ยามเหม่า แสงยามเช้าพลางฟ้าเพิ่งสาดสีเงินอ่อน ๆ ลงเหนือทุ่งหมู่บ้านนอกนคร เสียงนกการ้องดังอยู่บนกิ่งไม้แห้ง บริเวณบ่อร้างกลางหมู่บ้านชานเมืองจิ้งโจวบัดนี้กลับคลาคล่ำด้วยผู้คน
ศพหนึ่งถูกดึงขึ้นจากน้ำ วางไว้บนพื้นหญ้าชื้น มีกลิ่นเน่าคละคลุ้งจนชาวบ้านพากันปิดจมูก บ้างหันหน้าหนี บ้างอาเจียนจนตัวงอ มีเด็กหลายคนที่ตามบิดามารดามาด้วยถึงกับร้องไห้เสียงแหลม
ผู้ที่ยืนอยู่กลางฝูงชนในวันนี้ คือบุรุษหนุ่มในชุดยาวสีน้ำเงินเข้มเรียบง่ายสะอาดสะอ้าน ใบหน้าเรียบนิ่งไม่แสดงอารมณ์ ดวงตาคมเข้มภายใต้คิ้วหนา ดูเย็นชาราวน้ำแข็งเขาคือซือหม่าหยาง คุณชายสามแห่งตระกูลซือหม่า ผู้ไม่เดินตามรอยบิดา บรรพบุรุษ หรือพี่ชายพี่สาวในฐานะแม่ทัพ หากแต่เขาเลือกทางตนเองด้วยการเป็น หมอชันสูตรศพ หรืออู่จั๋ว ประจำศาลต้าหลี
ทหารรักษาการณ์ประจำหมู่บ้านโค้งตัวรายงาน “ศพนี้พบตั้งแต่ยามสองเมื่อคืน ก่อนรุ่งสางจึงลากขึ้นมาขอรับ (*) อู่จั๋วซือหม่า”
ซือหม่าหยางพยักหน้า รับคำในลำคอสั้น ๆ ก่อนก้าวเข้าใกล้ศพที่เพิ่งวางบนเสื่อฟาง กลิ่นเหม็นคลุ้งยิ่งแรงเมื่อผ้าคลุมถูกเปิดออก ชาวบ้านหลายคนถอยกรูดด้วยสีหน้าขาวซีด กับภาพศพคนตายที่ขึ้นอืดคนยากจะจำได้ว่าเป็นผู้ใด
ร่างศพเป็นเพศชายยังมิอาจบอกอายุได้เนื่องจากศพเปลี่ยนสภาพ ถูกจับนอนหงาย ผิวหนังบวมอืดเขียวคล้ำ ผมเปียกพันยุ่งกับใบหน้า นัยน์ตาที่ปิดไม่สนิทเผยให้เห็นตาขาวขุ่นมัว ปากอ้าออกเล็กน้อย น้ำเหลืองสีเหลืองเขียวไหลออกข้างมุมปากและจมูก ผิวหนังบางส่วนปริแตกจนเห็นเนื้อเยื่อเละเป็นวุ้น
บางคนอุดจมูกร้อง “โอ๊ย! กลิ่นมัน…ไม่ไหวแล้ว!”
เสียงอาเจียนดังเป็นระยะจากชาวบ้านที่ทนดูไม่ได้
ทว่าซือหม่าหยางก้มลงโดยไม่หวั่น เขาใช้แท่งไม้ไผ่เล็ก ๆ พลิกปากศพ ตรวจดูในลำคอ น้ำโคลนผสมฟองขาวคั่งอยู่ภายใน ก่อนจะเอื้อมมือหยิบถุงมือผ้าชนิดพิเศษมาสวม แล้วกดเบา ๆ บนผิวคอด้านข้าง
“หัวหน้าเฉา ท่านดูตรงนี้” เขาน้ำเสียงเรียบแต่มั่นคง มิได้หันไปกล่าวกับหัวหน้ามือปราบเฉาที่คุ้นเคยกันดีแม้แต่น้อย
หัวหน้าหมู่บ้านที่ยืนข้าง ๆ ก้มลงตาม พลันเห็นรอยแดงคล้ำเป็นเส้นยาวรอบลำคอ ศพเน่าเปื่อยไปมากแล้ว แต่รอยรัดกลับยังชัดเจน
ซือหม่าหยางเอ่ยช้า ๆ
“หากจมน้ำตายจริง ร่างกายจะสำลักน้ำจนเต็มปอดและท้อง ก่อนหน้านั้นผิวหนังจะยังตึงแน่น แต่รายนี้…กล้ามเนื้อคอฉีกขาด เลือดคั่งอยู่ชั้นใต้ผิว นั่นหมายความว่า เขาถูก รัดคอจนขาดใจ ก่อนถูกโยนลงบ่อ”
เสียงซุบซิบดังระงมขึ้น ชาวบ้านบางคนตัวสั่น “แสดงว่าถูกฆ่าใช่หรือไม่!”
