“ยายเฒ่าเจ้าทำให้ท่านน้าโกรธแล้ว”
หวงจงใช่ว่าจะเห็นด้วยกับภรรยา แต่เขาไม่กล้าโต้แย้งออกมา ลึก ๆ แล้วเขาเองก็ไม่ได้รักใคร่บุตรชายคนที่สาม เทียบเท่ากับบุตรชายอีกสองคนของตนเอง
“แล้วจะให้ทำอย่างไร บ้านสามมีคนแบ่งปันอาหารให้แล้ว ยังจะต้องแบ่งอะไรให้อีก ดูหลานชายของข้าสิ ตัวผอมแห้งแรงน้อยขนาดนี้ ไม่กินอิ่มได้รึ” ว่าแล้วก็ลูบศีรษะของหวงชุนฟงกับหวงหลินอี้ไปด้วย
เด็กสาวสองคนจากบ้านรอง ถึงกับมองสบสายตากันปริบ ๆ อาหารนั่นไม่ตกถึงท้องพวกนางแม้แต่คำเดียว กลับเป็นหลานชายสองคนจากบ้านใหญ่ที่ได้รับผลประโยชน์ไป ในสายตาของหวงหลันฮวาที่มีอายุเจ็ดปีแล้ว นางเข้าใจได้ถึงความลำเอียงของท่านย่าเป็นอย่างดี แต่น้องสาววัยสี่ขวบของนางนั้น กลับไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด พร่ำแต่ถามว่าเหตุใดตนถึงกินของนั่นไม่ได้
หม่าซูเหวินเดินตามผู้เป็นย่าเข้าไปในห้องนอนของท่าน คนเหล่านั้นมาอาศัยอยู่แค่วันสองวัน ก็สร้างปัญหาให้ท่านย่าของนางเสียแล้ว “ท่านย่าอย่าโกรธไปเลยเจ้าค่ะ”
“เดิมทีย่าว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ถึงอย่างไรหวงชางก็เป็นหลานของย่าคนหนึ่ง ไม่เข้าใจจริง ๆ คนเป็นแม่จะลำเอียงลูกในไส้ของตัวเองขนาดนี้ได้อย่างไร”
“คนบางคนก็ใช้หลักเหตุผลไม่ได้ ท่านย่าจะให้พวกเขาอยู่กับเราไปแบบนี้หรือเจ้าคะ”
“เหวินเอ๋อร์เจ้าถึงวัยออกเรือนแล้ว หากพวกเขามาอยู่กับย่า ย่าย่อมมีคนคอยดูแลพึ่งพาอาศัยได้ แม้นิสัยของอาเหมยจะเป็นแบบนั้น แต่นางก็คือหลานสาวของย่า สายเลือดเดียวกันย่อมตัดกันไม่ขาด”
หม่าซูเหวินทำหน้าเศร้า เอ่ย “ท่านย่าข้ายังไม่อยากออกเรือน”
“เด็กโง่ สตรีเมื่อถึงวัยก็ต้องออกเรือนกันทั้งนั้น อีกไม่กี่วันย่าจะเรียกแม่สื่อมาคุยเรื่องนี้ หมั้นหมายกันไว้ก่อนก็ยังดี”
หม่าซูเหวินเข้าใจธรรมเนียมปฏิบัตินี้ดี การหมั้นหมายของนางย่อมขึ้นอยู่กับท่านย่าเพียงผู้เดียว นางเชื่อมั่นว่าท่านจะต้องเลือกคู่ครองที่ดีให้แก่นาง ทว่าคนดีคนชั่วนั้นไหนเลยจะดูออกได้ในเวลาอันสั้น
“น่าเสียดายการหมั้นหมายก่อนหน้า ไม่น่าเลยจริง ๆ”
“เรื่องมันผ่านไปแล้ว ท่านย่าอย่าไปเอ่ยถึงมันเลยเจ้าค่ะ บางทีนั่นอาจไม่ใช่การหมั้นหมายที่ดีนัก”
หม่าซูเหวินเม้มปากเข้าหากันแน่น คนผู้นั้นจะให้นางเป็นอนุภรรยา ทั้งที่หมั้นหมายเป็นภรรยาหลัก มีหรือนางจะยอมรับเรื่องนี้ได้ ภายหลังจึงได้เกิดการถอนหมั้นกันขึ้น
