ที่จวนตระกูลหยางสองพี่น้องฝาแฝด กำลังสนุกสนานกับสิ่งแปลกใหม่ในมิติของมารดา ทั้งยังทดลองวาดลวดลายง่าย ๆ เพื่อให้เครื่องจักรในโรงงานทำออกมา ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของทั้งสองคนอย่างมาก
เพียงแต่ยังมีสิ่งที่เฝ้ารอคอยที่จะได้รับจากมารดา นั่นก็คือสิ่งของที่จะใช้เป็นมิติเก็บของให้กับพวกตนสองพี่น้อง ซึ่งทั้งสองต้องรอว่าผู้ช่วยของมารดาจะทำได้หรือไม่
ส่วนทางด้านจวนตระกูลฟงของฝาแฝดอีกหนึ่งคู่ กำลังเฝ้ารอหลานชายทั้งสองกลับมา หากเป็นจวนอื่นย่อมส่งบ่าวไพร่ไปดูผลการสอบ แต่สองพี่น้องกลับต้องการไปดูด้วยตนเอง
แม่ทัพฟงที่เริ่มจะเวียนศีรษะขึ้นทุกขณะ เมื่อบุตรชายอย่างฟงเฉิงฮ่าวเดินไปเดินมาไม่หยุด เนื่องจากตื่นเต้นกับผลการสอบของบุตรชายคนนี้ ภายหลังดีใจไปเมื่อหลายเดือนก่อนเรื่องของฟงเสวี่ยหลิน ที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นรองแม่ทัพ
“ฮ่าวเอ๋อร์เจ้านั่งลงเถิด เดินไปเดินมาพ่อเวียนหัวไปหมดแล้วนะ”
“โธ่ ท่านพ่อก็ข้าตื่นเต้นจนนั่งเฉย ๆ ไม่ได้นี่นา จึงต้องระบายออกด้วยการเดินไปเดินมาเช่นนี้นะขอรับ”
“เฮ้อ เจ้าลูกคนนี้นี่จริง ๆ เลย”
เยี่ยนหลิงที่คิดเช่นเดียวกับพ่อสามี จึงเรียกสามีกลับไปนั่งด้วยน้ำเสียงดุ ๆ อย่างที่เคยทำ “ท่านพี่กลับมานั่งเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ มิได้มีเพียงท่านผู้เดียวที่ตื่นเต้นกับผลการสอบ ทุกคนในโถงรับรองต่างก็รู้สึกคล้ายกันทั้งนั้น”
ฟงเฉิงฮ่าวได้ยินเสียงจริงจังของภรรยา ถึงกับหยุดคำพูดที่จะเอ่ยออกมาเอาไว้ และยอมกลับไปนั่งที่เก้าอี้แต่โดยดี “ตะ...แต่นั่งรอก็ดีเหมือนกันนะพี่เริ่มจะปวดขาแล้วเหมือนกัน”
ทุกคนถึงกับส่ายหน้าไปมาพร้อมกัน เมื่อเห็นท่าทางเกรงใจภรรยาของฟงเฉิงฮ่าว นอกจากเยี่ยนหลิงก็ไม่มีใครข่มขู่เขาได้ ภายหลังฟงเฉิงฮ่าวกลับไปนั่งได้ไม่นาน บุรุษหนุ่มที่หน้าตาเหมือนกันสองคนก็ก้าวเข้ามาพร้อม ๆ กัน
แฮ่ก ๆ ๆ “เฮ้อ ในที่สุดก็ปลอดภัยจากคนพวกนั้นเสียที ข้าไม่คิดว่าคนพวกนั้นจะน่ากลัวได้ถึงเพียงนี้นะอาหลิน”
ฟู่ “นั่นน่ะสิถ้าข้าไม่เห็นกับตาวันนี้ คงคิดว่าข่าวลือที่ผู้คนเล่าต่อกันมาเป็นแค่เรื่องโกหกแน่ ๆ”
แต่สองพี่น้องต้องตกสะดุ้งตัวโยนอีกครั้ง เมื่อเสียงของบิดามาพร้อมแรงฝ่ามือที่ตบลงบนบ่าของตน “อาหลิน! อาเหวิน! พวกเจ้าวิ่งหนีอันใดมาถึงได้เหนื่อยหอบเช่นนี้ หรือมีใครคิดลอบทำร้ายพวกเจ้ารึ”
เฮือก!! “ท่านพ่อ! /ท่านพ่อ!”
