“ยายเฒ่าเจ้าทำให้ท่านน้าโกรธแล้ว”
หวงจงใช่ว่าจะเห็นด้วยกับภรรยา แต่เขาไม่กล้าโต้แย้งออกมา ลึก ๆ แล้วเขาเองก็ไม่ได้รักใคร่บุตรชายคนที่สาม เทียบเท่ากับบุตรชายอีกสองคนของตนเอง
“แล้วจะให้ทำอย่างไร บ้านสามมีคนแบ่งปันอาหารให้แล้ว ยังจะต้องแบ่งอะไรให้อีก ดูหลานชายของข้าสิ ตัวผอมแห้งแรงน้อยขนาดนี้ ไม่กินอิ่มได้รึ” ว่าแล้วก็ลูบศีรษะของหวงชุนฟงกับหวงหลินอี้ไปด้วย
เด็กสาวสองคนจากบ้านรอง ถึงกับมองสบสายตากันปริบ ๆ อาหารนั่นไม่ตกถึงท้องพวกนางแม้แต่คำเดียว กลับเป็นหลานชายสองคนจากบ้านใหญ่ที่ได้รับผลประโยชน์ไป ในสายตาของหวงหลันฮวาที่มีอายุเจ็ดปีแล้ว นางเข้าใจได้ถึงความลำเอียงของท่านย่าเป็นอย่างดี แต่น้องสาววัยสี่ขวบของนางนั้น กลับไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด พร่ำแต่ถามว่าเหตุใดตนถึงกินของนั่นไม่ได้
หม่าซูเหวินเดินตามผู้เป็นย่าเข้าไปในห้องนอนของท่าน คนเหล่านั้นมาอาศัยอยู่แค่วันสองวัน ก็สร้างปัญหาให้ท่านย่าของนางเสียแล้ว “ท่านย่าอย่าโกรธไปเลยเจ้าค่ะ”
“เดิมทีย่าว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ถึงอย่างไรหวงชางก็เป็นหลานของย่าคนหนึ่ง ไม่เข้าใจจริง ๆ คนเป็นแม่จะลำเอียงลูกในไส้ของตัวเองขนาดนี้ได้อย่างไร”
“คนบางคนก็ใช้หลักเหตุผลไม่ได้ ท่านย่าจะให้พวกเขาอยู่กับเราไปแบบนี้หรือเจ้าคะ”
“เหวินเอ๋อร์เจ้าถึงวัยออกเรือนแล้ว หากพวกเขามาอยู่กับย่า ย่าย่อมมีคนคอยดูแลพึ่งพาอาศัยได้ แม้นิสัยของอาเหมยจะเป็นแบบนั้น แต่นางก็คือหลานสาวของย่า สายเลือดเดียวกันย่อมตัดกันไม่ขาด”
หม่าซูเหวินทำหน้าเศร้า เอ่ย “ท่านย่าข้ายังไม่อยากออกเรือน”
“เด็กโง่ สตรีเมื่อถึงวัยก็ต้องออกเรือนกันทั้งนั้น อีกไม่กี่วันย่าจะเรียกแม่สื่อมาคุยเรื่องนี้ หมั้นหมายกันไว้ก่อนก็ยังดี”
หม่าซูเหวินเข้าใจธรรมเนียมปฏิบัตินี้ดี การหมั้นหมายของนางย่อมขึ้นอยู่กับท่านย่าเพียงผู้เดียว นางเชื่อมั่นว่าท่านจะต้องเลือกคู่ครองที่ดีให้แก่นาง ทว่าคนดีคนชั่วนั้นไหนเลยจะดูออกได้ในเวลาอันสั้น
“น่าเสียดายการหมั้นหมายก่อนหน้า ไม่น่าเลยจริง ๆ”
