ที่จวนตระกูลหยางสองพี่น้องฝาแฝด กำลังสนุกสนานกับสิ่งแปลกใหม่ในมิติของมารดา ทั้งยังทดลองวาดลวดลายง่าย ๆ เพื่อให้เครื่องจักรในโรงงานทำออกมา ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของทั้งสองคนอย่างมาก
เพียงแต่ยังมีสิ่งที่เฝ้ารอคอยที่จะได้รับจากมารดา นั่นก็คือสิ่งของที่จะใช้เป็นมิติเก็บของให้กับพวกตนสองพี่น้อง ซึ่งทั้งสองต้องรอว่าผู้ช่วยของมารดาจะทำได้หรือไม่
ส่วนทางด้านจวนตระกูลฟงของฝาแฝดอีกหนึ่งคู่ กำลังเฝ้ารอหลานชายทั้งสองกลับมา หากเป็นจวนอื่นย่อมส่งบ่าวไพร่ไปดูผลการสอบ แต่สองพี่น้องกลับต้องการไปดูด้วยตนเอง
แม่ทัพฟงที่เริ่มจะเวียนศีรษะขึ้นทุกขณะ เมื่อบุตรชายอย่างฟงเฉิงฮ่าวเดินไปเดินมาไม่หยุด เนื่องจากตื่นเต้นกับผลการสอบของบุตรชายคนนี้ ภายหลังดีใจไปเมื่อหลายเดือนก่อนเรื่องของฟงเสวี่ยหลิน ที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นรองแม่ทัพ
“ฮ่าวเอ๋อร์เจ้านั่งลงเถิด เดินไปเดินมาพ่อเวียนหัวไปหมดแล้วนะ”
“โธ่ ท่านพ่อก็ข้าตื่นเต้นจนนั่งเฉย ๆ ไม่ได้นี่นา จึงต้องระบายออกด้วยการเดินไปเดินมาเช่นนี้นะขอรับ”
“เฮ้อ เจ้าลูกคนนี้นี่จริง ๆ เลย”
เยี่ยนหลิงที่คิดเช่นเดียวกับพ่อสามี จึงเรียกสามีกลับไปนั่งด้วยน้ำเสียงดุ ๆ อย่างที่เคยทำ “ท่านพี่กลับมานั่งเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ มิได้มีเพียงท่านผู้เดียวที่ตื่นเต้นกับผลการสอบ ทุกคนในโถงรับรองต่างก็รู้สึกคล้ายกันทั้งนั้น”
ฟงเฉิงฮ่าวได้ยินเสียงจริงจังของภรรยา ถึงกับหยุดคำพูดที่จะเอ่ยออกมาเอาไว้ และยอมกลับไปนั่งที่เก้าอี้แต่โดยดี “ตะ...แต่นั่งรอก็ดีเหมือนกันนะพี่เริ่มจะปวดขาแล้วเหมือนกัน”
ทุกคนถึงกับส่ายหน้าไปมาพร้อมกัน เมื่อเห็นท่าทางเกรงใจภรรยาของฟงเฉิงฮ่าว นอกจากเยี่ยนหลิงก็ไม่มีใครข่มขู่เขาได้ ภายหลังฟงเฉิงฮ่าวกลับไปนั่งได้ไม่นาน บุรุษหนุ่มที่หน้าตาเหมือนกันสองคนก็ก้าวเข้ามาพร้อม ๆ กัน
แฮ่ก ๆ ๆ “เฮ้อ ในที่สุดก็ปลอดภัยจากคนพวกนั้นเสียที ข้าไม่คิดว่าคนพวกนั้นจะน่ากลัวได้ถึงเพียงนี้นะอาหลิน”
ฟู่ “นั่นน่ะสิถ้าข้าไม่เห็นกับตาวันนี้ คงคิดว่าข่าวลือที่ผู้คนเล่าต่อกันมาเป็นแค่เรื่องโกหกแน่ ๆ”
แต่สองพี่น้องต้องตกสะดุ้งตัวโยนอีกครั้ง เมื่อเสียงของบิดามาพร้อมแรงฝ่ามือที่ตบลงบนบ่าของตน “อาหลิน! อาเหวิน! พวกเจ้าวิ่งหนีอันใดมาถึงได้เหนื่อยหอบเช่นนี้ หรือมีใครคิดลอบทำร้ายพวกเจ้ารึ”
เฮือก!! “ท่านพ่อ! /ท่านพ่อ!”