ซือหม่าหยางไม่ตอบทันที เขาค่อย ๆ ใช้มีดปลายแหลมตัดเสื้อผ้าที่เปื่อยยุ่ยออกจากอกศพ กลิ่นเหม็นเน่ายิ่งฟุ้งขึ้นจนคนหลายคนหันหนีไปไกล เขาจดจ่อกับบาดแผลและร่องรอยบนร่างกาย ตรงข้อมือมีรอยขัดถูคล้ายถูกมัด ด้านหลังแขนมีรอยถลอกยาวเหมือนดิ้นรน
เขาสรุปเสียงนิ่ง
“ใช่เขาถูกฆาตกรรมแน่นอน ถูกมัด ถูกบีบรัดลำคอจนตาย แล้วโยนศพลงน้ำเพื่ออำพรางกลิ่นและร่องรอย”
รอบตัวเงียบกริบ ก่อนชาวบ้านบางคนเริ่มร่ำลือ “แล้ว…คนร้ายเป็นใครกันแน่”
“น่ากลัวนัก อยู่หมู่บ้านเดียวกันแท้ ๆ …”
แต่ซือหม่าหยางไม่ใส่ใจเสียงเหล่านั้น เขาเพียงลุกขึ้น ถอดถุงมือพิเศษสวมสำหรับป้องกันมือจากคราบเน่าจากศพ แล้วจึงค่อยล้างมือในน้ำสะอาดที่คนสนิท ‘เผยเซียว’ เตรียมมาให้ เสียงของเขาเรียบนิ่งเช่นเดิม
“ส่งศพนี้ไปยังศาลต้าหลี ให้ข้าตรวจอีกครั้งในห้องชันสูตร ข้าจะบันทึกรายละเอียดให้ชัดเจน”
สายตาคมกริบตวัดมองรอบ ๆ ชาวบ้านพลันก้มหน้าหลบ ไม่มีใครกล้าสบตากับชายหนุ่มผู้มีความกล้าอยู่กับความตายยิ่งกว่าคนเป็น ถึงเขาจะหล่อเหลานัก แต่สตรีใดก็มิกล้ามองหน้าซือหม่าหยางตรงๆ แม้แต่คนเดียว
ยามเฉินปลาย ศพจากบ่อร้างถูกเกวียนบรรทุกเข้ามายัง ศาลต้าหลี ซือหม่าหยางอยู่ในรถม้าที่เผยเซียวเป็นสารถี ก็มาถึงใกล้เคียงกัน
เบื้องหลังตึกหลวงคืออาคารไม้ทึบที่คนทั้งศาลเรียกกันติดปากว่า ห้องชันสูตร
กลิ่นฉุนคละคลุ้งตั้งแต่ยังไม่ก้าวเข้าไป ขุนนางหนุ่มบางคนเพียงได้กลิ่นก็เมินหน้าหนี
ภายในห้องสว่างด้วยแสงตะเกียงมากกว่าอาทิตย์ที่ลอดผ่านหน้าต่างกรงไม้ โต๊ะหินอ่อนกว้างตั้งกลางห้อง ศพถูกหามมาวางลงบนนั้น มีขันน้ำสะอาด ถังไม้ใส่น้ำส้มสายชูสมุนไพรเพื่อลดกลิ่นเหม็น และกล่องเครื่องมือวางเรียง ทั้งมีดเล่มเล็ก มีดใหญ่ ตราสลักเหล็ก และตะเกียบไม้ยาว
ซือหม่าหยาง สวมถุงมือพิเศษคู่ใหม่ ใช้ผ้าปิดจมูกแล้วเริ่มตรวจ โดยมีเผยเซียวคนสนิทควบฐานะผู้ช่วยคอยยืนจดบันทึกอยู่ไม่ไกล
“ผู้ตายเพศชาย สูงห้าฉือสามชุ่น (165-183เซนติเมตร) อายุราวสามสิบห้าถึงสามสิบแปด เวลาตาย...” ตรวจสภาพภายนอกแรกเริ่มไปพลางปากก็บรรยายไปพลางจนเสร็จ
