสิ่วที่ดังต่อเนื่อง ราวกับทุกสิ่งไม่เคยหยุดหมุน
ยามโหย่วหนึ่งเค่อ…
ก็ได้เวลาที่ซือหม่าหยางต้องเตรียมตัวกลับจวนเพื่อร่วมโต๊ะมื้อเย็นพร้อมหน้ากฎที่สกุลซือหม่าวางไว้ตั้งแต่ครั้งมารดาของเขายังมีชีวิตอยู่ แม้ผ่านไปสิบเอ็ดปีแล้วที่นางลาลับ แต่บิดายังคงให้ยึดถือไว้ดังเดิม
“เผยเซียว เจ้าไปเตรียมรถม้า ข้าจะกลับจวน”
“ขอรับ กงจื่อ”
อาทิตย์คล้อยต่ำ แสงสุดท้ายสาดจับบนรถม้า แผ่วผ่านซุ้มไม้สนข้างถนน จนเกิดเป็นเงายาวทอดข้ามกำแพงสูงใหญ่ของ จวนติ้งถิงโหว ไม่นานนัก รถม้าก็เคลื่อนเข้าจอดเทียบหน้าประตูตระหง่านที่แกะสลักลายเมฆมงคลบนแผ่นไม้สัก เสียงกลองทหารที่ประจำอยู่การเป็นยามรักษาการณ์ก้องกังวานขึ้นเบา ๆ ก่อนที่ประตูไม้เคลือบโลหะสีดำสนิทจะถูกผลักออกด้วยแรงคน
ซือหม่าหยาง ก้าวลงจากรถม้า เงาของเขาทอดยาวบนลานศิลาหน้าจวน เผยเซียวรีบนำรถม้าไปเก็บอีกทาง ขณะเดียวกันบ่าวไพร่ผลัดเวรหลายคนค้อมกายคารวะเสียงพร้อม
“ซือหม่าซานกงจื่อกลับมาแล้วขอรับ!”
จวนติ้งถิงโหว เป็นเรือนสี่ประสานขนาดใหญ่ที่สืบทอดฐานันดรมาแล้วถึงหกรุ่น กำแพงสูงล้อมรอบกินพื้นที่เกือบครึ่งตำบล ด้านในแบ่งเป็นเรือนหลักอันโอ่อ่า เรือนรองและเรือนข้างที่เรียงรายตามลำดับชั้น บ่าวไพร่กว่าสี่ห้าร้อยชีวิตคอยวิ่งวุ่นไปตามทางเดิน บ้างหาบน้ำ บ้างถือถาดอาหาร บ้างกวาดลานจนสะอาดไร้ฝุ่น
เรือนหลัก เป็นอาคารไม้ใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลาง ผนังทาด้วยสีชาดเข้มหลังคามุงกระเบื้องเคลือบสีเขียวมรกต ปลายสันหลังคาโค้งขึ้นประดับมังกรหินแกะสลักเป็นคู่ ประตูใหญ่ใช้ไม้จันทน์แดงสลักลายกิเลนเหยียบเมฆา ขอบประตูติดแผ่นโลหะเงาวับประดับหมุดทองเหลืองแน่นหนา ด้านหน้าเป็นลานกว้างปูศิลาเรียงจนแสงอาทิตย์สะท้อนวาววับ มีศาลาทรงแปดเหลี่ยมตั้งอยู่ตรงหัวมุมสำหรับพักผ่อนชมสวน
เรือนรองและเรือนข้าง เรียงตัวสองฟากทิศตะวันออกและตะวันตก ใช้เป็นที่อยู่ของพี่น้อง บุตรภรรยา และญาติใกล้ชิดของสกุล ข้างลานปลูกต้นสนสูงตระหง่าน สลับกับกอไผ่และแปลงดอกเหมยที่ปลูกไว้ตลอดแนว กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของใบสนผสมกับกลิ่นกำยานจากห้องบูชา ลอยคลุ้งอยู่ทั่วบริเวณ
บรรยากาศโดยรวมช่างโอ่อ่าแต่สงบ ขึงขังตามแบบสถาปัตยกรรมสมัยต้าเจาที่ยาวนานมากว่าเจ็ดร้อยปี หลังคากว้าง โถงสูง คานไม้สลักลายประณีต เสากลมใหญ่ตั้งเรียงเป็นแถวดุจป่าไผ่ศักดิ์สิทธิ์