แม่ทัพฟงเป็นอีกคนที่ถามเอาความกับหลานทั้งสอง “ว่าอย่างไรหลานตามีคนคิดทำร้ายพวกเจ้าหรือไม่ ท่าทางเช่นนี้วิ่งมาไกลมิใช่เล่นเลยนะ”
ฟงเสวี่ยหลินเห็นถึงความกังวลจากสายตาของทุกคน เขาจำต้องรีบอธิบายโดยเร็วก่อนจะมีการเข้าใจผิดเกิดขึ้น “ท่านปู่ ท่านพ่อ ข้ากับอาเหวินมิได้มีอันตรายอันใดขอรับ ที่พวกเราวิ่งหนีกลับจวนนั่นเป็นเพราะว่า ผลการสอบของอาเหวินต่างหากขอรับ”
“ใช่ขอรับ เพราะข้าสอบได้อันดับหนึ่งของระดับเตี้ยนซื่อ จึงมีหลายตระกูลอยากจับข้าไปเป็นลูกเขย ยังดีที่เซียนเอ๋อร์สังเกตเห็นท่าทีของพวกเขาเสียก่อน พวกเราทั้งสี่คนถึงได้รีบวิ่งหนีและแยกย้ายกันกลับจวนขอรับ” ฟงเหยาเหวินรีบบอกสาเหตุที่แท้จริงเพิ่มเติมจากคำของแฝดพี่
คนที่ยังนั่งอยู่ก่อนหน้านี้ต่างลุกขึ้นยืน แม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่าฟงก็ไม่เว้น เมื่อได้ยินว่าบุตรหลานของตนสอบได้อันดับหนึ่ง
“อาเหวินสอบได้อันดับหนึ่ง! /ลูกข้าได้เป็นจอหงวน!”
“ใช่ขอรับ ข้าคือจอหงวนคนใหม่ของการสอบครั้งนี้เอง”
ฮูหยินผู้เฒ่าฟงถึงกับน้ำตารื้นเมื่อได้ยินข่าวดี “ท่านพี่ท่านเห็นหรือไม่ ทายาทตระกูลฟงของเราล้วนเก่งกาจทุกคน”
แม่ทัพฟงก็ดีใจกับหลานชายคนนี้ แม้ก่อนหน้าจะดีใจกับฟงเสวี่ยหลินที่ได้เป็นรองแม่ทัพ แต่ยิ่งภูมิใจที่ตระกูลฟงของตนในยามนี้ กลับมีขุนนางบุ๋นในราชสำนักมาเพิ่มอีกหนึ่งคน
“ฮ่า ๆ ๆ ขอบคุณบรรพบุรุษตระกูลฟงและขอบคุณสวรรค์ ที่ให้ตระกูลฟงของเรามีบุตรหลานที่ฉลาดหลักแหลมเช่นนี้ ต่อไปภายหน้าตระกูลของเราจะยิ่งมั่นคงและเจริญรุ่งเรืองอีกนับร้อยปี”
เหอฮูหยินก็ดีใจไม่น้อยหน้าสามีเช่นกัน “หลานย่าพวกเจ้าเก่งมากจริง ๆ หนึ่งบุ๋นหนึ่งบู๊ ในราชสำนักจะมีผู้ใดเหมือนเราไม่มีอีกแล้ว ท่านแม่สามี ท่านพี่ มีข่าวดีเช่นนี้ต้องจัดงานเลี้ยงฉลองแล้วนะเจ้าคะ”
“ดี ๆ ๆ ชิงหยูเจ้าเริ่มเตรียมเรื่องจัดงานเลี้ยงได้เลยนะ ทุกอย่างในงานต้องใช้แต่ของดีเท่านั้น อย่าให้ผู้ใดมาดูถูกการจัดการงานของตระกูลเราได้” ฮูหยินผู้เฒ่าฟงสนับสนุนลูกสะใภ้เต็มที่กับเรื่องนี้