เขาจึงเริ่มลงมือตรวจลึกขึ้นไปอีกขั้นชายหนุ่มก้มลงเปิดเปลือกตาศพด้วยตะเกียบไม้ “ตาขุ่นขาวเต็มที่ แสดงว่าตายมาเกินสามวัน”
เผยเซียวจดบันทึกลงไปตามที่ซือหม่าหยางเอ่ย เขาติดตามซือหม่าซานกงจื่อผู้นี้มาสิบปี แรกเริ่มงานนี้ทำเขากินอาหารไม่ได้ไม่หลายวัน ทว่ายามนี้เขาชินชาเสียแล้ว
ซือหม่าหยางยังคงตรวจอย่างช้าๆ จากส่วนบนลงไปส่วนล่างเขาใช้นิ้วกดที่ท้อง ศพบวมเป่ง น้ำเหลืองสีเขียวคล้ำทะลักออกจากปาก กลิ่นเหม็นเน่าจนศิษย์ผู้ช่วยสองคนอาเจียนข้างกำแพง หากแต่ติงเซียวยังจดบันทึกอย่างสงบ
และซือหม่าหยางยังขยับเรียวปากภายใต้ผ้าปิดครึ่งใบหน้าเสียงเรียบ ดวงตามุ่งมั่น
“ถึงท้องบวมแต่ไม่มีน้ำไม่มีฟองอากาศที่ปอด นี่ไม่ใช่คนจมน้ำเอง แต่ศพถูกโยนลงบ่อหลังตายแล้ว”
เขาหยิบมีดเล่มเล็กแต่คมกริบ ลากแนวลงใบมีดคมกรีดผ่าตรงกลางอกช้า ๆ เลือดสีคล้ำปนน้ำหนองพุ่งสวนออกมา มองแล้วน่าขนลุกยิ่ง กลิ่นแรงจนคราวนี้แม้แต่เผยเซียวผู้ช่วยยังต้องยกแขนปิดจมูก
“กล้ามเนื้อคอแตก เลือดซึมไปทั่วชั้นใต้ผิวหนัง เห็นหรือไม่ นี่คือร่องรอยถูกบีบรัดเต็มแรง” เขาแหวกชั้นกล้ามเนื้อให้เห็นรอยช้ำสีดำคล้ำชัดเจน
ถัดมา เขาผ่าเปิดช่องอกและช่องท้อง ตรวจอวัยวะทีละชิ้น ปอดแห้งเกินกว่าที่คนจมน้ำควรจะเป็น หัวใจหยุดในสภาพขาดอากาศ เลือดคั่งรอบหลอดลม
“นี่คือหลักฐานสำคัญไม่ใช่การจมน้ำตายโดยธรรมชาติ แต่เป็นการฆ่ารัดคอแล้วนำศพมาอำพรางแน่นอน”
เผยเซียวจดทุกอย่างลงบนแผ่นกระดาษด้วยอักษรคมกริบ ทั้งแม่นยำและครบถ้วน เพื่อที่จากนี้ซือหม่าหยางจะนำมันไปบันทึกในสมุดรายงาน ส่งหัวหน้าศาลต้าหลี ใต้เท้าจิ้งสวีเป็นอันดับสุดท้าย นี่ก็นับว่างานในวันนี้ของเขาจบลงแล้ว
“เรียบร้อยแล้ว พวกเจ้ามาจัดการแต่งศพผู้ตายให้เรียบร้อยด้วย” ซือหม่าหยางหันไป สั่งลูกศิษย์ทั้งสองคนที่เพิ่งอาเจียนจนหมดสภาพเสียงเรียบ
เมื่อพิธผ่าตรวจศพเสร็จ เขาล้างมีดในถังสมุนไพร กลิ่นสมุนไพรแรงกลบกลิ่นเน่าเพียงเล็กน้อย ซึ่งก่อนนั้นเขาถอดถุงมือผ้าชนิดพิเศษออก พลางเอ่ยเสียงเรียบไม่ต่างจากแรกเริ่ม