“เรื่องมันผ่านไปแล้ว ท่านย่าอย่าไปเอ่ยถึงมันเลยเจ้าค่ะ บางทีนั่นอาจไม่ใช่การหมั้นหมายที่ดีนัก”
หม่าซูเหวินเม้มปากเข้าหากันแน่น คนผู้นั้นจะให้นางเป็นอนุภรรยา ทั้งที่หมั้นหมายเป็นภรรยาหลัก มีหรือนางจะยอมรับเรื่องนี้ได้ ภายหลังจึงได้เกิดการถอนหมั้นกันขึ้น
“ไม่เอ่ยถึงแล้วเจ้าก็ไปพักผ่อนเถอะ เรื่องของคนเหล่านั้นผ่านไปสักสามสี่วัน ย่าจะหาทางตัดสินใจเอง ว่าจะให้พวกเขาอยู่หรือไป”
“เจ้าค่ะท่านย่า ท่านก็นอนหลับพักผ่อนได้แล้ว”
“ได้ ๆ เจ้าออกไปเถอะ” หญิงชราโบกมือไล่หลานสาวให้ออกจากห้องนอนของตนเองไป
ภายในห้องนอนของนางเจียง ดวงตาของนางหลุกหลิกเหมือนกำลังคิดหาทางออกให้กับครอบครัว ผู้เป็นสามีเองก็พลอยนอนไม่หลับตามไปด้วย
“ยายเฒ่าเจ้านอนไม่หลับรึคิดอะไรอยู่” ผู้เป็นสามีเอ่ยถาม
นางเจียงรีบพลิกตัวหันกลับมามองสามี แล้วกระซิบเบา ๆ กับเขา “ข้ากำลังคิดว่าหากซูเหวินแต่งงานออกไปแล้ว ที่นี่ก็เหลือเพียงแค่ท่านน้าคนเดียว”
“แล้วอย่างไร”
“ตาเฒ่าเจ้าลองคิดดูนะ เหลือท่านน้าเพียงคนเดียว ท่านน้าปีนี้ก็คงหกสิบปีแล้ว จะอยู่ได้อีกกี่ปีกัน เรือนหลังนี้ก็ต้องตกเป็นของพวกเราถูกไหม”
“จะเป็นไปได้อย่างไร เกรงว่าท่านน้าจะยกให้หลานสาวมากกว่า”
“สตรีออกเรือนก็เหมือนน้ำที่ถูกสาดออกไป”
“แต่นั่นคือหลานสาวคนเดียวของท่านน้า เรือนหลังนี้ไม่มีทางตกถึงมือพวกเราหรอก เจ้าอย่าคิดฝันให้มากนักนอนได้แล้ว” หวงจงไม่คิดว่าท่านยายเจียงจะตายเร็วถึงเพียงนั้น คนเฒ่าคนแก่บางคนอายุยืนยาวถึงร้อยปีก็มี
แต่ในใจของเจียงซื่อกลับละโมบโลภมาก นางตั้งใจจะอยู่ที่นี่ไปนาน ๆ สักวันเรือนหลังนี้ต้องตกอยู่ในกำมือของนางอย่างแน่นอน
เช้าวันต่อมา
ท่านยายเจียงทนมองดูหวงชางกินข้าวเรือนท่านยายหมี่อีกต่อไปไม่ได้ เข้าวันที่สามนางจึงมอบเสบียงเป็นแป้งขาวสองจิน ข้าวสารอีกสี่จิน ให้พวกเขาได้กินอยู่โดยไม่เดือดร้อน
“มันต้องอย่างนี้สิ ถึงจะถูกต้อง” ท่านยายหมี่เอ่ย แล้วหันไปโบกมือไม่ให้สองสามีภรรยาปฏิเสธ
“ท่านย่าไม่ได้มาด้วยตัวเอง ให้ข้ามามอบให้แทนเจ้าค่ะ”
