ณ เมืองฝู แคว้นเยี่ยน
ด้านหลังอารามเต๋าแห่งหนึ่ง นักพรตเฒ่านั่งยอง ๆ ยกฝ่ามือขึ้นลูบปิดเปลือกตาของเด็กน้อยวัยสามขวบ ผู้ซึ่งถูกสัตว์ร้ายคร่าชีวิตไป นางเดินเล่นอยู่หลังอารามเหมือนเช่นทุกวัน งูพิษร้ายผ่านมาฉกเข้าที่ขาจนสิ้นใจตาย
“อนิจจาวาสนาเด็กน้อยได้ดับสิ้นลงแล้ว จี้คงเตรียมพิธีสวดส่งวิญญาณให้นางเถอะ”
นักพรตเฒ่าสั่งการลูกศิษย์ตัวน้อย หันหลังหมายจะเดินกลับไปยังที่พักของตน
“ขอรับท่านอาจารย์” จี้คงขานรับคำสั่ง หันไปเตรียมสิ่งของสำหรับทำพิธีสวดส่งวิญญาณผู้ตาย
ทว่าผ่านไปเพียงอึดใจเดียว
“อ๊ากกก ! มีผี !” เสียงกรีดร้องดังลั่น ร่างเล็ก ๆ ของเขาวิ่งไปหลบอยู่ด้านหลังผู้เป็นอาจารย์
“จี้คงมีอะไร”
“นะนางลืมตาขอรับท่านอาจารย์” เด็กน้อยชี้นิ้วสั่น ๆ ไปที่ศพบนพื้น
“ว่าอย่างไรนะ” นักพรตเฒ่ารีบตรงไปคุกเข่าอยู่ด้านข้างศพ เห็นเปลือกตาของนางขยับไปมา ก่อนจะปรือลืมขึ้นอย่างลำบากยากเย็น
“นี่มัน...เป็นไปไม่ได้”
รีบคว้าข้อมือของเด็กน้อยมาจับชีพจรดู ดวงตาของนักพรตเฒ่ามืดมนลงในทันที แตะนิ้วทำนายชะตา นี่มันคือการสลับร่างเปลี่ยนวิญญาณ ดึงตัวลูกศิษย์ถอยหลังไปสามก้าว
“ผีร้ายตนไหนกล้ามาสวมร่างคนตาย จงออกไปเสีย !”
ผีร้ายที่ว่ากำลังมึนงงกับเหตุการณ์ตรงหน้า จำได้ว่าเธอกำลังขับรถกลับบ้าน ใช่แล้ว เกิดอุบัติเหตุขึ้น มีรถบรรทุกเสียหลัก พุ่งมาชนรถของเธอ จากนั้นทุกอย่างก็ดับวูบไป
ท่าทางเหม่อลอยไร้สติของนางทำนักพรตเฒ่าหวาดระแวงในทันที เตรียมหยิบยันต์ป้องกันภูตผีออกมา
ขณะที่เด็กน้อยยกฝ่ามือของตัวเองขึ้นเพ่งมองอย่างประหลาดใจ ดวงตาคู่กลมน้อยกลอกกลิ้งไปมาอย่างสับสน
นิ้วมือสั้น ๆ นี่มันอะไร ขยับปลายเท้าเข้าหากัน ขาก็สั้น พลิกฝ่ามือตัวเองไปมา สีหน้าคล้ายคนอยากร้องไห้ นี่มันโลกถล่มใส่หัวของเธอหรืออย่างไรกัน
เปรี๊ยะ ! ยันต์ขับไล่ภูตผีถูกปาใส่นางสุดแรง ก่อนที่มันจะปลิวร่อนลงไปกองอยู่บนพื้น ยันต์ไม่เกิดการเผาไหม้ ผีร้ายยังคงอยู่ในร่างกายของเด็กน้อย
“เจ้า ๆ ๆ ออกไปจากร่างของนางเดี๋ยวนี้ !” นักพรตเฒ่าชี้นิ้วพร้อมดึงยันต์สายฟ้าฟาดออกมาอีกแผ่น นี่นับเป็นยันต์ที่ทรงพลังที่สุดของเขาแล้ว รีบปาใส่เด็กน้อยสุดแรง เปรี๊ยะ ! ทว่าไร้ผลอยู่ดี...