“จงจำเอาไว้ทุกศพหลังเขาบอกความจริงแก่พวกเรา ต้องให้เกียรติพวกเขา ส่งเขาไปอย่างสงบ”
แววตาของซือหม่าหยางเฉียบคมเย็นชา ราวกับอยู่กับคนตายมากเสียจนชินชา แต่ในความสงบนั้น กลับมีความเด็ดขาดของผู้ที่คุ้นเคยความจริงที่ไม่อาจปกปิดได้ต่อจากห้องชันสูตร
หลังจากตรวจครบทุกส่วน ซือหม่าหยางใช้เวลานั่งเขียนบันทึกลงบนกระดาษรายงานอย่างถี่ถ้วน ลายมือคมชัด ตัวอักษรเรียงตรงไม่ผิดเพี้ยน
"พบร่องรอยรัดคอรอบลำคอทั้งด้านหน้าและด้านหลัง กล้ามเนื้อฉีกขาด เลือดคั่งใต้ผิวหนังแน่นอน ข้อมือทั้งสองมีรอยกดลึก ลักษณะเหมือนเชือกปอหยาบ ๆ"
"เล็บมือผู้ตายมีดินสีคล้ำและเส้นใยผ้าติดอยู่ คาดว่าเป็นการดิ้นรนสุดท้าย สรุป เสียชีวิตเพราะถูกฆ่ารัดคอ แล้วนำศพไปโยนบ่อร้างเพื่ออำพราง"
เมื่อเขียนเสร็จ เขาไม่ใส่ความเห็นเกินเลย ไม่พยายามคาดเดาตัวคนร้าย เพราะนั่นไม่ใช่งานของเขา มือเรียวเพียงม้วนรายงาน ปิดผนึกด้วยตราศาลต้าหลี
ยามเว่ยสองเค่อ ซือหม่าหยางก้าวเข้าห้องของใต้เท้าจ้งเงียบ ๆ รายงานในมือถูกส่งตรงไปยังโต๊ะไม้อู่ถงที่ตั้งอยู่กลางห้อง
เบื้องหลังโต๊ะนั้นคือ ใต้เท้าจ้งสวี ขุนนางวัยสามสิบห้า ผู้มีชื่อเสียงทั้งในความเฉียบขาดและความสุขุม ใบหน้าคมเข้มเต็มไปด้วยความกดดันจากงานว่าคดี เขารับรายงานจากซือหม่าหยาง เปิดอ่านอย่างรวดเร็ว
ห้องเงียบลง เหล่าบ่าวไพร่ที่ยืนอยู่สองข้างไม่กล้าแม้แต่จะไอ ใต้เท้าจ้งสวีอ่านจบ พยักหน้าช้า ๆ สายตาเหลือบมองซือหม่าหยาง “เจ้าทำงานละเอียดเช่นเคย อู่จั๋วซือหม่า”
เสียงตอบกลับเรียบเฉย “ข้าเพียงช่วยเป็นปากแทนผู้ตายเท่านั้น…ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับใต้เท้าจ้งแล้ว”
จ้งสวีหัวเราะบาง ๆ แต่แฝงความเคร่งเครียด “เจ้ามิคิดจะร่วมสืบคดีบ้างหรือ อย่างน้อยไปตรวจสถานที่เกิดเหตุอีกครั้ง?”
“ข้าไม่ถนัดงานบู๊” ซือหม่าหยางโค้งศีรษะเล็กน้อย จ้งสวีถึงกับคิ้วกระตุก ผู้ที่เกิดอยู่ในครอบครัวทหารมาสิบเจ็ดรุ่นกลับกล่าวว่าไม่ถนัดงานบู๊ เช่นนั้นคนในใต้หล้านี้ยังมีผู้ใดเชี่ยวชาญอีกเล่า?