แม่ทัพฟงเป็นอีกคนที่ถามเอาความกับหลานทั้งสอง “ว่าอย่างไรหลานตามีคนคิดทำร้ายพวกเจ้าหรือไม่ ท่าทางเช่นนี้วิ่งมาไกลมิใช่เล่นเลยนะ”
ฟงเสวี่ยหลินเห็นถึงความกังวลจากสายตาของทุกคน เขาจำต้องรีบอธิบายโดยเร็วก่อนจะมีการเข้าใจผิดเกิดขึ้น “ท่านปู่ ท่านพ่อ ข้ากับอาเหวินมิได้มีอันตรายอันใดขอรับ ที่พวกเราวิ่งหนีกลับจวนนั่นเป็นเพราะว่า ผลการสอบของอาเหวินต่างหากขอรับ”
“ใช่ขอรับ เพราะข้าสอบได้อันดับหนึ่งของระดับเตี้ยนซื่อ จึงมีหลายตระกูลอยากจับข้าไปเป็นลูกเขย ยังดีที่เซียนเอ๋อร์สังเกตเห็นท่าทีของพวกเขาเสียก่อน พวกเราทั้งสี่คนถึงได้รีบวิ่งหนีและแยกย้ายกันกลับจวนขอรับ” ฟงเหยาเหวินรีบบอกสาเหตุที่แท้จริงเพิ่มเติมจากคำของแฝดพี่
คนที่ยังนั่งอยู่ก่อนหน้านี้ต่างลุกขึ้นยืน แม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่าฟงก็ไม่เว้น เมื่อได้ยินว่าบุตรหลานของตนสอบได้อันดับหนึ่ง
“อาเหวินสอบได้อันดับหนึ่ง! /ลูกข้าได้เป็นจอหงวน!”
“ใช่ขอรับ ข้าคือจอหงวนคนใหม่ของการสอบครั้งนี้เอง”
ฮูหยินผู้เฒ่าฟงถึงกับน้ำตารื้นเมื่อได้ยินข่าวดี “ท่านพี่ท่านเห็นหรือไม่ ทายาทตระกูลฟงของเราล้วนเก่งกาจทุกคน”
แม่ทัพฟงก็ดีใจกับหลานชายคนนี้ แม้ก่อนหน้าจะดีใจกับฟงเสวี่ยหลินที่ได้เป็นรองแม่ทัพ แต่ยิ่งภูมิใจที่ตระกูลฟงของตนในยามนี้ กลับมีขุนนางบุ๋นในราชสำนักมาเพิ่มอีกหนึ่งคน
“ฮ่า ๆ ๆ ขอบคุณบรรพบุรุษตระกูลฟงและขอบคุณสวรรค์ ที่ให้ตระกูลฟงของเรามีบุตรหลานที่ฉลาดหลักแหลมเช่นนี้ ต่อไปภายหน้าตระกูลของเราจะยิ่งมั่นคงและเจริญรุ่งเรืองอีกนับร้อยปี”
เหอฮูหยินก็ดีใจไม่น้อยหน้าสามีเช่นกัน “หลานย่าพวกเจ้าเก่งมากจริง ๆ หนึ่งบุ๋นหนึ่งบู๊ ในราชสำนักจะมีผู้ใดเหมือนเราไม่มีอีกแล้ว ท่านแม่สามี ท่านพี่ มีข่าวดีเช่นนี้ต้องจัดงานเลี้ยงฉลองแล้วนะเจ้าคะ”
“ดี ๆ ๆ ชิงหยูเจ้าเริ่มเตรียมเรื่องจัดงานเลี้ยงได้เลยนะ ทุกอย่างในงานต้องใช้แต่ของดีเท่านั้น อย่าให้ผู้ใดมาดูถูกการจัดการงานของตระกูลเราได้” ฮูหยินผู้เฒ่าฟงสนับสนุนลูกสะใภ้เต็มที่กับเรื่องนี้
เยี่ยนหลิงได้ยินเช่นนั้นย่อมไม่อยู่เฉยแน่นอน “ข้าเองก็จะช่วยท่านแม่จัดเตรียมงานเลี้ยงอีกแรงนะเจ้าคะ”
