เพราะอู๋ซวนบอกว่าเป็นเรื่องสำคัญที่บิดามารดาต้องการพบ เมื่อกลับมาถึงจวนสองพี่น้องจึงตรงไปยังเรือนฉืออวิ๋นเก๋อ ซึ่งยามนี้หย่างไท่หมิงพูดคุยกับซูอันเรื่องกิจการผ้าไหมไปพลาง ๆ
หยางซิวหรงกับหยางเฟิ่งเซียนเข้ามาถึงห้องรับรอง ก็ทำความบิดามารดาอย่างรู้มารยาท แม้ใครจะมองว่าทั้งสองถูกเลี้ยงดูอย่างตามใจ แต่ก็แค่คนส่วนน้อยที่ไม่รู้อะไรเสียมากกว่า
“คารวะท่านพ่อ ท่านแม่ขอรับ /เจ้าค่ะ”
“มากันแล้วหรือรีบเข้ามานั่งเถิด พ่อกับแม่รอพวกเจ้าอยู่นานแล้วนะ” หยางไท่หมิงที่เปลี่ยนสีหน้าเป็นเคร่งขรึม เมื่อบุตรทั้งสองมาพบตนที่เรือนอย่างรวดเร็ว
เพื่อมิให้เกิดความเคร่งเครียดจนเกินไป ซูอันจึงถามเรื่องการสอบของฟงเหยาเหวิน “เป็นอย่างไรเซียนเอ๋อร์ ผลการสอบของพี่เหยาเหวินของเจ้าได้อย่างที่ต้องการหรือไม่”
พอได้ยินคำถามของมารดาถึงเรื่องนี้ หยางเฟิ่งเซียนถึงกับคุยโวความเก่งกาจของญาติผู้พี่ “ท่านแม่เจ้าคะพี่เหยาเหวินเก่งกาจมาก เพราะว่าคนที่สอบได้อันดับหนึ่งก็คือพี่เหยาเหวินเจ้าค่ะ”
“โอ๋ว ที่แท้จอหงวนปีนี้ก็เป็นของอาเหวินหรอกหรือนี่” ซูอันไม่แปลกใจหากตำแหน่งนี้จะเป็นหลานชายของนาง เพราะฟงเหยาเหวินชอบอ่านตำราเป็นชีวิตจิตใจ แต่การฝึกซ้อมวรยุทธ์ก็ไม่น้อยหน้าเช่นกัน
หยางซิวหรงที่รับฟังแผนการของน้องสาว เรื่องการเป็นขุนนางของญาติผู้พี่ทั้งสองตั้งแต่ทุกคนอายุได้สิบสองหนาว “ครั้งนี้ก็สมใจเซียนเอ๋อร์แล้วขอรับท่านแม่ พี่เสวี่ยหลินเป็นรองแม่ทัพที่อายุน้อยที่สุด ส่วนพี่เหยาเหวินก็สอบได้จอหงวนอีกคน ตำแหน่งขุนนางในราชสำนักที่น้องเล็กวางไว้ ก็สำเร็จสมบูรณ์ไปหนึ่งขั้นแล้วขอรับ”
“อิ อิ ต่อไปในภายหน้ามีพี่เสวี่ยหลินเป็นแม่ทัพ คอยตรวจตราเหล่าพ่อค้าที่เข้าออกแคว้น มิให้มีสิ่งแปลกปลอมที่อาจทำลายกิจการผ้าไหมของแคว้นเรา ส่วนพี่เหยาเหวินก็คอยตรวจสอบขุนนางในราชสำนัก หากมีบางคนรับเงินสินบนจะได้ลากตัวมาลงโทษทันทีเจ้าค่ะ หึ” หยางเฟิ่งเซียนที่ติดตามมารดาทำการค้าแต่เด็ก นางจดจำและสังเกตปัญหานี้ที่มักถูกมองข้ามเอาไว้ ถึงต้องการให้ญาติผู้พี่เป็นขุนนางในราชสำนัก