เยี่ยนหลิงได้ยินเช่นนั้นย่อมไม่อยู่เฉยแน่นอน “ข้าเองก็จะช่วยท่านแม่จัดเตรียมงานเลี้ยงอีกแรงนะเจ้าคะ”
ฟงเฉิงฮ่าวนึกถึงเรื่องที่บุตรชายของตนวิ่งหนี ก็รู้สึกโล่งอกเมื่อทั้งสองไหวตัวได้ทัน “แต่ที่สำคัญคือพวกเจ้าไหวตัวทัน เรื่องที่ถูกตระกูลน้อยใหญ่วิ่งไล่ตาม เพื่อจับไปเป็นบุตรเขยของพวกเขา หากไม่ได้น้องสาวของพวกเจ้าพ่อไม่อยากจะคิด ว่าสภาพของอาเหวินจะเป็นอย่างไรเลยจริง ๆ”
“พวกลูกสองคนฝึกวรยุทธ์กับน้องสาวมาตั้งแต่เด็ก เหตุใดเรื่องนี้ถึงได้รู้สึกตัวช้ากันนักเล่า จำเอาไว้ให้ดีไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม พวกเจ้าต้องมีสติให้มากกว่านี้เข้าใจหรือไม่” เยี่ยนหลิงเอ่ยกำชับกับบุตรชายของตน เพราะไม่อยากให้ทั้งสองขาดสติยามมีเหตุการณ์สำคัญ
สองพี่น้องได้ยินมารดากำชับกับตนเรื่องนี้ ก็รู้สึกว่าตนเองเกิดความผิดพลาดจริง ๆ “ขอบคุณท่านแม่ที่ตักเตือนพวกเราสองคนขอรับ ต่อไปข้ากับอาเหวินจะควบคุมตนเองให้ดีกว่านี้ ถ้าได้พบเซียนเอ๋อร์ข้ากับอาเหวินจะขอบใจนางอีกครั้งขอรับ”
“ท่านแม่กล่าวได้ถูกต้องแล้วขอรับ ข้ากับอาหลินจะจดจำให้ขึ้นใจและปรับปรุงจุดนี้ให้ดีขึ้น ต่อไปจะไม่มีเหตุการณ์เช่นนี้อีกแน่นอนขอรับ” ฟงเหยาเหวินก็เพิ่งรู้ตัวเช่นกัน ว่าตนเองไม่รอบคอบและขาดสติไปจริง ๆ
ทุกคนในตระกูลฟงล้วนทราบดีว่า บุตรหลานฝาแฝดคู่นี้ได้รับการสั่งสอนจากซูอัน เกี่ยวกับวิชาต่อสู้ตั้งแต่วัยเยาว์ การฝึกฝนที่หนักหน่วงขึ้นตามอายุและสภาพร่างกาย จนถึงยามนี้บุรุษหนุ่มในวัยเดียวกันไม่มีผู้ใดเทียบกับทั้งสองได้
เพราะออกจากจวนไปตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง และไม่มีอะไรตกถึงท้องคนเป็นแม่อย่างเยี่ยนหลิง ถึงได้เอ่ยบอกให้บุตรชายไปรอที่เรือน ก่อนจะให้บ่าวไพร่นำสำรับอาหารไปส่ง
“ในเมื่อรู้ว่าผิดพลาดก็ดี พวกเจ้าออกไปแต่เช้ายามนี้คงหิวกันแล้วกระมัง กลับเรือนไปเช็ดเนื้อเช็ดตัวเสียก่อน ประเดี๋ยวแม่จะกำชับบ่าวไพร่ยกสำรับตามไปทีหลังนะ”
“ขอบคุณท่านแม่ เช่นนันข้ากับอาเหวินขอตัวก่อนนะขอรับ”
“ไปเถอะ แม่กับพ่อจะอยู่หารือเรื่องจัดงานเลี้ยงอีกหน่อย”
