ขณะที่แขกเหรื่อกำลังสนทนากันอย่างออกรส ภายหลังจากองค์หญิงใหญ่ได้เสด็จกลับจวนไปได้ไม่ถึงหนึ่งเค่อ ซึ่งยามนี้ในวงสนทนามีเหล่าฮูหยินหลายตระกูล ต่างกล่าวชื่นชมบุตรสาวของตนไปมาตั้งแต่เริ่มงานเลี้ยง เพื่อเป็นการมองหาบุรุษให้กับบุตรสาวของตน
หนึ่งในนั้นยังมีซูอันที่นั่งอยู่ข้างกายพี่สาวโดยไม่พูดสิ่งใด พวกนางมิได้ตอบรับหรือถามอันใดเพิ่มเติม ทำเพียงแค่ยิ้มบางให้กับบางคำถามเท่านั้น เนื่องจากสองพี่น้องตระกูลจิน ไม่เคยคิดบังคับบุตรของตนในเรื่องของการเลือกคู่ครอง
ส่วนเสี่ยวฮัวที่ตั้งหน้าตั้งหน้าวิ่งมาจากเรือนรับรอง นางย่อมรู้ว่าควรวิ่งไปหาผู้ใดเพื่อรายงานเรื่องที่เกิดขึ้น แฮ่ก ๆ ๆ “ฮูหยินเจ้าคะเกิดเรื่องใหญ่แล้วเจ้าค่ะ ทะ ทะ ที่เรือนรับรองมีคนทำเรื่องบัดสีอยู่ในนั้นเจ้าค่ะ”
พรึบ! “เจ้าว่ามีเรื่องอันใดเกิดขึ้นในจวนของข้านะ พูดมาให้ชัดว่ามันเป็นเรื่องอะไรกันแน่!” เหอฮูหยินมารดาของฟงเฉิงฮ่าวแทบนั่งไม่ติด เมื่อได้ยินสาวใช้ของจวนวิ่งหน้าตาตื่น เข้ามารายงานเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้น
“เมื่อครู่บ่าวพาคุณหนูหยางไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เรือนรับรอง แต่บ่าวกับคุณหนูหยางกลับได้ยินเสียงบุรุษกับสตรี กำลังทำเรื่องบัดสีอยู่ในเรือนรับรองอีกหลังหนึ่ง จึงรีบวิ่งมารายงานให้ฮูหยินทราบเจ้าค่ะ”
เยี่ยนหลิงที่ไม่ได้รับรู้ถึงแผนการของบุตรชายกับหลานสาว หลังจากได้ยินสาวใช้ของจวนรายงานสิ่งที่เกิดขึ้น จึงมีอาการตกใจตามสถานการณ์ไปโดยปริยาย
“ตายจริง! เป็นผู้ใดกันถึงได้ใจกล้าทำเรื่องหน้าละอายเช่นนี้ได้ ท่านแม่เรารีบไปที่เรือนรับรองกันเถิดเจ้าค่ะ เพราะควรรีบหยุดเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด”
ซูอันก็เข้าผสมโรงไปกับพี่สาวเช่นกัน “ใช่เจ้าค่ะท่านป้า แต่ข้าว่าควรกันพวกแขกบุรุษที่มาร่วมงานไว้ด้วยนะเจ้าคะ หากสตรีที่อยู่ในเรือนรับรองเกิดเป็นคุณหนูคนใดคนหนึ่งขึ้นมา จะได้ไม่ต้องรู้สึกอับอายจนเกินไปเจ้าค่ะ”
ไฉฮูหยินที่เป็นมิตรสหายกับตระกูลฟงมานาน สนับสนุนความคิดของซูอันเพราะไม่อยากให้บุรุษทั้งหลายมีส่วนร่วม “เหอฮูหยินข้าเองก็เห็นด้วยกับจินฮูหยินนะ หากมีบุรุษตามไปเป็นพรวนแล้วเห็นเรือนร่างของหญิงสาว เกรงว่าจะทำให้พวกนางอับอายจนรับความอัปยศนี้ไม่ไหว”