ฟงเฉิงฮ่าวนึกถึงเรื่องที่บุตรชายของตนวิ่งหนี ก็รู้สึกโล่งอกเมื่อทั้งสองไหวตัวได้ทัน “แต่ที่สำคัญคือพวกเจ้าไหวตัวทัน เรื่องที่ถูกตระกูลน้อยใหญ่วิ่งไล่ตาม เพื่อจับไปเป็นบุตรเขยของพวกเขา หากไม่ได้น้องสาวของพวกเจ้าพ่อไม่อยากจะคิด ว่าสภาพของอาเหวินจะเป็นอย่างไรเลยจริง ๆ”
“พวกลูกสองคนฝึกวรยุทธ์กับน้องสาวมาตั้งแต่เด็ก เหตุใดเรื่องนี้ถึงได้รู้สึกตัวช้ากันนักเล่า จำเอาไว้ให้ดีไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม พวกเจ้าต้องมีสติให้มากกว่านี้เข้าใจหรือไม่” เยี่ยนหลิงเอ่ยกำชับกับบุตรชายของตน เพราะไม่อยากให้ทั้งสองขาดสติยามมีเหตุการณ์สำคัญ
สองพี่น้องได้ยินมารดากำชับกับตนเรื่องนี้ ก็รู้สึกว่าตนเองเกิดความผิดพลาดจริง ๆ “ขอบคุณท่านแม่ที่ตักเตือนพวกเราสองคนขอรับ ต่อไปข้ากับอาเหวินจะควบคุมตนเองให้ดีกว่านี้ ถ้าได้พบเซียนเอ๋อร์ข้ากับอาเหวินจะขอบใจนางอีกครั้งขอรับ”
“ท่านแม่กล่าวได้ถูกต้องแล้วขอรับ ข้ากับอาหลินจะจดจำให้ขึ้นใจและปรับปรุงจุดนี้ให้ดีขึ้น ต่อไปจะไม่มีเหตุการณ์เช่นนี้อีกแน่นอนขอรับ” ฟงเหยาเหวินก็เพิ่งรู้ตัวเช่นกัน ว่าตนเองไม่รอบคอบและขาดสติไปจริง ๆ
ทุกคนในตระกูลฟงล้วนทราบดีว่า บุตรหลานฝาแฝดคู่นี้ได้รับการสั่งสอนจากซูอัน เกี่ยวกับวิชาต่อสู้ตั้งแต่วัยเยาว์ การฝึกฝนที่หนักหน่วงขึ้นตามอายุและสภาพร่างกาย จนถึงยามนี้บุรุษหนุ่มในวัยเดียวกันไม่มีผู้ใดเทียบกับทั้งสองได้
เพราะออกจากจวนไปตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง และไม่มีอะไรตกถึงท้องคนเป็นแม่อย่างเยี่ยนหลิง ถึงได้เอ่ยบอกให้บุตรชายไปรอที่เรือน ก่อนจะให้บ่าวไพร่นำสำรับอาหารไปส่ง
“ในเมื่อรู้ว่าผิดพลาดก็ดี พวกเจ้าออกไปแต่เช้ายามนี้คงหิวกันแล้วกระมัง กลับเรือนไปเช็ดเนื้อเช็ดตัวเสียก่อน ประเดี๋ยวแม่จะกำชับบ่าวไพร่ยกสำรับตามไปทีหลังนะ”
“ขอบคุณท่านแม่ เช่นนันข้ากับอาเหวินขอตัวก่อนนะขอรับ”
“ไปเถอะ แม่กับพ่อจะอยู่หารือเรื่องจัดงานเลี้ยงอีกหน่อย”
แต่ทั้งสองไม่ลืมเอ่ยขอตัวกับคนอื่น ๆ ที่ยังอยู่ในห้องโถงแห่งนี้ “ท่านย่าทวด ท่านปู่ ท่านย่า ท่านลุง พวกเราสองคนขอตัวก่อนขอรับ”