แต่ทั้งสองไม่ลืมเอ่ยขอตัวกับคนอื่น ๆ ที่ยังอยู่ในห้องโถงแห่งนี้ “ท่านย่าทวด ท่านปู่ ท่านย่า ท่านลุง พวกเราสองคนขอตัวก่อนขอรับ”
“ไว้ได้วันที่แน่นอนแล้ว ค่อยนำหนังสือเชิญไปที่จวนตระกูลหยางล่ะ ญาติผู้น้องของเจ้าสองคนจะได้เตรียมตัวล่วงหน้า”
“ขอรับท่านพ่อ”
เมื่อหลานชายฝาแฝดกลับเรือนไปแล้ว คนที่เหลือจึงเริ่มปรึกษาหารือร่วมกันอย่างจริงจังอีกครั้ง เพื่อจัดเตรียมงานเลี้ยงฉลองให้กับจอหงวนคนใหม่ ซึ่งพวกเขาคาดเดาไปในทิศทางเดียวกัน ว่าตำแหน่งที่ฟงเหยาเหวินจะได้รับนั้น คงหนีไม่พ้นอยู่ในกรมตุลาการเป็นแน่
ที่ทุกคนล้วนคาดเดาตำแหน่งในกรมตุลาการ นั่นเป็นเพราะหยางเฟิ่งเซียนต้องการให้ญาติผู้พี่ เข้าไปมีอำนาจด้านกฎหมายของแคว้นเพื่อคารอำนาจตระกูลหาน เนื่องจากที่ผ่านมามีคดีไม่น้อยที่ถูกตัดสินอย่างลวก ๆ
ในส่วนที่สำคัญที่สุดยังคงเกี่ยวกับการค้า หยางเฟิ่งเซียนกับพี่ชายเริ่มผิดสังเกตยามมีขบวนสินค้า ไม่ว่าจะเป็นของตระกูลจินหรือตระกูลอื่น ๆ เดินทางเข้าออกเมืองหลวง มักจะถูกเพ่งเล็งมากกว่าใครเป็นพิเศษ หากไม่คิดวางแผนไว้ล่วงหน้าอาจเกิดปัญหาใหญ่ตามมาได้ทุกเมื่อ
ผ่านมาแล้วหลายเดือนในที่สุดขบวนสินสอดของตระกูลซ่างกวน ก็ได้ฤกษ์ออกเดินทางไปเยือนแคว้นเป่ยชาง เพื่อจะสู่ขอบุตรสาวตระกูลหยางมาเป็นลูกสะใภ้ ขบวนเดินทางของซ่างกวนเซียวจิ้งใช้เวลาเกือบยี่สิบวัน สุดท้ายก็มาถึงเมืองหลวงแคว้นเป่ยชาง ด้วยหีบไม้ผูกผ้าสีแดงมากมายนับร้อยหีบ ยามทั้งหมดเดินผ่านประตูเมืองจึงกลายเป็นจุดสนใจทันทียิ่งไปกว่านั้นยังมีบุรุษรูปงามนั่งบนหลังม้า เป็นผู้นำขบวนดังกล่าวไปเยือนจวนตระกูลหยาง ซึ่งได้สอบถามเส้นทางไว้ล่วงหน้าแล้ว และขบวนสินสอดนี้ยังเป็นที่สนใจ ท่ามกลางความอยากรู้อยากเห็นของคนในเมืองหลวงยามนี้ในห้องโถงรับแขกของจวนตระกูลหยาง มีเจ้าของจวนและครอบครัวของซ่างกวนเซียวจิ้งนั่งอยู่อย่างพร้อมหน้า เนื่องจากเป็นการเดินทางมาเพื่อเจรจาสู่ขอหยางเฟิ่งเซียนอย่างเป็นทางการซ่างกวนเจิ้งไห่เอ่ยขึ้นอย่างสุภาพกับหยางไท่หมิงและซูอัน “วันนี้ข้ามารบกวนถึงจวนเพราะต้องการสู่ขอบุตรสาวของน้องหยางกับฮูหยิน ไปเป็นลูกสะใภ้ของตระกูลซ่างกวน เนื่องจากบุตรของพวกเราผูกสมัครรักใคร่กันทั้งสองฝ่าย พวกท่านมีความเห็นกับเรื่องนี้อย่างไรหรือ”หยางไท่หมิงและซูอันยิ้มรับอย่างเป็นกันเอง เนื่องจากเรื่องนี้พวกเข
