Beranda / รักโบราณ / ข้าก็เป็นสวามีเช่นนี้ / ตอนที่1 ||หยกเปลี่ยนชะตา

Share

ตอนที่1 ||หยกเปลี่ยนชะตา

last update Terakhir Diperbarui: 2025-09-01 14:01:08

แสงอรุณทอประกายเหนือกำแพงสูงใหญ่ของ นครจิ้งโจว เมืองหลวงแห่งอาณาจักรต้าเจา มองจากมุมสูงจะเห็นยอดหลังคาพระราชวังสีทองอร่ามสลับกระเบื้องมรกตลุกวาวดุจคลื่นทะเลในยามเช้า

มหานครจิ้งโจว แห่งนี้คือศูนย์กลางแห่งความรุ่งเรือง ผู้คนต่างเรียกขานว่า ‘หัวใจแห่งต้าเจา’ ถนนสายใหญ่ทอดตรงจากประตูเมืองสู่พระราชวัง ที่ประดับพื้นด้วยหินอ่อนที่ปูเรียงกันเป็นแนวยาวเป็นประกายวาววับเมื่อแสงแดดสาดส่อง

สองฟากถนนหลวงสายหลักเต็มไปด้วยหอคณิกาหรูหรา โรงสุรามีชื่อ และโรงน้ำชาที่ขุนนางและนักปราชญ์แวะเวียนไม่ขาด เสียงพิณขับกล่อมแว่วจากหน้าต่างชั้นสองคลอเคล้ากับเสียงหัวเราะรื่นเริงของบรรดานักกวี

มีร้านผ้าไหมจากแดนซูโจวแขวนแพรพรรณหลากสีงดงาม ล่อตาล่อใจสตรีในตระกูลสูงศักดิ์ให้หยุดชม

ตลาดย่านตะวันออกอบอวลด้วยกลิ่นเครื่องเทศหอมกรุ่นจากแดนไกล หีบชาเขียวจากแคว้นหนานหรงกองสูงเป็นภูเขา

ถัดไปเป็นร้านขายหยกและทองคำที่เปล่งประกายราวภูผาเงินภูผาทอง เสียงพ่อค้าเรียกลูกค้าขายแข่งกันดังขรม ขณะที่เกวียนสินค้าจากหัวเมืองต่างก็ทยอยเข้ามาในนครไม่ขาดสาย

เหนือหลังคาร้านค้าเป็นหอชมวิวสูงเสียดฟ้า แขวนระฆังทองทุกทิศ เมื่อกระแสลมพัดผ่าน เสียงกังวานดังก้องประหนึ่งบทเพลงสวรรค์ ผู้มาเยือนนครหลวงจึงมักเงยหน้าชมด้วยความตะลึง

ก่อนก้มลงมองฝูงชนบนถนน ตั้งแต่ขุนนางในอาภรณ์ไหมทอง ชาวบ้านในชุดผ้าฝ้ายสะอาด ไปจนถึงนักพรตผู้แบกคัมภีร์และพระภิกษุที่เดินโปรดสัตว์ หลอมรวมเป็นภาพชีวิตที่คึกคักมีชีวิตชีวา

กระทั่งยามเหม่า (ตีห้า) เสียงฆ้องและกลองจากหอประตูวังหลวงก็ดังกังวาน ประกาศการเสด็จของผู้สูงศักดิ์ ไม่ช้าขบวนรถม้าใหญ่ก็เคลื่อนพ้นซุ้มประตู ผู้คนจึงได้เห็นชัดว่าเป็นขบวนของ หลีไทเฮา มารดาแผ่นดิน และ ฉางหลันจ่างกงจู่ หลิ่วถิงเยว่

ม้าศึกนับร้อยตัวในชุดเกราะเงินสลับทองเรียงรายสองฟากถนน เงาหอกและทวนสะท้อนแดดวับวาว นำหน้าด้วยธงแพรสีแดงปักลายมังกรหงส์โบกสะบัดกลางสายลม องครักษ์หลวงยืนขวางผู้คนอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย จนได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าม้าสะท้อนก้องไปไกลเป็นลี้

รถม้าหลวงประดับลายหงส์สี่ตัวกำลังกางกรงเล็บเหนือกลีบเมฆ ห้อยระย้าด้วยม่านมุขและระฆังเงินนับร้อย ทุกครั้งที่ล้อรถม้าเคลื่อนไป เสียงกระดิ่งเงินจะประสานดุจท่วงทำนองสวรรค์ รอบขบวนยังมีรถม้าน้อยของนางกำนัลและขันทีเรียงรายเป็นแถวแน่นหนา

