กระนั้นวาจาถากถางจากนางเจียง ก็ยังลอยมาตามสายลม คำว่าตัวอัปมงคล ตัวกินล้างกินผลาญ ด่าลามไปถึงครอบครัวของหวงชางทุกคน ด่าจนหลินลู่ฉีรู้ประวัติความเป็นมาของพวกเขาไม่มากก็น้อย
นางเจียงกับหวงจงนั้นแม้จะเป็นปู่ย่าคนแล้ว แต่อายุเพียงแค่สี่สิบปลาย ๆ เท่านั้น บุตรชายทั้งสามคนอายุยังไม่ถึงสามสิบสักคน บุตรสาวเพียงคนเดียวนั้นน่าจะเพิ่งผ่านวัยปักปิ่นมา
หลินลู่ฉีรู้ว่าคนอื่นไม่ยินดี ที่หวงชางกับฉินซื่อให้นางร่วมเดินทางไปด้วย ระหว่างทางจึงได้ยินวาจาเย้ยหยันอยู่ตลอดเวลา ไม่เว้นกระทั่งหลาน ๆ ของพวกเขาเอง ว่างเมื่อไหร่เป็นต้องวิ่งมากลั่นแกล้งนางอยู่เรื่อย ดีที่หวงจื่อถงอยู่ข้างกาย เขาคอยตะโกนบอกบิดามารดาอยู่ตลอดเวลา ทำให้เกิดปากเสียงกันอยู่ร่ำไป กระทั่งลงไม้ลงมือกันก็มี
“นังตัวซวยพวกเจ้าเห็นหรือยัง พอมีนางเข้ามาหลาน ๆ ของข้าก็ตีกันเสียแล้ว”
นางเจียงลูบหลังปลอบหลานชายสุดที่รักของตน หวงชุนฟงคือบุตรชายคนโต ที่เกิดจากหวงจื้อกับจ้าวซื่อ
“ท่านแม่ฟงเอ๋อร์อายุเท่าไรแล้ว ยังมารังแกฉีฉีของพวกเรา นางก็แค่เด็กสองสามขวบเองนะเจ้าคะ”
ฉินซื่อไม่ยินยอม เห็นอยู่ว่าเด็กโตรังแกเด็กเล็ก เหตุใดแม่สามีถึงได้กลับดำเป็นขาวได้ นางดึงตัวหลินลู่ฉีไปหลบอยู่ด้านหลัง
นางเจียงถลึงตาใส่ด้วยความโกรธ “นังเด็กนอกคอกนั่นมันเป็นบรรพบุรุษของเจ้ารึสะใภ้สาม ถึงได้เห็นมันดีกว่าหลานในไส้ของตัวเอง”
“ท่านแม่ฟงเอ๋อร์ผลักถงเอ๋อร์ของพวกเราก่อนนะขอรับ” หวงชางรับรู้มาตลอดว่ามารดา รักใคร่หลานชายจากบ้านใหญ่มากกว่าบุตรชายของตน ในใจขมฝาดอย่างบอกไม่ถูก
“เจ้าสาม !”