เยี่ยนหลิงยิ่งกว่าเห็นด้วยกับน้องสาว นางจึงเอ่ยกับแม่สามีว่าตนจะบอกให้สามีจัดการเรื่องนี้ให้ “ท่านแม่ข้าจะให้ซูอันไปเป็นเพื่อนท่านนะเจ้าคะ ประเดี๋ยวข้าจะไปบอกท่านพี่กับท่านพ่อ พวกเราจะช่วยกันรับหน้าแขกอยู่ทางนี้ ไม่ให้เข้าไปยุ่งที่เรือนรับรองเองเจ้าค่ะ”
“พวกเราจะไปเป็นเพื่อนเหอฮูหยินด้วยก็แล้วกัน เพื่อจะได้เป็นพยานว่าตระกูลฟงเป็นผู้บริสุทธิ์” โหรวฮูหยินเสนอความคิดของตน แต่อันที่จริงนางแค่อยากรู้ว่า คนที่ก่อเรื่องเป็นบุตรหลานตระกูลเสียมากกว่า
เมื่อเห็นว่าทุกคนล้วนมีความเห็นคล้ายกัน จึงหันไปทางลูกสะใภ้เพื่อฝากดูแลเรือนใหญ่ และเชิญเหล่าฮูหยินตามตนไปยังเรือนรับรอง “เช่นนั้นแม่ฝากทางนี้ให้เจ้าช่วยดูแลด้วยนะ รบกวนฮูหยินทุกท่านช่วยตามไปเป็นพยานให้ข้าแล้ว”
ซูอันช่วยพยุงเหอฮูหยินเดินตามเสี่ยวฮัวออกจากเรือนใหญ่ พร้อมกับฮูหยินอีกนับสิบคนที่เดินตามมาติด ๆ เยี่ยนหลิงที่ยืนส่งแม่สามีจนพ้นเรือนใหญ่ จึงสั่งให้เมิ่งฉีคนของตนไปตามสามีและน้องเขย มาพบนางที่มายืนรออยู่หน้าเรือนโดยเร็ว
“เมิ่งฉีเจ้าไปบอกสามีของข้ากับน้องเขยที ว่าข้ารอพบพวกเขาอยู่ด้านหน้าเรือน มีเรื่องสำคัญเร่งด่วนให้รีบมา”
“รับทราบขอรับฮูหยิน”
ด้วยท่าทางอันเร่งรีบของเมิ่งฉี ย่อมเป็นที่สังเกตของอู๋ซวนกับไห่หยุน เพราะพวกเขาคอยติดตามเจ้านายอยู่เสมอ เมื่อเห็นเช่นนั้นไห่หยุนจึงปลีกตัวออกมาพูดคุยทันที โดยอู๋ซวนคอยมองว่าไห่หยุนจะส่งสัญญาณอันใดกลับมาหรือไม่
“มีอันใดหรือเมิ่งฉี ข้าเห็นเจ้าเดินเข้ามาท่าทางแปลก ๆ”
“ไห่หยุนเจ้าช่วยเรียนคุณชายรองและคุณชายหยางให้ข้าที ยามนี้ฮูหยินมีเรื่องสำคัญต้องการพบทั้งสองโดยเร็ว”
ได้ยินเมิ่งฉีพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ดวงตานิ่งสนิทไม่ใช่การกล่าวเล่น ๆ ไห่หยุนจึงหันไปทางอู๋ซวน เพื่อส่งสัญญาณผ่านสายตาที่มองเลยไปถึงเจ้านายของตน ด้านอู๋ซวนพยักหน้ารับเป็นอันรู้กัน
ฟงเฉิงฮ่าวกับหยางไท่หมิงที่กำลังฟังการสนทนา เมื่ออู๋ซวนเดินเข้ามาเรียกตนเองสั้น ๆ ก็พอเดาได้ไม่ยาก จึงเอ่ยขอตัวกับผู้อาวุโสออกมาพบเมิ่งฉี
ฟงเฉิงฮ่าวเอ่ยถามคนของภรรยาที่ยืนรออย่างสงบ “เจ้าพูดมาเถิดเมิ่งฉีหลิงเอ๋อร์ให้เจ้ามาตามข้าใช่ไหม”
“เรียนคุณชายรองฮูหยินต้องการพบท่านกับคุณชายหยาง เนื่องจากมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นในจวนขอรับ”
“นางอยู่ที่ใด...”
