/ รักโบราณ / ข้าคือดาวมงคลน้อยหลินลู่ฉี / บทที่ 3 : ถูกลักพาตัวไปขาย

공유

บทที่ 3 : ถูกลักพาตัวไปขาย

last update 최신 업데이트: 2025-06-29 06:20:44

บทที่ 3 : ถูกลักพาตัวไปขาย

          หลินลู่ฉีรักษาอาการอยู่ในโรงหมอต่ออีกสองวัน จากนั้นมีคนของทางการมารับตัวนางไป พวกเขาสอบถามถึงที่มาที่ไปของนาง นางจึงบอกพวกเขาว่า ครอบครัวของนางเป็นคนในเมืองหลวง แต่คงพลั้งเผลอลืมนางไว้ระหว่างทาง หากจะส่งนางกลับไปหาครอบครัว ต้องส่งไปยังเมืองหลวง

          นั่นเพราะนางรู้ว่า ตระกูลบิดามารดาย้ายไปอยู่ที่เมืองหลวงกันหมด น่าแปลกยิ่งนักที่บุตรหลานของพวกเขาได้รับตำแหน่งในเมืองหลวง เลยต้องย้ายไปอยู่ที่นั่นทั้งสองตระกูล แม้ว่าจะห่างกันคนละปีก็เถอะ ช่างเป็นเวรเป็นกรรม ตัดกันไม่ขาดจริง ๆ

          หลินลู่ฉีรู้เพราะบังเอิญได้ยินนักพรตเฒ่าพูดคุยกับหญิงชราผู้หนึ่ง ซึ่งก็คือท่านย่าในสายเลือดของนางนั่นเอง พวกเขาคงคิดว่า เด็กน้อยอายุขวบสองขวบที่เล่นเขี่ยดินอยู่ข้าง ๆ คงไม่รู้เรื่องราวอันใด แต่เพราะหลินลู่ฉีที่มาสวมร่างของหยางท่ง กลับสามารถซึมซับทุกเหตุการณ์ ที่หูและตารวมถึงความรู้สึกของเจ้าของร่าง สัมผัสผ่านมาได้อย่างชัดเจน

          สิ่งที่นางรับรู้เพิ่มก็คือ ท่านย่าผู้นี้เป็นคนมอบเงินให้นักพรตเฒ่าในการเลี้ยงดูนาง

          เดิมทีนางคิดว่าพวกเขา จะส่งนางไปอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า หรือไม่ก็ส่งตัวไปยังเมืองหลวง แต่ใครจะไปคิดว่าเจ้าหน้าที่พวกนี้ กลับชั่วร้ายกว่านั้นเ วางยาสลบนางแล้วพาไปขายให้กับพวกค้ามนุษย์ พวกเขาไม่เชื่อคำพูดของเด็กน้อยสามขวบ คิดว่านางคงถูกครอบครัวทิ้งไว้กลางทาง ซึ่งนั่นเป็นเรื่องจริง

          หลินลู่ฉีลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ก็พบว่าตัวเองอยู่ในรถม้าคันมืด ๆ ด้านข้างมีเด็กอีกสามคนนั่งอยู่ด้วย เด็กชายอายุราวห้าปีสองคนและเด็กสาวอายุราวสิบปีอีกหนึ่งคน แต่ละคนมีท่าทางหวาดกลัวเป็นอย่างมาก ดูไปแล้วนางน่าจะอายุน้อยสุดในที่นี้

          “น้องสาวเจ้าฟื้นแล้ว” เด็กสาวคนด้านข้างพยุงนางขึ้นมานั่ง แล้วโอบกอดนางเอาไว้ ทั้งที่ตัวของนางเองก็สั่นกลัวไม่ยอมหยุด

          “พี่สาวพวกท่านถูกจับมานานหรือยัง”

          “ข้าถูกจับมาหลายวันแล้ว พวกเขาก็ด้วยถูกจับมาจากอีกเมือง” เอ่ยแล้วนางก็ร้องไห้ออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

          “พี่สาวอย่าร้อง ๆ พวกท่านรู้หรือไม่ว่าพวกนั้นจะพาพวกเราไปที่ไหน”

          “ข้ารู้ ๆ” เด็กผู้ชายผอมเพรียวรีบเอ่ย “ข้าแอบได้ยินพวกมันพูดว่าจะพาไปส่งที่ชายแดน”