“ไม่เอ่ยถึงแล้วเจ้าก็ไปพักผ่อนเถอะ เรื่องของคนเหล่านั้นผ่านไปสักสามสี่วัน ย่าจะหาทางตัดสินใจเอง ว่าจะให้พวกเขาอยู่หรือไป”
“เจ้าค่ะท่านย่า ท่านก็นอนหลับพักผ่อนได้แล้ว”
“ได้ ๆ เจ้าออกไปเถอะ” หญิงชราโบกมือไล่หลานสาวให้ออกจากห้องนอนของตนเองไป
ภายในห้องนอนของนางเจียง ดวงตาของนางหลุกหลิกเหมือนกำลังคิดหาทางออกให้กับครอบครัว ผู้เป็นสามีเองก็พลอยนอนไม่หลับตามไปด้วย
“ยายเฒ่าเจ้านอนไม่หลับรึคิดอะไรอยู่” ผู้เป็นสามีเอ่ยถาม
นางเจียงรีบพลิกตัวหันกลับมามองสามี แล้วกระซิบเบา ๆ กับเขา “ข้ากำลังคิดว่าหากซูเหวินแต่งงานออกไปแล้ว ที่นี่ก็เหลือเพียงแค่ท่านน้าคนเดียว”
“แล้วอย่างไร”
“ตาเฒ่าเจ้าลองคิดดูนะ เหลือท่านน้าเพียงคนเดียว ท่านน้าปีนี้ก็คงหกสิบปีแล้ว จะอยู่ได้อีกกี่ปีกัน เรือนหลังนี้ก็ต้องตกเป็นของพวกเราถูกไหม”
“จะเป็นไปได้อย่างไร เกรงว่าท่านน้าจะยกให้หลานสาวมากกว่า”
“สตรีออกเรือนก็เหมือนน้ำที่ถูกสาดออกไป”
“แต่นั่นคือหลานสาวคนเดียวของท่านน้า เรือนหลังนี้ไม่มีทางตกถึงมือพวกเราหรอก เจ้าอย่าคิดฝันให้มากนักนอนได้แล้ว” หวงจงไม่คิดว่าท่านยายเจียงจะตายเร็วถึงเพียงนั้น คนเฒ่าคนแก่บางคนอายุยืนยาวถึงร้อยปีก็มี
แต่ในใจของเจียงซื่อกลับละโมบโลภมาก นางตั้งใจจะอยู่ที่นี่ไปนาน ๆ สักวันเรือนหลังนี้ต้องตกอยู่ในกำมือของนางอย่างแน่นอน
เช้าวันต่อมา
ท่านยายเจียงทนมองดูหวงชางกินข้าวเรือนท่านยายหมี่อีกต่อไปไม่ได้ เข้าวันที่สามนางจึงมอบเสบียงเป็นแป้งขาวสองจิน ข้าวสารอีกสี่จิน ให้พวกเขาได้กินอยู่โดยไม่เดือดร้อน
“มันต้องอย่างนี้สิ ถึงจะถูกต้อง” ท่านยายหมี่เอ่ย แล้วหันไปโบกมือไม่ให้สองสามีภรรยาปฏิเสธ
“ท่านย่าไม่ได้มาด้วยตัวเอง ให้ข้ามามอบให้แทนเจ้าค่ะ”
หม่าซูเหวินมองเสบียงที่มอบให้อย่างละอายใจเล็กน้อย เพราะคนตระกูลหวงอยู่กินข้าวที่เรือนของนาง มีทั้งเนื้อทั้งไข่ทั้งผัก แต่ครอบครัวของหวงชางกลับได้แค่ข้าวสารกับแป้งขาวเพียงเล็กน้อย
หวงชาง “น้องซูเหวินฝากเจ้าไปขอบคุณท่านยายแทนข้าด้วย”
“ข้าจะบอกให้เจ้าค่ะ อ้อ อีกเรื่องพี่ชายใหญ่กับพี่ชายรองได้งานทำในอำเภอแล้วนะเจ้าคะ”
“ได้งานทำแล้ว ดีจริง ๆ” หวงชางเอ่ยออกมาจากใจจริง
“เจ้าค่ะเป็นงานแบกหามที่ท่าเรือ เห็นว่าได้วันละสามสิบอีแปะ”
“เอ่อ แล้วพี่ชายทั้งสองได้ฝากงานให้ข้าบ้างไหม”