“ยายเฒ่า ! เจ้าดูสถานการณ์รอบ ๆ ตัวก่อน แหกตาดูเสียบ้าง ไม่ใช่เอาแต่เอะอะโวยวายเหมือนคนบ้า” เพราะความเคร่งเครียดจากการเดินทาง ทำให้หวงจงอดด่าทอคู่ชีวิตไม่ได้
นางเจียงรีบมองไปรอบ ๆ ที่พักเหนื่อยยามเที่ยงของวัน นางพบเห็นว่ามีผู้ลี้ภัยมากหน้าหลายตา ต่างเฝ้ามองมายังครอบครัวของนาง สายตาเหมือนอยากเข้ามาแย่งชิงเสบียง ที่เหลืออยู่เพียงหยิบมือเดียวเท่านั้น พลันตื่นตระหนกในทันที
คนในครอบครัวต่างหันไปมองรอบ ๆ ตัวเอง พบว่าบรรยากาศแปลกไป ดูเงียบวังเวงเหมือนผู้ลี้ภัยเหล่านั้น รอฟังสิ่งที่พวกเขาพูดคุยกันอยู่
ความเงียบงันเช่นนี้ไม่ดีนักเชียว เหมือนคนกำลังวางแผนร้ายสุ่มโจมตีอยู่ ผู้ใหญ่ในครอบครัวขนลุกกับสายตาของผู้ลี้ภัยรอบข้าง ต่างกุมมือบุตรหลานของตนเองเอาไว้แน่น
“ตาเฒ่าพวกเราไปเก็บผักป่ากันเถอะ เผื่อค่ำคืนนี้จะได้มีอาหารตกถึงท้องบ้าง ไป ๆ”
นางเจียงตะโกนเสียงดัง ๆ หมายให้คนอื่นได้รู้ ว่าครอบครัวของนางก็ไม่มีอาหารแล้วเหมือนกัน
“พวกเราก็ไปเก็บเห็ดป่ากันเถอะ เผื่อโชคดีคืนนี้จะได้ไม่หิวโหยอีกต่อไป”
หวงชางเข้าใจสถานการณ์แล้ว เขาตะโกนเสียงดังขึ้นบ้าง พลางดึงมือภรรยากับเด็ก ๆ เดินหลบเข้าไปในป่าด้านข้าง ไม่อยู่บนท้องถนนอีกต่อไป
เมื่อคนในครอบครัวเห็นดังนั้น ต่างพากันเดินตามหลังพวกเขาเข้าป่าไป เมื่อรู้สึกว่าห่างจากถนนมาได้ระยะหนึ่งแล้ว พวกเขาก็หยุดนั่ง หารือกันที่ใต้ต้นไม้ใหญ่
แม้เจตนาของพวกเขาต้องการปิดบัง แต่ความจริงแล้วนั่นเหมือนเป็นการเปิดเผยความจริงมากกว่า หลินลู่ฉีลอบถอนหายใจเบา ๆ หากผู้ลี้ภัยคนอื่นฉลาดเสียหน่อย เกรงว่าจะรู้ว่าพวกเขากำลังหาทางปกปิดความจริงอยู่
“เกือบไปแล้ว”
หวงจงส่ายหน้าให้ทุกคน เมื่อครู่พวกเขาราวกับวิ่งหนีโจรผู้ร้ายมาก็ไม่ปาน สภาพเหงื่อแตกหน้าซีดเซียวกันหมด
“สายตาพวกนั้นดูเหมือนอยากเข้ามาแย่งห่อผ้าของพวกเราก็ไม่ปาน”
หลินซื่อชื่อเดิมคือหลินหรานเป็นสะใภ้รองของบ้าน สามีของนางคือหวงเต๋อ ทั้งคู่มีบุตรสาวด้วยกันสองคน หวงหลันฮวาอายุเจ็ดปี หวงหนิงเอ๋อร์อายุสี่ปี
เรื่องเด็กในบ้านทะเลาะกันกลายเป็นเรื่องเล็กไปเลย เมื่อเทียบกับเหตุการณ์น่ากลัวก่อนหน้า
“ท่านพ่อข้าว่าคืนนี้พวกเราหาที่ปลอดภัยค้างคืน และต้องมีคนเฝ้ายามตอนนอนด้วย” หวงจื้อรีบออกความเห็น