          “ชายแดน !” เจ้าอ้วนอีกคนร้องไห้หาแม่ทันที

          หลินลู่ฉีไม่รู้ว่าชายแดนคือที่ไหน “ชายแดนที่ว่าอยู่ไกลไหม”

          “น้องสาวพวกเราไม่รู้เหมือนกัน” เด็กสาวด้านข้างส่ายหน้าอย่างสิ้นหวัง

          หลินลู่ฉีได้แต่ทอดถอนหายใจออกมา รถม้ามีหน้าต่างปิดทึบมองไม่เห็นด้านนอก ได้เห็นข้างนอกแค่เวลาต้องพักเพื่อทำธุระข้างทาง ระหว่างนั้นจะมีคนเดินตามไปเฝ้าด้วย ให้หนีอย่างไรก็คงไม่พ้น

          ดูไปแล้วไม่ได้มีแค่รถม้าคันที่เด็กนั่งอยู่ ยังมีอีกคันด้านหน้า พวกเขาเป็นเด็กสาวแรกรุ่น แต่ละคนใบหน้างดงามทั้งนั้น ในใจของหลินลู่ฉีรู้สึกไม่สู้ดีนัก คนร้ายมีกันเกือบยี่สิบคนจะหนียังไงพ้น นางก้มลงมองขาของตัวเอง แล้วส่ายหน้าไปมา ดาวมงคลของนางใช่ว่าจะเกิดขึ้นได้อย่างใจนึก คราวคุณชายน้อยผู้นั้น นางมองเห็นไอหมอกได้ชัดเจน แต่กับเด็กที่อยู่ในรถคันเดียวกัน นางกลับมองไม่เห็นอะไรเลย ไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้าจะเจออันตรายหรือไม่

          เฮ้อ แล้วแต่บุญแต่กรรมแล้วกัน

          การเดินทางผ่านไปสิบเอ็ดวัน เด็ก ๆ เหนื่อยล้าจนหมดเรี่ยวแรงไปหมด หลินลู่ฉีสังเกตเห็นถึงความผิดปกติ ระหว่างที่จอดพักทำธุระข้างทาง นางพบเห็นผู้คนมากมายเดินกันตามข้างทาง แต่ละคนสภาพผอมแห้งคล้ายกินไม่อิ่มท้อง

          “พี่ใหญ่ไม่ดีแล้ว อีกตั้งสองเมืองกว่าจะถึงชายแดน ถ้ายังเจอผู้ลี้ภัยตลอดทางเช่นนี้อีก ข้าว่ายุ่งยากแล้ว”

          “จะยุ่งยากอะไร พวกเรามีกันทั้งยี่สิบกว่าคน มีอาวุธครบมืออีก ใครมันจะกล้ามาบุกรถม้าพวกเรา” คนเป็นหัวหน้าใหญ่ เอ่ยออกมาด้วยท่าทางเกรี้ยวกราด

          “จริงอย่างพี่ใหญ่ว่า พี่ซ่งท่านก็อย่าได้วิตกเกินกว่าเหตุนักเลย”

          “เออ ๆ ข้าคงคิดมากไป ข้าฟังพี่ใหญ่” แม้ในใจของหลี่ซ่งไม่เห็นด้วย เพราะเขาเคยเจอขบวนผู้ลี้ภัยมาก่อน คนพวกนั้นสามารถทำได้ทุกอย่างเพื่อความอยู่รอด แต่เมื่อหัวหน้าของเขาไม่กลัว ลูกน้องอย่างเขาก็ต้องทำตาม

          ทว่าเรื่องที่หลี่ซ่งกลัวนั้นย่อมมีมูลเหตุ หลายเมืองข้างหน้าเกิดภัยแล้งขึ้น เท่านั้นยังไม่พอเจ้าเมืองยังชั่วร้าย ไม่เปิดคลังเสบียงช่วยเหลือ

          จึงเกิดการก่อจลาจลขึ้น บุกเข้าไปที่คลังเสบียง พบว่าคลังเสบียงนั้นว่างเปล่า เพราะเจ้าเมืองลักลอบนำข้าวสารที่เมืองหลวงส่งมาให้ ออกไปขายต่อให้พ่อค้าหน้าเลือด