ชาวเมืองที่มุงดูต่างพากันซุบซิบเสียงตื่นตะลึง

“นั่นคือฉางหลันจ่างกงจู่…แม้เห็นเพียงเงาเลือนรางก็ยังงามสง่าถึงเพียงนี้เสียดาย…”

“หุบปาก เจ้าอยากตายหรือ นางคือดวงใจของไท่หยางฮ่องเต้และหลีไทเฮา หาใช่ผู้ใดจะนำมาเอ่ยซุบซิบนินทาได้!”

เมื่อม่านแพรสีทองของรถม้าหลวงเผยช่องว่าง แสงอรุณสาดต้องปรางค์พักตร์ หลิ่วถิงเยว่ จ่างกงจู่ผู้สูงศักดิ์ ใบหน้านวลละอองดุจจันทรา ดวงตาลุ่มลึกดังประกายน้ำในบึงหยก กิริยาสง่างามสูงส่งจนผู้คนยากจะละสายตา

ขบวนเสด็จเคลื่อนไปตามถนนสายหลัก มุ่งหน้าสู่ อารามหลวงบนเขาถานไถ่ เพื่อบำเพ็ญกุศลใหญ่ ฟ้าดินคล้ายหยุดมอง ความโอฬารของขบวนและความงามขององค์หญิง กับหลีไทเฮาได้ตราตรึงอยู่ในความทรงจำของชาวนครจิ้งโจวเช้าวันนั้น วันที่จันทรางามแห่งต้าเจ้าปรากฏขึ้นต่อหน้าฟ้าดิน

หลิ่วถิงเยว่ จ่างกงจู่ผู้สูงศักดิ์แห่งอาณาจักรต้าเจา ด้วยฐานะน้องสาวแท้ ๆ เพียงคนเดียวของไท่หยางฮ่องเต้ นางได้รับการเลี้ยงดูฟูมฟักด้วยความรักและความลำเอียงมาตั้งแต่วัยเยาว์ สิ่งใดอยากได้ก็ต้องได้ สิ่งใดอยากทำก็ไร้ผู้ใดห้ามปราม

นางเติบโตมาอย่างดื้อรั้น เอาแต่ใจ และชินชากับการมีผู้คนคอยตามใจ ทั่วทั้งราชสำนักและตระกูลใหญ่ไม่มีใครไม่รู้ชื่อเสียง “ฉางหลันจ่างกงจู่” หญิงงามผู้เลื่องลือว่ามีนิสัยอันธพาล

หากขัดใจเพียงน้อยนิด คุณชายตระกูลใหญ่หรือบ่าวไพร่ต่างเคยลิ้มรสหมัดและเท้าของนางมาแล้วทั้งสิ้น นางหัวเราะเมื่อได้ในสิ่งที่ต้องการ และไม่ลังเลจะระบายโทสะเมื่อถูกขัดขวาง ผู้คนล้วนร่ำลือว่า

“หากฉางหลันจ่างกงจู่โปรดปรานใครก็ยกย่องปานดวงจันทร์ แต่หากชังน้ำหน้า ต่อให้เป็นบุตรแม่ทัพใหญ่ก็อาจถูกนางถีบตกสระได้!”

ทว่าไม่มีผู้ใดคาดคิดเลยว่า สตรีเอาแต่ใจผู้นี้จะต้องเผชิญชะตาพลิกผันด้วย หยกแขวนลึกลับ เพียงชิ้นเดียว เครื่องรางที่นางซุกซนหยิบฉวยมาจากเบื้องหน้าองค์พระในอารามถานไถ่เมื่อสองเดือนก่อน!