ตาเฒ่านี่เล่นตลกอะไรกัน...
กองถ่ายหนังรึ ?
ไม่เห็นมีคนอื่นเลย ตรงนี้มีแค่นักแสดงนักพรตกับลูกศิษย์
เด็กน้อยขยับลุกขึ้นยืน โอ้ นี่เธออายุเท่าไหร่กันแน่ สูงได้ไม่ถึงเอวของตาเฒ่าคนนี้เลย
ทันใดนั้นเด็กน้อยรู้สึกปวดศีรษะจนแทบระเบิด พร้อมเรื่องราวมากมายไหลผ่านเข้ามาในความทรงจำ เป็นชีวิตที่ผ่านมาสามปีของเจ้าของร่างเดิม ที่แท้นางก็คือก้อนเนื้อไร้ค่าที่มารดาไม่ต้องการ กระทั่งชื่อยังถูกเรียกขานว่าหยางท่ง ไร้แซ่จากตระกูลบุพการีทั้งสอง
เป็นเพราะบิดาทำร้ายจิตใจและร่างกายของมารดาจนตั้งครรภ์ จากนั้นบิดาเกิดคลุ้มคลั่งเสียสติ ถูกท่านตาของนางสังหารด้วยมือของเขาเอง เป็นความปรารถนาที่บิดเบี้ยวของบุรุษวิปลาสผู้หนึ่ง เด็กที่เกิดมาจึงไม่มีผู้ใดต้องการ ถึงขั้นส่งไปทิ้งไว้ที่หน้าประตูวัดเต๋าแห่งนี้
เจ้าอาวาสให้แม่ม่ายขาเป๋คนหนึ่ง เลี้ยงดูนางที่กระท่อมร้างด้านหลังของวัด แต่พอนางอายุได้สามขวบแม่ม่ายขาเป๋ได้พบเจอญาติจากแดนไกล ตัดสินใจเดินทางกลับบ้านเดิมไปกับพวกเขา แน่นอนว่าไม่มีใครอยากนำตัวภาระ อย่างเด็กน้อยหยางท่งไปด้วย นางจึงถูกทอดทิ้งเอาไว้ที่นี่ กระทั่งถูกงูพิษร้ายกัดจนสิ้นใจตาย
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เรื่องราวที่ผ่านดวงตาของเด็กน้อยตั้งแต่เกิดจนถึงตาย กลับชัดแจ้งอยู่ในความทรงจำของหลินลู่ฉีด้วย เป็นเรื่องราวที่แปลกประหลาดเสียจริง ทารกที่ไหนจะมีความทรงจำเช่นนี้ได้ แต่พอนึกว่าตัวเองได้สวมร่างผู้อื่นอยู่ คงไม่มีเรื่องไหนแปลกประหลาดไปกว่านี้แล้ว
เหตุการณ์ก่อนหน้านี้
ณ ยมโลก
ยมทูตหน้าใหม่กำลังร้องห่มร้องไห้ต่อหน้าหัวหน้าของตน เนื่องจากได้ดึงวิญญาณมาผิดดวง ซ้ำยังเป็นดวงวิญญาณที่เป็นดาวมงคล ก่อให้เกิดการผันผวน ในกระบวนการเวียนว่ายตายเกิดของโลกวิญญาณ
“หัวหน้าทำเช่นไรดี ๆ ฮือ ๆ”
“หยุดร้องไห้เสียที ! หากเป็นดวงวิญญาณทั่วไป มีหรือจะจัดการไม่ได้ แต่นี่นางมีปราณมงคลเด่นชัด ดวงวิญญาณเช่นนี้ไม่อาจจมสู่ยมโลกในช่วงเวลานี้ได้ มิเช่นนั้นจะเกิดหายนะใหญ่หลวงขึ้น”
ผู้เป็นหัวหน้ายมทูตครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“เช่นนั้นก็ส่งนางไปสวมร่างยังโลกอื่นเถิด ถือว่าไม่ผิดต่อกฎการเวียนว่ายตายเกิด”