หยางไท่หมิงแสนจะภูมิใจกับความเจ้าเล่ห์ของบุตรสาว “ฮ่า ๆ ๆ เซียนเอ๋อร์ของพ่อช่างฉลาดวางแผนนัก ยอดเยี่ยมมากสมแล้วที่เป็นลูกของพ่อ”
หยางเฟิ่งเซียนแม้จะชมตัวเอง แต่นางไม่ลืมชื่นชมบิดามารดาของตน และไม่ลืมถามถึงเรื่องที่เรียกมาพบที่เรือนเช่นกัน “เพราะลูกได้ความฉลาดมาจากท่านพ่อกับท่านแม่ ไม่เช่นนั้นคงคิดอะไรเช่นนี้ออกมาไม่ได้แน่ ว่าแต่พวกท่านให้อู๋ซวนไปตามลูกกับพี่ใหญ่มาพบ มีเรื่องสำคัญอันใดอยากจะกำชับหรือเจ้าคะ”
สีหน้าของซูอันเปลี่ยนไปเล็กน้อย ภายหลังบุตรสาวเอ่ยถามเรื่องที่นางต้องการพบ “อืม อันที่จริงจะถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมากเรื่องหนึ่งก็ว่าได้ เพราะแม้แต่ท่านพ่อของพวกเจ้าสองคน ได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา ดังนั้นยามนี้พวกลูกต่างเติบโตเป็นผู้ใหญ่ สามารถตัดสินใจทั้งเรื่องการทำงานและชีวิตของตนได้แล้ว แต่บางครั้งอาจมีเรื่องที่ยางจะรับมือ แม่จึงอยากให้คนที่แม่รักได้รับรู้สิ่งนี้เอาไว้ เอาล่ะทุกคนลุกขึ้นมาจับมือกันเอาไว้ จากนั้นหลับตาลงให้สนิทอย่าเพิ่งมีคำถามใด ๆ จนกว่าจะบอกให้ลืมตาได้เท่านั้น เมื่อลืมตาแล้วอยากถามสิ่งใดค่อยถามออกมา”
สามคนพ่อลูกแม้จะรู้สึกแปลก ๆ กับคำพูดของภรรยาและมารดา แต่ก็ทำตามอย่างว่าง่าย “พี่เข้าใจเจ้าอันอัน /เข้าใจแล้วขอรับ /ลูกก็เข้าใจเจ้าค่ะ”
“จีจี้...”
วับ! พรึบ! ทั้งสามคนรู้สึกว่าร่างกายขยับเพียงเล็กน้อย ต่อมาก็มีเสียงดังอยู่รอบ ๆ ทั้งที่ก่อนหน้าภายในห้องรับรองไม่มีเสียงเช่นนี้
ซูอันเห็นสามคนพ่อลูกเริ่มคิ้วขมวด จึงบอกให้ลืมตาตามที่รับปากไว้เมื่อครู่ “ทั้งสามคนลืมตาได้พวกเรามาถึงแล้วล่ะ”
แต่ก่อนที่จะลืมตากลับมีเสียงทักทาย จนสามพ่อลูกกระโดดกอดกันกลม [สวัสดีทุกท่าน ยินดีต้อนรับสู่อาณาจักรของจีจี้เจ้าค่ะ]
“อ๊ากก! /เหวอออ! /กรี๊ดดด!”