          ด้วยความเคียดแค้นของชาวเมือง จึงพากันจุดไฟเผาจวนเจ้าเมือง และที่ว่าการจนมอดไหม้ เมื่อเสบียงไม่เหลือผลผลิตไม่มี แม้แต่น้ำยังขาดแคลน ชาวบ้านจึงต้องพากันอพยพออกไปยังเมืองอื่น

          เพื่อหาหนทางอยู่รอดของตัวเอง กระทั่งมาเจอเข้ากับขบวนรถม้าสองคันพร้อมคนคุ้มกัน พวกเขาคิดว่าคนคุ้มกันมากขนาดนี้ ด้านในรถม้าต้องเป็นของมีค่าอย่างแน่นอน

          หากแค่สิบยี่สิบคนคงบุกเข้าไปไม่ได้ แต่ผู้ลี้ภัยมีนับร้อยคน เจ้าบุกข้าบุก อาวุธไหนเลยจะสู้แรงคนเยอะกว่า ไม่ช้าคนร้ายก็ทิ้งรถม้าของตนวิ่งหนีไป

          เสียงกรีดร้องของเด็กสตรีดังลั่น แต่ละคนถูกกระชากลงจากรถม้า เพื่อหาเสบียงของมีค่า ไหนเลยจะสนใจเด็กสตรีที่ถูกจับมา

          หลินลู่ฉีดวงไม่ดีนัก นางถูกบุรุษร่างใหญ่เหวี่ยงลงจากรถม้า หัวไปกระแทกเข้ากับต้นไม้จนสลบเหมือดคาที่ ส่วนเด็กคนอื่น ๆ ไม่มีใครสนใจใคร พากันวิ่งหนีไปข้างหน้าอย่างไม่คิดชีวิต

          ผ่านไปราวหนึ่งชั่วยาม

          “เด็กนี่ตายแล้วมั้งน่าสงสารจริง ๆ”

          “เจ้าอย่าไปเข้าใกล้นาง นางป่วยหรือเปล่าครอบครัวถึงทิ้งไว้แบบนั้น”

          “อย่าไปสนใจนางเลย”

          “เฮ้อ ปาบกรรม ๆ”

          เสียงฝีเท้าคนแล้วคนเล่า แต่ไม่มีใครกล้าแตะต้องตัวของนางแม้แต่คนเดียว หลินลู่ฉีฟื้นมาได้สักพัก แต่นางไม่มีแรงจะยันตัวลุกขึ้น นางได้ยินคำพูดเหล่านั้น ในใจรู้สึกปล่อยวาง หากจะตายอีกก็ตายเถอะ คงไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่านี้แล้ว

          ก่อนหน้านางใช้ชีวิตอย่างสงบสบาย หญิงสาวในวัยยี่สิบสองปี ประสบความสำเร็จในชีวิตเป็นอย่างมาก แม้ต้องสูญเสียบิดามารดา จากอุบัติเหตุทางน้ำไปตอนอายุได้สิบปี แต่ญาติที่เหลือก็รักและดูแลนางเป็นอย่างดี

          หากถามว่าเธอทำอาชีพอะไรในยุคปัจจุบัน คงต้องบอกว่าแทบไม่ได้ทำอะไรเลย ซื้อสลากก็ถูกรางวัลที่หนึ่ง ซื้อหุ้นก็ได้กำไร เก็งกำไรด้านไหนก็ทำรายได้มหาศาล อายุแค่ยี่สิบห้าปีมีเงินเก็บนับหมื่นล้าน สามารถใช้ชีวิตท่องเที่ยวรอบโลกได้แล้ว ทว่าชีวิตในโลกนี้นั้นช่างแตกต่าง คาดว่าดาวมงคลเช่นเธอ ยังต้องผ่านด่านเคราะห์อีกมากมาย

          “ฉินซื่อเจ้าอย่าไปยุ่งกับเด็กคนนั้น !”