ขอแค่ไม่ตกลงมาอยู่ในยมโลกก็เพียงพอ ไม่ใช่หรือ
“ส่งไปสวมร่างยังโลกอื่น” ยมทูตผู้ทำผิดถึงกับตกใจกับการชี้นำของหัวหน้า นี่มันเป็นการแหกกฎยมโลกชัด ๆ
“จะทำหรือไม่ทำ ถ้าไม่ทำเจ้าก็ไปรับโทษกับท่านยมบาลเองเถอะ”
“ทำขอรับ ๆ จะส่งนางไปเกิดยังโลกอื่นเดี๋ยวนี้แหละขอรับ”
ด้วยเหตุนี้วิญญาณของหลินลู่ฉีที่ยังไม่ถึงเวลาตาย จึงถูกส่งมาสวมร่างของเด็กน้อยเคราะห์ร้ายหยางท่ง
หลินลู่ฉีลุกขึ้นมานั่งบนตั่งด้วยความรู้สึกมึนงงเล็กน้อย ได้ยินเสียงนักพรตเฒ่ากับลูกศิษย์กำลังหารือกันเรื่องของเธอ
ในโลกปัจจุบันตอนเธอเกิดนั้น บังเอิญได้พบร่างทรงคนหนึ่งในโรงพยาบาล คนผู้นั้นได้บอกแก่มารดาเธอไว้ ว่าเธอเกิดมาพร้อมดวงชะตาสูงส่ง เป็นดวงชะตาของดาวมงคลกลับชาติมาเกิด อยู่ใกล้ใครก็ทำให้คนผู้นั้นร่ำรวยด้วยโชคลาภวาสนา เรียกว่าแทบไม่มีภัยร้ายมากล้ำกรายด้วยซ้ำ
แต่เหตุใดถึงได้ด่วนตายเร็วนัก ไม่ใช่ว่าดาวมงคลเช่นเธอ ต้องมีอายุยืนยาวนับร้อยปีหรอกหรือ และยิ่งไม่เข้าใจว่าทำไม ต้องมาสวมอยู่ในร่างของเด็กน้อยโชคร้ายผู้นี้ด้วย
หลินลู่ฉีจำเรื่องราวหลังความตายไม่ได้ รู้สึกเพียงว่าตัวเองได้ล่องลอย ตามหลังใครสักคนไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง และติดค้างอยู่ที่นั่นพักใหญ่ ๆ รู้สึกตัวอีกทีก็อยู่ในร่างของเด็กน้อยคนนี้เสียแล้ว
บานประตูห้องถูกเปิดออก นักพรตเฒ่าโยนห่อผ้าเก่า ๆ ให้เด็กน้อย
“เจ้าจงออกไปจากอารามของข้าเสีย ที่นี่ไม่ต้อนรับดวงวิญญาณชั่วร้าย”
“ฉัน เอ่อ ข้าไม่ใช่ดวงวิญญาณชั่วร้ายเสียหน่อย”
นักพรตเฒ่าไม่สนใจนาง ยืนกรานว่านางไม่สมควรอยู่ในอารามเต๋าแห่งนี้อีกต่อไป “ไปเสีย”
“ท่านไล่เด็กสามขวบออกจากวัด อีกทั้งยังเป็นเด็กที่ถูกงูกัดอีกด้วย ใจจืดใจดำเสียจริง”
หลินลู่ฉีพยายามไถลตัวลงจากตั่ง แต่เท้านางสั้นเกินไปทำเช่นไรก็ไม่สามารถลงมาได้
“เด็กสามขวบผู้นั้นดับสลายจากโลกนี้ไปแล้ว เจ้าอย่าได้เอ่ยให้ข้าขำนักเลย”
นักพรตเฒ่าแม้ไม่ได้มีวิชาเก่งกาจนัก แต่ยังพอมองออกว่า วิญญาณที่สวมร่างหยางท่งนั้นไม่ใช่เด็กอย่างแน่นอน เขาไม่อาจเลี้ยงดูดวงวิญญาณเร่ร่อน ที่มายึดร่างของเด็กน้อยผู้น่าสงสารได้ ยิ่งไม่สามารถกำจัดวิญญาณให้ออกจากร่างได้เหมือนกัน
