Beranda / รักโบราณ / ข้าก็เป็นสวามีเช่นนี้ / ตอนที่ 2 ||คืนหยกที่อารามถานไถ่

Share

ตอนที่ 2 ||คืนหยกที่อารามถานไถ่

last update Terakhir Diperbarui: 2025-09-01 14:02:27

สายลมต้นยามเฉินพัดกลิ่นสนหอมจาง ๆ ลอยมาจากเชิงเขา ถานไถ่ สายหมอกบางลอยต่ำไปตามยอดไม้ เมื่อขบวนเสด็จเลี้ยวผ่านซุ้มประตูอาราม เสียงระฆังทองดังรับสามครั้งกังวานไปทั้งหุบเขา

บนลานหินหยกหน้าวิหารใหญ่ แม่ชีในจีวรสีหม่นเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบ สือเหล่าซือไท่ เจ้าอารามผู้สูงวัย ยืนรออยู่เบื้องหน้า ผมสีเงินเกล้ามวยเรียบ ใบหน้าสงบสว่างราวแสงยามเช้า นางประนมมือคำนับงดงาม

“ถวายคำนับ หลีไทเฮา และ ฉางหลันจ่างกงจู่ อารามถานไถ่ยินดีต้อนรับเพคะ”

ไทเฮายิ้มบาง ๆ รับคำ พลางพยักหน้าให้ขันทีและนางกำนัลถอยเป็นระยะพอเหมาะ เหลือเพียงข้ารับใช้คนสนิทสองสามนาง รวมถึง อาหลิว อากุ่ย และหลิวหมัวมัว กับติ้งกงกง ที่ตามเฝ้าฉางหลิงจ่างกงจู่ไม่ห่าง

สือเหล่าซือไท่เชื้อเชิญเข้าไปในวิหารใหญ่ พื้นศิลาขาวสะอาดสะท้อนเงาเปลวเทียนเป็นสาย ๆ กลางวิหารตั้ง พระประธานหินขาว สูงตระหง่าน กระถางกำยานสามขาตั้งเรียงด้านหน้า ควันหอมลอยเป็นเส้นบางขับให้บรรยากาศยิ่งสงบ

“ฉางหลิงจ่างกงจู่ นำหยกกลับไปวาง ‘ที่เดิม’ เถิดเพคะ ที่ซึ่งหยิบจากมา ถือว่าคืนเจ้าของดังเดิม” เสียงสือเหล่าซือไท่เรียบอ่อน แต่มีน้ำหนัก

หลีไทเฮา พยักหน้าเรียกถิงเยว่าเบา ๆ “อาเยว่ ไปเถิดลูก”

ถิงเยว่าสูดลมหายใจ ยกหยกแขวนสีเขียวเข้มขึ้นประคอง ทั้งห้องเงียบลงจนได้ยินเสียงกระดิ่งลมที่ชายคา นางก้าวไปยัง ฐานหินด้านข้างพระประธาน ตรงจุดที่แสงเทียนสะท้อนเงาวาบขึ้นมา ที่เดิมวันนั้นที่นางแอบเก็บมา

ปลายนิ้วสัมผัสหินเย็น นางวางหยกอย่างแผ่วเบาลงบนแท่นเล็กที่แกะเป็นลายมังกรพัวพันบุปผาเมฆ ก่อนจะปล่อยมือช้า ๆ ราววางภาระที่หนักอึ้งออกจากอก

ในห้วงขณะนั้นเอง เปลวเทียนใกล้ ๆ ไหวระริกเล็กน้อย คล้ายลมพัดผ่าน ทั้งถิงเยว่าและอาหลิวหันสบตากันโดยไม่ตั้งใจ

สือเหล่าซือไท่ยิ้มบาง “ดีแล้วเพคะ ของที่พลัดพรากไปได้กลับคืนที่ ย่อมสงบ”

ไทเฮาพยักหน้า คล้ายโล่งใจ ที่บุตรสาวของตนเองจะหายจากอาการประหลาด

“ต่อไปเป็นพิธีสะเดาะเคราะห์เพคะ”

“เชิญสือเหล่าซือไท่นำทางเถิด”