“หน้าที่ข้าคือหาความจริงจากร่างที่ไร้เสียงพูดเท่านั้น ขอตัว”
คำตอบนั้นทำเอาขุนนางผู้ใหญ่รอบข้างพยักหน้ารับรู้ จ้งสวีก็ไม่ได้เร่งรัดอะไรอีก เพียงกวักมือเรียกนายอำเภอประจำเขตเข้ามารับคำสั่งให้ไปสอบสวนเพิ่มเติมต่อจากศาลต้าหลีเท่านั้น
ซือหม่าหยางออกจากศาลต้าหลีในยามบ่ายแก่ เขามิได้ขึ้นรถม้าแต่เลือกจะเดินเลียบถนนหลวงกลับไปยังร้านขายโลงศพที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากย่านใต้เมืองก่อน ซึ่งเผยเซียวเป็นผู้นำรถม้าไปรอที่ร้าน อันเหมียนถัง เขามิได้เร่งร้อน เพียงก้าวเดินเงียบ ๆ ท่ามกลางฝูงชนที่พลุกพล่านในนครจิ้งโจว
แต่ผ่านไปไม่นาน ก็มีเสียงฆ้องดังลั่นขึ้นไปทั้งถนน “หลีกทาง! ขบวนเสด็จของหลีไทเฮาและฉางหลันจ่างกุงจู่เสด็จผ่าน!”
ไม่ถึงอึดใจทหารหลวงในชุดเกราะสีเงินก็รีบกางแถวกันประชาชนออกไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว
ชาวบ้านพากันก้มศีรษะ ถอนตัวออกไปแนบกำแพง ซือหม่าหยางเองก็ก้าวหลบตาม แต่ยังยืนหลังตรง สีหน้าเรียบเฉยไม่หวั่นไหว ไม่ถึงสองเค่อ
เสียงกีบม้ากระทบหินก็ดังก้อง ธงผืนใหญ่ปักลายมังกรหงส์สะบัดกลางลม องครักษ์นับร้อยเรียงเป็นแนวสง่างาม รถม้าหลวงที่ประดับม่านทองและระย้าเคลื่อนมาช้า ๆ ราวก้อนเมฆทองเคลื่อนผ่านกลางถนน
ขณะรถม้าหลวงเคลื่อนมาใกล้ ม่านแพรสีทองด้านข้างถูกแหวกออกเล็กน้อย ร่างอรชรในอาภรณ์งามปรากฏครู่เดียว จ่างกงจู่คนงามกวาดตามองออกมาทางฝูงชน
สายตาคู่งามของนางสบเข้ากับดวงตาเย็นชาของบุรุษหนุ่มที่ยืนท่ามกลางฝูงชนแต่เขาค่อนข้างโดดเด่นสะดุดตาที่สุดในกลุ่มพอดี
เวลานั้นราวกับทุกสิ่งหยุดนิ่งไปครู่เดียว แต่ก็เพียงเท่านั้น…
นางมิได้รู้สึกสะดุดตาหรือสะดุดใจอันใดเพราะชีวิตนางคบเจอคนหล่อเหลาชินชินชาแล้ว คนผู้นี้ก็เพียงบุรุษแปลกหน้าผู้หนึ่งที่ผ่านเข้ามาในสายตา แล้วก็ผ่านเลยไป เช่นเดียวกันกับซือหม่าหยางเองก็มิได้แสดงอารมณ์ใด ดวงตาคมเรียบเฉย มองผ่านขบวนโอฬารที่เคยเห็นมานักต่อนักนิ่งๆ
ม่านรถม้าค่อย ๆ ปิดลง ขบวนเสด็จเคลื่อนผ่านไป เหล่าชาวบ้านรีบเงยหน้าตามด้วยความตื่นตะลึง แต่ซือหม่าหยางเพียงก้าวเท้าออกเดินต่ออย่างสงบ สีหน้าและแววตาไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย
(*"อู่จั๋ว" (仵作) คือคำเรียกผู้ที่ทำหน้าที่ชันสูตรพลิกศพ หรือหมอนิติเวช ในยุคโบราณของจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในนิยายหรือวรรณกรรมที่อิงประวัติศาสตร์ อู่จั๋วจะทำหน้าที่ตรวจสอบและสืบสวนสาเหตุการตาย มักจะได้รับมอบหมายให้ชันสูตรผู้เสียชีวิตผิดธรรมชาติ หรือน่าสงสัยว่าผิดธรรมชาติ)