เมื่อซือหม่าหยางก้าวเข้าสู่ประตูเรือนหลัก เขาถอดหมวกวางลงกับมือบ่าวที่รับไป แล้วเดินตรงไปยังโถงใหญ่ของตระกูล ที่ซึ่งบิดา ซือหม่าเฉิน ติ้งถิงโหว นั่งอยู่บนตั่งไม้สูง
ด้านข้างมีสตรีวัยกลางคนผู้หนึ่งนั่งเคียง ใบหน้าของนางอ่อนโยนยิ่ง แววตาเต็มด้วยความสงบ นางคือ จางซื่อ จางเหม่ยเหนียง ผู้เป็น แม่เล็ก ของเขา แม้สถานะในบ้านจะเป็นเพียงอี๋เหนียง
ทว่าเพราะจางซื่อคอยเลี้ยงดูบุตรเลี้ยงทั้งสามตั้งแต่เยาว์วัย ไม่เคยแบ่งแยกเลือดเนื้อกับลูกแท้ ๆ ความเมตตาอ่อนโยนของนางจึงเป็นที่เคารพรักของลูก ๆ เสมอมา
ซือหม่าหยางย่อกายคารวะก้มศีรษะ “ลูกกลับมาแล้วขอรับ ท่านพ่อ ท่านแม่เล็ก”
ซือหม่าหย่งเฉินพยักหน้า แววตายังแฝงความเคร่งขรึมแต่เปี่ยมด้วยความพอใจ ส่วนจางซื่อยกยิ้มอ่อนโยน รีบเอ่ยเสียงนุ่ม
“เจ้าคงเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว รีบล้างหน้ามือเสียก่อนเถิด มื้อค่ำคงจัดใกล้เสร็จแล้ว รอเพียงพี่ใหญ่ กับพี่รองของเจ้ากลับมาก็พร้อมกินข้าวแล้ว”
บรรยากาศโถงใหญ่จวนติ้งถิงโหว จึงอบอวลไปด้วยทั้งความสง่างามโอ่อ่าของเรือนขุนนางใหญ่
และขณะนั้นเองที่ประตูตะวันออกของจวนก็มีเสียงประกาศดังขึ้น “ซือหม่าซื่อจื่อกลับจากค่ายบูรพาแล้วขอรับ!”
ประตูเปิดกว้างให้ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ ก้าวเข้ามาในชุดเกราะสีดำที่ยังอบอวลด้วยกลิ่นเหล็กและฝุ่นทราย ซือหม่าหยวน พี่ใหญ่ ผู้เป็นความหวังของกองทัพต้าเจา แววตาเขาสงบนิ่ง อบอุ่นยามทอดมองบ่าวไพร่ที่โค้งคำนับ แต่ในดวงตาคู่นั้นยังคงซ่อนความคมกร้าวเด็ดขาดที่ผู้ใดในสนามรบต่างเกรงกลัว
ถัดมาไม่นาน ประตูทิศตะวันตกก็ปรากฏเงาสตรีสูงโปร่งในชุดเกราะเบาสีดำทองประดับลายพยัคฆ์เหยียบเพลิง ซือหม่าอวี้ พี่สาวคนรองของบ้านใหญ่ ผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์พยัคฆ์เพลิง ก้าวเดินองอาจราวบุรุษ สายตาคมเฉียบเยี่ยงพยัคฆ์สาว บ่าวไพร่ที่เผลอเงยหน้ามองยังต้องก้มหลบอย่างเกรงขาม
ส่วนทางด้านประตูเล็กหลังจวน เสียงหัวเราะสดใสดังมาก่อนร่างเล็กวัยเก้าปีจะวิ่งเข้ามา ซือหม่าหนิง บุตรีคนสุดท้อง ผมถักเปียสองข้างแกว่งไปมาตามจังหวะการวิ่ง มือเล็กยังกอดตำราเรียนจากสถานศึกษาบุตรขุนนางในเมืองหลวงเอาไว้แน่น นางกระโดดโลดเต้นพลางร้องเรียกเสียงใส
“ท่านแม่เล็ก! ท่านแม่เล็ก ข้ากลับมาแล้วเจ้าค่ะ!”