“สะ สะ เสียงใคร นะ นะ นั่นใครพูดออกมาเดี๋ยวนะ อย่าได้คิดลอบทำร้ายครอบครัวของข้าเด็ดขาด” หยางไท่หมิงได้สติจึงรีบกางแขนปกป้องทั้งซูอันและบุตรทั้งสองทันที
[โอยย อะไรจะเหมือนกันได้ขนาดนี้นะ นายหญิงท่านรีบอธิบายให้ทุกคนเข้าใจสิเจ้าคะ จะให้จีจี้ออกไปได้อย่างไรในเมื่อจีจี้ไม่มีร่างกาย]
“หึ ๆ ๆ ท่านพี่ หรงเอ๋อร์ เซียนเอ๋อร์ ไม่ต้องตกใจกับเสียงที่ได้ยินนั่นหรอก เพราะตอนนี้พวกเราอยู่ในพื้นวิเศษ โดยมีเจ้าของเสียงนั่นเป็นผู้ดูแลทั้งหมดน่ะ”
“หา! พื้นที่วิเศษ”
“ท่านแม่ขอรับ ด้านหลังพวกเรามันคือสิ่งใด ทำไมข้าได้ยินเหมือนเสียงของมันดังอยู่ตลอดเวลาล่ะขอรับ”
แต่หยางเฟิ่งเซียนกลับถามคำถามไม่เหมือนบิดากับพี่ชายสักนิด “ท่านแม่! หรือว่าแท้จริงแล้วท่านคือเทพธิดาจากสวรรค์เจ้าคะ แล้วสิ่งที่พวกเราเห็นอยู่ในยามนี้ ล้วนเป็นสิ่งวิเศษที่ท่านแม่นำติดตัวมาใช่หรือไม่เจ้าคะ”
[ฮ่า ๆ ๆ คุณหนูของจีจี้ช่างฉลาดคิดไม่เหมือนผู้ใดจริง ๆ หากจะบอกว่ามารดาของท่านเป็นเทพธิดาก็มีส่วนถูกกระมัง แต่ความโหดเหี้ยมที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความงาม คนที่ได้เห็นมาก่อนย่อมเป็นบิดาของท่านนะเจ้าคะ]
หยางไท่หมิงนึกถึงภาพในอดีตก็ขนลุกขึ้นมาอีกครั้ง ภาพการสังหารพระชายาหานยังคงติดตาจนถึงตอนนี้ และเขายังนึกไปถึงเรื่องอาวุธที่ซูอันใช้ในแคว้นหยวนซิง
“อันอัน เจ้าคงไม่ได้หมายความถึงอาวุธ หรือแม้แต่สิ่งที่ใช้พาพี่ไปแคว้นหยวนซิง ล้วนมีเจ้าเสียงนี่เป็นผู้ช่วยจัดหามาให้หรอกกระมัง”
ซูอันกลั้นขำท่าทางของหยางไท่หมิงแทบไม่ไหว เนื่องจากพวกเขาได้ยินเพียงเสียงแต่ไม่เห็นผู้ใด “ท่านพี่เข้าใจได้ถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ และสิ่งเหล่านั้นในโลกนี้ไม่สามารถทำขึ้นมาได้ รวมถึงอาวุธลับที่มอบให้กับลูกของเรากับลูกของพี่หญิงด้วย ทั้งหมดเป็นจีจี้ที่ช่วยคิดและหามาให้เจ้าค่ะ”
หยางซิวหรงนึกถึงสิ่งที่มารดามอบให้ตนกับน้องสาว รวมถึงญาติผู้พี่ที่ได้รับพร้อมกันคราวที่สำเร็จการฝึกวรยุทธ์ “ท่านแม่เช่นนั้นอาวุธที่ท่านมอบให้พวกเราสี่คน ล้วนเป็นสิ่งที่ทุกคนบนแผ่นนี้ไม่อาจมีได้ แม้แต่จะทำด้วยการลอกเลียนแบบ อาจทำได้แต่วัสดุที่นำมาใช้ย่อมสู้ของท่านไม่ได้”
[คุณชายเข้าใจเรื่องของอาวุธได้ดีจริง ๆ เจ้าค่ะ สิ่งที่พวกท่านได้รับไปมีความแข็งแรงทนทานมาก จีจี้ย่อมคัดเลือกแต่สิ่งที่ดีที่สุดมาให้นะเจ้าคะ หากมีใครกล้ามาทำร้ายพวกท่าน ก็ใช้มันจัดการให้สมกับที่เป็นลูกของเจ้าแม่มาเฟียด้วยนะ]
“เอ่อ ท่านแม่เจ้าคะ คำว่าเจ้าแม่มาเฟียนี่มันคืออันใดหรือเจ้าคะ?” หยางเฟิ่งเซียนไม่เคยได้ยินคำนี้ของจีจี้มาก่อน