ในรถม้าหลวงคันงาม ถิงเยว่หลับตาลง พลันหวนรำลึกถึงเหตุการณ์วันนั้น

นางติดตาม หลีไทเฮา หรือหลีเหรินลี่ ผู้เป็นมารดา เสด็จขึ้นเขาศักดิ์สิทธิ์ถานไถ่ เพื่อสักการะและอธิษฐานเบื้องพระพักตร์เทพเจ้าสวรรค์เช่นปกติ ข้างกายนั้นมี ติ้งกงกง ขันทีคนสนิท และ หลินหมัวมัว นางกำนัลผู้รับใช้คู่กายคอยตามติดไม่ห่าง…

ข้างกายของนาง มีทั้ง อาหลิว นางกำนัลวัยสิบแปด และ อากุ่ย ขันทีคู่ใจในวัยเดียวกัน คอยติดตามปรนนิบัติราวเงาตามตัว

สายลมฤดูวสันต์พัดกลีบดอกเหมยปลิวว่อนตามขั้นบันไดศิลา เสียงระฆังวัดกังวานคลอด้วยสาธุการจากวิหารใหญ่ด้านบน บรรยากาศศักดิ์สิทธิ์สงบเย็นยิ่งนัก

หลีไทเฮา ก้าวเดินอย่างสงบสง่า สมฐานะมารดาแห่งแผ่นดินที่อายุยังน้อยเพียงสามสิบเจ็ดปีเท่านั้น

ตรงกันข้ามกับบุตรสาวผู้ซุกซน แม้สวมอาภรณ์งดงามก็ยังมิอาจขัดขวางการเล่นสนุกของนางได้ นางแอบยกชายกระโปรงวิ่งไล่จับกลีบดอกเหมยที่ปลิวว่อน พลางหัวเราะคิกคักให้เหล่านางกำนัลแตกตื่น

“ถิงเยว่! เจ้าลูกคนนี้…”

เสียงตำหนิแผ่วต่ำของหลีไทเฮาดังก้องกลางลม ดวงพักตร์งามสง่าแฝงความระอา แต่สายตายังคงอ่อนโยนดังเดิม

“ขึ้นเขามาสักการะ ไม่ใช่ให้เจ้ามาวิ่งเล่นเหมือนอยู่ในสวน”

“หม่อมฉันเพียงเห็นดอกเหมยงามนัก เลยอยากเก็บไว้ชมบ้างเพคะ เสด็จแม่อย่ากริ้วเลย!”

ถิงเยว่วิ่งกลับมากล่าวเสียงเจื้อยแจ้ว พลางหัวเราะแก้เก้อ หลีไทเฮาส่ายพระเศียรเบา ๆ ไม่ได้กล่าวตำหนิอีก นางรู้ดี บุตรสาวคนนี้เอาแต่ใจมาตั้งแต่เล็ก หากขัดใจ ก็มักต้องมีผู้ใดเจ็บตัวอยู่ร่ำไป

ขบวนเสด็จใกล้ถึงวิหารตะวันออก หลีไทเฮาแยกเข้าไปสนทนากับ สือเหล่าซือไท่ ส่วนถิงเยว่ผู้ไม่โปรดการถกปัญหาธรรม กลับเดินเลี่ยงตรงไปยังเบื้องหน้าองค์พระใหญ่ บริเวณนั้นมีผู้คนน้อย จึงเป็นที่ที่นางชอบใช้หลบเลี่ยงมารดาอยู่เสมอ

พลันสายตาของนางสะดุดกับแสงสะท้อนวาววับสะท้อนจากเปลวเทียนหลายสิบเล่มตรงฐานหินด้านข้าง นางก้าวเร็วเข้าไป หยิบสิ่งนั้นขึ้นมาพลิกดู

เป็น หยกแขวนสีเขียวเข้ม แกะลวดลายประหลาดดุจมังกรคดเคี้ยวพันดอกไม้

“อะไรกันนี่…หยกลายแปลกตานัก!”

ถิงเยว่ายกขึ้นส่องกับแสงเทียน ดวงตาเป็นประกายพลางยิ้มชอบใจ

อาหลิวรีบโค้งลง มองแล้วเอ่ยเสียงเบา

“จ่างกงจู่เพคะ…หรือจะมีผู้ใดทำตกไว้ หากเป็นของมีค่า ควรตามหาเจ้าของให้พบกระมัง”

ถิงเยว่วางมือลงบนเอว เบ้ปากทันที

“ของตกอยู่ต่อหน้า ย่อมเป็นของสวรรค์ประทาน! เช่นนี้ ย่อมเป็นของเปิ่นกงจู่แล้วสิ!”