หม่าซูเหวินมองเสบียงที่มอบให้อย่างละอายใจเล็กน้อย เพราะคนตระกูลหวงอยู่กินข้าวที่เรือนของนาง มีทั้งเนื้อทั้งไข่ทั้งผัก แต่ครอบครัวของหวงชางกลับได้แค่ข้าวสารกับแป้งขาวเพียงเล็กน้อย
หวงชาง “น้องซูเหวินฝากเจ้าไปขอบคุณท่านยายแทนข้าด้วย”
“ข้าจะบอกให้เจ้าค่ะ อ้อ อีกเรื่องพี่ชายใหญ่กับพี่ชายรองได้งานทำในอำเภอแล้วนะเจ้าคะ”
“ได้งานทำแล้ว ดีจริง ๆ” หวงชางเอ่ยออกมาจากใจจริง
“เจ้าค่ะเป็นงานแบกหามที่ท่าเรือ เห็นว่าได้วันละสามสิบอีแปะ”
“เอ่อ แล้วพี่ชายทั้งสองได้ฝากงานให้ข้าบ้างไหม”
ก่อนหน้าเขาเคยฝากให้พี่รองหางานให้ เพราะเขาพักอาศัยอยู่ในเรือนของผู้อื่น จำเป็นต้องออกไปหาเสบียงมาประทังชีวิตก่อน เพราะตอนนั้นยังไม่ได้เงินจากโชคลาภของหลินลู่ฉี
“เรื่องนั้นไม่เห็นพวกเขาเอ่ยถึง” หม่าซูเหวินก้มหน้าลงคล้ายอึดอัดใจ
“หวงชางเจ้าไม่ต้องคิดมากไป ว่าง ๆ เข้าไปหางานทำที่อำเภอด้วยตัวเองก็ได้ ยังมีงานอีกเยอะแยะให้เจ้าเลือกทำ” ท่านยายหมี่ปลอบใจเขา
“ขอรับ” หวงชางพยักหน้าพร้อมยิ้มตอบรับท่าน
หลินลู่ฉีนั่งเล่นเชือกอยู่กับผู้ใหญ่ ส่วนหวงจื่อเหยานั่งเขี่ยดินหาไส้เดือนกับพี่ชายอยู่ในสวนด้านข้าง เด็กน้อยเหมือนไม่สนใจคำพูดของใหญ่ ก้มหน้าก้มตาเล่นพันเชือกรอบปลายนิ้ว แต่ความจริงแล้วกำลังประเมินสถานการณ์ของทุกคนอยู่
เมื่อหม่าซูเหวินกล่าวลาเดินจากไปแล้ว หวงชางได้บอกกับทุกคน เรื่องเขาเคยฝากพี่ชายหางานให้ด้วย แต่เกรงว่าอีกฝ่ายคงลืมไปแล้ว
ท่านยายหมี่แค่นเสียงออกมาคำหนึ่ง ตั้งแต่พวกเขามาอยู่เรือนของนาง คนตระกูลหวงไม่เคยมาเยี่ยมเยียนเลยสักครั้ง มีก็แต่หม่าซูเหวินที่แวะเวียนมาถามไถ่ ยังเป็นคนนำเสบียงมาให้วันนี้อีกด้วย
หวงชาง “ข้าจะแวะไปหาพี่ชายที่เรือนของท่านยาย อาอี้เจ้าไปด้วยกันดีไหม พวกเรามาอยู่ที่นี่หลายวันแล้ว ไม่ได้ไปเยี่ยมเยียนท่านยายกันเลย”
“ดีเหมือนกันพี่ชาง ถงเอ๋อร์พาน้อง ๆ ไปล้างมือให้เรียบร้อย เราจะไปหาท่านยายกัน” ฉินซื่อหันไปบอกบุตรชายขอตน
“ขอรับท่านแม่”
“ท่านป้าข้าไปด้วย” หลินลู่ฉีเอ่ยขึ้นอย่างอาย ๆ นางอยากไปดูความเป็นอยู่ของพวกเขาเหมือนกัน