“ฮูหยินรอคุณชายรองอยู่หน้าเรือนใหญ่ขอรับ”
“อืม ขอบใจมาก อาหมิงพวกเรารีบไปพบหลิงเอ๋อร์กันเถิด ข้าอยากรู้ว่าเกิดเรื่องอันใดในงานเลี้ยงฉลองของอาเหวินกันแน่”
หยางไท่หมิงแม้จะพอคาดเดาเรื่องบางอย่างได้ แต่เขายังไม่มั่นใจนักว่าจะเกี่ยวข้องกับบุตรสาวหรือไม่ มีเพียงตามสหายไปพบพี่สาวภรรยาเท่านั้น ถึงจะยืนยันเรื่องที่อยู่ในหัวของเขาได้
ฟงเฉิงฮ่าวเดินมาเห็นว่าภรรยาของตน เดินไปเดินมาบนใบหน้ามีความกังวล ไม่รอช้าเขารีบเดินเข้าไปไถ่ถามเยี่ยนหลิงทันที “หลิงเอ๋อร์เจ้าให้เมิ่งฉีไปตามพี่กับอาหมิงมาพบ มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นในจวนเช่นนั้นหรือ”
“ท่านพี่ น้องเขย มีเรื่องไม่งามที่เรือนรับรองของจวน ยามนี้ข้าให้ซูอันไปกับท่านแม่และฮูหยินอีกหลายคน ส่วนข้าที่มาพบท่านเพราะอยากให้กันเหล่าบุรุษไว้ที่นี่ หากพวกเขาอยากรู้อยากเห็นพากันไปที่นั่น เกรงว่าจะยิ่งทำให้สตรีด้านในรับความอัปยศไม่ไหวเอาได้เจ้าค่ะ”
“ฮึ่ย! บังอาจทำเรื่องเลวทรามในวันดี ๆ ของอาเหวินเชียวรึ ข้าอยากรู้นักว่าเป็นบุตรหลานจากตระกูลใด ช่างอบรมสั่งสอนบุตรหลานได้ดีจริง ๆ”
หยางไท่หมิงมั่นใจเต็มสิบส่วนแล้วในยามนี้ ว่าเรื่องดังกล่าวต้นตอย่อมมาจากบุตรสาวของตน “อาฮ่าวทำตามที่ฮูหยินเจ้าบอกเถิด ให้คนมาเฝ้ารอบ ๆ เรือนใหญ่โดยเร็ว ป้องกันมิให้ใครเดินไปมาจนห้ามไม่ทัน ส่วนเรื่องที่ว่าเป็นบุตรหลานตระกูลใด หลังจากจบงานเลี้ยงพวกเราย่อมได้รู้อย่างแน่นอน”
“เฮ้อ ข้าเข้าใจแล้ว ไห่หยุนเจ้ากับไห่หยวนช่วยจัดการเรื่องนี้โดยเร็ว กำชับพวกบ่าวไพร่อย่าปล่อยให้ใครออกไปจากเรือนใหญ่ได้”
“บ่าวทราบแล้วขอรับคุณชายรอง”
“พวกเราทำใจให้สบายเถิด ข้าว่าไปนั่งที่ศาลารอฟังข่าวอย่างเงียบ ๆ ดีกว่า คนด้านในเรือนใหญ่จะได้ไม่สงสัย”
ฟงเฉิงฮ่าวพยักหน้าให้กับสหายอย่างเห็นด้วย ก่อนจะจับจูงภรรยาเดินไปยังศาลาพร้อมกัน แม้อยากตามไปดูเรื่องราวมากเพียงใด แต่พวกเขาก็เข้าใจอย่างที่เยี่ยนหลิงบอกเช่นกัน
ทางด้านคนกลุ่มใหญ่ที่มีเหอฮูหยินเดินนำอยู่ด้านหน้า โดยซูอันทำหน้าที่คอยประคองไม่ให้นางสะดุดล้ม ในที่สุดก็มาถึงหน้าเรือนรับรองที่เกิดเรื่องจนได้ แต่นอกจากพวกนางยังมีหยางหยางเฟิ่งเซียน ผู้แสร้งเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่เสร็จแล้ว และบังเอิญเดินออกมาจากอีกด้านพอดี