ตอนที่ ๖ || ตำหนักโซ่วเต๋อแสงตะวันยามสายสาดลอดหน้าต่างบานสูงของ ตำหนักโซ่วเต๋อ ท้องพระโรงแม้สิ้นสุดการประชุมขุนนางใหญ่เมื่อครู่ แต่บรรยากาศยังอบอวลด้วยความเคร่งขรึมไท่หยางฮ่องเต้ หลิ่วเยี่ยนเฟย มิได้ทรงปล่อยขุนนางทุกคนกลับไปทั้งหมด หากทรงรั้ง ติ้งถิงโหว ซือหม่าเฉิน ผู้มากด้วยวัยวุฒิ และ เหลิ่งเส้าเสิง เสนาบดีหนุ่มผู้กำลังมาแรง ให้หารือราชกิจต่อที่ห้องทรงงานด้านข้างเหนือพระแท่นมังกรทองคำอันสง่างาม ร่างสูงในฉลองพระองค์มังกรดำปักดิ้นทองประทับด้วยพระอิริยาบถทรงอำนาจ พระพักตร์ขรึมขลัง แววพระเนตรคมกริบราวกระบี่จ้องไม่คลาย พระหัตถ์เรียวคีบแท่งหยกเคาะเบา ๆ บนโต๊ะทรงงาน ยามสดับรายงานเรื่องเสบียงกองทัพและการจัดสรรกำลังทหารจากสองขุนนางกับเรื่องการสอบเค่อจวีที่ใกล้เข้ามา ต้าเจามีธรรมเนียมการสอบเค่อสวี สามปีจัดสอบใหญ่ที่เมืองหลวงหนึ่งครั้งและปีนี่ก็ถึงวาระดังกล่าวแล้ว สองเรื่องนี้จึงถูกหยิบยกขึ้นมาหารือขุนนางทั้งสองทว่า ยังมิทันหารือถึงไหน พลันเสียงขันทีประกาศกังวานจากด้านนอกพลันแทรกขึ้น“หลีไทเฮาเสด็จ!”ทั้งสองขุนนางค้อมกายหมอบคำนับโดยพร้อมเพรียงยามร่างระหงก้าวเข้าสู่ด้านใน ความสงบแผ่ซ่านไปท
ตอนที่ ๕||ตำหนักฉางหลันกับฝันร้ายหวนคืนขบวนเสด็จเคลื่อนเข้าสู่เขตพระราชฐาน หลีไทเฮาแยกไปตำหนักฉางชิ่ง ที่อยู่ชั้นใน ส่วนหลิ่วถิงเยว่นั้นมีตำหนักของตนเองแล้วอยู่ชั้นนอก ตั้งแต่อายุเจ็ดขวบ หลังได้รับฐานันดร ฉางหลันจ่างกงจู่ยามที่ทั้งสองแยกเป็นสองขบวนขึ้นเกี้ยวเกียรติยศก็เป็นเวลาที่ฟ้าเพิ่งโปรยแสงสุดท้ายเหนือแนวกำแพงสูงใหญ่ แสงไฟจากโคมแขวนหลายร้อยดวงส่องระยิบระยับตามทางเดินหินอ่อน จนทอดเงาเรียงรายดุจดวงดาวกลางรัตติกาลตำหนักฉางหลัน ตั้งตระหง่านอยู่ทางทิศตะวันออกของพระราชวัง เป็นหนึ่งในตำหนักขนาดใหญ่ที่สุดรองจากตำหนักของฮ่องเต้และไทเฮา ตัวตำหนักก่อด้วยไม้ประดู่และไม้อู่ถงแกะสลักหลังคามุงกระเบื้องเคลือบสีส้มอมแดง ปลายสันหลังคาโค้งสูงประดับรูปหงส์คู่ ด้านหน้ามีลานศิลาเรียงยาวทอดตรงสู่บันไดหินแกะลายเมฆมงคลหลายสิบขั้นทันทีที่เกี้ยวไม้ลงลักษณ์ปิดทองประดับด้วยไข่มุกหยุดลง ณ ลานหน้าตำหนัก ขันทีและนางกำนัลที่รอรับอยู่แล้วต่างหมอบกราบพร้อมเปล่งเสียงดังกังวาน“ถวายพระพร ฉางหลันจ่างกงจู่!”นางกำนัลในตำหนักฉางหลัน มีราว หกสิบคน แต่งกายในชุดผ้าแพรสีชมพูอ่อน คาดเอวด้วยผ้าสีแดงเลือดนก ทำหน้าที่ทั้งด
