“เฮอะตามใจกันเข้าไป นังเด็กเหลือขอนี่ ที่เสบียงไม่พอกินก็เพราะเด็กนี่กระมัง” นางเจียงจ้องหลินลู่ฉีราวกับจะกินเลือดกินเนื้อนาง
“ท่านแม่ฉีฉีกินข้าวนิดเดียวเอง เรื่องนี้โทษนางไม่ได้ อีกอย่างเสบียงที่ท่านยายมอบให้ ข้าคิดว่าประหยัดกันหน่อย ก็น่าจะพอกินได้เกือบเดือน” หวงชางรีบแก้ต่างให้เด็กน้อย
เมื่อมีคนออกปากปกป้องเด็กน้อยพลอยรู้สึกอบอุ่นขึ้นในหัวใจ ฝ่ามือของฉินซื่อก็คอยลูบปลอบศีรษะของนางไปด้วย
“เช่นนั้นมาทำไม !” นางเจียงตวาดเสียงดังใส่
“อาเหมยเจ้าเป็นมารดาของหวงชาง บุตรชายมาเยี่ยมเหตุใดถึงได้กล่าวคำพูดไม่น่าฟังออกมา”
เพราะอยู่ในตำแหน่งอนุภรรยาของเศรษฐีมานานหลายปี ท่านยายเจียงจึงใช้คำพูดที่สุภาพจนเคยชิน ครั้นได้ยินหลานสาวตะคอกใส่บุตรชาย จึงเกิดความไม่พอใจนางขึ้นมา
นางเจียงไม่ตอบโต้ผู้เป็นน้า เลือกสะบัดหน้าหนีไปทางอื่นแทน
หวงชาง “ความจริงนอกจากมาเยี่ยมท่านยายแล้ว ข้ายังอยากถามพี่ใหญ่กับพี่รองเรื่องงานที่อำเภอด้วยขอรับ”
หวงเต๋อรีบเอ่ย “เจ้าสามไม่ใช่ว่าข้าไม่ถามให้ แต่งานแบกหามที่ท่าเรือนั้นเขาปิดรับคนแล้ว”
“ใช่ ๆ ข้ากับเจ้ารองไปสมัครเป็นสองคนสุดท้ายพอดี” หวงจื้อเอ่ยขึ้นบ้าง
“อย่างนี้นี่เอง พวกท่านได้เริ่มงานวันไหน”
หวงจื้อเหลือบไปมองน้องชายคนรอง ก่อนเอ่ย “อีกสองวันค่อยไปทำ”
“ยินดีกับพี่ใหญ่พี่รองด้วย” แม้รู้สึกผิดหวังแต่หวงชางก็ไม่ลืมเอ่ยแสดงความยินดีกับพี่ชายทั้งสองคน
นางเจียงเหยียดปากหยันใส่ “เจ้าใหญ่เจ้ารองได้งานทำแล้ว เจ้าล่ะมีแต่ทำตัวไร้ประโยชน์ไปวัน ๆ” นางปรายตาไปทางหลินลู่ฉีแล้วยิ่งหงุดหงิด “เห็นหน้านังเด็กนี่แล้วโมโห ทำไมต้องเอาตัวภาระกลับมาด้วย เอามันไปโยนทิ้งข้างถนนไว้ตามเดิมเถอะ”
หม่าซูเหวินจ้องนางเจียงอย่างพอใจ เหตุใดถึงใจร้ายใจดำกับเด็กน้อยตัวเท่านั้นได้
ผู้เป็นย่าเหมือนรู้ความคิดของหลานสาว นางตบหลังมือของหลานสาวเบา ๆ “เจ้าพูดมากไปแล้วอาเหมย”
“เอ่อ ท่านน้าข้าพูดความจริงทั้งนั้น”
“เป็นหวงชางรับเลี้ยงนาง เจ้าไม่ได้เลี้ยงเสียหน่อย”
“แต่อย่างไรก็ต้องเดือดร้อนท่านน้ามอบเสบียงให้นางอยู่ดี เห็นหรือไม่ว่าสิ้นเปลืองเสบียงมากเพียงใด”
