“ไม่ได้นะเจ้าคะท่านแม่ นางยังมีลมหายใจอยู่เลย ข้าไม่อาจทิ้งนางได้ ท่านแม่มองดูสิเจ้าคะ แถวนี้มีคนดี ๆ ที่ไหนกันหากปล่อยนางเอาไว้เช่นนี้ คงถูกสัตว์ร้ายทำอันตรายเอาได้”
สัตว์ร้ายไม่เท่าไรหรอก เกรงแต่มนุษย์ด้วยกันนี่แหละที่จะทำร้ายกันเอง นางเคยได้ยินเรื่องผู้ลี้ภัยหิวโหย ถึงขึ้นกินเนื้อเด็กทารกแรกเกิดด้วยซ้ำ
“นังคนอกตัญญู ลูกตัวเองจะอดข้าวตายอยู่แล้วยังไม่สำนึก เกิดอยากเป็นคนใจดี เหตุใดข้าถึงได้แต่งสะใภ้เบาปัญญาเช่นนี้เข้าบ้าน สวรรค์หนอสวรรค์ เหตุใดถึงได้โหดร้ายกับข้านัก”
นางเจียงร่ำร้องคล้ายคนถูกกระทำอย่างโหดร้าย หากไม่ติดว่ากำลังลี้ภัยอยู่ นางคงลงไปนั่งตบตีต้นขาอยู่บนพื้นแล้ว
ฉินซื่อเริ่มทำตัวไม่ถูก “ท่านแม่ข้าไม่ได้..”
นางเจียงชี้นิ้วใส่นาง “เจ้าหุบปาก หากเจ้ายังไม่ทิ้งเด็กนั่นไปอีก อย่ามาเรียกข้าว่าแม่ !”
ฉินซื่ออุ้มเด็กเดินไปหลบอยู่ข้างหลังของสามี ด้านข้างมีบุตรชายกับบุตรสาวยืนอยู่ พวกเขาเหมือนกำลังตกใจกับคำด่าทอของผู้เป็นย่า แต่กระนั้นฉินซื่อก็ส่งสายตาให้สามี ว่านางไม่สามารถปล่อยเด็กให้ตายอยู่ข้างทางได้
“พี่ชางข้าทำไม่ได้จริง ๆ”
เพราะตัวนางก็เป็นเด็กที่ถูกเก็บมาเลี้ยงเหมือนกัน จึงรู้สึกสงสารเด็กน้อยที่มีชะตากรรมเดียวกับตัวเองเช่นในอดีต
ผู้เป็นสามีมองดูหน้าเด็กน้อยแล้วถอนลมหายใจเบา ๆ เขาตบปลอบหลังมือภรรยา
“ท่านแม่ถือว่าข้าขอร้อง ให้เด็กคนนี้ร่วมเดินทางไปกับพวกเราด้วยเถอะขอรับ”
หวงชางคุกเข่าลงให้มารดา เขาย่อมรู้พื้นเพของภรรยาเป็นอย่างดี อีกทั้งเด็กน้อยผู้นี้ก็ไม่สมควร ถูกทิ้งให้นอนตายอยู่ข้างทางจริง ๆ
“เจ้าลูกเนรคุณ ! เจ้าไม่ฟังคำแม่อย่างข้าแล้วรึ วันนี้ข้าจะตีเจ้าให้ตายเสีย !” นางเจียงถลาเข้าไปตบตีบุตรชายด้วยความโกรธ
“เจ้าใหญ่ไปห้ามแม่เจ้าที” หวงจงทนดูต่อไปไม่ไหวหันไปทางบุตรชายคนโต
“ท่านแม่หากบ้านน้องสามอยากดูแลเด็กนั่น ก็ปล่อยเถอะขอรับ ขอเพียงแค่ไม่มาแบ่งเสบียงจากพวกเรา ไปให้เด็กนั่นเป็นพอ”
หวงจื้อเป็นบุตรชายคนโตของตระกูลหวง เขาเห็นว่าหากชักช้ากว่านี้จะหาที่พักคืนนี้ไม่ได้ จึงได้เร่งให้ทุกคนออกเดินทางต่อ