“ได้ฉีฉีไปด้วย” ฉินซื่อลูบศีรษะของนางเบา ๆ น่าแปลกที่เด็กน้อยคนนี้ไม่เคยสร้างปัญหา หรือร้องไห้งอแงเลยสักครั้ง ช่างเป็นเด็กดีเสียจริง
หวงชางพาภรรยากับลูก ๆ เดินไปถึงเรือนของท่านยายเจียง
ผู้เป็นมารดาอย่างนางเจียง เห็นครอบครัวของบุตรชายคนที่สาม ก็ชักสีหน้าใส่พวกเขาในทันที
“เจ้าสามพวกเจ้าอยู่ที่โน่นดี ๆ วิ่งมาที่นี่ทำไมกัน”
“ท่านแม่ข้าพาอาอี้กับเด็ก ๆ มาเยี่ยมท่านยาย”
“เข้ามา ๆ อย่ายืนขวางหน้าประตู” ท่านยายเจียงส่ายหน้าเบา ๆ กวักมือเรียกหลานเหลนให้เข้ามาภายในห้องโถงของเรือน
หวงชางพาคนในครอบครัวคุกเข่าลงตรงหน้าท่านยายเจียง “ข้าขอขอบคุณเสบียงที่ท่านยายมอบให้ วันข้างหน้าหากมีโอกาส ข้าต้องตอบแทนบุญคุณของท่านยายอย่างแน่นอน”
“ลุกขึ้น ๆ อย่ามากพิธีไป ข้ามอบอาหารให้คนตระกูลหวงทุกคนเท่าเทียมกัน ไหนเลยจะละเลยเจ้าได้ เจ้ากินข้าวบ้านท่านยายหมี่ไป ข้าก็เกรงใจนางจะแย่อยู่แล้ว”
“ขอรับ” หวงชางเกิดความละอายใจขึ้นมา เพราะไม่ได้บอกเรื่องเงินที่หลินลู่ฉีเก็บได้กับท่านยายเจียง
พอหวงชางลุกขึ้นยืน คนอื่น ๆ ก็เดินเข้ามาในห้องโถงของเรือน นางเจียงไล่เด็ก ๆ ออกไปวิ่งเล่น มีเพียงหลินลู่ฉีที่ไม่ไป นางยืนอยู่ด้านข้างฉินซื่อ จับข้อมือของนางเอาไว้แน่น “ท่านป้าข้าไม่อยากเล่น”
“ได้ ๆ อยู่กับป้านี่แหละ”
บทที่ 81 : ท่านแม่ของเยว่เยว่นางไม่ชอบพวกเรา ซ่งอิ๋งอิ๋งรีบเอ่ย “ใช่ ๆ” นางคิดบางเรื่องออก “นี่พวกเจ้าไม่คิดว่าพวกเราเรียกขานกันสับสนไปหน่อยรึ เยว่เยว่กับฉีฉีอายุเท่ากัน ข้ากับพี่จื่อเหยาอายุเท่ากัน ฉีฉีเรียกข้าว่าอิ๋งอิ๋งแต่กลับเรียกพี่จื่อเหยาว่าพี่จื่อเหยา บางทีข้าก็สับสนไปหมด” หวงจื่อเหยาเองก็สับสน “นั่นสิข้าก็เรียกผิดเรียกถูกเหมือนกัน” ฉีเฟินเยว่ “พวกเราเป็นสหายกัน อายุก็เท่า ๆ กันหมด ต่อจากนี้ไปก็เรียกแค่ชื่อเล่นก็พอ ไม่ต้องมีคำว่าพี่นำหน้า พวกเจ้าว่าดีหรือไม่” ซ่งอิ๋งอิ๋ง “ดี ๆ” “ข้าอย่างไรก็ได้ แต่ว่าพี่จื่อเหยานั้นข้าเรียกมาตั้งนานแล้วคงเปลี่ยนอะไรไม่ได้” หลินลู่ฉีไม่ยอมเปลี่ยนคำเรียกหวงจื่อเหยา