ท่านยายเจียงมองสีหน้าของหวงชางกับภรรยา รู้สึกเห็นใจพวกเขาอยู่ไม่น้อย ท่านเหมือนฉุกคิดบางเรื่องขึ้นมาได้ หันไปเอ่ยกับสองพี่น้องว่า
“ในเมื่อเจ้าสองคนหางานทำได้แล้ว แต่ว่าหวงชางยังหางานไม่ได้ ระหว่างนี้พี่ชายอย่างพวกเจ้าก็แบ่งปันเสบียงอาหารให้พวกเขาด้วยก็แล้วกัน”
“ท่านน้า ! นี่ไม่ถูกต้องนะเจ้าคะ” นางเจียงร้องเสียงหลง
“อาเหมยเมื่อเป็นครอบครัวเดียวกันก็ต้องแบ่งปันกันสิ เช่นข้าที่เป็นน้าของเจ้า ข้ายังแบ่งปันให้พวกเจ้าเลย” ท่านยายเจียงลอบมองสีหน้าของหลานสาวไปด้วย อยากรู้ว่านางจะทำอย่างไร
“ไม่ได้ ๆ ข้าไม่ยินยอม” เป็นจ้าวซื่อที่ร้อนรนจนทนไม่ได้
ท่านยายเจียงหันไปทางนาง “หลานสะใภ้ใหญ่เหตุใดถึงไม่ยินยอมเล่า ครอบครัวของหวงชางไม่ใช่คนของตระกูลหวงหรอกหรือ”
“แต่นี่เป็นเงินที่สามีของข้ากับน้องรอง หามาด้วยน้ำพักน้ำแรงของพวกเขานะเจ้าคะ” นางกระทืบเท้าเบา ๆ คล้ายไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง
บ้านรองไม่กล้าแม้แต่จะปริปาก พวกเขาไม่สามารถเอ่ยคำใดออกมาได้เลย ประหนึ่งถูกผิดนั้นขึ้นอยู่กับนางเจียงผู้เดียว ส่วนหวงจงเมื่ออาศัยอยู่ในเรือนของญาติภรรยา เขาเองก็ไม่กล้าก้าวก่ายในเรือนของอีกฝ่ายเหมือนกัน เรื่องนี้ต้องมอบให้นางเจียงจัดการ
“ยังไม่ได้แยกบ้านกัน เงินก็ต้องเข้าส่วนกลาง เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว” หญิงชราเลิกคิ้วไปทางจ้าวซื่อ
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ อีกอย่างพวกท่านมากินอยู่ในเรือนของท่านย่า เงินทองก็เหลือน้อยลงทุกวัน พี่สะใภ้ทั้งสองก็น่าจะรู้ว่าเสบียงของพวกเราใกล้หมดถังอยู่แล้ว” หม่าซูเหวินเป็นคนฉลาด นางมองออกว่าท่านย่าของตน ต้องการเรียกร้องความเป็นธรรมให้หวงชาง จึงได้เอ่ยหนุนหลังท่านออกมา
จ้าวซื่อเถียงไม่ได้ นางมาอยู่กินเรือนผู้อื่นจริง ๆ
แต่ใครจะคิดล่ะ ว่าคำว่าแยกบ้าน ทำให้นางเจียงฉุกคิดขึ้นมาได้
หลินลู่ฉีเงยหน้าน้อย ๆ ของนางขึ้นมองท่านยายเจียง ดวงตาของนางไหววูบเล็กน้อย หากมองไม่ผิดนี่คือความปรารถนาดีที่ส่งมอบให้หวงชาง เว้นแต่ว่าชายผู้นี้จะมองออกหรือไม่
ข้าขอยกนิ้วโป้งให้ท่านยายเจียง !