นับตั้งแต่หยางเฟิ่งเซียนและหยางซิวหรงเดินทางกลับแคว้น ซ่างกวนเซียวจิ้งจึงเข้ามามีบทบาทในฐานะผู้สืบทอดการค้าของมารดา ซึ่งมีน้องสาวที่มีประสบการณ์คอยช่วยเหลือ เนื่องจากการค้าที่มารดาของเขาทำนั้น มีความแตกต่างกับการค้าของตระกูลซือหม่าอยู่มากก่อนนั้นแม้เขาจะรับราชการคล้ายไม่ค่อยมีเวลา แต่ความเป็นจริงเรื่องการค้าเขาจะคอยช่วยดูแลอยู่ห่าง ๆ เมื่อได้ลงมือทำเต็มตัวจึงใช้เวลาไม่นานก็ทำได้อย่างคล่องแคล่ว โดยให้น้องสาวคอยดูแลจัดการอยู่ที่ร้านค้า ส่วนการติดต่อกับคู่ค้าในต่างเมืองตนจะรับผิดชอบทั้งหมดระหว่างที่ซ่างกวนเซียวจิ้งกำลังทำหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์ ก็มักจะปลีกตัวมาพูดคุยกับหยางเฟิ่งเซียนผ่านป้ายหยกอยู่เสมอ นางไม่เคยเอ่ยเร่งรัดเรื่องการแต่งงานกับซ่างกวนเซียวจิ้ง เพราะเข้าใจดีกับการเริ่มต้นใหม่ของครอบครัวนี้‘ท่านอย่าได้เร่งรีบจนเกินไปนักรู้หรือไม่ หากทำให้เกิดช่องโหว่คู่ค้าอาจเอาเปรียบท่านได้นะเจ้าคะ’“พี่เข้าใจแล้ว ขอบใจเซียนเอ๋อร์ที่คอยเตือนและให้คำแนะนำดี ๆ แก่พี่เสมอนะ”‘ขอบใจอันใดมากมายเจ้าคะ ข้าย่อมเข้าใจว่าเรื่องนี้ไม่ง่ายกับท่านเท่าใดนัก หากข้าสามารถช่วยได้จะไม่ช่วยท่านได้อย่างไรกัน
เรื่องราวที่เย่จินลู่คิดกระทำกับซ่างกวนเซียวจิ้ง ไม่มีเสียงอึกทึกครึกโครมไปยังเรือนรับรองอีกสองหลัง แม้แต่บ่าวไพร่ที่นำร่างของนางกลับไป ยามได้ยินคำพูดจากโจวหลี่ก็แทบจะกลายเป็นใบ้ เพราะคำเตือนที่มาจากหยางเฟิ่งเซียน สร้างความหวาดกลัวให้พวกเขาอยู่ไม่น้อยเมื่อร่วมรับมื้อเช้าพร้อมกันเสร็จเรียบร้อย ซ่างกวนเซียวจิ้งจึงเอ่ยขอตัวออกไปหาดูจวนหลังใหม่ เพราะครอบครัวของเขาไม่อยากรบกวนท่านตานานเกินไป ซึ่งการออกไปนออกจวนข้างกายของซ่างกวนเซียวจิ้ง ย่อมมีหยางเฟิ่งเซียนที่มีพี่ชายฝาแฝดติดตามไปด้วยเช่นกันทั้งสามคนมายังที่ว่าการของเมืองหลวง