          “ท่านแม่ข้าว่านางยังไม่ตายนะเจ้าคะ” ฉินซื่อหรือชื่อเดิมนั้นคือฉินอี้เป็นลูกสะใภ้สามของนางเจียง

          “ยังไม่ตายแล้วเกี่ยวอะไรกับบ้านเรา น้องสามข้าว่าเจ้าคุมเมียตัวเองหน่อยเถอะ อย่าได้หาเรื่องใส่ตัวนักเลย”

          จ้าวซื่อเป็นสะใภ้ใหญ่ของตระกูลหวง เดิมทีนางชื่อจ้าวหมิง รู้สึกไม่พอใจน้องสะใภ้สามผู้นี้ ช่างใจดีไม่ดูเวล่ำเวลา ตัวเองจะอดตายอยู่แล้ว ยังมีแก่ใจไปสงสารผู้อื่นอีก

          “พี่ชางนางยังไม่ตายจริง ๆ” ฉินซื่ออุ้มเด็กน้อยขึ้นมาให้หวงชางผู้เป็นสามีดู

          หลินลู่ฉียังไม่ลืมตาขึ้น นางอยากรู้ว่าคนเหล่านี้มีนิสัยใจคอเช่นไร พอจะฝากชีวิตเด็กน้อยไว้ด้วยได้ไหม หากเป็นคนไม่ดี นางจะไม่ไปกับพวกเขาเด็ดขาด

          “ท่านพ่อท่านแม่เด็กคนนี้ยังไม่ตายจริง ๆ ขอรับ” หวงชางรีบบอกบิดามารดา แววตาของเขาประหม่าขาดความมั่นใจ

          หวงจงส่ายหน้าอย่างระอาใจ หันไปมองภรรยาเล็กน้อย ส่งสายตาให้นางจัดการกับบุตรชายแสนโง่เขลาคนนี้

          “เจ้าสามโยนนังเด็กเหลือขอนั่น ทิ้งไปเดี๋ยวนี้ !” นางเจียงสั่งเสียงเด็ดขาด

이 책을 계속 무료로 읽어보세요.
QR 코드를 스캔하여 앱을 다운로드하세요

최신 챕터

  • ข้าคือดาวมงคลน้อยหลินลู่ฉี   บทที่ 8 : เจียงชุน

    บทที่ 8 : เจียงชุน หลินลู่ฉีทนสังขารของเด็กสามขวบไม่ไหว นางหลับบนหลังของหวงชางไปตลอดเส้นทาง รู้ตัวอีกทีก็ถึงหน้าเรือนของท่านยายเจียงแล้ว แม้จะอยู่ในชนบทแต่เรือนของท่านยายเจียงกลับสร้างด้วยอิฐ ซึ่งแตกต่างจากบ้านของชาวบ้าน ที่ส่วนใหญ่สร้างด้วยดิน หมู่บ้านหยางฮัวมีคนสร้างบ้านด้วยอิฐเพียงสองหลังเท่านั้น คือของผู้ใหญ่บ้านกับท่านยายเจียง หลินลู่ฉีมองสำรวจด้วยสายตาคร่าว ๆ หมู่บ้านแห่งนี้อยู่ด้านหน้าภูเขา มีราวห้าสิบหลังคาเรือนเท่านั้น คงมีชาวบ้านราว ๆ สองร้อยกว่าคน ท่านยายเจียงแลดูจะตกใจ กับจำนวนลูกหลานเหลนที่มาพึ่งพาเกือบยี่สิบคน ทว่าท่านกลับให้การต้อนรับเป็นอย่างดี “ท่านน้าข้าลี้ภัยมาพึ่งใบบุญของท่าน ไม่คิดว่าจะถูกตระกูลหม่า ขับไล่ออกมาเหมือนหมูเหมือนหมาเช่นนี้” นางเจียงร้อ

  • ข้าคือดาวมงคลน้อยหลินลู่ฉี   บทที่ 7 : ไปให้พ้น ! ที่นี่ไม่มีอนุภรรยาแซ่เจียง

    บทที่ 7 : ไปให้พ้น ! ที่นี่ไม่มีอนุภรรยาแซ่เจียง หลินลู่ฉีอยากลงเดินเพื่อให้หวงชางได้เบาหลังบ้าง แต่พอนางเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็ทิ้งระยะห่างจากคนตระกูลหวงเสียแล้ว โทษใครได้ขานางสั้นเกินไปจริง ๆ “เจ้าอยากเดินนักเป็นอย่างไรล่ะ” หวงจื่อถงจิ้มจมูกเล็ก ๆ ของนาง “มาขี่หลังข้า ให้ท่านพ่อได้พักบ้าง” เขาย่อตัวลงหวังให้น้องสาวตัวน้อยได้ขี่หลัง หลินลู่ฉีมองดูร่างผอมแห้งของเขาแล้วหนักอึ้งในใจ นางเงยหน้าขึ้นมองหวงชางกับฉินซื่อ “ให้พี่ชายของเจ้าลองดู ไหวหรือไม่เดี๋ยวก็รู้” หวงชางยิ้มระหว่างมองสบสายตากับเด็กน้อย เป็นอย่างที่คิดจริง ๆ ไม่ถึงครึ่งลี้หวงจื่อถงก็ไม่ไหวเสียแล้ว เป็นหวงชางที่ต้องแบกหลินลู่ฉีต่อไป ส่