“ไว้ได้วันที่แน่นอนแล้ว ค่อยนำหนังสือเชิญไปที่จวนตระกูลหยางล่ะ ญาติผู้น้องของเจ้าสองคนจะได้เตรียมตัวล่วงหน้า”
“ขอรับท่านพ่อ”
เมื่อหลานชายฝาแฝดกลับเรือนไปแล้ว คนที่เหลือจึงเริ่มปรึกษาหารือร่วมกันอย่างจริงจังอีกครั้ง เพื่อจัดเตรียมงานเลี้ยงฉลองให้กับจอหงวนคนใหม่ ซึ่งพวกเขาคาดเดาไปในทิศทางเดียวกัน ว่าตำแหน่งที่ฟงเหยาเหวินจะได้รับนั้น คงหนีไม่พ้นอยู่ในกรมตุลาการเป็นแน่
ที่ทุกคนล้วนคาดเดาตำแหน่งในกรมตุลาการ นั่นเป็นเพราะหยางเฟิ่งเซียนต้องการให้ญาติผู้พี่ เข้าไปมีอำนาจด้านกฎหมายของแคว้นเพื่อคารอำนาจตระกูลหาน เนื่องจากที่ผ่านมามีคดีไม่น้อยที่ถูกตัดสินอย่างลวก ๆ
ในส่วนที่สำคัญที่สุดยังคงเกี่ยวกับการค้า หยางเฟิ่งเซียนกับพี่ชายเริ่มผิดสังเกตยามมีขบวนสินค้า ไม่ว่าจะเป็นของตระกูลจินหรือตระกูลอื่น ๆ เดินทางเข้าออกเมืองหลวง มักจะถูกเพ่งเล็งมากกว่าใครเป็นพิเศษ หากไม่คิดวางแผนไว้ล่วงหน้าอาจเกิดปัญหาใหญ่ตามมาได้ทุกเมื่อ
หยางเฟิ่งเซียนเดินไปยืนกับมารดาด้วยท่าทางเขินอาย ส่วนเสี่ยวฮัวรีบวิ่งไปตามบ่าวไพร่อย่างรวดเร็ว และประตูเรือนรับรองก็ถูกเปิดโดยแม่นมฟาง หลังจากบานประตูเปิดกว้างสิ่งที่พบเห็น ยิ่งสร้างความโกรธเคืองให้กับเหอฮูหยินอย่างมากแต่ว่าภาพตรงหน้าทำเอาสองฮูหยิน ที่ติดตามมาถึงกับตกตะลึงจนอยากหยุดหายใจ เนื่องจากสตรีสองในสี่ที่อยู่ด้านในนั้น กลับกลายเป็นบุตรสาวของพวกนางเสียเอง พวกนางไม่คิดมาก่อนว่าบุตรสาวของตน จะคิดวางแผนกลั่นแกล้งคนในในจวนตระกูลฟง จนต้องรับผลจากแผนสกปรกเสียเอง หากสามีของพวกนางรู้เข้าต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่เหอฮูหยินยังไม่ทันได้กล่าวสิ่งใด ก็มีเสียงจากด้านหลังกรีดร้องและวิ่งเข้าไป เพื่อแยกคนด้านในออกจากบุรุษ ที่พวกนางดูอย่างไรก็มิใช่คุณชายตระกูลสูงศักดิ์ ที่สำคัญคนภายในห้องนี้ล้วนเปลือยกายล่อนจ้อน ไม่เว้นแม้แต่สาวใช้ของบุตรสาวพวกนางปัง! “กรี๊ดดด! เอินเอ๋อร์ /หรานเอ๋อร์!”“เจ้าคนต่ำช้าออกไปให้ห่างลูกของข้านะ ออกไป๊ เอินเอ๋อร์ ๆ เจ้าอย่าทำเช่นนี้บอกแม่มาเถิดว่าใครที่ทำร้ายเจ้า แม่จะให้คนไปตามจับตัวพวกมามาลงโทษ”“หรานเอ๋อร์ ๆ ลูกแม่” เพียะ! เพียะ! “ออกไปให้พ้นพวกสกปรกอย่ามาแตะลูกสาวของข