“เซียนเอ๋อร์เหตุใดลูกถึงมาอยู่ที่นี่ได้เล่า แล้วเจ้ายังเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่เกิดอะไรขึ้นกับเจ้ารึ!” ซูอันแสร้งทำทีตกใจเมื่อเห็นบุตรสาวก็อยู่ที่นี่
เหอฮูหยินที่รักและเอ็นดูหยางเฟิ่งเซียนไม่ต่างจากหลานแท้ ๆ ก็เอ่ยถามนางด้วยความเป็นห่วงอีกคน “นั่นน่ะสิเซียนเอ๋อร์ มีใครทำอะไรเจ้าเช่นนั้นหรือถึงต้องมาเปลี่ยนเสื้อผ้าที่นี่”
“เรียนท่านย่าเหอ ท่านแม่ เผอิญว่าสาวใช้นางนี้ไม่ทันระวัง จึงทำน้ำชาหกโดนเสื้อผ้าของลูก นางจึงอาสาพาลูกมาเปลี่ยนเสื้อผ้าที่นี่ แต่พอมาถึงแค่ครึ่งจิบชาก็มีเสียงแปลก ๆ อยู่ในเรือนหลังข้าง ๆ ลูกจึงให้นางไปรายงานพวกท่านเจ้าค่ะ” หยางเฟิ่งเซียนตอบคำถามเหอฮูหยิน ด้วยกริยาท่าทางเรียบร้อยงดงามน่ามอง อีกทั้งยังแสร้งเขินอายเมื่อพูดถึงเรือนรับรองหลังข้าง ๆ
“เซียนเอ๋อร์ปลอดภัยก็ดีแล้วนะ เจ้าอยู่กับมารดาไปก่อนย่าจะรีบจัดการเรื่องน่าอายนี้เสียก่อน ฟางซื่อไปเปิดประตูข้าไม่อยากได้ยินเสียงพวกนั้นอีก ส่วนเจ้าไปตามบ่าวไพร่มาหลาย ๆ คน อ้อ ให้พวกเขาเอาน้ำเย็นใส่ถังมาด้วยล่ะ”
“เจ้าค่ะฮูหยิน /เจ้าค่ะฮูหยิน”
หยางเฟิ่งเซียนเดินไปยืนกับมารดาด้วยท่าทางเขินอาย ส่วนเสี่ยวฮัวรีบวิ่งไปตามบ่าวไพร่อย่างรวดเร็ว และประตูเรือนรับรองก็ถูกเปิดโดยแม่นมฟาง หลังจากบานประตูเปิดกว้างสิ่งที่พบเห็น ยิ่งสร้างความโกรธเคืองให้กับเหอฮูหยินอย่างมากแต่ว่าภาพตรงหน้าทำเอาสองฮูหยิน ที่ติดตามมาถึงกับตกตะลึงจนอยากหยุดหายใจ เนื่องจากสตรีสองในสี่ที่อยู่ด้านในนั้น กลับกลายเป็นบุตรสาวของพวกนางเสียเอง พวกนางไม่คิดมาก่อนว่าบุตรสาวของตน จะคิดวางแผนกลั่นแกล้งคนในในจวนตระกูลฟง จนต้องรับผลจากแผนสกปรกเสียเอง หากสามีของพวกนางรู้เข้าต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่เหอฮูหยินยังไม่ทันได้กล่าวสิ่งใด ก็มีเสียงจากด้านหลังกรีดร้องและวิ่งเข้าไป เพื่อแยกคนด้านในออกจากบุรุษ ที่พวกนางดูอย่างไรก็มิใช่คุณชายตระกูลสูงศักดิ์ ที่สำคัญคนภายในห้องนี้ล้วนเปลือยกายล่อนจ้อน ไม่เว้นแม้แต่สาวใช้ของบุตรสาวพวกนางปัง! “กรี๊ดดด! เอินเอ๋อร์ /หรานเอ๋อร์!”