เจ้าอารามจึงเดินนำไปยังห้องพิธี พอถึง นางก็เอ่ยสั่งการ แม่ชีสองรูปยก ขันศิลาหยก ใส่น้ำพุจากบ่อบนเขา มีดอกเหมยขาวสองสามดอกลอยหน้า น้ำจึงมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ชื่นใจ อีกสองรูปวาง ถาดกำยาน กับ เชือกด้ายห้าสี และ ผ้าแพรแดงแผ่นเล็ก ที่เขียนช่องว่างสำหรับชื่อและวันเดือนปีเกิด

สือเหล่าซือไท่ประนมมือ “พิธีกล่าวเริ่มด้วยการ ‘คืนคำ คืนใจ’ ต่อหน้าองค์พระ จากนั้น ‘ล้างซวย’ ชำระเคราะห์ด้วยควันกำยานและน้ำศักดิ์สิทธิ์ แล้วผูกโชคด้วยด้ายห้าสี สุดท้ายเผา ‘เคราะห์ลายลักษณ์’ ให้ลมพาเคราะห์ร้ายไป เพคะ”

ถิงเยว่คุกเข่าหน้ากระถางกำยาน หลีไทเฮาประคองไหล่บุตรสาวเบา ๆ อากุ่ยกับอาหลิวยืนก้มหน้าเงียบ สือเหล่าซือไท่เคาะ ไม้ปลากลวง จังหวะช้า ๆ ให้เสียงนำสวด แม่ชีทั้งวิหารขับบทสวดกังวานเป็นคลื่นอ่อน ๆ

“ขอให้เคราะห์ร้ายคลาย ขวากหนามหายไป ควันหอมยกชะตาร้ายหนีไป น้ำใสล้างทุกข์…”

สือเหล่าซือไท่ยื่นธูปสามดอกให้ถิงเยว่า “อธิษฐานจากใจ แล้วปักลงในกระถางเพคะ”

ถิงเยว่พนมมือ หลับตา เห็นภาพฝันร้ายแวบขึ้นมาเป็นชุด เลือดบนบันไดหิน เสียงกลองรบ และนาม “อวิ๋นโม่” ที่หลุดจากปากในฝัน นางกลืนน้ำลายอธิษฐานในใจ

“ขอให้ฝันร้ายจงคลายหายไป ขอให้ทุกคนปลอดภัย ขอให้ข้าพบเพียงสุข” จากนั้นปักธูปลงอย่างมั่นคง

“เชิญเสด็จเวียนขวารอบกระถางสามรอบเพคะ” เจ้าอารามกล่าว

ถิงเยว่เวียนประทักษิณสามรอบตามจังหวะเคาะไม้ปลา ควันกำยานลอยคลุมไหล่เบา ๆ พอครบสามรอบ แม่ชีอีกรูปยื่นผ้าแพรแดงกับพู่กันให้สือเหล่าซือไท่ นางเขียน นาม ‘หลิ่วถิงเยว่’ พร้อมวันเดือนปีเกิดลงไป ตัวอักษรคมชัด

“ต่อไป ลอดควันกำยานสามคราให้ควันพัดเคราะห์ออกจากกายเพคะ”

แม่ชีสองรูปยกกระถางกำยานสูงขึ้น ถิงเยว่ก้าวช้า ๆ ผ่านควันหอมสามครั้ง กลิ่นสนและดอกเหมยแตะปลายจมูก นางรู้สึกภายในอกเบาขึ้นเล็กน้อย

สือเหล่าซือไท่จุ่มปลายนิ้วลงในน้ำพุในขันศิลาหยก แล้วประพรมเบา ๆ ที่หน้าผาก ไหล่ทั้งสอง และหลังมือของถิงเยว่า “น้ำนี้ไหลจากยอดถานไถ่ สายน้ำไหลที่เดิม พาชะตากลับสู่ที่เดิม เพคะ”

จากนั้นนางหยิบ ด้ายห้าสี แดง เหลือง น้ำเงิน ขาว ดำ มัดข้อมือถิงเยว่าเป็นปมเล็กหนึ่งปม “ผูกไว้เจ็ดวัน ครบกำหนดจึงแก้ แล้วผูกกับกิ่งสนหน้าวิหาร ปล่อยให้ลมพาเคราะห์ไปเพคะ”