หวงจงพยักหน้าเห็นด้วย “จริงอย่างเจ้าใหญ่ว่ามา เสบียงเราเหลือน้อยแล้ว อีกตั้งสามวันกว่าจะถึงอำเภอหยาง”
พวกผู้ใหญ่หารือที่พักค่ำคืนนี้ หลินลู่ฉีได้แต่ทอดถอนหายใจออกมา นางก็แค่เด็กสามขวบ อีกทั้งยังเป็นตัวปัญหาสำหรับครอบครัวนี้ จึงพยายามทำตัวเองให้เล็กน้อยที่สุด เพื่อที่คนบ้านสามจะได้ไม่ถูกเพ่งเล็ง นางคงทำได้เพียงแค่นี้จริง ๆ
“พี่ชายเจ็บหรือไม่”
นางเอื้อมมือน้อย ๆ ไปแตะที่รอยฟกช้ำตรงใบหน้าของพี่ชายตัวน้อย
“มะไม่เจ็บ”
หวงจื่อถงรู้สึกอายน้องสาวเล็กน้อย เขากล้าหาญออกไปขวางหน้าไม่ให้หวงชุนฟงทำร้ายนาง แต่กลับถูกผลัก จนหน้าคว่ำกระแทกพื้นเสียได้ นี่มันน่าขายหน้าจริง ๆ
หลินลู่ฉีมองเด็กน้อยที่แสร้งทำตัวเป็นผู้ใหญ่ ก่อนเอ่ยกับเขาเบา ๆ ว่า “ขอบคุณ”
“น้องสาวเจ้าน่ารักจัง” หวงจื่อถงตาเป็นประกายด้วยความดีใจ ไม่คิดว่าน้องสาวตัวน้อย จะเอ่ยคำว่าขอบคุณเขาออกมา รีบหันไปอวดกับน้องสาวแท้ ๆ ของตัวเอง
“เหยาเอ๋อร์น้องสาวขอบคุณพี่ชายด้วย”
“อื้ม” หวงจื่อเหยาไม่เข้าใจว่าเหตุใดพี่ชายถึงดีใจ นางพยักหน้าเห็นดีเห็นงามกับเขาไปด้วย
หลินลู่ฉีมองสองพี่น้องรักใคร่กันดี ในใจรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมา อย่างน้อยในบรรดาสามบ้านของตระกูลหวง บ้านสามน่าจะเป็นคนมีจิตใจดีงามที่สุดแล้ว บ้านใหญ่เห็นแก่ตัวไม่เห็นแก่หน้าใครทั้งนั้น เหตุเพราะมีนางเจียงคอยให้ท้าย
บ้านรองออกแนวขี้ขลาดไหลตามผู้อื่นไปเรื่อย เหตุเพราะมีแต่บุตรสาว เลยถูกนางเจียงมองข้ามไป ตลอดทางที่ผ่านมานางได้ยินเสียงบ่นด่าว่า เป็นตัวขาดทุนอยู่บ่อยครั้ง ไม่แปลกหากพวกเขาจะหวาดกลัวและขาดความมั่นใจ
บ้านใหญ่นั้นมีบุตรชายทั้งสองของพวกเขา ได้เรียนหนังสือด้วยกันทั้งคู่ แม้ยากจนเพียงใดหวงจงก็ยังอยากให้คนในตระกูล ได้ชื่อว่าเป็นบัณฑิตมีความรู้ ดังนั้นหลานชายทั้งสองจากบ้านใหญ่ จึงเปรียบเสมือนความหวังของครอบครัว
ขณะที่หวงไป๋หลานบุตรสาววัยปักปิ่นของนางเจียงกับหวงจง อยู่ในวัยสามารถออกเรือนได้แล้ว หากไม่เกิดเรื่องภัยแล้งกับการจลาจลขึ้นเสียก่อน พวกเขาคงให้แม่สื่อไปหาคู่หมั้นหมายที่ดีให้นาง หวงไป๋หลานนั้นหน้าตางดงามที่สุดในหมู่บ้าน มีหรือจะหาคู่ครองที่ดีไม่ได้ นางเจียงแทบไม่ให้นางหยิบจับอะไร เพราะต้องการสินสอดมากพอ ที่จะจุนเจือหลานชายทั้งสองให้เล่าเรียนจนจบได้