เพื่อสอบถามเรื่องจวนที่เจ้าของต้องการขายกับเจ้าหน้าที่ จากนั้นถึงจะไปดูจวนแต่ละหลังก่อนตัดสินใจซื้อ“ไม่ทราบว่าพวกท่านมาที่นี่ต้องการดูร้านค้า หรือหาซื้อจวนเพื่ออยู่อาศัยหรือขอรับ ข้าน้อยฟางเหวินหมิงเป็นผู้รับผิดชอบดูแลเรื่องนี้ พวกท่านสามารถบอกรายละเอียดกับข้าน้อยได้เลยขอรับ”“ข้าต้องการซื้อจวนขนาดใหญ่เล็กน้อย ท่านเจ้าหน้าที่พอจะแนะนำได้หรือไม่ว่า จวนหลังใดน่าสนใจและน่าอยู่อาศัยบ้าง สิ่งที่สำคัญคือจวนหลังนี้ต้องไม่มีผู้คนพลุกพล่านจนเกินไป”“โอ้ว คุณชายท่านมาได้พอดี
เมื่อครอบครัวซ่างกวนตอบรับคำเชิญที่จะพักอยู่ในจวน เรือนรับรองจึงถูกบ่าวไพร่ทำความสะอาดอย่างรวดเร็ว เพื่อให้แขกคนสำคัญของตระกูลซือหม่าได้พักผ่อนจากการเดินทางไกล สิ่งของที่นำมาจากแคว้นหนานหยางด้านหน้าจวน ถูกยกเข้ามาเก็บไว้ที่เรือนรับรองเสียก่อน ด้วยความเหนื่อยล้าที่เดินทางมาสิบกว่าวัน สองสามีภรรยารวมถึงบุตรสาวจึงงีบหลับทันทีหลังจากชำระล้างร่างกายส่วนซ่างกวนเซียวจิ้งถูกหยางเฟิ่งเซียนรั้งไว้ด้านนอกเรือน เพราะนางต้องการพูดถึงเรื่องที่สังเกตเห็นยามที่มาถึงจวนแห่งนี้ โดยมีหยางซิวหรงนั่งฟังน้องสาวเล่าเรื่องด้วยเช่นกัน“เซียนเอ๋อร์มีเรื่องอันใดจะบอกพี่เช่นนั้นหรือ ดูสีหน้าของเจ้าคล้ายกำลังมีคนทำให้โกรธอยู่ใช่ไหม?”“นั่นน่ะสิน้องเล็ก พี่ใหญ่ก็ไม่เห็นว่าจะมีใครไม่ยินดีที่จะต้อนรับพวกเรา ยกเว้นป้าสะใภ้รองของพี่เซียวจิ้งคนนั้น”“หึ เพราะพวกท่านสองคนมิได้สนใจเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นสตรี ถึงไม่เห็นว่ามีสาวใช้คนหนึ่งกำลังอยากปีนเตียงคู่หมั้นของข้าน่ะสิ”“หา!! /อะไรนะ!!”บุรุษทั้งสองอุทานอย่างตกใจออกมาพร้อมกัน เนื่องจากพวกเขาไม่ทันสังเกตอย่างที่หยางเฟิ่งเซียนพูดจริง ๆ เพราะคิดว่าที่นี่ย่อมรู้ว่าครอบค