อาหลิวเผลอยิ้มโล่งอกน้อย ๆ ส่วนอากุ่ยยืดตัวขึ้นอย่างตั้งใจ สายตาแอบมองเจ้าอารามด้วยความเลื่อมใส

“บัดนี้ เขียนสิ่งที่ไม่อยากให้ติดตาม ฝันร้าย ชื่อเคราะห์ ชื่อคนที่ไม่อยากพบ ลงบน กระดาษเหลือง นี้เถิดเพคะ แล้วเราจะเผาเสีย” สือเหล่าซือไท่ยื่นแผ่นกระดาษให้ พร้อมถาดทรายทองใบเล็กสำหรับวาง

ถิงเยว่านิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจรดพู่กัน เขียนเพียงสั้น ๆ ว่า “ฝันเลือด เคราะห์ร้าย นาม ‘อวิ๋นโม่’ ”

หมึกดำยังไม่ทันแห้ง นางก็วางแผ่นนั้นลงบนถาด

แม่ชีอีกรูปจุดไฟจากตะเกียงน้ำมันงา เปลวเล็ก ๆ ไหม้กินกระดาษเหลืองอย่างรวดเร็ว เถ้าละอองถูกตักลงครึ่งช้อน ละลายในขันศิลาหยกจนจาง จากนั้นสือเหล่าซือไท่เทน้ำส่วนหนึ่งลงใน รางศิลาทิศตะวันออก ที่รับน้ำไหลลงสู่ลำธารเบื้องล่าง

“ให้เคราะห์ไหลออก ไม่หวนกลับนะเพคะ”

ส่วนที่เหลือ นางแตะปลายนิ้วจุ่มน้ำประพรมน้อย ๆ ที่รองเท้าแพรของถิงเยว่า “จากนี้ก้าวให้มั่นคง”

เสียงระฆังดังอีกห้าครั้ง สลับกับเสียงไม้ปลาเบา ๆ จังหวะค่อย ๆ ช้าลงจนหยุด ทุกอย่างกลับสู่ความเงียบสงบของวิหาร

หลีไทเฮาจับมือบุตรสาว “เป็นอย่างไรบ้าง”

ถิงเยว่ถอนหายใจยาว “รู้สึกว่าภายในอกโล่งขึ้นเพคะ…ไม่แน่นเหมือนก่อน” น้ำเสียงยังแผ่ว แต่แววตานิ่งขึ้นนิดหนึ่ง

สือเหล่าซือไท่ยิ้ม “เคราะห์ใหญ่ต้องแก้ด้วยใจที่แน่วแน่ พิธีช่วยเบิกทาง ส่วนที่เหลือ คือการไม่ปล่อยให้ ‘ความกลัว’ จูงมือเราไปไกลกว่าความจริง หากคืนนี้ยังฝัน ให้ลุกขึ้นจุดตะเกียง เขียนฝันร้าย ใส่ผ้าแดงนี้ แล้วนำไปแขวนที่ ต้นสนขาว ข้างวิหารตะวันออก พรุ่งนี้เช้าเราจะให้แม่ชีสวดปลดเคราะห์ต่อเพคะ”

เจ้าอารามหันไปสั่ง แม่ชีตัวน้อยได้นำตลับผงกำยาน และ ผ้าแพรแดงผืนเล็ก ใส่ถุงผ้าสีงาช้างมาวางบนถาด “สำหรับฉางหลันจ่างกงจู่เพคะ”

“ขอบใจ” ไทเฮารับด้วยสีหน้าผ่อนคลายกว่าเดิมเล็กน้อย

“ความกรุณาของอารามไอเจียจะไม่ลืม”

สือเหล่าซือไท่โค้งรับ “อารามถานไถ่มีไว้เพื่อชำระใจคนทั่วแผ่นดินเพคะ”

เมื่อเสร็จพิธี แดดสายเริ่มส่องเฉียงผ่านช่องหลังคา เกิดลำแสงอุ่นตกตรงแท่นหินที่วางหยกไว้พอดี ถิงเยว่าเหลียวมองหยกสีเขียวเข้มสงบนิ่ง ไม่ส่องแสง ไม่อุ่น ไม่เย็น ราวกับไม่เคยหลงทางจากที่ของมัน