  • ข้าคือดาวมงคลน้อยหลินลู่ฉี   บทที่ 9 : เช่าเรือนท่านยายหมี่

    บทที่ 9 : เช่าเรือนท่านยายหมี่ ไม่ช้านางหูก็กลับมาพร้อมข่าวดี ท่านยายหมี่ยินดีให้เช่าเรือนส่วนหนึ่ง เรื่องค่าเช่าแล้วแต่ผู้ใหญ่บ้านจะกำหนดให้ นางไม่เรื่องมาก ขอแค่มีรายได้เข้ามาบ้างก็เป็นพอ คืนนี้สามารถเข้าไปอาศัยอยู่ที่เรือนของนางได้เลย “ท่านยายจ่ายค่าเช่าล่วงหน้าให้ข้าตั้งหนึ่งเดือน ข้าไม่รู้จะตอบแทนท่านยายอย่างไรดี ขอบคุณท่านยายมากขอรับ” หวงชางคุกเข่าลง โขกศีรษะคำนับให้ท่านยายเจียง “เหลวไหลอันใด รีบลุกขึ้นได้แล้ว เจ้าเป็นหลานชายข้า เงินแค่ไม่กี่สิบอีแปะข้าจะออกให้ไม่ได้รึ” ท่านยายเจียงโบกมือใส่เขาคล้ายโมโห นางไม่ได้บอกคนตระกูลหวง ว่าตัวเองมีรายได้จากช่องทางไหน แต่แอบกำชับผู้ใหญ่บ้านก่อนออกมา ไม่ให้บอกเรื่องให้เช่าที่นาเกือบร้อยหมู่กับญาติของนาง&nb

  • ข้าคือดาวมงคลน้อยหลินลู่ฉี   บทที่ 6 : ฉีฉีมองเห็นบ้างไหม

    บทที่ 6 : ฉีฉีมองเห็นบ้างไหม เมื่อรู้ว่ามีภัยอันตรายเข้ามาใกล้ พวกเขารีบเก็บของ พากันคลำทางในความมืดไปจากตรงนี้ เพราะเป็นคืนเดือนมืดทุกคนจึงต้องจับมือเดินตามหลังกันไป “ข้ามองไม่เห็นทางแล้วท่านพ่อท่านแม่ หากก้าวพลาดอาจได้รับบาดเจ็บได้” หวงจื้อเป็นคนนำทางเขาเกิดกลัวขึ้นมา “เจ้าใหญ่เงียบ ๆ หน่อย ข้าได้ยินเสียงคนตามหลังพวกเรามาแล้ว พวกมันจุดคบเพลิงด้วย รีบไป ๆ” หวงจงเร่งบุตรชาย หลังจากเห็นแสงไฟอยู่ไม่ไกลเท่าใดนัก ทว่าหวงจื้อกลับไม่กล้าเดินต่อ พวกเขาไม่มีคบเพลิงและข้างหน้าก็ล้วนแต่เป็นป่าเขา “ท่านพ่อสามีข้ามองไม่เห็นทาง ให้คนอื่นมานำทางเถอะ” จ้าวซื่อรีบดึงแขนสามีมาหลบอยู่ด้านหลังนางเจียง&nbs