สองสามีภรรยาบ้านสามไม่รู้ว่าเหตุใดท่านยายเจียงถึงได้เอ่ยเช่นนี้ หวงชางอยากบอกว่าเขาไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงิน แต่มารดาของเขากลับตัดบทขึ้นว่า “เช่นนั้นก็แยกบ้านกันเถอะ !”
“ท่านแม่ !” หวงชางไม่คิดว่าจะได้ยินคำว่าแยกบ้าน ออกมาจากปากของมารดา เขาตกใจจนทรุดลงคุกเข่าต่อหน้าทุกคน “ข้าทำอะไรผิดไปหรือ ท่านแม่ถึงได้ต้องการให้ข้าแยกบ้านออกไป”
โง่ !
หลินลู่ฉีประเมินความกตัญญูของคนยุคนี้ผิดพลาดไป
“อาเหมยข้าให้เจ้าแบ่งเสบียงให้ลูกชาย ในยามที่เขายังไม่สามารถหางานทำได้ เจ้าไม่ยอมแบ่งให้แต่กลับจะแยกบ้านเขาแทนอย่างนั้นรึ” ท่านยายเจียงเอ่ยช้า ๆ ทุกคำกลับบาดลึกเข้าไปในจิตใจของหวงชางกับภรรยา
เดิมทีฉินซื่อก็ตกใจกับเรื่องแยกบ้าน แม่สามีไม่ยอมแบ่งปันเสบียงอาหาร เลือกที่จะแยกบ้านของตนกับสามีออกไปแทน เดิมทีการอยู่ร่วมกันกับครอบครัวใหญ่ งานหนักล้วนแต่มอบให้แต่คนบ้านสามทำทั้งนั้น หากอยู่ต่อไปก็คงกลายเป็นทาสรับใช้ของพวกเขาไปตลอดชีวิต
นางเจียง “ท่านน้าพวกข้ายากจนขนาดนี้ เจ้าใหญ่เจ้ารองเพิ่งจะได้งานทำ แต่เจ้าสามกลับมาเกาะกินเสียอย่างนั้น นี่มันไม่ยุติธรรมกับเจ้าใหญ่เจ้ารองนะเจ้าคะ”
หวงชาง “ข้าไม่เอา..”
“พี่ชาง !” ฉินซื่อรีบคุกเข่าลงด้านข้างของสามี “หากท่านแม่เห็นว่าพวกเราเป็นภาระของพวกท่าน เช่นนั้นก็แยกบ้านกันเถอะ”
“อาอี้” หวงชางหันมามองหน้าภรรยา เห็นแววตาของนางหนักแน่นยิ่งนัก หรือว่านางคิดมาดีแล้วจึงได้เอ่ยเช่นนี้
“เห็นไหม ๆ เจ้าสามเมียของเจ้ายังเห็นด้วยเลย พวกเจ้าว่าอย่างไรเจ้าใหญ่เจ้ารองตาเฒ่า ให้เจ้าสามแยกบ้านออกไปเถอะ พวกเขายังรับนังเด็กเหลือขอนั่นมาเลี้ยงอีก ข้ารังเกียจนางนัก” เพื่อที่จะได้แยกบ้านนางเจียงก็ด่าลามไปถึงหลินลู่ฉี
เด็กน้อยเงยหน้าขึ้นมองนางเจียง แสยะยิ้มเบา ๆ “ท่านย่าข้าหิว”
“ใครเป็นย่าแก ! ทุกคนเห็นหรือไม่ กินล้างกินผลาญเช่นนี้ แยกบ้าน ๆ”
คนตระกูลหวงไม่มีใครเอ่ยคัดค้าน ยังพยักหน้าเห็นด้วยกันทั้งหมด
หวงชางรู้สึกหนักอึ้งอย่างบอกไม่ถูก ภรรยาของเขาลูบหลังปลอบใจอยู่ด้านข้าง ทำให้เขาไม่อาจเอ่ยคำขอร้องมารดาออกมาได้