ในการออกเดินทางของตระกูลซ่างกวน หย่างไท่หมิงอยากให้ซ่างกวนเซียวจิ้งกับครอบครัว ขึ้นไปนั่งอยู่ด้านในรถม้าเสียก่อน เมื่อพ้นเขตเมืองหลวงค่อยออกมาขี่ม้าเช่นที่เคยทำ เนื่องจากมีบ่าวไพร่ติดตามไม่มาก ขบวนเดินทางครั้งนี้จึงใช้ม้าทั้งหมด เพื่อการเดินทางที่สะดวกและรวดเร็ว ซึ่งระยะทางจากเมืองหลวงแคว้นหนานหยาง ไปถึงแคว้นชางเหอใช้เวลาเพียงครึ่งเดือนเท่านั้นเพียงแต่หยางไท่หมิงกับซูอันและสองพี่น้องตระกูลฟง ต้องแยกตัวกลับแคว้นเป่ยชางเมื่อมาถึงเขตชายแดน มีเพียงสองพี่น้องตระกูลหยางและผู้ติดตามอีกสิบคน ยังคงต้องไปกับซ่างกวนเซียวจิ้งตามความตั้งใจเดิมจากชายแดนแคว้นเป่ยชางมาถึงเมืองหลวงแคว้นชางเหอ ขบวนเดินทางของซ่างกวนเซียวจิ้งใช้เวลาอีกเจ็ดวัน ในที่สุดก็ผ่านประตูเมืองหลวงมาหยุดอยู่หน้าจวนขนาดใหญ่ ซึ่งที่นี่เป็นจวนของตระกูลซือหม่าคหบดีอันดับหนึ่งของแคว้นชางเหอเฉินเจ๋อลงจากหลังม้าทำหน้าที่ของตน โดยการบอกบ่าวด้านหน้าประตูให้ไปรายงานเจ้าของจวน “น้องชายรบกวนเจ้าไปรายงานนายท่านผู้เฒ่าว่า บุตรสาวเพียงคนเดียวมาขอพบ”“รอสักประเดี๋ยวข้าจะรีบไปรายงานท่านพ่อบ้านให้ขอรับ”“ขอบใจมาก”บ่าวคนที่พูดคุยกับเฉินเจ๋อเร่งกล
ภายหลังกลับมาถึงจวนตระกูลซ่างกวน ผู้เป็นเจ้าของจวนรีบสั่งพ่อบ้านไปเรียกบ่าวไพร่ มาช่วยทำความสะอาดเรือนรับรอง เพื่อให้ครอบครัวของหยางเฟิ่งเซียนได้พักผ่อน ระหว่างที่นั่งรอบ่าวไพร่จัดการเรื่องเรือนรับรอง ภายในห้องโถงรับแขกจึงมีการสนทนาถึงสิ่งที่ซ่างกวนเจิ้งไห่คิดจะทำหลังจากนี้ เพราะหยางไท่หมิงกับซูอันต่างคิดคล้ายกันว่า ตระกูลซ่างกวนไม่อาจอยู่ที่แคว้นหนานหยางได้อีกแล้ว“นายท่านซ่างกวนกับฮูหยินคิดจะทำอย่างไรต่อหรือขอรับ ข้าว่าพวกท่านคงอยู่ใช้ชีวิตในแคว้นหนานหยางยากแล้วล่ะ แม้ฮ่องเต้จะรู้สึกผิดและเสียดายขุนนางดี ๆ แต่ขุนนางที่ฝักใฝ่ในอำนาจมักมีวิธีการชักจูงฮ่องเต้ได้เสมอนะ”“อืม ข้าเข้าใจสิ่งที่น้องหยางพูดมา ก่อนหน้าจะถึงงานเลี้ยงฉลอง ครอบครัวของเราได้หารือกันไว้ว่า เมื่อเกิดเหตุการณ์อย่างที่คาดก็ไม่คิดจะอยู่ที่แคว้นหนานหยางอีก” ซ่างกวนเจิ้งไห่ตอบหยางไท่หมิงไปตามตรงซือหม่าฮูหยินกล่าวเสริมคำพูดของสามีอีกเล็กน้อย “พวกเราคุยกันไว้ว่าจะย้ายกลับไปตระกูลซือหม่าที่แคว้นชางเหอ เพื่อทำการค้าเนื่องจากบิดาของข้าเป็นวาณิชหลวงให้กับราชสำนักน่ะ”ซูอันได้ยินคำว่าวาณิชหลวงจากซือหม่าฮูหยินก็หูผึ่งทันที เพร