  • ข้าคือดาวมงคลน้อยหลินลู่ฉี   บทที่ 5 : พี่ชายเจ็บหรือไม่

    บทที่ 5 : พี่ชายเจ็บหรือไม่ กระนั้นวาจาถากถางจากนางเจียง ก็ยังลอยมาตามสายลม คำว่าตัวอัปมงคล ตัวกินล้างกินผลาญ ด่าลามไปถึงครอบครัวของหวงชางทุกคน ด่าจนหลินลู่ฉีรู้ประวัติความเป็นมาของพวกเขาไม่มากก็น้อย นางเจียงกับหวงจงนั้นแม้จะเป็นปู่ย่าคนแล้ว แต่อายุเพียงแค่สี่สิบปลาย ๆ เท่านั้น บุตรชายทั้งสามคนอายุยังไม่ถึงสามสิบสักคน บุตรสาวเพียงคนเดียวนั้นน่าจะเพิ่งผ่านวัยปักปิ่นมา หลินลู่ฉีรู้ว่าคนอื่นไม่ยินดี ที่หวงชางกับฉินซื่อให้นางร่วมเดินทางไปด้วย ระหว่างทางจึงได้ยินวาจาเย้ยหยันอยู่ตลอดเวลา ไม่เว้นกระทั่งหลาน ๆ ของพวกเขาเอง ว่างเมื่อไหร่เป็นต้องวิ่งมากลั่นแกล้งนางอยู่เรื่อย ดีที่หวงจื่อถงอยู่ข้างกาย เขาคอยตะโกนบอกบิดามารดาอยู่ตลอดเวลา ทำให้เกิดปากเสียงกันอยู่ร่ำไป กระทั่งลงไม้ลงมือกันก็มี “นังตัวซวยพวกเจ้าเห็นหรือยัง พอมีนางเข้ามาหลาน ๆ ของข้าก็ตีกันเสียแล้ว” นางเจียงลูบหลังปลอบหลานชายสุดที่รักของตน หวงชุนฟงคือบุตรชายคนโต ที่เกิดจากหวงจื้อกับจ้าวซื่อ “ท่านแม่ฟงเอ๋อร์อายุเท่าไรแล้ว ยังมารังแกฉีฉีของพวกเรา นางก็แค่เด็กสองสามขวบเองนะเจ้า

  • ข้าคือดาวมงคลน้อยหลินลู่ฉี   บทที่ 4 : แบ่งให้ข้าคนละคำก็พอแล้วเจ้าค่ะ

    บทที่ 4 : แบ่งให้ข้าคนละคำก็พอแล้วเจ้าค่ะ “ไม่ได้นะเจ้าคะท่านแม่ นางยังมีลมหายใจอยู่เลย ข้าไม่อาจทิ้งนางได้ ท่านแม่มองดูสิเจ้าคะ แถวนี้มีคนดี ๆ ที่ไหนกันหากปล่อยนางเอาไว้เช่นนี้ คงถูกสัตว์ร้ายทำอันตรายเอาได้” สัตว์ร้ายไม่เท่าไรหรอก เกรงแต่มนุษย์ด้วยกันนี่แหละที่จะทำร้ายกันเอง นางเคยได้ยินเรื่องผู้ลี้ภัยหิวโหย ถึงขึ้นกินเนื้อเด็กทารกแรกเกิดด้วยซ้ำ “นังคนอกตัญญู ลูกตัวเองจะอดข้าวตายอยู่แล้วยังไม่สำนึก เกิดอยากเป็นคนใจดี เหตุใดข้าถึงได้แต่งสะใภ้เบาปัญญาเช่นนี้เข้าบ้าน สวรรค์หนอสวรรค์ เหตุใดถึงได้โหดร้ายกับข้านัก” นางเจียงร่ำร้องคล้ายคนถูกกระทำอย่างโหดร้าย หากไม่ติดว่ากำลังลี้ภัยอยู่ นางคงลงไปนั่งตบตีต้นขาอยู่บนพื้นแล้ว ฉินซื่อเริ่มทำตัวไม่ถูก “ท่านแม่ข้าไม่ได้..” นางเจียงชี้นิ้วใส่นาง “เจ้าหุบปาก หากเจ้ายังไม่ทิ้งเด็กนั่นไปอีก อย่ามาเรียกข้าว่าแม่ !” ฉินซื่ออุ้มเด็กเดินไปหลบอยู่ข้างหลังของสามี ด้านข้างมีบุตรชายกับบุตรสาวยืนอยู่ พวกเขาเหมือนกำลังตกใจกับคำด่าทอของผู้เป็นย่า แต่กระนั้นฉินซื่อก็ส่งสายตาให้สามี ว่านาง

더보기
좋은 소설을 무료로 찾아 읽어보세요
GoodNovel 앱에서 수많은 인기 소설을 무료로 즐기세요! 마음에 드는 책을 다운로드하고, 언제 어디서나 편하게 읽을 수 있습니다
앱에서 책을 무료로 읽어보세요
앱에서 읽으려면 QR 코드를 스캔하세요.
DMCA.com Protection Status