ราวกับมีพลังบางอย่างต่อต้านเอาไว้ ทำได้ทางเดียวคือไล่นางออกจากอารามไปเสีย เด็กสามขวบจะมีชีวิตรอดข้างนอกได้อย่างไร หากนางตายอีกสักครั้งก็เป็นเรื่องถูกต้องแล้ว
หลินลู่ฉีใช้ความพยายามอย่างหนัก ไถลลงมาจากตั่งได้ในที่สุด นางจ้องนักพรตเฒ่าด้วยความไม่เข้าใจ “ท่านไล่ข้าจริงรึ”
“หากเจ้ายังไม่ไปอีก ข้าจะให้จี้คงจับเจ้าโยนออกไปเอง”
หลินลู่ฉีใช้มือน้อย ๆ คว้าห่อผ้าขึ้นมาเปิดดู ด้านในมีซาลาเปาแป้งข้าวโพดอยู่สองลูก กระบอกน้ำไม้ไผ่ไว้ดื่มอีกหนึ่งอัน ไม่มีเงินหรือเสื้อผ้าไว้เปลี่ยน ช่างยากจนจริง ๆ
“น่าเสียดายนัก หากท่านเลี้ยงดูข้าต่ออีกสักหน่อย อารามเต๋าแห่งนี้คงมีผู้ศรัทธาเพิ่มขึ้น ไหนเลยจะแร้นแค้นเช่นนี้” นางหิ้วห่อผ้าขึ้นคล้องไหล่ ก่อนเดินออกจากอารามเต๋าไปด้วยท่าทางอุกอาจ
สายตาของสองศิษย์อาจารย์แลดูซับซ้อนลุ่มลึก จี้คงผู้เป็นศิษย์เอ่ยขึ้นก่อน
“ท่านอาจารย์ไล่นางไปเช่นนี้จะดีหรือขอรับ” จี้คงเติบโตมาพร้อมกับหยางท่ง เขารู้สึกผิดไม่น้อยที่ต้องมองดูนาง ถูกไล่ออกจากอารามไปเช่นนี้
“จี้คงเอ๋ยนางไม่ใช่หยางท่ง เจ้าอย่าได้คิดเช่นนั้น”
เจ้าอาวาสไม่มีทางเลือก หากมีคนล่วงรู้ว่าเขาเลี้ยงดูวิญญาณร้ายที่มาสวมร่างผู้อื่น เกรงว่าชื่อเสียงอันน้อยนิดของตน จะพังพินาศไม่เหลือชิ้นดี สู้ตัดขาดกันไปเลยจะดีกว่า
แต่ที่ไม่เข้าใจก็คือคำพูดสุดท้ายของเด็กน้อยที่ว่า หากเลี้ยงดูนางต่อสักหน่อย จะทำให้มีผู้ศรัทธาเพิ่มขึ้น นั่นหมายความว่าอย่างไร
ด้านหน้าประตูทางเข้าวัด ป้ายอารามซานหยวนเก่าผุพัง แกว่งห้อยลงมาด้านหนึ่ง หากมีลมพัดแรง ๆ คงหล่นลงพื้นทันที หลินลู่ฉียืนนิ่งเงยหน้ามองมันอยู่กับที่ นางรู้ว่าเจ้าอาวาสทำเช่นนี้เพราะไม่อยากเกี่ยวข้องกับนาง ที่เป็นดวงวิญญาณมาสวมร่างผู้อื่น
แต่จากความทรงจำของหยางท่งแล้ว อารามเต๋าแห่งนี้คือบ้านของนาง เป็นไปได้นางอยากตอบแทนบุญคุณสถานที่แห่งนี้ แทนเจ้าของร่างสักครั้ง
“เอาเถอะหากข้าร่ำรวยเมื่อใด จะกลับมาบริจาคน้ำมันตะเกียงให้มากหน่อยก็แล้วกัน” นางเอ่ยเพียงเท่านี้ก็หันหลังเดินจากไป