ได้ยินคำพูดของบุตรชายคนโตแล้ว นางเจียงจำต้องหยุดโวยวาย แต่ยังไม่ลืมจ้องบ้านสามด้วยความชิงชัง
“จริงของพี่ใหญ่นะท่านแม่ หากน้องสามอยากมีภาระเพิ่ม ก็ต้องรับผิดชอบกันเอาเอง ห้ามมาเบียดเบียนเสบียงของส่วนกลางเด็ดขาด”
“ใช่ ๆ” เสียงคนอื่น ๆ เห็นด้วยกับหวงเต๋อบุตรชายของรองของบ้าน เรื่องอื่นพวกเขาไม่ยุ่งได้ แต่เรื่องเสบียงอาหารนั้นต้องรักษาผลประโยชน์ของตนเองเอาไว้
“ได้ ๆ พวกข้าจะไม่เบียดเบียนเสบียงส่วนกลางแน่นอน” ฉินซื่อรีบตอบรับด้วยเกรงว่าพวกเขาจะเปลี่ยนใจ
“จำคำของเจ้าเอาไว้ให้ดี ๆ ล่ะสะใภ้สาม”
“เจ้าค่ะท่านแม่”
คนอื่นในครอบครัวต่างเดินทางกันต่อ เหลือเพียงบ้านสามที่กำลังป้อนน้ำให้เด็กน้อยอยู่ พร้อมกับใช้ผ้าชุบน้ำหมาด ๆ เช็ดหน้าให้อย่างเบามือ
หวงชางเป็นคนอุ้มหลินลู่ฉีขึ้นหลัง หาผ้ามามัดเอาไว้ไม่ให้นางเป็นอันตรายระหว่างเดินทาง ส่วนฉินซื่ออุ้มหวงจื่อเหยาบุตรสาวในวัยสี่ปี บุตรชายหวงจื่อถงอายุหกปีแล้ว เขาสามารถเดินได้ด้วยตัวเอง
เดินทางกันต่อจนพระอาทิตย์ตกดิน จึงได้เจอวัดร้างแห่งหนึ่ง พวกเขาพากันพักค้างคืนที่นี่ เดิมทีทุกคนลี้ภัยมาจากหมู่บ้านจินเซ่ออำเภอชุ่นในเมืองหลี แต่ตระกูลหวงกลับขอแยกทางกับคนในหมู่บ้าน เพราะมีเป้าหมายจะไปหาญาติที่อยู่อำเภอหยางในเมืองลี่หยาง
นางเจียงเห็นว่าหมู่บ้านจินเซ่อ ไม่อาจพลิกผืนดินให้ปลูกพืชพันธุ์ได้อีก จึงไม่คิดกลับไปอดตายกันที่นั่น นางหารือกับสามี และเลือกไปขอความช่วยเหลือจากญาติของนางที่อำเภอหยางแทน
ขณะที่ทุกคนกำลังพักผ่อนเอาแรง สะใภ้ทั้งสามเตรียมเสบียงออกมาทำข้าวต้มให้ครอบครัวได้กินกัน ยามนี้ที่หลินลู่ฉีได้ตื่นขึ้นมา ตอนอยู่บนหลังของหวงชางนั้น นางถึงกับหลับสนิทจริง ๆ
“น้องสาว” หวงจื่อเหยาจิ้มแก้มนางเบา ๆ
“น้องสาวตื่นแล้ว” หวงจื่อถงไม่กล้าแตะเนื้อตัวนาง เขาทำเพียงแค่ก้ม ๆ มอง ๆ ด้วยความสงสัย
“พี่ชายน้องสาวเป็นใบ้”
หลินลู่ฉี “?!” เด็กคนนี้สติดีหรือไม่