ก่อนหน้าเขาเคยฝากให้พี่รองหางานให้ เพราะเขาพักอาศัยอยู่ในเรือนของผู้อื่น จำเป็นต้องออกไปหาเสบียงมาประทังชีวิตก่อน เพราะตอนนั้นยังไม่ได้เงินจากโชคลาภของหลินลู่ฉี
“เรื่องนั้นไม่เห็นพวกเขาเอ่ยถึง” หม่าซูเหวินก้มหน้าลงคล้ายอึดอัดใจ
“หวงชางเจ้าไม่ต้องคิดมากไป ว่าง ๆ เข้าไปหางานทำที่อำเภอด้วยตัวเองก็ได้ ยังมีงานอีกเยอะแยะให้เจ้าเลือกทำ” ท่านยายหมี่ปลอบใจเขา
“ขอรับ” หวงชางพยักหน้าพร้อมยิ้มตอบรับท่าน
หลินลู่ฉีนั่งเล่นเชือกอยู่กับผู้ใหญ่ ส่วนหวงจื่อเหยานั่งเขี่ยดินหาไส้เดือนกับพี่ชายอยู่ในสวนด้านข้าง เด็กน้อยเหมือนไม่สนใจคำพูดของใหญ่ ก้มหน้าก้มตาเล่นพันเชือกรอบปลายนิ้ว แต่ความจริงแล้วกำลังประเมินสถานการณ์ของทุกคนอยู่
เมื่อหม่าซูเหวินกล่าวลาเดินจากไปแล้ว หวงชางได้บอกกับทุกคน เรื่องเขาเคยฝากพี่ชายหางานให้ด้วย แต่เกรงว่าอีกฝ่ายคงลืมไปแล้ว
ท่านยายหมี่แค่นเสียงออกมาคำหนึ่ง ตั้งแต่พวกเขามาอยู่เรือนของนาง คนตระกูลหวงไม่เคยมาเยี่ยมเยียนเลยสักครั้ง มีก็แต่หม่าซูเหวินที่แวะเวียนมาถามไถ่ ยังเป็นคนนำเสบียงมาให้วันนี้อีกด้วย
หวงชาง “ข้าจะแวะไปหาพี่ชายที่เรือนของท่านยาย อาอี้เจ้าไปด้วยกันดีไหม พวกเรามาอยู่ที่นี่หลายวันแล้ว ไม่ได้ไปเยี่ยมเยียนท่านยายกันเลย”
“ดีเหมือนกันพี่ชาง ถงเอ๋อร์พาน้อง ๆ ไปล้างมือให้เรียบร้อย เราจะไปหาท่านยายกัน” ฉินซื่อหันไปบอกบุตรชายขอตน
“ขอรับท่านแม่”
“ท่านป้าข้าไปด้วย” หลินลู่ฉีเอ่ยขึ้นอย่างอาย ๆ นางอยากไปดูความเป็นอยู่ของพวกเขาเหมือนกัน
“ได้ฉีฉีไปด้วย” ฉินซื่อลูบศีรษะของนางเบา ๆ น่าแปลกที่เด็กน้อยคนนี้ไม่เคยสร้างปัญหา หรือร้องไห้งอแงเลยสักครั้ง ช่างเป็นเด็กดีเสียจริง
หวงชางพาภรรยากับลูก ๆ เดินไปถึงเรือนของท่านยายเจียง
ผู้เป็นมารดาอย่างนางเจียง เห็นครอบครัวของบุตรชายคนที่สาม ก็ชักสีหน้าใส่พวกเขาในทันที
“เจ้าสามพวกเจ้าอยู่ที่โน่นดี ๆ วิ่งมาที่นี่ทำไมกัน”
“ท่านแม่ข้าพาอาอี้กับเด็ก ๆ มาเยี่ยมท่านยาย”
“เข้ามา ๆ อย่ายืนขวางหน้าประตู” ท่านยายเจียงส่ายหน้าเบา ๆ กวักมือเรียกหลานเหลนให้เข้ามาภายในห้องโถงของเรือน
หวงชางพาคนในครอบครัวคุกเข่าลงตรงหน้าท่านยายเจียง “ข้าขอขอบคุณเสบียงที่ท่านยายมอบให้ วันข้างหน้าหากมีโอกาส ข้าต้องตอบแทนบุญคุณของท่านยายอย่างแน่นอน”
“ลุกขึ้น ๆ อย่ามากพิธีไป ข้ามอบอาหารให้คนตระกูลหวงทุกคนเท่าเทียมกัน ไหนเลยจะละเลยเจ้าได้ เจ้ากินข้าวบ้านท่านยายหมี่ไป ข้าก็เกรงใจนางจะแย่อยู่แล้ว”