อากุ่ยที่ยืนอยู่ด้านหลังเหลือบตามอง ก่อนรีบหลุบตาลง กลัวถูกลากเข้าเรื่องเอาแต่ใจอีก อาหลิวเองก็เม้มปากเงียบ ไม่กล้าโต้แย้งต่อ

ครั้นถิงเยว่นำเรื่องไปบอกมารดา หลีไทเฮามองบุตรสาวที่หัวเราะพลางคล้องหยกไว้กับสายรัดเอว ก็เพียงทอดถอนพระทัย

“เจ้าลูกคนนี้…สิ่งใดอยู่ตรงหน้า ก็มักคิดว่าเป็นของตน หากบังเอิญเป็นหยกต้องห้าม จะทำอย่างไรเล่า”

“เสด็จแม่วางใจ อาเยว่ชอบนัก ต่อให้ผู้ใดมาแย่งก็ไม่ยกให้เด็ดขาด!”

ถิงเยว่เชิดหน้าตอบอย่างมั่นใจ ริมฝีปากคลี่ยิ้มซุกซน หาได้ล่วงรู้ไม่ว่า

หยกแขวนเพียงชิ้นเดียวนี้ กำลังจะเปลี่ยนชะตาของนางและทั้งแผ่นดินต้าเจาไปตลอดกาล…

คืนนั้น ตำหนักฉางหลันตกอยู่ในความเงียบงัน แสงจันทร์สาดลอดหน้าต่างสูง เงาม่านไหมสีเงินพลิ้วระริกดุจต้องมนต์จากฟ้าดิน

หลิ่วถิงเยว่ ค่อย ๆ หลับตา ทว่าในชั่วพริบตาก้าวเข้าสู่ห้วงฝันอันสะพรึง!

นางเห็นตนเองนั่งบนเตียงผ้าไหมสีชาด มือเรียวประคองครรภ์ที่กำลังเติบโต ดวงหน้าฉายความหวังของมารดา ทว่าความสงบกลับถูกฉีกทึ้ง

เสียงฝีเท้าหนักแน่นแว่วมา ประตูไม้หนาถูกผลักเปิดอย่างแรง ร่างสูงใหญ่ในอาภรณ์ดำขลับก้าวเข้ามา ใบหน้าถูกกลบด้วยเงามืด เห็นเพียงเค้าโครงเลือนรางไม่ชัดเจน หัวใจถิงเยว่สั่นสะท้าน น้ำตารื้นขึ้นโดยไม่รู้เหตุ ริมฝีปากกลับเผลอเอ่ยชื่ออย่างแผ่วเบา

“อวิ๋นโม่…”

ราวกับวิญญาณในกายของนางจดจำเขาได้ ทั้งที่นางแน่ใจว่าตนเองไม่เคยพบบุรุษรูปร่างเช่นนี้มาก่อน ทว่ากลับคุ้นเคยจนน่าตกใจ เหมือนเขาคือสามี ผู้เคยเป็นที่รักและพึ่งพิงที่สุดในชีวิตของนาง แต่แววตาที่ส่องมาจากเงามืดนั้นกลับเย็นเฉียบ ไร้ซึ่งอาวรณ์ใด ๆ

เพียงพริบตาเดียว แสงจันทร์สะท้อนคมดาบที่ถูกชักขึ้นสูง สายฟ้าผ่าเปรี้ยงกลางราตรี คมดาบกรีดผ่านครรภ์อันเปราะบาง โลหิตสดนองพื้นหิน เสียงหยดเลือดกระทบพื้นดังสะท้านไปทั้งห้อง

ร่างถิงเยว่ทรุดลง ความเจ็บปวดแล่นวาบแทบขาดใจ โลกตรงหน้าพลันสั่นไหว เปลี่ยนเป็นภาพเพลิงสงครามในท้องพระโรง เสียงฆ้องกลองสะท้อนสนั่น เลือดนองบันไดหินสลัก หลิ่วเยี่ยนเฟย พี่ชายของนาง ถูกฟันคอสิ้นชีวิต หลีไทเฮา มารดาถูกผลักล้มลง ก่อนตวัดดาบฟันซ้ำ เลือดสดไหลรินทั่วลาน

“ไม่! ได้โปรดอย่าทำพวกเขา!!”

ถิงเยว่กรีดร้อง แต่เสียงถูกกลืนหายไปในเพลิงและคมดาบ บุรุษลึกลับหันกลับมาทางนางอีกครั้ง แม้ใบหน้ายังไม่ชัดเจน แต่ดวงตาคู่นั้นกลับเย็นเยียบประหนึ่งมัจจุราช

คมดาบพุ่งตรงเข้าหา…

“อวิ๋นโม่…เหตุใดเจ้าต้อง…”

เสียงยังไม่ทันสิ้น ร่างถิงเยว่เหมือนถูกผลักตกหน้าผาสูง วูบหายไปในห้วงว่างเปล่า

เฮือก!!!