นางไม่อยากไปตอบคำถามของคนที่บ้าน “ได้ ๆ ยกเว้นให้เจ้าคนหนึ่งก็ได้ ข้าอยากพาพวกเจ้าไปทำความรู้จักกับท่านพ่อข้า ไปเรือนด้านหน้ากันเถอะ” ฉีเฟินเยว่รีบเดินนำหน้าพวกนางไป ตอนนี้มีเพียงอาจูกับซิงเอ๋อร์ที่เดินตามพวกนางไป เหล่าคนคุ้มกันทำเพียงเฝ้ามองอยู่ห่าง ๆ ระหว่างทางที่เด็ก ๆ เดินผ่านไปยังเรือนด้านหน้า เฉาหมัว
บทที่ 80 : จื่อเหยาวันนี้เจ้างามเป็นพิเศษ หิมะตกโปรยปรายลงมาไม่ขาดสาย ร้านค้าเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นแบบฤดูหนาว ช่วงนี้ร้านซินอี๋ขายขนม ที่ต้องทำการย่างบนเตาได้มากกว่าปกติ ลูกค้าต่างเพลิดเพลินกับการนั่งย่างขนมกินเอง โรงเตี๊ยมเยว่ไหลยิ่งค้าขายคึกคัก เนื้อเสียบไม้ปิ้งย่างได้รับความนิยมมากกว่าฤดูอื่น ฉีเฟินเยว่ส่งเทียบเชิญสหายไปร่วมงานวันเกิดที่จวนของนาง หลินลู่ฉีพอจะเดาออกว่านางเป็นบุตรสาวของขุนนางในเมืองลี่หยาง แต่ที่คาดไม่ถึงก็คือ นางจะเป็นบุตรสาวสายหลักของผู้ว่าการเมืองลี่หยาง หวงจื่อเหยากับซ่งอิ๋งอิ๋งได้รับเชิญไปพร้อมกัน ฉินซื่อกระวนกระวายใจเล็กน้อย “ไม่คิดว่าเยว่เยว่คนนั้นจะเป็นถึงลูกสาวผู้ว่าการเมืองลี่หยาง ฉีฉีพวกเจ้าไปกันแค่สามคนข้าเป็นห่วงนัก” “ท่านป้าไม่ต้องเป็นห่วง อิ๋งอิ๋งมีสาวใช้ติดตามไปด้วยหนึ่งคน” หวงชางชี้แนะ “พวกเจ้าก็ให้หวงฝูตามไปด้วยสิ” “ท่านลุงข้ากับพี่จื่อเหยายังต้องให้คนติดตามด้วยรึ พี่หวงฝูทำงานที่ร้านก็หนักอยู่แล้วไม่ต้องหรอก รับรองได้ไม่มีใครกล้าทำอะไรข้ากับพี่จื่อเหยาหรอก” “ใช่แล้ว ไม่เช่นนั้นก็เส
บทที่ 79 : รับเงินมาแล้วอย่าพูดมากไปจุดไฟเร็วเข้า เรื่องของโรงเตี๊ยมเยว่ไหลถูกคนร้ายมาก่อกวน กลายเป็นเรื่องเล่าของโรงน้ำชาในเช้าวันนี้ ที่สำคัญคนร้ายเหล่านั้นยังเคยเป็นโจรปล้นสะดมผู้คน ศาลประจำเมืองลี่หยางตัดสินคดีได้อย่างรวดเร็ว ใช้เวลาเพียงสามวันคนร้ายก็คายความจริงออกมาจนหมดสิ้น คนที่ว่าจ้างพวกเขาไปบ่อนทำลายชื่อเสียงของโรงเตี๊ยมเยว่ไหล คือผู้ดูแลภัตตาคารแห่งหนึ่ง เนื่องจากริษยาที่โรงเตี๊ยมเยว่ไหลดึงลูกค้าประจำไปเกินครึ่ง