เมื่อทุกคนมาถึงพร้อมหน้า โถงใหญ่ของเรือนหลัก ก็พลันอบอวลด้วยบรรยากาศคึกคักต่างจากความเงียบเมื่อครู่ เสียงทักทาย เสียงหัวเราะ และกลิ่นกำยานหอมอ่อนที่ลอยอบอวล ทำให้ค่ำคืนนี้ดูอบอุ่นยิ่งนัก
จางซื่อผู้เป็นนายหญิงของจวนแทนอดีตฮูหยินที่จากไปหลายปีนั่งมองลูกทั้งสี่ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน แววตาเต็มไปด้วยความภาคภูมิ นางปรบมือเบา ๆ เรียกพ่อบ้านใหญ่
“ไปจัดโต๊ะมื้อเย็น ทุกคนกลับมาพร้อมหน้าแล้ว”
ไม่นานนัก โต๊ะกลมใหญ่ใน ห้องกินข้าวของเรือนหลัก ก็ถูกจัดเรียงอย่างเรียบร้อย ชุดสำรับเงินวาววับวางเรียงเป็นวง อาหารร้อน ๆ หลายสิบสำรับถูกยกมาทีละจาน ทั้งซุปกระดูกหมูตุ๋นยาจีน ห่านอบน้ำผึ้ง ปลาเคลือบซอสรสหวานเค็ม และผักผัดน้ำมันงากลิ่นหอมฉุย บ่าวไพร่ในชุดผ้าฝ้ายหม่นยืนเรียงรายอยู่ด้านหลังห้อง รอคอยรับใช้เงียบงัน
ซือหม่าหยาง เข้ามานั่งเคียงพี่น้อง เขาเพียงยิ้มบาง ๆ ให้หนิงเอ๋อร์ที่รีบเข้ามาเกาะแขน แต่ไม่ได้เอ่ยปากเล่าเรื่องราวใด ๆ จากร้านอันเหมียนถัง
ตรงข้ามนั้น ซือหม่าหยวน เล่าเรื่องการฝึกทหารที่ค่ายบูรพา เสียงทุ้มหนักแน่น “ชายแดนตะวันออกยังมีข่าวซ่องสุมโจรภูเขา แต่พวกเรากำลังจัดกองทัพเล็กคอยสกัด กำลังใจทหารยังมั่นคงดี” คำพูดหนักแน่นแต่แฝงความอบอุ่นเมื่อหันมามองน้อง ๆ
ซือหม่าอวี้ กล่าวต่อด้วยน้ำเสียงห้าวหาญ “ส่วนหน่วยพยัคฆ์เพลิงวันนี้ฝึกทวนไฟที่ลานใต้กำแพง มีองครักษ์หน้าใหม่หลายคนพัฒนาเร็ว ข้าว่าหากได้ลงสนามจริงคงไม่อับอายแก่ชื่อสกุลซือหม่าแน่”
เสียงหัวเราะของหนิงเอ๋อร์ดังแทรกขึ้น “วันนี้อาจารย์ใหญ่ชมว่าข้าเขียนอักษรได้ตรงพยางค์แล้วเจ้าค่ะ! แต่ข้ายังชอบเรื่องศพมากกว่า หากได้เป็นอู่จั๋วอย่างซานเกอคงดี”
คำพูดนั้นเรียกเสียงหัวเราะทั้งโต๊ะ แม้แต่ซือหม่าอวี้ที่มักจริงจังก็ยังยกมือตบไหล่น้องน้อย “เจ้าช่างเป็นสมกับเป็นคนสกุลซือหม่าจริงๆ”
จางซื่อเพียงส่ายหน้ายิ้มบาง “เด็กคนนี้พูดปากไปแล้ว”
ทุกคนต่างพูดคุยแลกเปลี่ยนถึงสิ่งที่เผชิญมาตลอดวัน โต๊ะอาหารอบอวลด้วยเสียงหัวเราะและความผูกพัน มีเพียง ซือหม่าหยาง ที่นั่งฟังเงียบ ๆ ไม่ได้เล่าเรื่องใดออกมา เพราะเขารู้ดีว่างานของตน…มิใช่สิ่งควรเอ่ยถึงบนโต๊ะกินข้าวอันอบอุ่นนี้