ถิงเยว่าสะดุ้งตื่นกลางดึก เหงื่อเย็นชโลมกาย หอบหายใจราวถูกผีร้ายไล่ล่า สองตายังพร่ามัวด้วยน้ำตา แต่หัวใจสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวดและเสียใจอันไม่อาจอธิบาย

นับจากคืนนั้น หลิ่วถิงเยว่ไม่เคยได้หลับอย่างสงบอีกเลย…

คืนแล้วคืนเล่า ภาพฝันสลับหมุนวน บ้างก็สยดสยอง เลือดนองและเสียงกรีดร้อง บ้างก็เป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ทุกครั้ง…

…มันกลับเกิดขึ้นจริงภายในไม่เกินเจ็ดวัน!

ครั้งหนึ่ง นางฝันเห็นถ้วยชาโปรดตกจากโต๊ะและแตกกระจาย รุ่งเช้าเพียงยกขึ้นจิบ กลับลื่นจากมือหล่นแตกตามภาพในฝัน

อีกครั้ง นางฝันเห็นแจกันหยกริมหน้าต่างโถงกลางเอียงคล้ายจะล้ม ไม่นานลมแรงพัดผ้าม่านสะบัดชน แจกันนั้นก็หล่นกระแทกพื้นแตกจริง

บางคืน นางฝันเห็นอากุ่ย ขันทีคนสนิท สะดุดหกล้มหน้าบันไดศิลา เพียงสามวันถัดมา เหตุการณ์ก็เกิดขึ้นจริงไม่ผิดเพี้ยน

กระทั่งคืนหนึ่ง นางฝันเห็นอาหลิว นางกำนัลคู่ใจ ถูกมีดบาดนิ้วจนเลือดซึม รุ่งขึ้นขณะช่วยนางแกะผลไม้ มีดเล็กก็กรีดผ่านปลายนิ้วอาหลิว เลือดหยดลงบนผ้าเช็ดปากสีขาวดั่งต้องคำสาป

แรกเริ่มถิงเยว่ายังหัวเราะกลบเกลื่อน บอกตนเองว่าเป็นเรื่องบังเอิญ ทว่าครั้นเหตุเล็กน้อยทุกสิ่งกลับเป็นจริง…ไม่เว้นสักครั้งเดียว หัวใจของนางก็ค่อย ๆ หนักอึ้ง ความหวาดกลัวกัดกินราวเงามืดที่คืบคลานยามค่ำคืน

หรือหยกนี้จะเป็นหยกปีศาจ!

ความกลัวทำให้นางนอนไม่หลับจนสุขภาพถดถอย ไท่หยางฮ่องเต้ถึงกับกลัดกลุ้มด้วยความอาทรน้องสาวจึงให้หมอหลวงตรวจรักษา

แต่สองเดือนไม่ดีขึ้นหลีไทเฮาจึงตัดสินพระทัยพาถิงเยว่หวนกลับขึ้นเขาถานไถ่อีกครั้ง หวังนำหยกแขวนลายแปลกตานั้นมาคืนสถานที่เดิม และสวดมนต์ขับไล่ฝันร้ายให้หมดสิ้น…

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terbaru

  • ข้าก็เป็นสวามีเช่นนี้   ตอนที่ ๖ || ตำหนักโซ่วเต๋อ

    ตอนที่ ๖ || ตำหนักโซ่วเต๋อแสงตะวันยามสายสาดลอดหน้าต่างบานสูงของ ตำหนักโซ่วเต๋อ ท้องพระโรงแม้สิ้นสุดการประชุมขุนนางใหญ่เมื่อครู่ แต่บรรยากาศยังอบอวลด้วยความเคร่งขรึมไท่หยางฮ่องเต้ หลิ่วเยี่ยนเฟย มิได้ทรงปล่อยขุนนางทุกคนกลับไปทั้งหมด หากทรงรั้ง ติ้งถิงโหว ซือหม่าเฉิน ผู้มากด้วยวัยวุฒิ และ เหลิ่งเส้าเสิง เสนาบดีหนุ่มผู้กำลังมาแรง ให้หารือราชกิจต่อที่ห้องทรงงานด้านข้างเหนือพระแท่นมังกรทองคำอันสง่างาม ร่างสูงในฉลองพระองค์มังกรดำปักดิ้นทองประทับด้วยพระอิริยาบถทรงอำนาจ พระพักตร์ขรึมขลัง แววพระเนตรคมกริบราวกระบี่จ้องไม่คลาย พระหัตถ์เรียวคีบแท่งหยกเคาะเบา ๆ บนโต๊ะทรงงาน ยามสดับรายงานเรื่องเสบียงกองทัพและการจัดสรรกำลังทหารจากสองขุนนางกับเรื่องการสอบเค่อจวีที่ใกล้เข้ามา ต้าเจามีธรรมเนียมการสอบเค่อสวี สามปีจัดสอบใหญ่ที่เมืองหลวงหนึ่งครั้งและปีนี่ก็ถึงวาระดังกล่าวแล้ว สองเรื่องนี้จึงถูกหยิบยกขึ้นมาหารือขุนนางทั้งสองทว่า ยังมิทันหารือถึงไหน พลันเสียงขันทีประกาศกังวานจากด้านนอกพลันแทรกขึ้น“หลีไทเฮาเสด็จ!”ทั้งสองขุนนางค้อมกายหมอบคำนับโดยพร้อมเพรียงยามร่างระหงก้าวเข้าสู่ด้านใน ความสงบแผ่ซ่านไปท

  • ข้าก็เป็นสวามีเช่นนี้   ตอนที่ ๕||ตำหนักฉางหลันกับฝันร้ายหวนคืน

    ตอนที่ ๕||ตำหนักฉางหลันกับฝันร้ายหวนคืนขบวนเสด็จเคลื่อนเข้าสู่เขตพระราชฐาน หลีไทเฮาแยกไปตำหนักฉางชิ่ง ที่อยู่ชั้นใน ส่วนหลิ่วถิงเยว่นั้นมีตำหนักของตนเองแล้วอยู่ชั้นนอก ตั้งแต่อายุเจ็ดขวบ หลังได้รับฐานันดร ฉางหลันจ่างกงจู่ยามที่ทั้งสองแยกเป็นสองขบวนขึ้นเกี้ยวเกียรติยศก็เป็นเวลาที่ฟ้าเพิ่งโปรยแสงสุดท้ายเหนือแนวกำแพงสูงใหญ่ แสงไฟจากโคมแขวนหลายร้อยดวงส่องระยิบระยับตามทางเดินหินอ่อน จนทอดเงาเรียงรายดุจดวงดาวกลางรัตติกาลตำหนักฉางหลัน ตั้งตระหง่านอยู่ทางทิศตะวันออกของพระราชวัง เป็นหนึ่งในตำหนักขนาดใหญ่ที่สุดรองจากตำหนักของฮ่องเต้และไทเฮา ตัวตำหนักก่อด้วยไม้ประดู่และไม้อู่ถงแกะสลักหลังคามุงกระเบื้องเคลือบสีส้มอมแดง ปลายสันหลังคาโค้งสูงประดับรูปหงส์คู่ ด้านหน้ามีลานศิลาเรียงยาวทอดตรงสู่บันไดหินแกะลายเมฆมงคลหลายสิบขั้นทันทีที่เกี้ยวไม้ลงลักษณ์ปิดทองประดับด้วยไข่มุกหยุดลง ณ ลานหน้าตำหนัก ขันทีและนางกำนัลที่รอรับอยู่แล้วต่างหมอบกราบพร้อมเปล่งเสียงดังกังวาน“ถวายพระพร ฉางหลันจ่างกงจู่!”นางกำนัลในตำหนักฉางหลัน มีราว หกสิบคน แต่งกายในชุดผ้าแพรสีชมพูอ่อน คาดเอวด้วยผ้าสีแดงเลือดนก ทำหน้าที่ทั้งด