ทั้งหมดหาที่โล่งใต้ต้นไม้เพื่อค้างแรมกันคืนนี้ โดยให้แบ่งเวลาในการเฝ้ายามกัน หลินลู่ฉีรู้สึกไม่สู้ดีนัก ยามใดที่นางเกิดความกระวนกระวายใจเช่นนี้ ย่อมหมายความว่าเรื่องร้ายกำลังจะเกิดขึ้น หวงจื่อเหยานอนกอดฉินซื่อ ถัดไปก็เป็นหลินลู่ฉี ส่วนหวงจื่อถงนอนด้านข้างกับหวงชางผู้เป็นบิดา
ยามโฉ่ว(01.00-02.59)
เป็นเวรเฝ้ายามของหวงจื้อ ทว่าเขาเผลอหลับสนิทเพราะความเหนื่อยล้า มีเงาคนย่องเบาเข้ามาจากที่ไกล ๆ หลินลู่ฉีลืมตาขึ้นในความมืด นางสะกิดฉินซื่อเบา ๆ
“ฉีฉีมีอะไร” ฉินซื่องัวเงียขึ้นมาถาม “เจ้าปวดเบารึ”
“ท่านป้าข้าเหมือนได้ยินเสียงคน” นางเอ่ยเสียงค่อย
ฉินซื่อผลุนผลันลุกขึ้นนั่งด้วยความตกใจ นางขยับเข้าไปสะกิดบอกสามี แม้ตัวเองไม่ได้ยินเสียงคนที่ว่าก็ตาม แต่ต้องป้องกันอันตรายไว้ก่อน
“พี่ชางเหมือนฉีฉีจะได้ยินเสียงคน” นางกระซิบบอกเขาเบา ๆ
หวงชางรีบลุกขึ้นมาพร้อมปลุกบุตรชายให้ลุกขึ้นด้วยเสียงที่เบาที่สุด “เจ้ากับลูก ๆ รออยู่นี่ก่อน ข้าจะไปดูพี่ใหญ่”
บอกแล้วก็รีบย่องเดินไปหาพี่ชายที่เฝ้ายามอยู่ พบว่าอีกฝ่ายนั้นคอพับนอนหลับไปแล้วจริง ๆ เสียงคนเหยียบใบไม้แห้งดังมาจากที่ไกล ๆ หวงชางรีบปลุกพี่ชาย แล้วพากันกลับไปยังที่พักแรมของทุกคน
“อาอี้เจ้ารีบไปปลุกทุกคนให้ตื่นเร็วเข้า มีคนมุ่งหน้ามาทางเราจริง ๆ” เสียงกระซิบกระซาบของพวกเขา ทำให้ทุกคนรู้สึกตื่นตามไปด้วย
บทที่ 8 : เจียงชุน หลินลู่ฉีทนสังขารของเด็กสามขวบไม่ไหว นางหลับบนหลังของหวงชางไปตลอดเส้นทาง รู้ตัวอีกทีก็ถึงหน้าเรือนของท่านยายเจียงแล้ว แม้จะอยู่ในชนบทแต่เรือนของท่านยายเจียงกลับสร้างด้วยอิฐ ซึ่งแตกต่างจากบ้านของชาวบ้าน ที่ส่วนใหญ่สร้างด้วยดิน หมู่บ้านหยางฮัวมีคนสร้างบ้านด้วยอิฐเพียงสองหลังเท่านั้น คือของผู้ใหญ่บ้านกับท่านยายเจียง หลินลู่ฉีมองสำรวจด้วยสายตาคร่าว ๆ หมู่บ้านแห่งนี้อยู่ด้านหน้าภูเขา มีราวห้าสิบหลังคาเรือนเท่านั้น คงมีชาวบ้านราว ๆ สองร้อยกว่าคน ท่านยายเจียงแลดูจะตกใจ กับจำนวนลูกหลานเหลนที่มาพึ่งพาเกือบยี่สิบคน ทว่าท่านกลับให้การต้อนรับเป็นอย่างดี “ท่านน้าข้าลี้ภัยมาพึ่งใบบุญของท่าน ไม่คิดว่าจะถูกตระกูลหม่า ขับไล่ออกมาเหมือนหมูเหมือนหมาเช่นนี้” นางเจียงร้อ