“ขอรับ” หวงชางเกิดความละอายใจขึ้นมา เพราะไม่ได้บอกเรื่องเงินที่หลินลู่ฉีเก็บได้กับท่านยายเจียง
พอหวงชางลุกขึ้นยืน คนอื่น ๆ ก็เดินเข้ามาในห้องโถงของเรือน นางเจียงไล่เด็ก ๆ ออกไปวิ่งเล่น มีเพียงหลินลู่ฉีที่ไม่ไป นางยืนอยู่ด้านข้างฉินซื่อ จับข้อมือของนางเอาไว้แน่น “ท่านป้าข้าไม่อยากเล่น”
“ได้ ๆ อยู่กับป้านี่แหละ”
บทที่ 252 : ฮูหยินลูกแย่งที่นอนข้า หวงชางพยักหน้าลงเล็กน้อย “ได้ต่อไปข้ากับอาอี้จะเรียกเจ้าว่าอี้หาน เจ้ากลับบ้านเดิมภรรยาทั้งที เหตุใดต้องหอบของขวัญมามากมายถึงเพียงนี้” “แค่ของขวัญเล็กน้อยเท่านั้น” หลินลู่ฉีรีบฟ้อง “ดีที่ข้าห้ามเอาไว้ก่อน ไม่อย่างนั้นสามีข้าคงขนมาทั้งคลังเป็นแน่” “เจ้าเด็กนี่เรียกสามีข้าเต็มปากเต็มคำ หน้าไม่อายจริง ๆ” ฉินซื่ออดเย้านางไม่ได้ “ท่านป้าท่านล้อข้า” “แต่งงานกันแล้วย่อมเป็นเรื่องธรรมดา อี้หานต่อไปก็รักและดูแลฉีฉีของพวกข้าให้ดี ๆ อย่าทำให้นางต้องเสียใจรู้ไหม” “ขอรับท่านป้าข้ารับปากท่าน ข้าซุนอี้หาน
บทที่ 251 : ข้าอายุสิบแปดปีเองนะ จะรีบร้อนมีลูกไปทำไม หลังจากกินมื้อกลางวันอิ่มกันแล้ว พ่อบ้านได้นำกล่องของขวัญ กับจดหมายมามอบให้หลินลู่ฉี บอกว่าเป็นของท่านอาจารย์ของนางมอบให้ในวันแต่งงาน “อาจารย์ปู่อย่างนั้นรึ” หลินลู่ฉีรีบเปิดซองจดหมายอ่านก่อนเป็นอันดับแรก เนื้อหาในนั้นเป็นการขอโทษ ที่ไม่สามารถเดินทางมาร่วมงานแต่งของนางได้ เพราะระยะทางอยู่ไกลนับพันลี้ แม้เดินทางด้วยม้าเร็วก็คงมาไม่ทันอยู่ดี จึงได้ส่งของขวัญกับจดหมายมาให้แทน นอกจากคำอวยพรแล้ว อาจารย์ปู่ยังมอบป้ายไม้แกะสลักให้นางอีกด้วย ซุนอี้หาน “นี่ป้ายอะไรกัน” “อาจารย์ปู่เขียนบอกว่า เป็นป้ายประจำตัวเจ้าของตำหนักยา” “ตำหนักยา ? นั่นไม่ใช
บทที่ 250 : เมื่อกี้ไม่ใช่ว่าทำกันไปแล้วหรือ ภายในห้องหอซุนอี้หานกำลังเงี่ยหูฟังเสียงจากนอกประตู เมื่อรู้ว่าคนเหล่านั้นไม่อยู่แล้ว จึงได้หันไปทางเจ้าสาวที่นั่งตัวแข็งทื่ออยู่บนเตียงนอน เจ้าไปนั่งบนเตียงตั้งเมื่อไหร่ ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านั่งอยู่บนเก้าอี้รึ ซุนอี้หานทั้งขำทั้งเอ็นดูนาง หลินลู่ฉีกำลังนั่งด้วยความรู้สึกประหม่าแกมตื่นเต้น นางมองผ่านชายผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวสีแดง เห็นเพียงหัวรองเท้าเจ้าบ่าวที่เดินมาหยุดอยู่ เขาเอื้อมจับชายผ้าคลุมหน้าเจ้าสาว ค่อย ๆ ยกขึ้นตลบไปไว้ด้านหลัง เจ้าสาวผู้มีใบหน้าอันงดงาม ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างเขินอาย ริมฝีปากจิ้มลิ้มเม้มเข้าออก คล้ายคนไม่รู้จะเอ่ยคำพูดใดออกมา “ฉีฉีเจ้างามมาก” ดวงตาปรือเยิ้มมองเจ้าสาวอย่างลุ่มหลง