  • ข้าก็เป็นสวามีเช่นนี้   ตอนที่ ๔ ||ร้านอันเหมียนถังและสกุลซือหม่า

    ตอนที่ ๔ ||ร้านอันเหมียนถังและสกุลซือหม่าหลังขบวนเสด็จของสองสตรีคนสำคัญของต้าเจาจากไปแล้ว ถนนเส้นใหญ่กลับมาคึกคักดังเดิม พ่อค้าแม่หาบเร่แผงลอยส่งเสียงป่าวประกาศสรรพคุณสินค้าของตนเองให้คนที่เดินผ่านไปมาหันมาสนใจสินค้าหน้าร้านตนเองผู้คนหลั่งไหลพลุกพล่าน ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ทว่าปลายถนนกลับมีร้านหนึ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่อยากเฉียดใกล้หากไม่จำเป็นแต่กลับเป็นร้านที่ฮวงจุ้ยโดดเด่น ร้านดังกล่าวมีชื่อว่า......อันเหมียนถังหน้าร้านแขวนโคมกระดาษสีขาว สลักตัวหนังสือคำว่า “หลับใหลอย่างสงบ” ริ้วผ้าขาวพาดเหนือป้ายไม้สีหม่นที่จารึกชื่อร้านชัดเจน ยามลมพัดเงาโคมไฟไหวระริก เงาทอดลงพื้นดุจวิญญาณเร่ร่อนชวนผู้ผ่านทางขนลุกขนพอง ผู้คนที่เดินมาเพียงเหลือบมองก็มักเบี่ยงหลบ หรือข้ามถนนไปอีกฟากเพื่อหลีกเลี่ยงกลิ่นอวลชื้นของกำยานและสมุนไพรประตูไม้สีดำเปิดแง้ม กลิ่นไม้สนผสมขี้ผึ้งที่ใช้เคลือบโลงโชยคลุ้งไปกับกลิ่นเย็นของใบส้มโอ กานพลู และดอกเบญจมาศแห้ง บรรยากาศข้างในกว้างใหญ่แต่ขรึมเงียบสงบ ริมผนังเรียงรายด้วยโลงศพหลากหลายแบบบางใบสลักลายเมฆ ลายดอกเหมย บางใบเรียบง่ายสงบเสงี่ยมโต๊ะเก็บเงิน

  • ข้าก็เป็นสวามีเช่นนี้   ตอนที่ 3 || อู่จั๋วซือหม่า

    ยามเหม่า แสงยามเช้าพลางฟ้าเพิ่งสาดสีเงินอ่อน ๆ ลงเหนือทุ่งหมู่บ้านนอกนคร เสียงนกการ้องดังอยู่บนกิ่งไม้แห้ง บริเวณบ่อร้างกลางหมู่บ้านชานเมืองจิ้งโจวบัดนี้กลับคลาคล่ำด้วยผู้คนศพหนึ่งถูกดึงขึ้นจากน้ำ วางไว้บนพื้นหญ้าชื้น มีกลิ่นเน่าคละคลุ้งจนชาวบ้านพากันปิดจมูก บ้างหันหน้าหนี บ้างอาเจียนจนตัวงอ มีเด็กหลายคนที่ตามบิดามารดามาด้วยถึงกับร้องไห้เสียงแหลมผู้ที่ยืนอยู่กลางฝูงชนในวันนี้ คือบุรุษหนุ่มในชุดยาวสีน้ำเงินเข้มเรียบง่ายสะอาดสะอ้าน ใบหน้าเรียบนิ่งไม่แสดงอารมณ์ ดวงตาคมเข้มภายใต้คิ้วหนา ดูเย็นชาราวน้ำแข็งเขาคือซือหม่าหยาง คุณชายสามแห่งตระกูลซือหม่า ผู้ไม่เดินตามรอยบิดา บรรพบุรุษ หรือพี่ชายพี่สาวในฐานะแม่ทัพ หากแต่เขาเลือกทางตนเองด้วยการเป็น หมอชันสูตรศพ หรืออู่จั๋ว ประจำศาลต้าหลีทหารรักษาการณ์ประจำหมู่บ้านโค้งตัวรายงาน “ศพนี้พบตั้งแต่ยามสองเมื่อคืน ก่อนรุ่งสางจึงลากขึ้นมาขอรับ (*) อู่จั๋วซือหม่า”ซือหม่าหยางพยักหน้า รับคำในลำคอสั้น ๆ ก่อนก้าวเข้าใกล้ศพที่เพิ่งวางบนเสื่อฟาง กลิ่นเหม็นคลุ้งยิ่งแรงเมื่อผ้าคลุมถูกเปิดออก ชาวบ้านหลายคนถอยกรูดด้วยสีหน้าขาวซีด กับภาพศพคนตายที่ขึ้นอืดคนยากจะจำ