หยางไท่หมิงกับบุตรชายก็เช่นกัน ทุกคนต่างมองไปที่ซูอันเป็นจุดเดียว คล้ายกำลังรอคำอธิบายจากนาง ซูอันจึงต้องอธิบายให้ทั้งสามคนเข้าใจ “คำพูดนี้น่ะหรือ หากแปลให้เข้ากับโลกนี้คงหมายถึงผู้มีอำนาจ ที่แม้แต่ทางการก็ไม่สามารถโค่นล้มได้ จะมีสุนัขรับใช้เป็นข้าราชการที่รับเงินสินบน คอยดูแลเก็บกวาดกลับดำให้เป็นขาวไม่ถูกจับไปดำเนินคดี หรือจะพูดว่าเป็นผู้อยู่เหนือกฎหมายก็ว่าได้
แต่มิใช่ว่าโลกนั้นจะไม่มีเจ้าหน้าที่ผู้ซื่อสัตย์นะ เพียงแค่บางครั้งคนเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวมีมากกว่า จึงทำงานได้ไม่สะดวกอย่างที่ควรจะเป็น ซึ่งก็คล้ายคลึงกับโลกแห่งนี้ ที่มีขุนนางกังฉินคอยรับเงินสินบน หรือยักยอกเงินงบประมาณอย่างไรล่ะ”
“พี่เข้าใจแล้วว่าเหตุใดเจ้าถึงต้องเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือผู้อื่นหรือกำจัดคนที่คิดทำร้ายเจ้ากับครอบครัว บางคราวความโหดเหี้ยมก็ช่วยให้คนเหล่านั้นฉุกคิด ถึงผลดีผลเสียหากต้องการเป็นศัตรูกับเรา” หยางไท่หมิงนึกถึงความเด็ดขาดของซูอันเมื่อครั้งที่ได้ติดตามนางไปช่วยชาวบ้าน
ซูอันยิ้มรับกับคำพูดของสามีที่รับรู้ในสิ่งที่นางทำมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นการสั่งสอนคนหรือการสังหารหมู่ “ใช่เจ้าค่ะท่านพี่ ข้าถึงได้สอนให้ลูก ๆ กับหลานทั้งสอง ฝึกวรยุทธ์และการใช้อาวุธตั้งแต่เด็ก แม้เราจะไม่รังแกผู้ใดแต่มิใช่ว่าคนที่มีใจอิจฉาริษยา จะไม่หาเรื่องเราก่อนเสียเมื่อไหร่”
หยางเฟิ่งเซียนที่เหมือนมารดาอย่างกับแกะ ย่อมมีนิสัยใจคอเช่นเดียวกันโดยไม่ต้องสอน “ลูกก็คิดเหมือนกับท่านแม่เจ้าค่ะ ถ้าเพียงแค่หาเรื่องทะเลาะธรรมดาก็สั่งสอนพอให้หลาบจำ แต่หากถึงขั้นลงไม้ลงมือหมายเอาชีวิต หรือทำลายกิจการผ้าไหมของตระกูลจิน ลูกไม่มีทางปล่อยให้คนพวกนั้นได้มีโอกาสลงมือเป็นครั้งที่สองแน่”
“ท่านแม่ไม่ต้องห่วงข้ากับน้องเล็กจะปกป้องกิจการนี้ และจะขยายการค้าให้ทั่วทุกแคว้นกิจการผ้าไหมของตระกูลจิน จะเจริญรุ่งเรืองต่อไปอีกร้อยปีพันปีแน่นอนขอรับ”
[คุณชายกับคุณหนูหากพวกท่านต้องการอาวุธร้ายแรง หรือยาพิษที่หลากหลายในการกำจัดศัตรู พวกท่านบอกผ่านนายหญิงได้นะเจ้าคะ จีจี้จะเตรียมไว้ให้ครบทุกอย่างเองเจ้าค่ะ]
ซูอันคล้ายจะคิดถึงบางเรื่องขึ้นมาได้นางจึงลองถามกับจีจี้ “จีจี้ ข้าอยากถามถึงสิ่งประดิษฐ์บางอย่าง”
[นายหญิงถามถึงสิ่งประดิษฐ์อันใดหรือเจ้าคะ]
“หากข้าอยากได้วัตถุที่ใช้เป็นมิติเก็บของ มอบให้ลูกทั้งสองคนกับหลานชายของข้า เจ้าสามารถหามาให้ข้าได้หรือไม่จีจี้”
[โธ่เอ้ยยย ลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไรนะ นายหญิงหากท่านไม่ถามจีจี้ก็คงลืมไปแล้วจริง ๆ สิ่งที่ท่านอยากได้มีหรือที่จีจี้จะหามาให้ไม่ได้ ว่าแต่คุณชายกับคุณหนูอยากได้หรือไม่เจ้าคะ]
“ข้าอยากได้! /ข้าอยากมีเหมือนท่านแม่!”