อาหลิวเอ่ยเบา ๆ “คงเป็นลางดีเพคะ จ่างกงจู่”

ถิงเยว่พยักหน้า แต่ในอกยังมีเงาเบาบางของความกังวลหลบอยู่ “คืนนี้…เปิ่นกงจู่จะลองทำตามที่เจ้าอารามบอก”

นางแตะด้ายห้าสีที่ข้อมือตนเองอย่างระวัง

หลีไทเฮาโอบไหล่นางเบา ๆ “พอแล้วสำหรับวันนี้ ไปจิบชาที่ศาลาริมสระสนกันก่อน คืนนี้คงต้องค้างที่อารามแล้ว”

เมื่อขบวนจะถอยออกจากวิหารหลักสำหรับทำพิธี สายลมพัดใบสนให้สั่นไหว ระฆังเล็กที่ชายคาส่งเสียงใสอีกครั้ง ควันกำยานเส้นบางค่อย ๆ สลายหายไปในอากาศเหมือนพาความอับโชคบางส่วนให้จางหายไปด้วย

ทว่าไกลลิบ ข้างแท่นหินที่หยกถูกวางกลับคืน เปลวเทียนเล่มหนึ่งพลิกไหววูบวาบราวจะมอดดับ… ก่อนนิ่งสนิทลงเหมือนเดิม แต่หยกชิ้นนั้นกลับหายไปเสียแล้ว!

และหาด ถิงเยว่ จะสังเกตสังเกตนิด ในถุงหอมข้างเอวบัดนี้หนักกว่าปกติ แต่นางมิทันสังเกตจึงเดินตามมารดาไปดื่มชาอย่างสงบ

ใช่แล้ว…

โชคชะตายามที่ถูกกำหนดย่อมยากจะเปลี่ยน หยกชิ้นนี้ก็เช่นกัน มันพบเจ้าของที่ตามหามานานย่อมไม่ยอมถูกทอดทิ้งอีกเป็นแน่!

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terbaru

  • ข้าก็เป็นสวามีเช่นนี้   ตอนที่ ๖ || ตำหนักโซ่วเต๋อ

    ตอนที่ ๖ || ตำหนักโซ่วเต๋อแสงตะวันยามสายสาดลอดหน้าต่างบานสูงของ ตำหนักโซ่วเต๋อ ท้องพระโรงแม้สิ้นสุดการประชุมขุนนางใหญ่เมื่อครู่ แต่บรรยากาศยังอบอวลด้วยความเคร่งขรึมไท่หยางฮ่องเต้ หลิ่วเยี่ยนเฟย มิได้ทรงปล่อยขุนนางทุกคนกลับไปทั้งหมด หากทรงรั้ง ติ้งถิงโหว ซือหม่าเฉิน ผู้มากด้วยวัยวุฒิ และ เหลิ่งเส้าเสิง เสนาบดีหนุ่มผู้กำลังมาแรง ให้หารือราชกิจต่อที่ห้องทรงงานด้านข้างเหนือพระแท่นมังกรทองคำอันสง่างาม ร่างสูงในฉลองพระองค์มังกรดำปักดิ้นทองประทับด้วยพระอิริยาบถทรงอำนาจ พระพักตร์ขรึมขลัง แววพระเนตรคมกริบราวกระบี่จ้องไม่คลาย พระหัตถ์เรียวคีบแท่งหยกเคาะเบา ๆ บนโต๊ะทรงงาน ยามสดับรายงานเรื่องเสบียงกองทัพและการจัดสรรกำลังทหารจากสองขุนนางกับเรื่องการสอบเค่อจวีที่ใกล้เข้ามา ต้าเจามีธรรมเนียมการสอบเค่อสวี สามปีจัดสอบใหญ่ที่เมืองหลวงหนึ่งครั้งและปีนี่ก็ถึงวาระดังกล่าวแล้ว สองเรื่องนี้จึงถูกหยิบยกขึ้นมาหารือขุนนางทั้งสองทว่า ยังมิทันหารือถึงไหน พลันเสียงขันทีประกาศกังวานจากด้านนอกพลันแทรกขึ้น“หลีไทเฮาเสด็จ!”ทั้งสองขุนนางค้อมกายหมอบคำนับโดยพร้อมเพรียงยามร่างระหงก้าวเข้าสู่ด้านใน ความสงบแผ่ซ่านไปท