บทที่ 11 : ก้อนหินนี่นา ราวสองเค่อพวกเขาได้เดินมาถึงแหล่งเก็บผักป่าของชาวบ้าน แถวนี้เหลือผักป่าให้เก็บไม่มากนัก ฉินซื่อมองไปทางท่านยายหมี่ เอ่ย “ท่านนั่งเล่นกับเด็ก ๆ ใต้ต้นไม้เถอะเจ้าค่ะ ผักป่าตรงนี้มีไม่เยอะ ข้าเก็บครู่เดียวก็หมดแล้ว” “ได้ ๆ เจ้าไปเถอะ” ท่านยายหมี่เดินไปนั่งลงใต้ต้นไม้ มองเด็ก ๆ วิ่งเล่นไปมา เป็นช่วงเวลาที่แปลกใหม่สำหรับหญิงชรา เพิ่งเข้าใจคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้าน ที่มักมาอวดลูกอวดหลานอยู่เสมอ เด็กน้อยน่ารักเพียงนี้ ทว่าแอบผอมแห้งไปเสียหน่อย หากได้บำรุงเรื่องอาหารการกินดี ๆ คงอวบอ้วนกลายเป็นซาลาเปาก้อนน้อย ๆ มีหรือคนเห็นจะไม่รักไม่หลงได้ นางคิดไปไกลเกินตัวเสียแล้ว&nbs
บทที่ 10 : เย้ ๆ ข้ามีน้ำตาลกิน...แล้ว ด้านหลังหมู่บ้านหยางฮัว ในเรือนท่านยายหมี่ ทุกคนตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ด้วยความเกรงใจเจ้าของเรือน หวงชางหาบถังไม้ไปตักน้ำที่ลำธาร ฉินซื่อทำอาหารเช้าให้ท่านยายหมี่ หวงจื่อถงทำความสะอาดลานบ้าน มีเพียงเด็กน้อยสองคน ที่นั่งแกว่งเท้าไปมา ไม่รู้จะทำอะไรเหมือนกัน “ฉินซื่อเจ้าต้มโจ๊กน้อยไป” ท่านยายหมี่ตำหนินางหลังเดินมาด้านหลังเงียบ ๆ “ท่านยายหมี่ตื่นแล้วหรือเจ้าคะ ข้าต้มโจ๊กให้ท่านคนเดียว ประเดี๋ยวพอพี่ชางตักน้ำเต็มถังแล้ว พวกเราจะพากันไปเก็บผักป่าบนภูเขาเจ้าค่ะ” ฉินซื่อรีบบอก ด้วยเกรงว่าท่านยายหมี่จะหาว่านางถือวิสาสะใช้เสบียงของท่าน “เจ้านี่มันยังไง
บทที่ 12 : ท่านยายหมี่ข้ากับถงเอ๋อร์ได้ไก่ป่ามาหนึ่งตัวขอรับ เมื่อกลับไปถึงเรือนของท่านยายหมี่ พบหม่าซูเหวินมายืนชะเง้อคอมองเข้าไปในเรือนอยู่ก่อนหน้าแล้ว “เหวินเอ๋อร์มาหายายหรือลูก” ท่านยายหมี่ทักถามนาง “ข้านึกว่าพวกท่านอยู่ในเรือนกัน ข้ามาดูครอบครัวพี่ชายหวงชางเจ้าค่ะท่านยายหมี่” หม่าซูเหวินได้รับการไหว้วานจากผู้เป็นย่า ให้มาสอบถามความเป็นอยู่ของคนบ้านสาม “เข้าบ้านก่อนค่อยคุยกัน” ท่านยายหมี่เดินนำหน้าทุกคนเปิดประตูเข้าไปในเรือน ไม่มีน้ำชาต้อนรับแขก ฉินซื่อจึงนำน้ำร้อนออกมาวางไว้บนโต๊ะแทน “ขอบคุณพี่สะใภ้สามเจ้าค่ะ”&nbs