ทำให้ยอดขายของพวกเขาตกลงอย่างน่าใจหาย เมื่อผู้ดูแลยอมรับผิด เขาจึงถูกลงโทษเพียงคนเดียว เถ้าแก่ภัตตาคารแห่งนี้อ้างว่าไม่รู้ไม่เห็นอะไรด้วยเลย “โกหกชัด ๆ หัวไม่ส่ายหางจะกระดิกได้อย่างไร” เถ้าแก่ซ่งกระแทกถ้วยน้ำชาจนกระฉอก หวงชาง “เถ้าแก่ซ่งอย่างน้อยพวกนั้นก็ได้รู้ ว่าโรงเตี๊ยมของท่านไม่ได้จะมารังแกกันง่าย ๆ คราวนี้เสียผู้ดูแลไปหนึ่งคน หวังว่าจะเป็นบทเรียนให้คนอื่น ไม่กล้ามาเล่นงานโรงเตี๊ยมเยว่ไหลของท่านอีก” “ท่านพ่อตึงมากไปก็ไม่ดี ข้าคิดว่าตอนนี้เหล่าคนค้าขายในเมืองลี่หยาง คงรู้แล้วว่าพวกเราไม่ใช่คนอ่อนแอ อย่างที่พวกมัน
บทที่ 78 : จริงหรือวัดหมิงซานช่างศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ “พี่ใหญ่นี่ท่าไม่ดีแล้ว พวกเราถอยกลับเถอะ” ชายผู้นี้รู้สึกหวาดระแวง ราวกับว่าในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ มีการวางแผนรับมือมาก่อน “ไม่ได้รับเงินเขามาแล้วไม่ทำงานไม่ได้ พวกเจ้าแกล้งทำเป็นต่อสู้กัน แล้วทำลายข้าวของให้หมด ส่วนเจ้าขึ้นไปก่อกวนลูกค้าที่พักอยู่ด้านบน” คนเป็นหัวหน้าไม่ได้สังเกตเห็นว่ามีการอพยพคนออกไปอย่างเงียบ ๆ แล้ว อีกทั้งไม่รู้ว่าคนที่ทิ้งไว้ด้านนอกถูกจับกุมไปหมด “ได้ ๆ” เสียงต่อสู้กันดังขึ้น คนของโรงเตี๊ยมเยว่ไหล ได้แต่ยืนภาวนาอย่าให้ข้าวของเครื่องใช้เสียหายมากนัก ไม่ช้าก็เห็นขบวนม้าของทางการวิ่งตรงมาทางนี้ นับได้ราวสามสิบคน เถ้าแก่ซ่งรีบเข้าไปรายงานกับผู้เป็นหัวหน้าหน่วย “เรียนใต้เท้าข้าซ่งฉานอาน เป็นเจ้าของโรงเตี๊ยมเยว่ไหลแห่งนี้ ขอแจ้งความว่ามีคนร้ายมาสร้างความวุ่นวายให้กับโรงเตี๊ยมเยว่ไหล ตอนนี้ข้าขังพวกมันไว้ด้านใน ได้โปรดใต้เท้าช่วยจัดการด้วยขอรับ” เผิงลู่จิวเป็นหัวหน้าหน่วยออกลาดตระเวนวันนี้ เมื่อได้รับแจ้งว่ามีคนกำลังทะเลาะวิวาทกัน จึงได้นำกำล