ขณะที่แขกเหรื่อกำลังสนทนากันอย่างออกรส ภายหลังจากองค์หญิงใหญ่ได้เสด็จกลับจวนไปได้ไม่ถึงหนึ่งเค่อ ซึ่งยามนี้ในวงสนทนามีเหล่าฮูหยินหลายตระกูล ต่างกล่าวชื่นชมบุตรสาวของตนไปมาตั้งแต่เริ่มงานเลี้ยง เพื่อเป็นการมองหาบุรุษให้กับบุตรสาวของตนหนึ่งในนั้นยังมีซูอันที่นั่งอยู่ข้างกายพี่สาวโดยไม่พูดสิ่งใด พวกนางมิได้ตอบรับหรือถามอันใดเพิ่มเติม ทำเพียงแค่ยิ้มบางให้กับบางคำถามเท่านั้น เนื่องจากสองพี่น้องตระกูลจิน ไม่เคยคิดบังคับบุตรของตนในเรื่องของการเลือกคู่ครองส่วนเสี่ยวฮัวที่ตั้งหน้าตั้งหน้าวิ่งมาจากเรือนรับรอง นางย่อมรู้ว่าควรวิ่งไปหาผู้ใดเพื่อรายงานเรื่องที่เกิดขึ้น แฮ่ก ๆ ๆ “ฮูหยินเจ้าคะเกิดเรื่องใหญ่แล้วเจ้าค่ะ ทะ ทะ ที่เรือนรับรองมีคนทำเรื่องบัดสีอยู่ในนั้นเจ้าค่ะ”พรึบ! “เจ้าว่ามีเรื่องอันใดเกิดขึ้นในจวนของข้านะ พูดมาให้ชัดว่ามันเป็นเรื่องอะไรกันแน่!” เหอฮูหยินมารดาของฟงเฉิงฮ่าวแทบนั่งไม่ติด เมื่อได้ยินสาวใช้ของจวนวิ่งหน้าตาตื่น เข้ามารายงานเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้น“เมื่อครู่บ่าวพาคุณหนูหยางไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เรือนรับรอง แต่บ่าวกับคุณหนูหยางกลับได้ยินเสียงบุรุษกับสตรี กำลังทำเรื่องบัดสีอย
ส่วนเสี่ยวขุยที่เดินตามหาเสี่ยวฮัวในที่สุดก็เจอตัว จึงพากลับมาพบเมิ่งฟางเอินเพื่อรับภารกิจตามที่รับปากไว้ โดยที่แขกในงานคิดว่าเป็นการตามสาวใช้ มาช่วยเหลือเรื่องอาหารหรือน้ำชาที่พร่องไป มิได้คิดว่าจะมีแผนการสร้างความวุ่นวายแต่อย่างใด“คารวะคุณหนูทั้งสอง ท่านต้องการให้บ่าวทำสิ่งใดหรือเจ้าคะ”เมิ่งฟางเอินไม่รอช้ารีบสั่งการกับเสี่ยวฮัว ตามแผนการที่นางได้เตรียมเอาไว้ เพื่อสร้างเหตุการณ์ให้แขกเหรื่อในงานทั้งหลาย ได้รับรู้ว่าหยางเฟิ่งเซียนมิใช่สตรีที่ดีงามอันใด“เจ้านำกำยานไร้กลิ่นนี้ไปจุดไว้ในเรือนรับรองหลังใดก็ได้ แล้วไปตามบ่าวที่ดูแลม้าของจวนให้เข้าไปอยู่รอด้านใน