บทที่ 8 : เจียงชุน หลินลู่ฉีทนสังขารของเด็กสามขวบไม่ไหว นางหลับบนหลังของหวงชางไปตลอดเส้นทาง รู้ตัวอีกทีก็ถึงหน้าเรือนของท่านยายเจียงแล้ว แม้จะอยู่ในชนบทแต่เรือนของท่านยายเจียงกลับสร้างด้วยอิฐ ซึ่งแตกต่างจากบ้านของชาวบ้าน ที่ส่วนใหญ่สร้างด้วยดิน หมู่บ้านหยางฮัวมีคนสร้างบ้านด้วยอิฐเพียงสองหลังเท่านั้น คือของผู้ใหญ่บ้านกับท่านยายเจียง หลินลู่ฉีมองสำรวจด้วยสายตาคร่าว ๆ หมู่บ้านแห่งนี้อยู่ด้านหน้าภูเขา มีราวห้าสิบหลังคาเรือนเท่านั้น คงมีชาวบ้านราว ๆ สองร้อยกว่าคน ท่านยายเจียงแลดูจะตกใจ กับจำนวนลูกหลานเหลนที่มาพึ่งพาเกือบยี่สิบคน ทว่าท่านกลับให้การต้อนรับเป็นอย่างดี “ท่านน้าข้าลี้ภัยมาพึ่งใบบุญของท่าน ไม่คิดว่าจะถูกตระกูลหม่า ขับไล่ออกมาเหมือนหมูเหมือนหมาเช่นนี้” นางเจียงร้อ
บทที่ 7 : ไปให้พ้น ! ที่นี่ไม่มีอนุภรรยาแซ่เจียง หลินลู่ฉีอยากลงเดินเพื่อให้หวงชางได้เบาหลังบ้าง แต่พอนางเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็ทิ้งระยะห่างจากคนตระกูลหวงเสียแล้ว โทษใครได้ขานางสั้นเกินไปจริง ๆ “เจ้าอยากเดินนักเป็นอย่างไรล่ะ” หวงจื่อถงจิ้มจมูกเล็ก ๆ ของนาง “มาขี่หลังข้า ให้ท่านพ่อได้พักบ้าง” เขาย่อตัวลงหวังให้น้องสาวตัวน้อยได้ขี่หลัง หลินลู่ฉีมองดูร่างผอมแห้งของเขาแล้วหนักอึ้งในใจ นางเงยหน้าขึ้นมองหวงชางกับฉินซื่อ “ให้พี่ชายของเจ้าลองดู ไหวหรือไม่เดี๋ยวก็รู้” หวงชางยิ้มระหว่างมองสบสายตากับเด็กน้อย เป็นอย่างที่คิดจริง ๆ ไม่ถึงครึ่งลี้หวงจื่อถงก็ไม่ไหวเสียแล้ว เป็นหวงชางที่ต้องแบกหลินลู่ฉีต่อไป ส่
บทที่ 9 : เช่าเรือนท่านยายหมี่ ไม่ช้านางหูก็กลับมาพร้อมข่าวดี ท่านยายหมี่ยินดีให้เช่าเรือนส่วนหนึ่ง เรื่องค่าเช่าแล้วแต่ผู้ใหญ่บ้านจะกำหนดให้ นางไม่เรื่องมาก ขอแค่มีรายได้เข้ามาบ้างก็เป็นพอ คืนนี้สามารถเข้าไปอาศัยอยู่ที่เรือนของนางได้เลย “ท่านยายจ่ายค่าเช่าล่วงหน้าให้ข้าตั้งหนึ่งเดือน ข้าไม่รู้จะตอบแทนท่านยายอย่างไรดี ขอบคุณท่านยายมากขอรับ” หวงชางคุกเข่าลง โขกศีรษะคำนับให้ท่านยายเจียง “เหลวไหลอันใด รีบลุกขึ้นได้แล้ว เจ้าเป็นหลานชายข้า เงินแค่ไม่กี่สิบอีแปะข้าจะออกให้ไม่ได้รึ” ท่านยายเจียงโบกมือใส่เขาคล้ายโมโห นางไม่ได้บอกคนตระกูลหวง ว่าตัวเองมีรายได้จากช่องทางไหน แต่แอบกำชับผู้ใหญ่บ้านก่อนออกมา ไม่ให้บอกเรื่องให้เช่าที่นาเกือบร้อยหมู่กับญาติของนาง&nb