ตอนที่ ๖ || ตำหนักโซ่วเต๋อแสงตะวันยามสายสาดลอดหน้าต่างบานสูงของ ตำหนักโซ่วเต๋อ ท้องพระโรงแม้สิ้นสุดการประชุมขุนนางใหญ่เมื่อครู่ แต่บรรยากาศยังอบอวลด้วยความเคร่งขรึมไท่หยางฮ่องเต้ หลิ่วเยี่ยนเฟย มิได้ทรงปล่อยขุนนางทุกคนกลับไปทั้งหมด หากทรงรั้ง ติ้งถิงโหว ซือหม่าเฉิน ผู้มากด้วยวัยวุฒิ และ เหลิ่งเส้าเสิง เสนาบดีหนุ่มผู้กำลังมาแรง ให้หารือราชกิจต่อที่ห้องทรงงานด้านข้างเหนือพระแท่นมังกรทองคำอันสง่างาม ร่างสูงในฉลองพระองค์มังกรดำปักดิ้นทองประทับด้วยพระอิริยาบถทรงอำนาจ พระพักตร์ขรึมขลัง แววพระเนตรคมกริบราวกระบี่จ้องไม่คลาย พระหัตถ์เรียวคีบแท่งหยกเคาะเบา ๆ บนโต๊ะทรงงาน ยามสดับรายงานเรื่องเสบียงกองทัพและการจัดสรรกำลังทหารจากสองขุนนางกับเรื่องการสอบเค่อจวีที่ใกล้เข้ามา ต้าเจามีธรรมเนียมการสอบเค่อสวี สามปีจัดสอบใหญ่ที่เมืองหลวงหนึ่งครั้งและปีนี่ก็ถึงวาระดังกล่าวแล้ว สองเรื่องนี้จึงถูกหยิบยกขึ้นมาหารือขุนนางทั้งสองทว่า ยังมิทันหารือถึงไหน พลันเสียงขันทีประกาศกังวานจากด้านนอกพลันแทรกขึ้น“หลีไทเฮาเสด็จ!”ทั้งสองขุนนางค้อมกายหมอบคำนับโดยพร้อมเพรียงยามร่างระหงก้าวเข้าสู่ด้านใน ความสงบแผ่ซ่านไปท
ตอนที่ ๕||ตำหนักฉางหลันกับฝันร้ายหวนคืนขบวนเสด็จเคลื่อนเข้าสู่เขตพระราชฐาน หลีไทเฮาแยกไปตำหนักฉางชิ่ง ที่อยู่ชั้นใน ส่วนหลิ่วถิงเยว่นั้นมีตำหนักของตนเองแล้วอยู่ชั้นนอก ตั้งแต่อายุเจ็ดขวบ หลังได้รับฐานันดร ฉางหลันจ่างกงจู่ยามที่ทั้งสองแยกเป็นสองขบวนขึ้นเกี้ยวเกียรติยศก็เป็นเวลาที่ฟ้าเพิ่งโปรยแสงสุดท้ายเหนือแนวกำแพงสูงใหญ่ แสงไฟจากโคมแขวนหลายร้อยดวงส่องระยิบระยับตามทางเดินหินอ่อน จนทอดเงาเรียงรายดุจดวงดาวกลางรัตติกาลตำหนักฉางหลัน ตั้งตระหง่านอยู่ทางทิศตะวันออกของพระราชวัง เป็นหนึ่งในตำหนักขนาดใหญ่ที่สุดรองจากตำหนักของฮ่องเต้และไทเฮา ตัวตำหนักก่อด้วยไม้ประดู่และไม้อู่ถงแกะสลักหลังคามุงกระเบื้องเคลือบสีส้มอมแดง ปลายสันหลังคาโค้งสูงประดับรูปหงส์คู่ ด้านหน้ามีลานศิลาเรียงยาวทอดตรงสู่บันไดหินแกะลายเมฆมงคลหลายสิบขั้นทันทีที่เกี้ยวไม้ลงลักษณ์ปิดทองประดับด้วยไข่มุกหยุดลง ณ ลานหน้าตำหนัก ขันทีและนางกำนัลที่รอรับอยู่แล้วต่างหมอบกราบพร้อมเปล่งเสียงดังกังวาน“ถวายพระพร ฉางหลันจ่างกงจู่!”นางกำนัลในตำหนักฉางหลัน มีราว หกสิบคน แต่งกายในชุดผ้าแพรสีชมพูอ่อน คาดเอวด้วยผ้าสีแดงเลือดนก ทำหน้าที่ทั้งด
ตอนที่ ๔ ||ร้านอันเหมียนถังและสกุลซือหม่าหลังขบวนเสด็จของสองสตรีคนสำคัญของต้าเจาจากไปแล้ว ถนนเส้นใหญ่กลับมาคึกคักดังเดิม พ่อค้าแม่หาบเร่แผงลอยส่งเสียงป่าวประกาศสรรพคุณสินค้าของตนเองให้คนที่เดินผ่านไปมาหันมาสนใจสินค้าหน้าร้านตนเองผู้คนหลั่งไหลพลุกพล่าน ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ทว่าปลายถนนกลับมีร้านหนึ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่อยากเฉียดใกล้หากไม่จำเป็นแต่กลับเป็นร้านที่ฮวงจุ้ยโดดเด่น ร้านดังกล่าวมีชื่อว่า......อันเหมียนถังหน้าร้านแขวนโคมกระดาษสีขาว สลักตัวหนังสือคำว่า “หลับใหลอย่างสงบ” ริ้วผ้าขาวพาดเหนือป้ายไม้สีหม่นที่จารึกชื่อร้านชัดเจน ยามลมพัดเงาโคมไฟไหวระริก เงาทอดลงพื้นดุจวิญญาณเร่ร่อนชวนผู้ผ่านทางขนลุกขนพอง ผู้คนที่เดินมาเพียงเหลือบมองก็มักเบี่ยงหลบ หรือข้ามถนนไปอีกฟากเพื่อหลีกเลี่ยงกลิ่นอวลชื้นของกำยานและสมุนไพรประตูไม้สีดำเปิดแง้ม กลิ่นไม้สนผสมขี้ผึ้งที่ใช้เคลือบโลงโชยคลุ้งไปกับกลิ่นเย็นของใบส้มโอ กานพลู และดอกเบญจมาศแห้ง บรรยากาศข้างในกว้างใหญ่แต่ขรึมเงียบสงบ ริมผนังเรียงรายด้วยโลงศพหลากหลายแบบบางใบสลักลายเมฆ ลายดอกเหมย บางใบเรียบง่ายสงบเสงี่ยมโต๊ะเก็บเงิน
ยามเหม่า แสงยามเช้าพลางฟ้าเพิ่งสาดสีเงินอ่อน ๆ ลงเหนือทุ่งหมู่บ้านนอกนคร เสียงนกการ้องดังอยู่บนกิ่งไม้แห้ง บริเวณบ่อร้างกลางหมู่บ้านชานเมืองจิ้งโจวบัดนี้กลับคลาคล่ำด้วยผู้คนศพหนึ่งถูกดึงขึ้นจากน้ำ วางไว้บนพื้นหญ้าชื้น มีกลิ่นเน่าคละคลุ้งจนชาวบ้านพากันปิดจมูก บ้างหันหน้าหนี บ้างอาเจียนจนตัวงอ มีเด็กหลายคนที่ตามบิดามารดามาด้วยถึงกับร้องไห้เสียงแหลมผู้ที่ยืนอยู่กลางฝูงชนในวันนี้ คือบุรุษหนุ่มในชุดยาวสีน้ำเงินเข้มเรียบง่ายสะอาดสะอ้าน ใบหน้าเรียบนิ่งไม่แสดงอารมณ์ ดวงตาคมเข้มภายใต้คิ้วหนา ดูเย็นชาราวน้ำแข็งเขาคือซือหม่าหยาง คุณชายสามแห่งตระกูลซือหม่า ผู้ไม่เดินตามรอยบิดา บรรพบุรุษ หรือพี่ชายพี่สาวในฐานะแม่ทัพ หากแต่เขาเลือกทางตนเองด้วยการเป็น หมอชันสูตรศพ หรืออู่จั๋ว ประจำศาลต้าหลีทหารรักษาการณ์ประจำหมู่บ้านโค้งตัวรายงาน “ศพนี้พบตั้งแต่ยามสองเมื่อคืน ก่อนรุ่งสางจึงลากขึ้นมาขอรับ (*) อู่จั๋วซือหม่า”ซือหม่าหยางพยักหน้า รับคำในลำคอสั้น ๆ ก่อนก้าวเข้าใกล้ศพที่เพิ่งวางบนเสื่อฟาง กลิ่นเหม็นคลุ้งยิ่งแรงเมื่อผ้าคลุมถูกเปิดออก ชาวบ้านหลายคนถอยกรูดด้วยสีหน้าขาวซีด กับภาพศพคนตายที่ขึ้นอืดคนยากจะจำ