  • ข้าก็เป็นสวามีเช่นนี้   ตอนที่ ๕||ตำหนักฉางหลันกับฝันร้ายหวนคืน

    ตอนที่ ๕||ตำหนักฉางหลันกับฝันร้ายหวนคืนขบวนเสด็จเคลื่อนเข้าสู่เขตพระราชฐาน หลีไทเฮาแยกไปตำหนักฉางชิ่ง ที่อยู่ชั้นใน ส่วนหลิ่วถิงเยว่นั้นมีตำหนักของตนเองแล้วอยู่ชั้นนอก ตั้งแต่อายุเจ็ดขวบ หลังได้รับฐานันดร ฉางหลันจ่างกงจู่ยามที่ทั้งสองแยกเป็นสองขบวนขึ้นเกี้ยวเกียรติยศก็เป็นเวลาที่ฟ้าเพิ่งโปรยแสงสุดท้ายเหนือแนวกำแพงสูงใหญ่ แสงไฟจากโคมแขวนหลายร้อยดวงส่องระยิบระยับตามทางเดินหินอ่อน จนทอดเงาเรียงรายดุจดวงดาวกลางรัตติกาลตำหนักฉางหลัน ตั้งตระหง่านอยู่ทางทิศตะวันออกของพระราชวัง เป็นหนึ่งในตำหนักขนาดใหญ่ที่สุดรองจากตำหนักของฮ่องเต้และไทเฮา ตัวตำหนักก่อด้วยไม้ประดู่และไม้อู่ถงแกะสลักหลังคามุงกระเบื้องเคลือบสีส้มอมแดง ปลายสันหลังคาโค้งสูงประดับรูปหงส์คู่ ด้านหน้ามีลานศิลาเรียงยาวทอดตรงสู่บันไดหินแกะลายเมฆมงคลหลายสิบขั้นทันทีที่เกี้ยวไม้ลงลักษณ์ปิดทองประดับด้วยไข่มุกหยุดลง ณ ลานหน้าตำหนัก ขันทีและนางกำนัลที่รอรับอยู่แล้วต่างหมอบกราบพร้อมเปล่งเสียงดังกังวาน“ถวายพระพร ฉางหลันจ่างกงจู่!”นางกำนัลในตำหนักฉางหลัน มีราว หกสิบคน แต่งกายในชุดผ้าแพรสีชมพูอ่อน คาดเอวด้วยผ้าสีแดงเลือดนก ทำหน้าที่ทั้งด

  • ข้าก็เป็นสวามีเช่นนี้   ตอนที่ ๔ ||ร้านอันเหมียนถังและสกุลซือหม่า

    ตอนที่ ๔ ||ร้านอันเหมียนถังและสกุลซือหม่าหลังขบวนเสด็จของสองสตรีคนสำคัญของต้าเจาจากไปแล้ว ถนนเส้นใหญ่กลับมาคึกคักดังเดิม พ่อค้าแม่หาบเร่แผงลอยส่งเสียงป่าวประกาศสรรพคุณสินค้าของตนเองให้คนที่เดินผ่านไปมาหันมาสนใจสินค้าหน้าร้านตนเองผู้คนหลั่งไหลพลุกพล่าน ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ทว่าปลายถนนกลับมีร้านหนึ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่อยากเฉียดใกล้หากไม่จำเป็นแต่กลับเป็นร้านที่ฮวงจุ้ยโดดเด่น ร้านดังกล่าวมีชื่อว่า......อันเหมียนถังหน้าร้านแขวนโคมกระดาษสีขาว สลักตัวหนังสือคำว่า “หลับใหลอย่างสงบ” ริ้วผ้าขาวพาดเหนือป้ายไม้สีหม่นที่จารึกชื่อร้านชัดเจน ยามลมพัดเงาโคมไฟไหวระริก เงาทอดลงพื้นดุจวิญญาณเร่ร่อนชวนผู้ผ่านทางขนลุกขนพอง ผู้คนที่เดินมาเพียงเหลือบมองก็มักเบี่ยงหลบ หรือข้ามถนนไปอีกฟากเพื่อหลีกเลี่ยงกลิ่นอวลชื้นของกำยานและสมุนไพรประตูไม้สีดำเปิดแง้ม กลิ่นไม้สนผสมขี้ผึ้งที่ใช้เคลือบโลงโชยคลุ้งไปกับกลิ่นเย็นของใบส้มโอ กานพลู และดอกเบญจมาศแห้ง บรรยากาศข้างในกว้างใหญ่แต่ขรึมเงียบสงบ ริมผนังเรียงรายด้วยโลงศพหลากหลายแบบบางใบสลักลายเมฆ ลายดอกเหมย บางใบเรียบง่ายสงบเสงี่ยมโต๊ะเก็บเงิน