หวงจื่อถงตกใจไม่น้อยหลังได้ยินน้องสาวเอ่ยเช่นนี้ เพราะตั้งแต่เดินทางมา อีกฝ่ายไม่ได้พูดออกมาแม้แต่คำเดียว เขารีบคลานไปหาบิดา ที่เอนหลังอยู่บนกองหญ้าที่ตัดมาปูเป็นที่นอน
“ท่านพ่อ ๆ น้องสาวคนใหม่เป็นใบ้”
หวงชางลืมตาตื่นขึ้นในทันที “เจ้าว่าอะไรนะ”
“น้องสาวคนใหม่ไม่พูดไม่จา สงสัยนางจะเป็นใบ้” หวงจื่อถงอายุเพียงหกปี เขาจึงตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก
“จะเป็นไปได้อย่างไร” หวงชางสีหน้าซับซ้อนขึ้นมา หากเด็กคนนี้เป็นใบ้จริง เขาไม่ใช่ว่ากำลังเพิ่มปัญหาให้กับครอบครัวหรอกหรือ รีบลุกขึ้นขยับไปหาเด็กน้อยที่เพิ่งเก็บมา
“นังหนูเจ้าพูดได้ไหม” เขาถามนางด้วยสีหน้าตกใจ
หลินลู่ฉีเห็นหน้าคนที่อุ้มตัวเองมาค่อนวัน ก็คลายรอยยิ้มออกเล็กน้อย นางพยักหน้าลงเบา ๆ
“ถงเอ๋อร์เจ้านี่พูดไม่คิด ทำเอาพ่อตกใจหมด” เขาหันไปเอ็ดบุตรชาย ก่อนหันกลับมาสนใจกับเด็กน้อยต่อ “เช่นนั้นเจ้าจำได้หรือไม่ว่าตัวเองเป็นใคร เหตุใดถึงถูกทิ้งไว้คนเดียว”
หลินลู่ฉีไม่อยากโกหกด้วยการสร้างเรื่องราวขึ้นใหม่ นางจึงส่ายหน้าพร้อมเอ่ยเบา ๆ “ข้าจำไม่ได้” พร้อมจับตรงศีรษะเบา ๆ ตรงนั้นรู้สึกเจ็บอยู่ไม่น้อย
หวงชางรีบตรวจดูศีรษะของนาง เห็นรอยปูดนูนขึ้นมา คล้ายกระแทกเข้ากับของแข็ง มิน่านางถึงนอนสลบไม่รู้สึกตัว เพราะศีรษะกระแทกเข้ากับของแข็งนี่เอง
“จำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ต่อไปข้าจะรับเลี้ยงดูเจ้าเองดีหรือไม่”
“อื้ม” หลินลู่ฉีรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูกเมื่ออยู่กับพวกเขา นางจึงตอบตกลงในทันที
หวงชางรีบแนะนำตัวเอง พร้อมบุตรชายบุตรสาวทั้งสอง “เจ้าเรียกข้าว่าท่านลุง ส่วนนี่พี่จื่อถง พี่จื่อเหยา แล้วเจ้าล่ะชื่ออะไร”
“เอ่อ” หากตอบทันทีจะน่าสงสัยไหมนะ นางพยายามใช้ความคิดอย่างหนัก ก่อนตอบออกไป “เอ่อ ข้าคลับคล้ายว่าจะชื่อหลินลู่ฉี”
“หลินลู่ฉี ชื่อดี ๆ” หวงชางแค่รู้สึกว่าชื่อนี้เพราะมาก แต่ไม่ได้รู้ความหมายลึกซึ้งอันใด
หวงจื่อถงดึงแขนเสื้อบิดา “ท่านพ่อข้าเรียกน้องสาวว่าฉีฉีได้หรือไม่”
หวงชางหันไปลูบศีรษะน้อย ๆ ของเขา “ได้สิ ฉีฉีเจ้าเห็นด้วยไหม”