ท่านยายเจียงยิ้มเบา ๆ ตรงมุมปาก “อาเหมยเมื่อเจ้าคิดดีแล้วข้าก็ไม่ห้าม พรุ่งนี้ข้าจะให้ผู้ใหญ่บ้านมาร่างหนังสือแยกบ้านให้ ถือโอกาสขอให้เขาขึ้นทะเบียนพวกเจ้าเป็นคนในหมู่บ้านหยางฮัว เรื่องนี้พวกเจ้าขัดข้องหรือไม่ หากอยากไปอยู่อื่นข้าก็จะไม่รั้งเอาไว้”
“ไม่มีแล้ว ๆ พวกข้าจะอยู่ที่นี่กับท่านน้านี่แหละ” นางเจียงรีบบอก
ท่านยายเจียง “ตกลงตามนี้ พรุ่งนี้กินข้าวเช้าเสร็จก็มาเจอกันที่นี่ หวงชางพาลูกเมียของเจ้ากลับไปก่อนเถอะ”
“ขอรับท่านยาย” หวงชางขานรับแล้วเดินคอตกกลับเรือนของท่านยายหมี่ไป
ระหว่างทางฉินซื่อได้บอกเหตุผลที่นางเห็นด้วยกับการแยกบ้าน
“อาอี้นี่มันเหมือนว่าข้าไม่กตัญญู จนถูกไล่ออกจากบ้านหรอกรึ”
“พี่ชางท่านแม่ต้องการแยกบ้านเอง เหตุผลอะไรท่านก็น่าจะรู้ อย่าทำเป็นมองไม่เห็นนักเลย อีกอย่างอยู่รวมกันเป็นครอบครัวใหญ่ งานหนักล้วนให้ข้าทำทั้งนั้น สะใภ้คนอื่นทำอะไรกันบ้าง ยิ่งบ้านใหญ่แทบไม่ต้องแตะต้องอะไรเลยด้วยซ้ำ หลานชายสองคนบ้านใหญ่ได้เรียนหนังสือ แต่ถงเอ๋อร์ของพวกเรากลับไม่ได้เรียน ท่านยังคิดว่าพวกเราไม่สมควรแยกบ้านอีกรึ”
ฉินซื่อระบายความคับข้องในใจออกมาจนหมด
เป็นครั้งแรกที่หวงชางได้ยินนางบ่นเช่นนี้ ที่ผ่านมาเขาคิดว่านางเต็มใจทำงานหนักเหล่านั้น ความจริงแล้วนางรู้สึกน้อยใจ และอดเปรียบเทียบกับพี่สะใภ้สองคนไม่ได้
บทที่ 81 : ท่านแม่ของเยว่เยว่นางไม่ชอบพวกเรา ซ่งอิ๋งอิ๋งรีบเอ่ย “ใช่ ๆ” นางคิดบางเรื่องออก “นี่พวกเจ้าไม่คิดว่าพวกเราเรียกขานกันสับสนไปหน่อยรึ เยว่เยว่กับฉีฉีอายุเท่ากัน ข้ากับพี่จื่อเหยาอายุเท่ากัน ฉีฉีเรียกข้าว่าอิ๋งอิ๋งแต่กลับเรียกพี่จื่อเหยาว่าพี่จื่อเหยา บางทีข้าก็สับสนไปหมด” หวงจื่อเหยาเองก็สับสน “นั่นสิข้าก็เรียกผิดเรียกถูกเหมือนกัน” ฉีเฟินเยว่ “พวกเราเป็นสหายกัน อายุก็เท่า ๆ กันหมด ต่อจากนี้ไปก็เรียกแค่ชื่อเล่นก็พอ ไม่ต้องมีคำว่าพี่นำหน้า พวกเจ้าว่าดีหรือไม่” ซ่งอิ๋งอิ๋ง “ดี ๆ” “ข้าอย่างไรก็ได้ แต่ว่าพี่จื่อเหยานั้นข้าเรียกมาตั้งนานแล้วคงเปลี่ยนอะไรไม่ได้” หลินลู่ฉีไม่ยอมเปลี่ยนคำเรียกหวงจื่อเหยา