สายลมต้นยามเฉินพัดกลิ่นสนหอมจาง ๆ ลอยมาจากเชิงเขา ถานไถ่ สายหมอกบางลอยต่ำไปตามยอดไม้ เมื่อขบวนเสด็จเลี้ยวผ่านซุ้มประตูอาราม เสียงระฆังทองดังรับสามครั้งกังวานไปทั้งหุบเขาบนลานหินหยกหน้าวิหารใหญ่ แม่ชีในจีวรสีหม่นเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบ สือเหล่าซือไท่ เจ้าอารามผู้สูงวัย ยืนรออยู่เบื้องหน้า ผมสีเงินเกล้ามวยเรียบ ใบหน้าสงบสว่างราวแสงยามเช้า นางประนมมือคำนับงดงาม“ถวายคำนับ หลีไทเฮา และ ฉางหลันจ่างกงจู่ อารามถานไถ่ยินดีต้อนรับเพคะ”ไทเฮายิ้มบาง ๆ รับคำ พลางพยักหน้าให้ขันทีและนางกำนัลถอยเป็นระยะพอเหมาะ เหลือเพียงข้ารับใช้คนสนิทสองสามนาง รวมถึง อาหลิว อากุ่ย และหลิวหมัวมัว กับติ้งกงกง ที่ตามเฝ้าฉางหลิงจ่างกงจู่ไม่ห่างสือเหล่าซือไท่เชื้อเชิญเข้าไปในวิหารใหญ่ พื้นศิลาขาวสะอาดสะท้อนเงาเปลวเทียนเป็นสาย ๆ กลางวิหารตั้ง พระประธานหินขาว สูงตระหง่าน กระถางกำยานสามขาตั้งเรียงด้านหน้า ควันหอมลอยเป็นเส้นบางขับให้บรรยากาศยิ่งสงบ“ฉางหลิงจ่างกงจู่ นำหยกกลับไปวาง ‘ที่เดิม’ เถิดเพคะ ที่ซึ่งหยิบจากมา ถือว่าคืนเจ้าของดังเดิม” เสียงสือเหล่าซือไท่เรียบอ่อน แต่มีน้ำหนักหลีไทเฮา พยักหน้าเรียกถิงเยว่าเบา ๆ “อ
แสงอรุณทอประกายเหนือกำแพงสูงใหญ่ของ นครจิ้งโจว เมืองหลวงแห่งอาณาจักรต้าเจา มองจากมุมสูงจะเห็นยอดหลังคาพระราชวังสีทองอร่ามสลับกระเบื้องมรกตลุกวาวดุจคลื่นทะเลในยามเช้ามหานครจิ้งโจว แห่งนี้คือศูนย์กลางแห่งความรุ่งเรือง ผู้คนต่างเรียกขานว่า ‘หัวใจแห่งต้าเจา’ ถนนสายใหญ่ทอดตรงจากประตูเมืองสู่พระราชวัง ที่ประดับพื้นด้วยหินอ่อนที่ปูเรียงกันเป็นแนวยาวเป็นประกายวาววับเมื่อแสงแดดสาดส่องสองฟากถนนหลวงสายหลักเต็มไปด้วยหอคณิกาหรูหรา โรงสุรามีชื่อ และโรงน้ำชาที่ขุนนางและนักปราชญ์แวะเวียนไม่ขาด เสียงพิณขับกล่อมแว่วจากหน้าต่างชั้นสองคลอเคล้ากับเสียงหัวเราะรื่นเริงของบรรดานักกวีมีร้านผ้าไหมจากแดนซูโจวแขวนแพรพรรณหลากสีงดงาม ล่อตาล่อใจสตรีในตระกูลสูงศักดิ์ให้หยุดชมตลาดย่านตะวันออกอบอวลด้วยกลิ่นเครื่องเทศหอมกรุ่นจากแดนไกล หีบชาเขียวจากแคว้นหนานหรงกองสูงเป็นภูเขาถัดไปเป็นร้านขายหยกและทองคำที่เปล่งประกายราวภูผาเงินภูผาทอง เสียงพ่อค้าเรียกลูกค้าขายแข่งกันดังขรม ขณะที่เกวียนสินค้าจากหัวเมืองต่างก็ทยอยเข้ามาในนครไม่ขาดสายเหนือหลังคาร้านค้าเป็นหอชมวิวสูงเสียดฟ้า แขวนระฆังทองทุกทิศ เมื่อกระแสลมพัดผ่าน เสียง