“ได้” หลินลู่ฉีไม่เรื่องมาก นางปรายตาไปทางฉินซื่อที่เดินถือหม้อใส่ข้าวต้มมา
“สะใภ้ใหญ่เจ้าดูดีแล้วใช่ไหม ตักให้เหมือนเดิมห้ามเพิ่มเด็ดขาด” เสียงนางเจียงดังไล่หลังมา
“เท่าเดิมท่านแม่ ข้าตักเองกับมือ” จ้าวซื่อสะใภ้ใหญ่ของบ้านรีบเอ่ย
ฉินซื่อไม่ใส่ใจมากนัก นางนั่งลงตรงหน้าสามี พร้อมนำชามของแต่ละคนออกมา ตักข้าวต้มใส ๆ ใส่ชามของแต่ละคน ระหว่างนั้นสามีของนาง ก็เล่าเรื่องของหลินลู่ฉีให้นางฟังไปด้วย
“ฉีฉีช่างน่าสงสารนัก น่าเสียดายที่พวกเราไม่มียาทาแก้ฟกช้ำ เจ้ากินข้าวของข้าก็แล้วกัน” ฉินซื่อยื่นถ้วยข้าวต้มไปตรงหน้าของเด็กน้อย แต่ถูกสามีดันถ้วยของนางออก แทนที่ด้วยถ้วยของเขาเอง
“ได้อย่างไรอาอี้ เจ้าเหนื่อยมาทั้งวัน หากไม่ได้กินข้าวเกรงว่าพรุ่งนี้จะไม่มีแรงเดิน ให้นางกินของข้าดีกว่า”
หวงจื่อถง “เอาของข้าก็ได้ขอรับ”
หวงจื่อเหยา “อื้อ” นางไม่รู้เรื่องอะไรหรอก ยื่นถ้วยตามพี่ชายเท่านั้น
หลินลู่ฉีมองคนโน้นทีคนนี้ที นางกระแอมเบา ๆ ทุกคนจึงหยุดหันมามองนางกันหมด
“ขะข้ากินข้าวไม่เยอะ แบ่งให้ข้าคนละคำก็พอแล้วเจ้าค่ะ” นางเอ่ยออกมาด้วยท่าทีกล้า ๆ กลัว ๆ ในใจเกิดความละอายไม่น้อย ที่ต้องแสร้งทำเป็นเด็กน้อยไร้เดียงสาเช่นนี้
ฉินซื่อตาประกายขึ้นในทันที “จริงด้วยฉีฉีพูดถูก มามาพวกเราสี่คนแบ่งข้าวให้นางคนละคำดีกว่า” นางจัดการแบ่งข้าวต้มให้ทุกคนได้กินกัน
หลินลู่ฉีมองดูข้าวต้มน้ำใส ๆ หาเม็ดข้าวแทบไม่เจอ น้ำตาคลอเบ้าออกมาด้วยความหดหู่ อาหารเลิศหรูเมื่อก่อนกลายเป็นเรื่องเพ้อฝันไปเสียแล้ว
“ไม่ต้องร้อง ๆ ค่อย ๆ กิน” ฝ่ามืออบอุ่นของฉินซื่อลูบแผ่นหลังของนางเบา ๆ
“ขอบคุณท่านป้าเจ้าค่ะ” นางค่อย ๆ กลืนเข้าต้มลงท้องไป ในช่วงเวลาโหดร้ายนี้ ยังมีแสงสว่างน้อย ๆ จากครอบครัวนี้อยู่