[จีจี้ยินดีจัดให้ตามคำขอเจ้าค่ะ แต่ว่าขอเวลาจีจี้สักสองสามวัน เพื่อเตรียมของพิเศษให้กับพวกท่านนะเจ้าคะ]
“ได้สิ ข้ากับน้องเล็กย่อมรอได้”
ซูอันเอ่ยขอบใจจี้หยกวิเศษก่อนจะชักชวนสามีกับบุตรทั้งสอง เข้าไปดูการทำงานของเครื่องจักรด้านในโรงงานทั้งสองแห่ง
“ฝากด้วยนะจีจี้ขอบใจเจ้ามาก เอาล่ะตอนนี้พวกเราเข้าไปดูด้านในโรงงานกันเถิด จะได้รู้ว่าผ้าไหมบางส่วนที่วางขายในร้านมีที่มาที่ไปอย่างไรบ้าง หากพวกลูกคิดลวดลายใหม่ ๆ ได้ก็วาดตัวอย่างออกมา และลองให้เครื่องจักรด้านในทดลองทอให้ดูก็แล้วกัน”
หมับ! “พี่ใหญ่เข้าไปดูด้านในกันเถิด ข้าอยากเห็นแล้วว่าเครื่องจักรหน้าตาเป็นอย่างไรเจ้าค่ะ”
“ช้า ๆ สิน้องเล็กไม่ต้องรีบร้อนหรอกน่า อีกไม่กี่ก้าวก็จะถึงอยู่แล้วระวังจะหกล้มจนได้แผลล่ะ” หยางซิวหรงเอ่ยเตือนน้องสาวแต่เท้ากลับขยับตามไป ตั้งแต่ถูกมือบางฉุดดึงแขนกำยำของตนนั่นแล้ว
ซูอันก็จับจูงมือสามีอย่างหยางไท่หมิง เพื่อพาเข้าไปชมต้นตอการผลิตผ้าไหม ที่ส่งเข้าวังหลวงและคนที่มีฐานะร่ำรวย ได้นำไปตัดเป็นเสื้อผ้าสวมใส่ไว้โอ้อวดตามงานเลี้ยงต่าง ๆ เมื่อได้บอกความลับของตนกับสามีและบุตรทั้งสอง ซูอันรู้สึกสบายใจและไม่ต้องแอบนำสิ่งของออกมาลับหลังพวกเขาอีกแล้ว
ผ่านมาแล้วหลายเดือนในที่สุดขบวนสินสอดของตระกูลซ่างกวน ก็ได้ฤกษ์ออกเดินทางไปเยือนแคว้นเป่ยชาง เพื่อจะสู่ขอบุตรสาวตระกูลหยางมาเป็นลูกสะใภ้ ขบวนเดินทางของซ่างกวนเซียวจิ้งใช้เวลาเกือบยี่สิบวัน สุดท้ายก็มาถึงเมืองหลวงแคว้นเป่ยชาง ด้วยหีบไม้ผูกผ้าสีแดงมากมายนับร้อยหีบ ยามทั้งหมดเดินผ่านประตูเมืองจึงกลายเป็นจุดสนใจทันทียิ่งไปกว่านั้นยังมีบุรุษรูปงามนั่งบนหลังม้า เป็นผู้นำขบวนดังกล่าวไปเยือนจวนตระกูลหยาง ซึ่งได้สอบถามเส้นทางไว้ล่วงหน้าแล้ว และขบวนสินสอดนี้ยังเป็นที่สนใจ ท่ามกลางความอยากรู้อยากเห็นของคนในเมืองหลวงยามนี้ในห้องโถงรับแขกของจวนตระกูลหยาง มีเจ้าของจวนและครอบครัวของซ่างกวนเซียวจิ้งนั่งอยู่อย่างพร้อมหน้า เนื่องจากเป็นการเดินทางมาเพื่อเจรจาสู่ขอหยางเฟิ่งเซียนอย่างเป็นทางการซ่างกวนเจิ้งไห่เอ่ยขึ้นอย่างสุภาพกับหยางไท่หมิงและซูอัน “วันนี้ข้ามารบกวนถึงจวนเพราะต้องการสู่ขอบุตรสาวของน้องหยางกับฮูหยิน ไปเป็นลูกสะใภ้ของตระกูลซ่างกวน เนื่องจากบุตรของพวกเราผูกสมัครรักใคร่กันทั้งสองฝ่าย พวกท่านมีความเห็นกับเรื่องนี้อย่างไรหรือ”หยางไท่หมิงและซูอันยิ้มรับอย่างเป็นกันเอง เนื่องจากเรื่องนี้พวกเข