นางไม่อยากไปตอบคำถามของคนที่บ้าน “ได้ ๆ ยกเว้นให้เจ้าคนหนึ่งก็ได้ ข้าอยากพาพวกเจ้าไปทำความรู้จักกับท่านพ่อข้า ไปเรือนด้านหน้ากันเถอะ” ฉีเฟินเยว่รีบเดินนำหน้าพวกนางไป ตอนนี้มีเพียงอาจูกับซิงเอ๋อร์ที่เดินตามพวกนางไป เหล่าคนคุ้มกันทำเพียงเฝ้ามองอยู่ห่าง ๆ ระหว่างทางที่เด็ก ๆ เดินผ่านไปยังเรือนด้านหน้า เฉาหมัว
บทที่ 80 : จื่อเหยาวันนี้เจ้างามเป็นพิเศษ หิมะตกโปรยปรายลงมาไม่ขาดสาย ร้านค้าเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นแบบฤดูหนาว ช่วงนี้ร้านซินอี๋ขายขนม ที่ต้องทำการย่างบนเตาได้มากกว่าปกติ ลูกค้าต่างเพลิดเพลินกับการนั่งย่างขนมกินเอง โรงเตี๊ยมเยว่ไหลยิ่งค้าขายคึกคัก เนื้อเสียบไม้ปิ้งย่างได้รับความนิยมมากกว่าฤดูอื่น ฉีเฟินเยว่ส่งเทียบเชิญสหายไปร่วมงานวันเกิดที่จวนของนาง หลินลู่ฉีพอจะเดาออกว่านางเป็นบุตรสาวของขุนนางในเมืองลี่หยาง แต่ที่คาดไม่ถึงก็คือ นางจะเป็นบุตรสาวสายหลักของผู้ว่าการเมืองลี่หยาง หวงจื่อเหยากับซ่งอิ๋งอิ๋งได้รับเชิญไปพร้อมกัน ฉินซื่อกระวนกระวายใจเล็กน้อย “ไม่คิดว่าเยว่เยว่คนนั้นจะเป็นถึงลูกสาวผู้ว่าการเมืองลี่หยาง ฉีฉีพวกเจ้าไปกันแค่สามคนข้าเป็นห่วงนัก” “ท่านป้าไม่ต้องเป็นห่วง อิ๋งอิ๋งมีสาวใช้ติดตามไปด้วยหนึ่งคน” หวงชางชี้แนะ “พวกเจ้าก็ให้หวงฝูตามไปด้วยสิ” “ท่านลุงข้ากับพี่จื่อเหยายังต้องให้คนติดตามด้วยรึ พี่หวงฝูทำงานที่ร้านก็หนักอยู่แล้วไม่ต้องหรอก รับรองได้ไม่มีใครกล้าทำอะไรข้ากับพี่จื่อเหยาหรอก” “ใช่แล้ว ไม่เช่นนั้นก็เส
บทที่ 79 : รับเงินมาแล้วอย่าพูดมากไปจุดไฟเร็วเข้า เรื่องของโรงเตี๊ยมเยว่ไหลถูกคนร้ายมาก่อกวน กลายเป็นเรื่องเล่าของโรงน้ำชาในเช้าวันนี้ ที่สำคัญคนร้ายเหล่านั้นยังเคยเป็นโจรปล้นสะดมผู้คน ศาลประจำเมืองลี่หยางตัดสินคดีได้อย่างรวดเร็ว ใช้เวลาเพียงสามวันคนร้ายก็คายความจริงออกมาจนหมดสิ้น คนที่ว่าจ้างพวกเขาไปบ่อนทำลายชื่อเสียงของโรงเตี๊ยมเยว่ไหล คือผู้ดูแลภัตตาคารแห่งหนึ่ง เนื่องจากริษยาที่โรงเตี๊ยมเยว่ไหลดึงลูกค้าประจำไปเกินครึ่ง