  • ข้าก็เป็นสวามีเช่นนี้   ตอนที่ 3 || อู่จั๋วซือหม่า

    ยามเหม่า แสงยามเช้าพลางฟ้าเพิ่งสาดสีเงินอ่อน ๆ ลงเหนือทุ่งหมู่บ้านนอกนคร เสียงนกการ้องดังอยู่บนกิ่งไม้แห้ง บริเวณบ่อร้างกลางหมู่บ้านชานเมืองจิ้งโจวบัดนี้กลับคลาคล่ำด้วยผู้คนศพหนึ่งถูกดึงขึ้นจากน้ำ วางไว้บนพื้นหญ้าชื้น มีกลิ่นเน่าคละคลุ้งจนชาวบ้านพากันปิดจมูก บ้างหันหน้าหนี บ้างอาเจียนจนตัวงอ มีเด็กหลายคนที่ตามบิดามารดามาด้วยถึงกับร้องไห้เสียงแหลมผู้ที่ยืนอยู่กลางฝูงชนในวันนี้ คือบุรุษหนุ่มในชุดยาวสีน้ำเงินเข้มเรียบง่ายสะอาดสะอ้าน ใบหน้าเรียบนิ่งไม่แสดงอารมณ์ ดวงตาคมเข้มภายใต้คิ้วหนา ดูเย็นชาราวน้ำแข็งเขาคือซือหม่าหยาง คุณชายสามแห่งตระกูลซือหม่า ผู้ไม่เดินตามรอยบิดา บรรพบุรุษ หรือพี่ชายพี่สาวในฐานะแม่ทัพ หากแต่เขาเลือกทางตนเองด้วยการเป็น หมอชันสูตรศพ หรืออู่จั๋ว ประจำศาลต้าหลีทหารรักษาการณ์ประจำหมู่บ้านโค้งตัวรายงาน “ศพนี้พบตั้งแต่ยามสองเมื่อคืน ก่อนรุ่งสางจึงลากขึ้นมาขอรับ (*) อู่จั๋วซือหม่า”ซือหม่าหยางพยักหน้า รับคำในลำคอสั้น ๆ ก่อนก้าวเข้าใกล้ศพที่เพิ่งวางบนเสื่อฟาง กลิ่นเหม็นคลุ้งยิ่งแรงเมื่อผ้าคลุมถูกเปิดออก ชาวบ้านหลายคนถอยกรูดด้วยสีหน้าขาวซีด กับภาพศพคนตายที่ขึ้นอืดคนยากจะจำ