บทที่ 252 : ฮูหยินลูกแย่งที่นอนข้า หวงชางพยักหน้าลงเล็กน้อย “ได้ต่อไปข้ากับอาอี้จะเรียกเจ้าว่าอี้หาน เจ้ากลับบ้านเดิมภรรยาทั้งที เหตุใดต้องหอบของขวัญมามากมายถึงเพียงนี้” “แค่ของขวัญเล็กน้อยเท่านั้น” หลินลู่ฉีรีบฟ้อง “ดีที่ข้าห้ามเอาไว้ก่อน ไม่อย่างนั้นสามีข้าคงขนมาทั้งคลังเป็นแน่” “เจ้าเด็กนี่เรียกสามีข้าเต็มปากเต็มคำ หน้าไม่อายจริง ๆ” ฉินซื่ออดเย้านางไม่ได้ “ท่านป้าท่านล้อข้า” “แต่งงานกันแล้วย่อมเป็นเรื่องธรรมดา อี้หานต่อไปก็รักและดูแลฉีฉีของพวกข้าให้ดี ๆ อย่าทำให้นางต้องเสียใจรู้ไหม” “ขอรับท่านป้าข้ารับปากท่าน ข้าซุนอี้หาน
บทที่ 251 : ข้าอายุสิบแปดปีเองนะ จะรีบร้อนมีลูกไปทำไม หลังจากกินมื้อกลางวันอิ่มกันแล้ว พ่อบ้านได้นำกล่องของขวัญ กับจดหมายมามอบให้หลินลู่ฉี บอกว่าเป็นของท่านอาจารย์ของนางมอบให้ในวันแต่งงาน “อาจารย์ปู่อย่างนั้นรึ” หลินลู่ฉีรีบเปิดซองจดหมายอ่านก่อนเป็นอันดับแรก เนื้อหาในนั้นเป็นการขอโทษ ที่ไม่สามารถเดินทางมาร่วมงานแต่งของนางได้ เพราะระยะทางอยู่ไกลนับพันลี้ แม้เดินทางด้วยม้าเร็วก็คงมาไม่ทันอยู่ดี จึงได้ส่งของขวัญกับจดหมายมาให้แทน นอกจากคำอวยพรแล้ว อาจารย์ปู่ยังมอบป้ายไม้แกะสลักให้นางอีกด้วย ซุนอี้หาน “นี่ป้ายอะไรกัน” “อาจารย์ปู่เขียนบอกว่า เป็นป้ายประจำตัวเจ้าของตำหนักยา” “ตำหนักยา ? นั่นไม่ใช
บทที่ 250 : เมื่อกี้ไม่ใช่ว่าทำกันไปแล้วหรือ ภายในห้องหอซุนอี้หานกำลังเงี่ยหูฟังเสียงจากนอกประตู เมื่อรู้ว่าคนเหล่านั้นไม่อยู่แล้ว จึงได้หันไปทางเจ้าสาวที่นั่งตัวแข็งทื่ออยู่บนเตียงนอน เจ้าไปนั่งบนเตียงตั้งเมื่อไหร่ ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านั่งอยู่บนเก้าอี้รึ ซุนอี้หานทั้งขำทั้งเอ็นดูนาง หลินลู่ฉีกำลังนั่งด้วยความรู้สึกประหม่าแกมตื่นเต้น นางมองผ่านชายผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวสีแดง เห็นเพียงหัวรองเท้าเจ้าบ่าวที่เดินมาหยุดอยู่ เขาเอื้อมจับชายผ้าคลุมหน้าเจ้าสาว ค่อย ๆ ยกขึ้นตลบไปไว้ด้านหลัง เจ้าสาวผู้มีใบหน้าอันงดงาม ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างเขินอาย ริมฝีปากจิ้มลิ้มเม้มเข้าออก คล้ายคนไม่รู้จะเอ่ยคำพูดใดออกมา “ฉีฉีเจ้างามมาก” ดวงตาปรือเยิ้มมองเจ้าสาวอย่างลุ่มหลง