ตอนที่ ๔ ||ร้านอันเหมียนถังและสกุลซือหม่าหลังขบวนเสด็จของสองสตรีคนสำคัญของต้าเจาจากไปแล้ว ถนนเส้นใหญ่กลับมาคึกคักดังเดิม พ่อค้าแม่หาบเร่แผงลอยส่งเสียงป่าวประกาศสรรพคุณสินค้าของตนเองให้คนที่เดินผ่านไปมาหันมาสนใจสินค้าหน้าร้านตนเองผู้คนหลั่งไหลพลุกพล่าน ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ทว่าปลายถนนกลับมีร้านหนึ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่อยากเฉียดใกล้หากไม่จำเป็นแต่กลับเป็นร้านที่ฮวงจุ้ยโดดเด่น ร้านดังกล่าวมีชื่อว่า......อันเหมียนถังหน้าร้านแขวนโคมกระดาษสีขาว สลักตัวหนังสือคำว่า “หลับใหลอย่างสงบ” ริ้วผ้าขาวพาดเหนือป้ายไม้สีหม่นที่จารึกชื่อร้านชัดเจน ยามลมพัดเงาโคมไฟไหวระริก เงาทอดลงพื้นดุจวิญญาณเร่ร่อนชวนผู้ผ่านทางขนลุกขนพอง ผู้คนที่เดินมาเพียงเหลือบมองก็มักเบี่ยงหลบ หรือข้ามถนนไปอีกฟากเพื่อหลีกเลี่ยงกลิ่นอวลชื้นของกำยานและสมุนไพรประตูไม้สีดำเปิดแง้ม กลิ่นไม้สนผสมขี้ผึ้งที่ใช้เคลือบโลงโชยคลุ้งไปกับกลิ่นเย็นของใบส้มโอ กานพลู และดอกเบญจมาศแห้ง บรรยากาศข้างในกว้างใหญ่แต่ขรึมเงียบสงบ ริมผนังเรียงรายด้วยโลงศพหลากหลายแบบบางใบสลักลายเมฆ ลายดอกเหมย บางใบเรียบง่ายสงบเสงี่ยมโต๊ะเก็บเงิน
ยามเหม่า แสงยามเช้าพลางฟ้าเพิ่งสาดสีเงินอ่อน ๆ ลงเหนือทุ่งหมู่บ้านนอกนคร เสียงนกการ้องดังอยู่บนกิ่งไม้แห้ง บริเวณบ่อร้างกลางหมู่บ้านชานเมืองจิ้งโจวบัดนี้กลับคลาคล่ำด้วยผู้คนศพหนึ่งถูกดึงขึ้นจากน้ำ วางไว้บนพื้นหญ้าชื้น มีกลิ่นเน่าคละคลุ้งจนชาวบ้านพากันปิดจมูก บ้างหันหน้าหนี บ้างอาเจียนจนตัวงอ มีเด็กหลายคนที่ตามบิดามารดามาด้วยถึงกับร้องไห้เสียงแหลมผู้ที่ยืนอยู่กลางฝูงชนในวันนี้ คือบุรุษหนุ่มในชุดยาวสีน้ำเงินเข้มเรียบง่ายสะอาดสะอ้าน ใบหน้าเรียบนิ่งไม่แสดงอารมณ์ ดวงตาคมเข้มภายใต้คิ้วหนา ดูเย็นชาราวน้ำแข็งเขาคือซือหม่าหยาง คุณชายสามแห่งตระกูลซือหม่า ผู้ไม่เดินตามรอยบิดา บรรพบุรุษ หรือพี่ชายพี่สาวในฐานะแม่ทัพ หากแต่เขาเลือกทางตนเองด้วยการเป็น หมอชันสูตรศพ หรืออู่จั๋ว ประจำศาลต้าหลีทหารรักษาการณ์ประจำหมู่บ้านโค้งตัวรายงาน “ศพนี้พบตั้งแต่ยามสองเมื่อคืน ก่อนรุ่งสางจึงลากขึ้นมาขอรับ (*) อู่จั๋วซือหม่า”ซือหม่าหยางพยักหน้า รับคำในลำคอสั้น ๆ ก่อนก้าวเข้าใกล้ศพที่เพิ่งวางบนเสื่อฟาง กลิ่นเหม็นคลุ้งยิ่งแรงเมื่อผ้าคลุมถูกเปิดออก ชาวบ้านหลายคนถอยกรูดด้วยสีหน้าขาวซีด กับภาพศพคนตายที่ขึ้นอืดคนยากจะจำ