“เจ้าคนต่ำช้าออกไปให้ห่างลูกของข้านะ ออกไป๊ เอินเอ๋อร์ ๆ เจ้าอย่าทำเช่นนี้บอกแม่มาเถิดว่าใครที่ทำร้ายเจ้า แม่จะให้คนไปตามจับตัวพวกมามาลงโทษ”“หรานเอ๋อร์ ๆ ลูกแม่” เพียะ! เพียะ! “ออกไปให้พ้นพวกสกปรกอย่ามาแตะลูกสาวของข
ขณะที่แขกเหรื่อกำลังสนทนากันอย่างออกรส ภายหลังจากองค์หญิงใหญ่ได้เสด็จกลับจวนไปได้ไม่ถึงหนึ่งเค่อ ซึ่งยามนี้ในวงสนทนามีเหล่าฮูหยินหลายตระกูล ต่างกล่าวชื่นชมบุตรสาวของตนไปมาตั้งแต่เริ่มงานเลี้ยง เพื่อเป็นการมองหาบุรุษให้กับบุตรสาวของตนหนึ่งในนั้นยังมีซูอันที่นั่งอยู่ข้างกายพี่สาวโดยไม่พูดสิ่งใด พวกนางมิได้ตอบรับหรือถามอันใดเพิ่มเติม ทำเพียงแค่ยิ้มบางให้กับบางคำถามเท่านั้น เนื่องจากสองพี่น้องตระกูลจิน ไม่เคยคิดบังคับบุตรของตนในเรื่องของการเลือกคู่ครองส่วนเสี่ยวฮัวที่ตั้งหน้าตั้งหน้าวิ่งมาจากเรือนรับรอง นางย่อมรู้ว่าควรวิ่งไปหาผู้ใดเพื่อรายงานเรื่องที่เกิดขึ้น แฮ่ก ๆ ๆ “ฮูหยินเจ้าคะเกิดเรื่องใหญ่แล้วเจ้าค่ะ ทะ ทะ ที่เรือนรับรองมีคนทำเรื่องบัดสีอยู่ในนั้นเจ้าค่ะ”พรึบ! “เจ้าว่ามีเรื่องอันใดเกิดขึ้นในจวนของข้านะ พูดมาให้ชัดว่ามันเป็นเรื่องอะไรกันแน่!” เหอฮูหยินมารดาของฟงเฉิงฮ่าวแทบนั่งไม่ติด เมื่อได้ยินสาวใช้ของจวนวิ่งหน้าตาตื่น เข้ามารายงานเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้น“เมื่อครู่บ่าวพาคุณหนูหยางไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เรือนรับรอง แต่บ่าวกับคุณหนูหยางกลับได้ยินเสียงบุรุษกับสตรี กำลังทำเรื่องบัดสีอย
ส่วนเสี่ยวขุยที่เดินตามหาเสี่ยวฮัวในที่สุดก็เจอตัว จึงพากลับมาพบเมิ่งฟางเอินเพื่อรับภารกิจตามที่รับปากไว้ โดยที่แขกในงานคิดว่าเป็นการตามสาวใช้ มาช่วยเหลือเรื่องอาหารหรือน้ำชาที่พร่องไป มิได้คิดว่าจะมีแผนการสร้างความวุ่นวายแต่อย่างใด“คารวะคุณหนูทั้งสอง ท่านต้องการให้บ่าวทำสิ่งใดหรือเจ้าคะ”เมิ่งฟางเอินไม่รอช้ารีบสั่งการกับเสี่ยวฮัว ตามแผนการที่นางได้เตรียมเอาไว้ เพื่อสร้างเหตุการณ์ให้แขกเหรื่อในงานทั้งหลาย ได้รับรู้ว่าหยางเฟิ่งเซียนมิใช่สตรีที่ดีงามอันใด“เจ้านำกำยานไร้กลิ่นนี้ไปจุดไว้ในเรือนรับรองหลังใดก็ได้ แล้วไปตามบ่าวที่ดูแลม้าของจวนให้เข้าไปอยู่รอด้านใน จากนั้นเจ้าจงกลับมาในงานถือถาดกาน้ำชา แสร้งสะดุดไปทางหยางเฟิ่งเซียน เมื่อชุดของนางเปียกชื้นเจ้ารีบอาสาพานางไปเปลี่ยนชุดยังห้องรับรอง พอผ่านไปสักหนึ่งเค่อก็ส่งเสียงร้องดัง ๆ ข้ากับสหายจะรีบตามไปที่นั่น”เมื่อรู้ว่าเป็นภารกิจที่ไม่ยากเกินความสามารถ เสี่ยวฮัวยกยิ้มอย่างมั่นใจว่าตนเองทำสำเร็จได้แน่ จึงลองเอ่ยถึงเรื่องค่าจ้างที่เหลือกับเซิ่งฟางเอิน “คุณหนูรอฟังสัญญาณจากบ่าวได้เลยเจ้าค่ะ ว่าแต่ค่าจ้างที่เหลือของบ่าว...”“พรุ่งนี้เช้ามื
และแล้วงานเลี้ยงของจวนตระกูลฟงก็มาถึง แขกเหรื่อมากมายหลายตระกูลต่างมาร่วมแสดงความยินดี ซึ่งในมือของทุกตระกูลจะมีกล่องของขวัญ เพื่อเป็นการแสดงความจริงใจที่บางคนแอบแฝงเรื่องอื่น ๆ เพียงแค่สิ่งที่ผู้คนได้เห็นเป็นเพียงหน้ากากเท่านั้นส่วนหยางเฟิ่งเซียนกับพี่ชายของตน ได้ชักชวนบิดาและมารดามายังจวนญาติผู้พี่ ก่อนจะถึงเวลาเริ่มงานเลี้ยงหนึ่งชั่วยาม เพื่อนำอุปกรณ์พิเศษที่จีจี้จัดเตรียมไว้ล่วงหน้า เข้าไปติดตามมุมต่าง ๆ ที่คาดว่าจะมีคนลงมือทำเรื่องไม่ดีในวันนี้ซูอันนำกล้องวงจรปิดขนาดเล็ก ใส่ไว้ในลังไม้จำนวนนับร้อยชิ้น และกำชับกับบุตรทั้งสองก่อนลงจากรถม้าอีกเล็กน้อย “หรงเอ๋อร์ เซียนเอ๋อร์ อย่าลืมสิ่งที่แม่เคยสอนพวกเจ้าไว้ล่ะ หากมีคนคิดทำร้ายลูกในงานเลี้ยง...”“ถ้าหากลูกถูกคนกลั้นแกล้งหรือลอบทำร้ายในงานเลี้ยง อย่าได้ตอบโต้กลับด้วยความรุนแรง จงทำตัวให้เป็นคนที่น่าสงสาร จากนั้นค่อยเอาคืนอย่างสาสมใช่หรือไม่เจ้าคะ” หยางเฟิ่งเซียนย่อมจดจำได้กับสิ่งที่มารดาต้องการบอกกับตน ยกเว้นหากถูกรังแกซึ่ง ๆ หน้าเท่านั้น นางถึงจะลงมือจัดการอย่างตรงไปตรงมาไม่มีละเว้น“หึ ใช่ ในเมื่อพวกลูกจดจำได้ก็ดีแล้ว แม้จะเป็นที่
เรื่องข่าวดีที่บุตรชายฝาแฝดคนเล็กของเยี่ยนหลิงกับฟงเฉิงฮ่าว สามารถสอบได้ตำแหน่งจอหงวนถูกส่งไปยังตระกูลจิน ที่ยังคงคอยดูแลร้านผ้าไหมอยู่ในเมืองผู่เถียน สองสามีภรรยาอย่างมู่ถงและจือเหมย ยังคงทำงานที่ตนเองรักอย่างมีความสุขทุก ๆ สามเดือนทั้งสองคนจะเดินทางเข้าเมืองหลวง เพื่อไปเยี่ยมเยียนบุตรหลานเป็นประจำ ซึ่งเรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่บุตรสาวออกเรือน และย้ายไปอยู่บ้านสามีตามธรรมเนียม แม้ซูอันกับเยี่ยนหลิงอยากให้บิดามารดาไปอยู่เมืองหลวง แต่ทั้งสองกลับชอบอยู่ที่เมืองผู่เถียนเสียมากกว่าเนื่องจากข่าวดีส่งมาในเวลากระชั้นชิดเกินไป มู่ถงกับจือเหมยจึงเลือกส่งของขวัญให้กับหลานชาย เพราะคงไม่สามารถเดินทางในเวลาอันสั้นได้ และของขวัญที่ส่งให้หลานชายอย่างฟงเหยาเหวิน ย่อมเป็นผ้าไหมปักลายอย่างประณีตงดงามอย่างแน่แท้ทางด้านเยี่ยนหลิงก็ช่วยแม่สามีจัดเตรียมงานเลี้ยง ทุกอย่างในงานล้วนทำอย่างพิถีพิถันมากที่สุด ด้วยไม่ต้องการทำให้ตระกูลฟงขายหน้าได้ อย่างไรเสียงานเลี้ยงครั้งนี้องค์หญิงใหญ่ย่อมเสด็จมาเข้าร่วม เพราะทั้งสองตระกูลมีสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นเป็นเวลาหลายปี ตั้งแต่บุตรชายจนมาถึงหลาน ๆ ของทั้งสองตระกูลแขกเ
ในวันที่ตระกูลฟงได้รับข่าวน่ายินดี เมื่อมีจอหงวนคนใหม่อยู่ในตระกูลแม่ทัพใหญ่ การหารือเรื่องงานเลี้ยงจึงเสร็จสิ้นภายในวันเดียวกัน จินเยี่ยนหลิงกับแม่สามีช่วยกันทำงานไม่ให้ตกหล่น รายชื่อแขกที่เชิญมาร่วมงานได้มอบให้พ่อบ้านจัดการเป็นที่เรียบร้อยมีเพียงหนังสือเชิญของตระกูลหยาง ที่สองพี่น้องฝาแฝดตระกูลฟงนำไปส่งด้วยตนเอง เพื่อเยี่ยมคารวะท่านน้ากับน้าเขย แต่สิ่งที่ทุกคนต่างรู้กันดีย่อมหนีไม่พ้นญาติผู้น้อง ไม่ว่าครั้งไหนทั้งสี่คนมักจะนั่งพูดคุยจนลืมเวลาได้เสมอ“พวกเจ้าสองคนอย่าไปถึงงานเลี้ยงช้านักล่ะ พี่สั่งให้พ่อครัวทำอาหารที่พวกเจ้าชอบไว้หลายอย่าง ไปถึงช้าจะถูกคนอื่นแย่งกินจนหมดนะ”“พี่เหยาเหวินท่านไม่ต้องห่วง ข้ากับพี่ใหญ่จะไปถึงเป็นคนแรกแน่นอนเจ้าค่ะ”แต่หยางซิวหรงกลับคิดต่างกับน้องสาวเล็กน้อย “เซียนเอ๋อร์แน่ใจหรือว่าเจ้าจะเป็นคนแรกที่ไปถึง พี่กลับคิดว่าคงมีคุณหนูอีกหลายตระกูล ที่เร่งเร้าให้บิดามารดาพาไปร่วมงานแต่หัววัน เมื่อเจ้าไปถึงพวกนางก็เดินให้เกลื่อนจวนแล้วกระมัง”“เรื่องนี้ข้าเห็นด้วยกับอาหรงนะ นอกจากตระกูลที่เป็นมิตรกับท่านปู่แล้ว อย่างไรเสียพวกที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามจะไม่เชิญก็ไม่ได้