บทที่ 7 : ไปให้พ้น ! ที่นี่ไม่มีอนุภรรยาแซ่เจียง หลินลู่ฉีอยากลงเดินเพื่อให้หวงชางได้เบาหลังบ้าง แต่พอนางเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็ทิ้งระยะห่างจากคนตระกูลหวงเสียแล้ว โทษใครได้ขานางสั้นเกินไปจริง ๆ “เจ้าอยากเดินนักเป็นอย่างไรล่ะ” หวงจื่อถงจิ้มจมูกเล็ก ๆ ของนาง “มาขี่หลังข้า ให้ท่านพ่อได้พักบ้าง” เขาย่อตัวลงหวังให้น้องสาวตัวน้อยได้ขี่หลัง หลินลู่ฉีมองดูร่างผอมแห้งของเขาแล้วหนักอึ้งในใจ นางเงยหน้าขึ้นมองหวงชางกับฉินซื่อ “ให้พี่ชายของเจ้าลองดู ไหวหรือไม่เดี๋ยวก็รู้” หวงชางยิ้มระหว่างมองสบสายตากับเด็กน้อย เป็นอย่างที่คิดจริง ๆ ไม่ถึงครึ่งลี้หวงจื่อถงก็ไม่ไหวเสียแล้ว เป็นหวงชางที่ต้องแบกหลินลู่ฉีต่อไป ส่
บทที่ 9 : เช่าเรือนท่านยายหมี่ ไม่ช้านางหูก็กลับมาพร้อมข่าวดี ท่านยายหมี่ยินดีให้เช่าเรือนส่วนหนึ่ง เรื่องค่าเช่าแล้วแต่ผู้ใหญ่บ้านจะกำหนดให้ นางไม่เรื่องมาก ขอแค่มีรายได้เข้ามาบ้างก็เป็นพอ คืนนี้สามารถเข้าไปอาศัยอยู่ที่เรือนของนางได้เลย “ท่านยายจ่ายค่าเช่าล่วงหน้าให้ข้าตั้งหนึ่งเดือน ข้าไม่รู้จะตอบแทนท่านยายอย่างไรดี ขอบคุณท่านยายมากขอรับ” หวงชางคุกเข่าลง โขกศีรษะคำนับให้ท่านยายเจียง “เหลวไหลอันใด รีบลุกขึ้นได้แล้ว เจ้าเป็นหลานชายข้า เงินแค่ไม่กี่สิบอีแปะข้าจะออกให้ไม่ได้รึ” ท่านยายเจียงโบกมือใส่เขาคล้ายโมโห นางไม่ได้บอกคนตระกูลหวง ว่าตัวเองมีรายได้จากช่องทางไหน แต่แอบกำชับผู้ใหญ่บ้านก่อนออกมา ไม่ให้บอกเรื่องให้เช่าที่นาเกือบร้อยหมู่กับญาติของนาง&nb
บทที่ 6 : ฉีฉีมองเห็นบ้างไหม เมื่อรู้ว่ามีภัยอันตรายเข้ามาใกล้ พวกเขารีบเก็บของ พากันคลำทางในความมืดไปจากตรงนี้ เพราะเป็นคืนเดือนมืดทุกคนจึงต้องจับมือเดินตามหลังกันไป “ข้ามองไม่เห็นทางแล้วท่านพ่อท่านแม่ หากก้าวพลาดอาจได้รับบาดเจ็บได้” หวงจื้อเป็นคนนำทางเขาเกิดกลัวขึ้นมา “เจ้าใหญ่เงียบ ๆ หน่อย ข้าได้ยินเสียงคนตามหลังพวกเรามาแล้ว พวกมันจุดคบเพลิงด้วย รีบไป ๆ” หวงจงเร่งบุตรชาย หลังจากเห็นแสงไฟอยู่ไม่ไกลเท่าใดนัก ทว่าหวงจื้อกลับไม่กล้าเดินต่อ พวกเขาไม่มีคบเพลิงและข้างหน้าก็ล้วนแต่เป็นป่าเขา “ท่านพ่อสามีข้ามองไม่เห็นทาง ให้คนอื่นมานำทางเถอะ” จ้าวซื่อรีบดึงแขนสามีมาหลบอยู่ด้านหลังนางเจียง&nbs