บทที่ 77 : ท่านพ่อเกรงว่าพวกมันจะเป็นพวกเดียวกัน หม่าซูเหวินหันไปทางแม่สามี “ท่านแม่ข้าเองก็อยากไปขอพรเรื่องลูกอยู่เหมือนกัน พวกเราไปด้วยกันดีหรือไม่ วัดหมิงซานเดินทางไม่ไกลนัก ใช้เวลาไปกลับเพียงสองชั่วยามเท่านั้นเอง” นางดูเวลาแล้วหากไปยามนี้ แม้วัดหมิงซานต้องเดินทางขึ้นเขาไป แต่อย่างไรก็กลับมาทันก่อนมืดค่ำเป็นแน่ หลินลู่ฉีเพิ่งคิดเรื่องเพิ่งผลบุญ นางลอบดีใจที่ได้ยินคำพูดนี้ของหม่าซูเหวิน “ฮูหยินเจ้ากับลูกสะใภ้เถอะ อีกอย่างฉีฉีเจตนาดีตั้งใจขอพรให้พวกเราด้วย” เถ้าแก่ซ่งให้คนส่งข่าวไปบอกที่ร้านซินอี๋ ไม่ให้พวกเขาเป็นกังวลเรื่องเด็กสาวสองคน การไปวัดหมิงซานครั้งนี้ใช้รถม้าสองคัน มีบ่าวรับใช้ชายที่มีฝีมือด้านการต่อสู้ไปด้วยสี่คน นอกนั้นเป็นคนขับรถม้าสองคน สาวใช้อีกสองคน หลี่ฮูหยินกับลูกสะใภ้นั่งรถม้าคันเดียวกัน ส่วนเด็กสาวสามคนนั่งด้วยกัน “ฉีฉีต้องไปขอพรที่วัดจริงหรือ” หวงจื่อเหยาไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ “ใช่แล้วพี่จื่อเหยา อย่างน้อยก็ช่วยให้สบายใจได้” ซ่งอิ๋งอิ๋ง “พี่จื่อเหยาไม่อยากไปวัดหมิงซานหรือ”
บทที่ 76 : ข้าเองก็ไม่ใช่ผู้วิเศษอันใด แต่ว่าข้านั้นมีความเป็นมงคลเล็กน้อย “เอาเช่นนี้ดีหรือไม่ ช่วงนี้ข้ากับอาหมิ่นแล้วก็ห่าวซวนจะมานอนเฝ้าที่ร้านเอง อย่างน้อยพวกข้าก็มีวรยุทธ์กันทุกคน” โต้วกังเสนอทางออกให้พวกเขา หวงชาง “ท่านกับภรรยามาได้ แล้วพี่กู้เล่าเขาไม่ใช่ว่าต้องกลับไปดูแลยายของตัวเองรึ” “เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วง ฝากเพื่อนบ้านดูแลได้ ห่าวซวนเล่าให้ฟังบ่อย ๆ ว่าเพื่อนบ้านแวะมาคอยดูยายของเขาให้ตอนเขาไม่อยู่บ้าน” หลินลู่ฉีเห็นด้วยกับเรื่องนี้ นางได้แนะนำให้หวงชาง เพิ่มค่าแรงพิเศษให้พวกเขาด้วย ดังนั้นการเฝ้าป้องกันจึงเริ่มต้นขึ้นในคืนนี้ ร้านซินอี๋มีชื่อเสียงมากขึ้น ไม่ต่างไปจากโรงเตี๊ยมเยว่ไหล กลายเป็นคลื่นลูกใหม่ ที่สร้างแรงกระเพื่อมให้กิจการค้าขายของเมืองลี่หยาง ฉะนั้นจึงไม่ใช่แค่ร้านซินอี๋ที่พบเจอปัญหาใหญ่ โรงเตี๊ยมเยว่ไหลก็ใช่ย่อย ซ่งอิ๋งอิ๋งจึงชวนสหายทั้งสองคน ไปนั่งเล่นที่บึงเหลียนฮัวเพื่อระบายความทุกข์ใจของนาง พวกนางเลือกนั่งในศาลาพักผ่อนริมบึงเหลียนฮัว หลินลู่ฉีนำขนมที่ร้านพร้อมเตาตั้งกาน้ำชามาด้วย อากาศยังไม่หนา