จากนั้นเจ้าจงกลับมาในงานถือถาดกาน้ำชา แสร้งสะดุดไปทางหยางเฟิ่งเซียน เมื่อชุดของนางเปียกชื้นเจ้ารีบอาสาพานางไปเปลี่ยนชุดยังห้องรับรอง พอผ่านไปสักหนึ่งเค่อก็ส่งเสียงร้องดัง ๆ ข้ากับสหายจะรีบตามไปที่นั่น”เมื่อรู้ว่าเป็นภารกิจที่ไม่ยากเกินความสามารถ เสี่ยวฮัวยกยิ้มอย่างมั่นใจว่าตนเองทำสำเร็จได้แน่ จึงลองเอ่ยถึงเรื่องค่าจ้างที่เหลือกับเซิ่งฟางเอิน “คุณหนูรอฟังสัญญาณจากบ่าวได้เลยเจ้าค่ะ ว่าแต่ค่าจ้างที่เหลือของบ่าว...”“พรุ่งนี้เช้ามื
และแล้วงานเลี้ยงของจวนตระกูลฟงก็มาถึง แขกเหรื่อมากมายหลายตระกูลต่างมาร่วมแสดงความยินดี ซึ่งในมือของทุกตระกูลจะมีกล่องของขวัญ เพื่อเป็นการแสดงความจริงใจที่บางคนแอบแฝงเรื่องอื่น ๆ เพียงแค่สิ่งที่ผู้คนได้เห็นเป็นเพียงหน้ากากเท่านั้นส่วนหยางเฟิ่งเซียนกับพี่ชายของตน ได้ชักชวนบิดาและมารดามายังจวนญาติผู้พี่ ก่อนจะถึงเวลาเริ่มงานเลี้ยงหนึ่งชั่วยาม เพื่อนำอุปกรณ์พิเศษที่จีจี้จัดเตรียมไว้ล่วงหน้า เข้าไปติดตามมุมต่าง ๆ ที่คาดว่าจะมีคนลงมือทำเรื่องไม่ดีในวันนี้ซูอันนำกล้องวงจรปิดขนาดเล็ก ใส่ไว้ในลังไม้จำนวนนับร้อยชิ้น และกำชับกับบุตรทั้งสองก่อนลงจากรถม้าอีกเล็กน้อย “หรงเอ๋อร์ เซียนเอ๋อร์ อย่าลืมสิ่งที่แม่เคยสอนพวกเจ้าไว้ล่ะ หากมีคนคิดทำร้ายลูกในงานเลี้ยง...”“ถ้าหากลูกถูกคนกลั้นแกล้งหรือลอบทำร้ายในงานเลี้ยง อย่าได้ตอบโต้กลับด้วยความรุนแรง จงทำตัวให้เป็นคนที่น่าสงสาร จากนั้นค่อยเอาคืนอย่างสาสมใช่หรือไม่เจ้าคะ” หยางเฟิ่งเซียนย่อมจดจำได้กับสิ่งที่มารดาต้องการบอกกับตน ยกเว้นหากถูกรังแกซึ่ง ๆ หน้าเท่านั้น นางถึงจะลงมือจัดการอย่างตรงไปตรงมาไม่มีละเว้น“หึ ใช่ ในเมื่อพวกลูกจดจำได้ก็ดีแล้ว แม้จะเป็นที่
เรื่องข่าวดีที่บุตรชายฝาแฝดคนเล็กของเยี่ยนหลิงกับฟงเฉิงฮ่าว สามารถสอบได้ตำแหน่งจอหงวนถูกส่งไปยังตระกูลจิน ที่ยังคงคอยดูแลร้านผ้าไหมอยู่ในเมืองผู่เถียน สองสามีภรรยาอย่างมู่ถงและจือเหมย ยังคงทำงานที่ตนเองรักอย่างมีความสุขทุก ๆ สามเดือนทั้งสองคนจะเดินทางเข้าเมืองหลวง เพื่อไปเยี่ยมเยียนบุตรหลานเป็นประจำ ซึ่งเรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่บุตรสาวออกเรือน และย้ายไปอยู่บ้านสามีตามธรรมเนียม แม้ซูอันกับเยี่ยนหลิงอยากให้บิดามารดาไปอยู่เมืองหลวง แต่ทั้งสองกลับชอบอยู่ที่เมืองผู่เถียนเสียมากกว่าเนื่องจากข่าวดีส่งมาในเวลากระชั้นชิดเกินไป มู่ถงกับจือเหมยจึงเลือกส่งของขวัญให้กับหลานชาย เพราะคงไม่สามารถเดินทางในเวลาอันสั้นได้ และของขวัญที่ส่งให้หลานชายอย่างฟงเหยาเหวิน ย่อมเป็นผ้าไหมปักลายอย่างประณีตงดงามอย่างแน่แท้ทางด้านเยี่ยนหลิงก็ช่วยแม่สามีจัดเตรียมงานเลี้ยง ทุกอย่างในงานล้วนทำอย่างพิถีพิถันมากที่สุด ด้วยไม่ต้องการทำให้ตระกูลฟงขายหน้าได้ อย่างไรเสียงานเลี้ยงครั้งนี้องค์หญิงใหญ่ย่อมเสด็จมาเข้าร่วม เพราะทั้งสองตระกูลมีสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นเป็นเวลาหลายปี ตั้งแต่บุตรชายจนมาถึงหลาน ๆ ของทั้งสองตระกูลแขกเ
ในวันที่ตระกูลฟงได้รับข่าวน่ายินดี เมื่อมีจอหงวนคนใหม่อยู่ในตระกูลแม่ทัพใหญ่ การหารือเรื่องงานเลี้ยงจึงเสร็จสิ้นภายในวันเดียวกัน จินเยี่ยนหลิงกับแม่สามีช่วยกันทำงานไม่ให้ตกหล่น รายชื่อแขกที่เชิญมาร่วมงานได้มอบให้พ่อบ้านจัดการเป็นที่เรียบร้อยมีเพียงหนังสือเชิญของตระกูลหยาง ที่สองพี่น้องฝาแฝดตระกูลฟงนำไปส่งด้วยตนเอง เพื่อเยี่ยมคารวะท่านน้ากับน้าเขย แต่สิ่งที่ทุกคนต่างรู้กันดีย่อมหนีไม่พ้นญาติผู้น้อง ไม่ว่าครั้งไหนทั้งสี่คนมักจะนั่งพูดคุยจนลืมเวลาได้เสมอ“พวกเจ้าสองคนอย่าไปถึงงานเลี้ยงช้านักล่ะ พี่สั่งให้พ่อครัวทำอาหารที่พวกเจ้าชอบไว้หลายอย่าง ไปถึงช้าจะถูกคนอื่นแย่งกินจนหมดนะ”“พี่เหยาเหวินท่านไม่ต้องห่วง ข้ากับพี่ใหญ่จะไปถึงเป็นคนแรกแน่นอนเจ้าค่ะ”แต่หยางซิวหรงกลับคิดต่างกับน้องสาวเล็กน้อย “เซียนเอ๋อร์แน่ใจหรือว่าเจ้าจะเป็นคนแรกที่ไปถึง พี่กลับคิดว่าคงมีคุณหนูอีกหลายตระกูล ที่เร่งเร้าให้บิดามารดาพาไปร่วมงานแต่หัววัน เมื่อเจ้าไปถึงพวกนางก็เดินให้เกลื่อนจวนแล้วกระมัง”“เรื่องนี้ข้าเห็นด้วยกับอาหรงนะ นอกจากตระกูลที่เป็นมิตรกับท่านปู่แล้ว อย่างไรเสียพวกที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามจะไม่เชิญก็ไม่ได้