สายลมต้นยามเฉินพัดกลิ่นสนหอมจาง ๆ ลอยมาจากเชิงเขา ถานไถ่ สายหมอกบางลอยต่ำไปตามยอดไม้ เมื่อขบวนเสด็จเลี้ยวผ่านซุ้มประตูอาราม เสียงระฆังทองดังรับสามครั้งกังวานไปทั้งหุบเขาบนลานหินหยกหน้าวิหารใหญ่ แม่ชีในจีวรสีหม่นเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบ สือเหล่าซือไท่ เจ้าอารามผู้สูงวัย ยืนรออยู่เบื้องหน้า ผมสีเงินเกล้ามวยเรียบ ใบหน้าสงบสว่างราวแสงยามเช้า นางประนมมือคำนับงดงาม“ถวายคำนับ หลีไทเฮา และ ฉางหลันจ่างกงจู่ อารามถานไถ่ยินดีต้อนรับเพคะ”ไทเฮายิ้มบาง ๆ รับคำ พลางพยักหน้าให้ขันทีและนางกำนัลถอยเป็นระยะพอเหมาะ เหลือเพียงข้ารับใช้คนสนิทสองสามนาง รวมถึง อาหลิว อากุ่ย และหลิวหมัวมัว กับติ้งกงกง ที่ตามเฝ้าฉางหลิงจ่างกงจู่ไม่ห่างสือเหล่าซือไท่เชื้อเชิญเข้าไปในวิหารใหญ่ พื้นศิลาขาวสะอาดสะท้อนเงาเปลวเทียนเป็นสาย ๆ กลางวิหารตั้ง พระประธานหินขาว สูงตระหง่าน กระถางกำยานสามขาตั้งเรียงด้านหน้า ควันหอมลอยเป็นเส้นบางขับให้บรรยากาศยิ่งสงบ“ฉางหลิงจ่างกงจู่ นำหยกกลับไปวาง ‘ที่เดิม’ เถิดเพคะ ที่ซึ่งหยิบจากมา ถือว่าคืนเจ้าของดังเดิม” เสียงสือเหล่าซือไท่เรียบอ่อน แต่มีน้ำหนักหลีไทเฮา พยักหน้าเรียกถิงเยว่าเบา ๆ “อ
แสงอรุณทอประกายเหนือกำแพงสูงใหญ่ของ นครจิ้งโจว เมืองหลวงแห่งอาณาจักรต้าเจา มองจากมุมสูงจะเห็นยอดหลังคาพระราชวังสีทองอร่ามสลับกระเบื้องมรกตลุกวาวดุจคลื่นทะเลในยามเช้ามหานครจิ้งโจว แห่งนี้คือศูนย์กลางแห่งความรุ่งเรือง ผู้คนต่างเรียกขานว่า ‘หัวใจแห่งต้าเจา’ ถนนสายใหญ่ทอดตรงจากประตูเมืองสู่พระราชวัง ที่ประดับพื้นด้วยหินอ่อนที่ปูเรียงกันเป็นแนวยาวเป็นประกายวาววับเมื่อแสงแดดสาดส่องสองฟากถนนหลวงสายหลักเต็มไปด้วยหอคณิกาหรูหรา โรงสุรามีชื่อ และโรงน้ำชาที่ขุนนางและนักปราชญ์แวะเวียนไม่ขาด เสียงพิณขับกล่อมแว่วจากหน้าต่างชั้นสองคลอเคล้ากับเสียงหัวเราะรื่นเริงของบรรดานักกวีมีร้านผ้าไหมจากแดนซูโจวแขวนแพรพรรณหลากสีงดงาม ล่อตาล่อใจสตรีในตระกูลสูงศักดิ์ให้หยุดชมตลาดย่านตะวันออกอบอวลด้วยกลิ่นเครื่องเทศหอมกรุ่นจากแดนไกล หีบชาเขียวจากแคว้นหนานหรงกองสูงเป็นภูเขาถัดไปเป็นร้านขายหยกและทองคำที่เปล่งประกายราวภูผาเงินภูผาทอง เสียงพ่อค้าเรียกลูกค้าขายแข่งกันดังขรม ขณะที่เกวียนสินค้าจากหัวเมืองต่างก็ทยอยเข้ามาในนครไม่ขาดสายเหนือหลังคาร้านค้าเป็นหอชมวิวสูงเสียดฟ้า แขวนระฆังทองทุกทิศ เมื่อกระแสลมพัดผ่าน เสียง