บทที่ 249 : ใครจะหย่ากับข้า ! บรรดาญาติสหายและคนรู้จัก ที่พากันมาส่งตัวเจ้าสาว ต่างยืนดูพิธีการตรงหน้าด้วยสีหน้ายิ้มแย้มกันทุกคน “ตอนแรกข้าอยากเสนอตัวแบกเจ้าสาวด้วยตัวเอง แต่ว่าคิดไปคิดมาข้าเทียบหวงจื่อถงไม่ได้จริง ๆ เขามีความเป็นพี่ชายมากกว่าข้าเสียอีก” เซี่ยเฉินจิ่นเอ่ยเบา ๆ เซี่ยเฉินฟู่กอดอกมองภาพตรงหน้า แล้วพยักหน้าลงเบา ๆ “ท่านแบกพี่สาวไม่ไหวหรอก เกิดทำเจ้าสาวหกล้มขึ้นมา ทำฤกษ์มงคลเสียหายหมด ให้พี่จื่อถงแบกนั่นแหละดีแล้ว” เซี่ยเฉินจิ่น “...” เจ้ายังใช่น้องชายข้าอยู่ไหม ฉวีฮูหยิน “ต่อไปนางก็มีครอบครัวของตัวเอง มีสามีลูกมีหลานเต็มบ้าน ไม่เดือดร้อนพวกเจ้าให้เป็นห่วงนางหรอก” ครอบครัวตระกูลเซี่ยยืนมองเกี้ยวเจ้าสา
บทที่ 248 : ข้าซุนอี้หานขอสาบานด้วยชีวิต ข้าจะไม่มีวันทำให้นางเสียใจเด็ดขาด “ฉีฉี” ฉินซื่อลูบศีรษะของนางอย่างอ่อนโยน น้ำตาพลันเอ่อคลอเบ้าตามนางไปด้วย ทั้งลูบทั้งกอดปลอบโยนนาง “เด็กน้อยในวันนั้น ได้นำพาครอบครัวของพวกเรา เดินทางผ่านร้อนผ่านหนาวมาไกลถึงเพียงนี้ รู้ไหมว่าป้าภูมิใจในตัวของเจ้ามากแค่ไหน” “ท่านป้า ฮะฮรึก...ฮือ ๆ ๆ” เป็นครั้งแรกที่ฉินซื่อได้เห็นหลินลู่ฉี ปล่อยเสียงร้องไห้โฮออกมาเช่นนี้ เหมือนกำแพงความเข้มแข็งในใจของนาง ได้พังทลายลงแล้ว “เด็กดีไม่ร้อง ๆ เจ้าสาวจะตาบวมหมดงามเอาได้” “ขะข้า...ฮะฮรึก จะไม่ร้องแล้ว ฮะฮรึก !” คนพูดสะอื้นเป็นจังหวะ “เจ้
บทที่ 247 : หวีครั้งแรกขอให้ชีวิตคู่ยืนยาว หลินลู่ฉีไปหาฉินซื่อที่เรือน พบว่านางกำลังปักชุดเจ้าสาวให้ตัวเองอยู่ หวงจื่อเหยาที่ได้เวลาใกล้คลอดแล้ว นางมาหามารดาเพื่อดูว่ามีอะไรให้ช่วยบ้าง “ท้องโตขนาดนี้ยังขึ้นรถม้าไปโน่นมานี่อีก ชุดเจ้าสาวของฉีฉีข้าทำเองได้เจ้าไม่ต้องช่วย” เสียงของฉินซื่อเอ่ยบ่นบุตรสาว ดังออกมาจากเรือนของนาง “ท่านแม่ฉีฉีของพวกเราจะออกเรือนทั้งที นางไม่ยอมรับสินเดิมจากพวกเรา มีเพียงชุดแต่งงานนี่แหละ ที่พวกเราพอจะทำให้นางได้” หลินลู่ฉีกระแอมเบา ๆ สองแม่ลูกก็หันมามองนางในทันที “เจ้ามาแอบฟังข้ากับท่านแม่พูดคุยกันใช่ไหม” “พี่จื่อเหยาท่านใส่ร้ายข้า” นางออดอ้อนเป็นเด็กน้อยทันที &ld