  • ข้าก็เป็นสวามีเช่นนี้   ตอนที่ 2 ||คืนหยกที่อารามถานไถ่

    สายลมต้นยามเฉินพัดกลิ่นสนหอมจาง ๆ ลอยมาจากเชิงเขา ถานไถ่ สายหมอกบางลอยต่ำไปตามยอดไม้ เมื่อขบวนเสด็จเลี้ยวผ่านซุ้มประตูอาราม เสียงระฆังทองดังรับสามครั้งกังวานไปทั้งหุบเขาบนลานหินหยกหน้าวิหารใหญ่ แม่ชีในจีวรสีหม่นเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบ สือเหล่าซือไท่ เจ้าอารามผู้สูงวัย ยืนรออยู่เบื้องหน้า ผมสีเงินเกล้ามวยเรียบ ใบหน้าสงบสว่างราวแสงยามเช้า นางประนมมือคำนับงดงาม“ถวายคำนับ หลีไทเฮา และ ฉางหลันจ่างกงจู่ อารามถานไถ่ยินดีต้อนรับเพคะ”ไทเฮายิ้มบาง ๆ รับคำ พลางพยักหน้าให้ขันทีและนางกำนัลถอยเป็นระยะพอเหมาะ เหลือเพียงข้ารับใช้คนสนิทสองสามนาง รวมถึง อาหลิว อากุ่ย และหลิวหมัวมัว กับติ้งกงกง ที่ตามเฝ้าฉางหลิงจ่างกงจู่ไม่ห่างสือเหล่าซือไท่เชื้อเชิญเข้าไปในวิหารใหญ่ พื้นศิลาขาวสะอาดสะท้อนเงาเปลวเทียนเป็นสาย ๆ กลางวิหารตั้ง พระประธานหินขาว สูงตระหง่าน กระถางกำยานสามขาตั้งเรียงด้านหน้า ควันหอมลอยเป็นเส้นบางขับให้บรรยากาศยิ่งสงบ“ฉางหลิงจ่างกงจู่ นำหยกกลับไปวาง ‘ที่เดิม’ เถิดเพคะ ที่ซึ่งหยิบจากมา ถือว่าคืนเจ้าของดังเดิม” เสียงสือเหล่าซือไท่เรียบอ่อน แต่มีน้ำหนักหลีไทเฮา พยักหน้าเรียกถิงเยว่าเบา ๆ “อ

  • ข้าก็เป็นสวามีเช่นนี้   ตอนที่1 ||หยกเปลี่ยนชะตา

    แสงอรุณทอประกายเหนือกำแพงสูงใหญ่ของ นครจิ้งโจว เมืองหลวงแห่งอาณาจักรต้าเจา มองจากมุมสูงจะเห็นยอดหลังคาพระราชวังสีทองอร่ามสลับกระเบื้องมรกตลุกวาวดุจคลื่นทะเลในยามเช้ามหานครจิ้งโจว แห่งนี้คือศูนย์กลางแห่งความรุ่งเรือง ผู้คนต่างเรียกขานว่า ‘หัวใจแห่งต้าเจา’ ถนนสายใหญ่ทอดตรงจากประตูเมืองสู่พระราชวัง ที่ประดับพื้นด้วยหินอ่อนที่ปูเรียงกันเป็นแนวยาวเป็นประกายวาววับเมื่อแสงแดดสาดส่องสองฟากถนนหลวงสายหลักเต็มไปด้วยหอคณิกาหรูหรา โรงสุรามีชื่อ และโรงน้ำชาที่ขุนนางและนักปราชญ์แวะเวียนไม่ขาด เสียงพิณขับกล่อมแว่วจากหน้าต่างชั้นสองคลอเคล้ากับเสียงหัวเราะรื่นเริงของบรรดานักกวีมีร้านผ้าไหมจากแดนซูโจวแขวนแพรพรรณหลากสีงดงาม ล่อตาล่อใจสตรีในตระกูลสูงศักดิ์ให้หยุดชมตลาดย่านตะวันออกอบอวลด้วยกลิ่นเครื่องเทศหอมกรุ่นจากแดนไกล หีบชาเขียวจากแคว้นหนานหรงกองสูงเป็นภูเขาถัดไปเป็นร้านขายหยกและทองคำที่เปล่งประกายราวภูผาเงินภูผาทอง เสียงพ่อค้าเรียกลูกค้าขายแข่งกันดังขรม ขณะที่เกวียนสินค้าจากหัวเมืองต่างก็ทยอยเข้ามาในนครไม่ขาดสายเหนือหลังคาร้านค้าเป็นหอชมวิวสูงเสียดฟ้า แขวนระฆังทองทุกทิศ เมื่อกระแสลมพัดผ่าน เสียง

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status