  • ข้าก็เป็นสวามีเช่นนี้   ตอนที่ 2 ||คืนหยกที่อารามถานไถ่

    สายลมต้นยามเฉินพัดกลิ่นสนหอมจาง ๆ ลอยมาจากเชิงเขา ถานไถ่ สายหมอกบางลอยต่ำไปตามยอดไม้ เมื่อขบวนเสด็จเลี้ยวผ่านซุ้มประตูอาราม เสียงระฆังทองดังรับสามครั้งกังวานไปทั้งหุบเขาบนลานหินหยกหน้าวิหารใหญ่ แม่ชีในจีวรสีหม่นเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบ สือเหล่าซือไท่ เจ้าอารามผู้สูงวัย ยืนรออยู่เบื้องหน้า ผมสีเงินเกล้ามวยเรียบ ใบหน้าสงบสว่างราวแสงยามเช้า นางประนมมือคำนับงดงาม“ถวายคำนับ หลีไทเฮา และ ฉางหลันจ่างกงจู่ อารามถานไถ่ยินดีต้อนรับเพคะ”ไทเฮายิ้มบาง ๆ รับคำ พลางพยักหน้าให้ขันทีและนางกำนัลถอยเป็นระยะพอเหมาะ เหลือเพียงข้ารับใช้คนสนิทสองสามนาง รวมถึง อาหลิว อากุ่ย และหลิวหมัวมัว กับติ้งกงกง ที่ตามเฝ้าฉางหลิงจ่างกงจู่ไม่ห่างสือเหล่าซือไท่เชื้อเชิญเข้าไปในวิหารใหญ่ พื้นศิลาขาวสะอาดสะท้อนเงาเปลวเทียนเป็นสาย ๆ กลางวิหารตั้ง พระประธานหินขาว สูงตระหง่าน กระถางกำยานสามขาตั้งเรียงด้านหน้า ควันหอมลอยเป็นเส้นบางขับให้บรรยากาศยิ่งสงบ“ฉางหลิงจ่างกงจู่ นำหยกกลับไปวาง ‘ที่เดิม’ เถิดเพคะ ที่ซึ่งหยิบจากมา ถือว่าคืนเจ้าของดังเดิม” เสียงสือเหล่าซือไท่เรียบอ่อน แต่มีน้ำหนักหลีไทเฮา พยักหน้าเรียกถิงเยว่าเบา ๆ “อ

  • ข้าก็เป็นสวามีเช่นนี้   ตอนที่1 ||หยกเปลี่ยนชะตา

    แสงอรุณทอประกายเหนือกำแพงสูงใหญ่ของ นครจิ้งโจว เมืองหลวงแห่งอาณาจักรต้าเจา มองจากมุมสูงจะเห็นยอดหลังคาพระราชวังสีทองอร่ามสลับกระเบื้องมรกตลุกวาวดุจคลื่นทะเลในยามเช้ามหานครจิ้งโจว แห่งนี้คือศูนย์กลางแห่งความรุ่งเรือง ผู้คนต่างเรียกขานว่า ‘หัวใจแห่งต้าเจา’ ถนนสายใหญ่ทอดตรงจากประตูเมืองสู่พระราชวัง ที่ประดับพื้นด้วยหินอ่อนที่ปูเรียงกันเป็นแนวยาวเป็นประกายวาววับเมื่อแสงแดดสาดส่องสองฟากถนนหลวงสายหลักเต็มไปด้วยหอคณิกาหรูหรา โรงสุรามีชื่อ และโรงน้ำชาที่ขุนนางและนักปราชญ์แวะเวียนไม่ขาด เสียงพิณขับกล่อมแว่วจากหน้าต่างชั้นสองคลอเคล้ากับเสียงหัวเราะรื่นเริงของบรรดานักกวีมีร้านผ้าไหมจากแดนซูโจวแขวนแพรพรรณหลากสีงดงาม ล่อตาล่อใจสตรีในตระกูลสูงศักดิ์ให้หยุดชมตลาดย่านตะวันออกอบอวลด้วยกลิ่นเครื่องเทศหอมกรุ่นจากแดนไกล หีบชาเขียวจากแคว้นหนานหรงกองสูงเป็นภูเขาถัดไปเป็นร้านขายหยกและทองคำที่เปล่งประกายราวภูผาเงินภูผาทอง เสียงพ่อค้าเรียกลูกค้าขายแข่งกันดังขรม ขณะที่เกวียนสินค้าจากหัวเมืองต่างก็ทยอยเข้ามาในนครไม่ขาดสายเหนือหลังคาร้านค้าเป็นหอชมวิวสูงเสียดฟ้า แขวนระฆังทองทุกทิศ เมื่อกระแสลมพัดผ่าน เสียง

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status