ทำให้ยอดขายของพวกเขาตกลงอย่างน่าใจหาย เมื่อผู้ดูแลยอมรับผิด เขาจึงถูกลงโทษเพียงคนเดียว เถ้าแก่ภัตตาคารแห่งนี้อ้างว่าไม่รู้ไม่เห็นอะไรด้วยเลย “โกหกชัด ๆ หัวไม่ส่ายหางจะกระดิกได้อย่างไร” เถ้าแก่ซ่งกระแทกถ้วยน้ำชาจนกระฉอก หวงชาง “เถ้าแก่ซ่งอย่างน้อยพวกนั้นก็ได้รู้ ว่าโรงเตี๊ยมของท่านไม่ได้จะมารังแกกันง่าย ๆ คราวนี้เสียผู้ดูแลไปหนึ่งคน หวังว่าจะเป็นบทเรียนให้คนอื่น ไม่กล้ามาเล่นงานโรงเตี๊ยมเยว่ไหลของท่านอีก” “ท่านพ่อตึงมากไปก็ไม่ดี ข้าคิดว่าตอนนี้เหล่าคนค้าขายในเมืองลี่หยาง คงรู้แล้วว่าพวกเราไม่ใช่คนอ่อนแอ อย่างที่พวกมัน
บทที่ 78 : จริงหรือวัดหมิงซานช่างศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ “พี่ใหญ่นี่ท่าไม่ดีแล้ว พวกเราถอยกลับเถอะ” ชายผู้นี้รู้สึกหวาดระแวง ราวกับว่าในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ มีการวางแผนรับมือมาก่อน “ไม่ได้รับเงินเขามาแล้วไม่ทำงานไม่ได้ พวกเจ้าแกล้งทำเป็นต่อสู้กัน แล้วทำลายข้าวของให้หมด ส่วนเจ้าขึ้นไปก่อกวนลูกค้าที่พักอยู่ด้านบน” คนเป็นหัวหน้าไม่ได้สังเกตเห็นว่ามีการอพยพคนออกไปอย่างเงียบ ๆ แล้ว อีกทั้งไม่รู้ว่าคนที่ทิ้งไว้ด้านนอกถูกจับกุมไปหมด “ได้ ๆ” เสียงต่อสู้กันดังขึ้น คนของโรงเตี๊ยมเยว่ไหล ได้แต่ยืนภาวนาอย่าให้ข้าวของเครื่องใช้เสียหายมากนัก ไม่ช้าก็เห็นขบวนม้าของทางการวิ่งตรงมาทางนี้ นับได้ราวสามสิบคน เถ้าแก่ซ่งรีบเข้าไปรายงานกับผู้เป็นหัวหน้าหน่วย “เรียนใต้เท้าข้าซ่งฉานอาน เป็นเจ้าของโรงเตี๊ยมเยว่ไหลแห่งนี้ ขอแจ้งความว่ามีคนร้ายมาสร้างความวุ่นวายให้กับโรงเตี๊ยมเยว่ไหล ตอนนี้ข้าขังพวกมันไว้ด้านใน ได้โปรดใต้เท้าช่วยจัดการด้วยขอรับ” เผิงลู่จิวเป็นหัวหน้าหน่วยออกลาดตระเวนวันนี้ เมื่อได้รับแจ้งว่ามีคนกำลังทะเลาะวิวาทกัน จึงได้นำกำล