บทที่ 5 : พี่ชายเจ็บหรือไม่ กระนั้นวาจาถากถางจากนางเจียง ก็ยังลอยมาตามสายลม คำว่าตัวอัปมงคล ตัวกินล้างกินผลาญ ด่าลามไปถึงครอบครัวของหวงชางทุกคน ด่าจนหลินลู่ฉีรู้ประวัติความเป็นมาของพวกเขาไม่มากก็น้อย นางเจียงกับหวงจงนั้นแม้จะเป็นปู่ย่าคนแล้ว แต่อายุเพียงแค่สี่สิบปลาย ๆ เท่านั้น บุตรชายทั้งสามคนอายุยังไม่ถึงสามสิบสักคน บุตรสาวเพียงคนเดียวนั้นน่าจะเพิ่งผ่านวัยปักปิ่นมา หลินลู่ฉีรู้ว่าคนอื่นไม่ยินดี ที่หวงชางกับฉินซื่อให้นางร่วมเดินทางไปด้วย ระหว่างทางจึงได้ยินวาจาเย้ยหยันอยู่ตลอดเวลา ไม่เว้นกระทั่งหลาน ๆ ของพวกเขาเอง ว่างเมื่อไหร่เป็นต้องวิ่งมากลั่นแกล้งนางอยู่เรื่อย ดีที่หวงจื่อถงอยู่ข้างกาย เขาคอยตะโกนบอกบิดามารดาอยู่ตลอดเวลา ทำให้เกิดปากเสียงกันอยู่ร่ำไป กระทั่งลงไม้ลงมือกันก็มี “นังตัวซวยพวกเจ้าเห็นหรือยัง พอมีนางเข้ามาหลาน ๆ ของข้าก็ตีกันเสียแล้ว” นางเจียงลูบหลังปลอบหลานชายสุดที่รักของตน หวงชุนฟงคือบุตรชายคนโต ที่เกิดจากหวงจื้อกับจ้าวซื่อ “ท่านแม่ฟงเอ๋อร์อายุเท่าไรแล้ว ยังมารังแกฉีฉีของพวกเรา นางก็แค่เด็กสองสามขวบเองนะเจ้า
บทที่ 4 : แบ่งให้ข้าคนละคำก็พอแล้วเจ้าค่ะ “ไม่ได้นะเจ้าคะท่านแม่ นางยังมีลมหายใจอยู่เลย ข้าไม่อาจทิ้งนางได้ ท่านแม่มองดูสิเจ้าคะ แถวนี้มีคนดี ๆ ที่ไหนกันหากปล่อยนางเอาไว้เช่นนี้ คงถูกสัตว์ร้ายทำอันตรายเอาได้” สัตว์ร้ายไม่เท่าไรหรอก เกรงแต่มนุษย์ด้วยกันนี่แหละที่จะทำร้ายกันเอง นางเคยได้ยินเรื่องผู้ลี้ภัยหิวโหย ถึงขึ้นกินเนื้อเด็กทารกแรกเกิดด้วยซ้ำ “นังคนอกตัญญู ลูกตัวเองจะอดข้าวตายอยู่แล้วยังไม่สำนึก เกิดอยากเป็นคนใจดี เหตุใดข้าถึงได้แต่งสะใภ้เบาปัญญาเช่นนี้เข้าบ้าน สวรรค์หนอสวรรค์ เหตุใดถึงได้โหดร้ายกับข้านัก” นางเจียงร่ำร้องคล้ายคนถูกกระทำอย่างโหดร้าย หากไม่ติดว่ากำลังลี้ภัยอยู่ นางคงลงไปนั่งตบตีต้นขาอยู่บนพื้นแล้ว ฉินซื่อเริ่มทำตัวไม่ถูก “ท่านแม่ข้าไม่ได้..” นางเจียงชี้นิ้วใส่นาง “เจ้าหุบปาก หากเจ้ายังไม่ทิ้งเด็กนั่นไปอีก อย่ามาเรียกข้าว่าแม่ !” ฉินซื่ออุ้มเด็กเดินไปหลบอยู่ข้างหลังของสามี ด้านข้างมีบุตรชายกับบุตรสาวยืนอยู่ พวกเขาเหมือนกำลังตกใจกับคำด่าทอของผู้เป็นย่า แต่กระนั้นฉินซื่อก็ส่งสายตาให้สามี ว่านาง