บทที่ 249 : ใครจะหย่ากับข้า ! บรรดาญาติสหายและคนรู้จัก ที่พากันมาส่งตัวเจ้าสาว ต่างยืนดูพิธีการตรงหน้าด้วยสีหน้ายิ้มแย้มกันทุกคน “ตอนแรกข้าอยากเสนอตัวแบกเจ้าสาวด้วยตัวเอง แต่ว่าคิดไปคิดมาข้าเทียบหวงจื่อถงไม่ได้จริง ๆ เขามีความเป็นพี่ชายมากกว่าข้าเสียอีก” เซี่ยเฉินจิ่นเอ่ยเบา ๆ เซี่ยเฉินฟู่กอดอกมองภาพตรงหน้า แล้วพยักหน้าลงเบา ๆ “ท่านแบกพี่สาวไม่ไหวหรอก เกิดทำเจ้าสาวหกล้มขึ้นมา ทำฤกษ์มงคลเสียหายหมด ให้พี่จื่อถงแบกนั่นแหละดีแล้ว” เซี่ยเฉินจิ่น “...” เจ้ายังใช่น้องชายข้าอยู่ไหม ฉวีฮูหยิน “ต่อไปนางก็มีครอบครัวของตัวเอง มีสามีลูกมีหลานเต็มบ้าน ไม่เดือดร้อนพวกเจ้าให้เป็นห่วงนางหรอก” ครอบครัวตระกูลเซี่ยยืนมองเกี้ยวเจ้าสา
บทที่ 248 : ข้าซุนอี้หานขอสาบานด้วยชีวิต ข้าจะไม่มีวันทำให้นางเสียใจเด็ดขาด “ฉีฉี” ฉินซื่อลูบศีรษะของนางอย่างอ่อนโยน น้ำตาพลันเอ่อคลอเบ้าตามนางไปด้วย ทั้งลูบทั้งกอดปลอบโยนนาง “เด็กน้อยในวันนั้น ได้นำพาครอบครัวของพวกเรา เดินทางผ่านร้อนผ่านหนาวมาไกลถึงเพียงนี้ รู้ไหมว่าป้าภูมิใจในตัวของเจ้ามากแค่ไหน” “ท่านป้า ฮะฮรึก...ฮือ ๆ ๆ” เป็นครั้งแรกที่ฉินซื่อได้เห็นหลินลู่ฉี ปล่อยเสียงร้องไห้โฮออกมาเช่นนี้ เหมือนกำแพงความเข้มแข็งในใจของนาง ได้พังทลายลงแล้ว “เด็กดีไม่ร้อง ๆ เจ้าสาวจะตาบวมหมดงามเอาได้” “ขะข้า...ฮะฮรึก จะไม่ร้องแล้ว ฮะฮรึก !” คนพูดสะอื้นเป็นจังหวะ “เจ้
บทที่ 247 : หวีครั้งแรกขอให้ชีวิตคู่ยืนยาว หลินลู่ฉีไปหาฉินซื่อที่เรือน พบว่านางกำลังปักชุดเจ้าสาวให้ตัวเองอยู่ หวงจื่อเหยาที่ได้เวลาใกล้คลอดแล้ว นางมาหามารดาเพื่อดูว่ามีอะไรให้ช่วยบ้าง “ท้องโตขนาดนี้ยังขึ้นรถม้าไปโน่นมานี่อีก ชุดเจ้าสาวของฉีฉีข้าทำเองได้เจ้าไม่ต้องช่วย” เสียงของฉินซื่อเอ่ยบ่นบุตรสาว ดังออกมาจากเรือนของนาง “ท่านแม่ฉีฉีของพวกเราจะออกเรือนทั้งที นางไม่ยอมรับสินเดิมจากพวกเรา มีเพียงชุดแต่งงานนี่แหละ ที่พวกเราพอจะทำให้นางได้” หลินลู่ฉีกระแอมเบา ๆ สองแม่ลูกก็หันมามองนางในทันที “เจ้ามาแอบฟังข้ากับท่านแม่พูดคุยกันใช่ไหม” “พี่จื่อเหยาท่านใส่ร้ายข้า” นางออดอ้อนเป็นเด็กน้อยทันที &ld