บทที่ 77 : ท่านพ่อเกรงว่าพวกมันจะเป็นพวกเดียวกัน หม่าซูเหวินหันไปทางแม่สามี “ท่านแม่ข้าเองก็อยากไปขอพรเรื่องลูกอยู่เหมือนกัน พวกเราไปด้วยกันดีหรือไม่ วัดหมิงซานเดินทางไม่ไกลนัก ใช้เวลาไปกลับเพียงสองชั่วยามเท่านั้นเอง” นางดูเวลาแล้วหากไปยามนี้ แม้วัดหมิงซานต้องเดินทางขึ้นเขาไป แต่อย่างไรก็กลับมาทันก่อนมืดค่ำเป็นแน่ หลินลู่ฉีเพิ่งคิดเรื่องเพิ่งผลบุญ นางลอบดีใจที่ได้ยินคำพูดนี้ของหม่าซูเหวิน “ฮูหยินเจ้ากับลูกสะใภ้เถอะ อีกอย่างฉีฉีเจตนาดีตั้งใจขอพรให้พวกเราด้วย” เถ้าแก่ซ่งให้คนส่งข่าวไปบอกที่ร้านซินอี๋ ไม่ให้พวกเขาเป็นกังวลเรื่องเด็กสาวสองคน การไปวัดหมิงซานครั้งนี้ใช้รถม้าสองคัน มีบ่าวรับใช้ชายที่มีฝีมือด้านการต่อสู้ไปด้วยสี่คน นอกนั้นเป็นคนขับรถม้าสองคน สาวใช้อีกสองคน หลี่ฮูหยินกับลูกสะใภ้นั่งรถม้าคันเดียวกัน ส่วนเด็กสาวสามคนนั่งด้วยกัน “ฉีฉีต้องไปขอพรที่วัดจริงหรือ” หวงจื่อเหยาไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ “ใช่แล้วพี่จื่อเหยา อย่างน้อยก็ช่วยให้สบายใจได้” ซ่งอิ๋งอิ๋ง “พี่จื่อเหยาไม่อยากไปวัดหมิงซานหรือ”
บทที่ 76 : ข้าเองก็ไม่ใช่ผู้วิเศษอันใด แต่ว่าข้านั้นมีความเป็นมงคลเล็กน้อย “เอาเช่นนี้ดีหรือไม่ ช่วงนี้ข้ากับอาหมิ่นแล้วก็ห่าวซวนจะมานอนเฝ้าที่ร้านเอง อย่างน้อยพวกข้าก็มีวรยุทธ์กันทุกคน” โต้วกังเสนอทางออกให้พวกเขา หวงชาง “ท่านกับภรรยามาได้ แล้วพี่กู้เล่าเขาไม่ใช่ว่าต้องกลับไปดูแลยายของตัวเองรึ” “เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วง ฝากเพื่อนบ้านดูแลได้ ห่าวซวนเล่าให้ฟังบ่อย ๆ ว่าเพื่อนบ้านแวะมาคอยดูยายของเขาให้ตอนเขาไม่อยู่บ้าน” หลินลู่ฉีเห็นด้วยกับเรื่องนี้ นางได้แนะนำให้หวงชาง เพิ่มค่าแรงพิเศษให้พวกเขาด้วย ดังนั้นการเฝ้าป้องกันจึงเริ่มต้นขึ้นในคืนนี้ ร้านซินอี๋มีชื่อเสียงมากขึ้น ไม่ต่างไปจากโรงเตี๊ยมเยว่ไหล กลายเป็นคลื่นลูกใหม่ ที่สร้างแรงกระเพื่อมให้กิจการค้าขายของเมืองลี่หยาง ฉะนั้นจึงไม่ใช่แค่ร้านซินอี๋ที่พบเจอปัญหาใหญ่ โรงเตี๊ยมเยว่ไหลก็ใช่ย่อย ซ่งอิ๋งอิ๋งจึงชวนสหายทั้งสองคน ไปนั่งเล่นที่บึงเหลียนฮัวเพื่อระบายความทุกข์ใจของนาง พวกนางเลือกนั่งในศาลาพักผ่อนริมบึงเหลียนฮัว หลินลู่ฉีนำขนมที่ร้านพร้อมเตาตั้งกาน้ำชามาด้วย อากาศยังไม่หนา