นับตั้งแต่หยางเฟิ่งเซียนและหยางซิวหรงเดินทางกลับแคว้น ซ่างกวนเซียวจิ้งจึงเข้ามามีบทบาทในฐานะผู้สืบทอดการค้าของมารดา ซึ่งมีน้องสาวที่มีประสบการณ์คอยช่วยเหลือ เนื่องจากการค้าที่มารดาของเขาทำนั้น มีความแตกต่างกับการค้าของตระกูลซือหม่าอยู่มากก่อนนั้นแม้เขาจะรับราชการคล้ายไม่ค่อยมีเวลา แต่ความเป็นจริงเรื่องการค้าเขาจะคอยช่วยดูแลอยู่ห่าง ๆ เมื่อได้ลงมือทำเต็มตัวจึงใช้เวลาไม่นานก็ทำได้อย่างคล่องแคล่ว โดยให้น้องสาวคอยดูแลจัดการอยู่ที่ร้านค้า ส่วนการติดต่อกับคู่ค้าในต่างเมืองตนจะรับผิดชอบทั้งหมดระหว่างที่ซ่างกวนเซียวจิ้งกำลังทำหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์ ก็มักจะปลีกตัวมาพูดคุยกับหยางเฟิ่งเซียนผ่านป้ายหยกอยู่เสมอ นางไม่เคยเอ่ยเร่งรัดเรื่องการแต่งงานกับซ่างกวนเซียวจิ้ง เพราะเข้าใจดีกับการเริ่มต้นใหม่ของครอบครัวนี้‘ท่านอย่าได้เร่งรีบจนเกินไปนักรู้หรือไม่ หากทำให้เกิดช่องโหว่คู่ค้าอาจเอาเปรียบท่านได้นะเจ้าคะ’“พี่เข้าใจแล้ว ขอบใจเซียนเอ๋อร์ที่คอยเตือนและให้คำแนะนำดี ๆ แก่พี่เสมอนะ”‘ขอบใจอันใดมากมายเจ้าคะ ข้าย่อมเข้าใจว่าเรื่องนี้ไม่ง่ายกับท่านเท่าใดนัก หากข้าสามารถช่วยได้จะไม่ช่วยท่านได้อย่างไรกัน
เรื่องราวที่เย่จินลู่คิดกระทำกับซ่างกวนเซียวจิ้ง ไม่มีเสียงอึกทึกครึกโครมไปยังเรือนรับรองอีกสองหลัง แม้แต่บ่าวไพร่ที่นำร่างของนางกลับไป ยามได้ยินคำพูดจากโจวหลี่ก็แทบจะกลายเป็นใบ้ เพราะคำเตือนที่มาจากหยางเฟิ่งเซียน สร้างความหวาดกลัวให้พวกเขาอยู่ไม่น้อยเมื่อร่วมรับมื้อเช้าพร้อมกันเสร็จเรียบร้อย ซ่างกวนเซียวจิ้งจึงเอ่ยขอตัวออกไปหาดูจวนหลังใหม่ เพราะครอบครัวของเขาไม่อยากรบกวนท่านตานานเกินไป ซึ่งการออกไปนออกจวนข้างกายของซ่างกวนเซียวจิ้ง ย่อมมีหยางเฟิ่งเซียนที่มีพี่ชายฝาแฝดติดตามไปด้วยเช่นกันทั้งสามคนมายังที่ว่าการของเมืองหลวง เพื่อสอบถามเรื่องจวนที่เจ้าของต้องการขายกับเจ้าหน้าที่ จากนั้นถึงจะไปดูจวนแต่ละหลังก่อนตัดสินใจซื้อ“ไม่ทราบว่าพวกท่านมาที่นี่ต้องการดูร้านค้า หรือหาซื้อจวนเพื่ออยู่อาศัยหรือขอรับ ข้าน้อยฟางเหวินหมิงเป็นผู้รับผิดชอบดูแลเรื่องนี้ พวกท่านสามารถบอกรายละเอียดกับข้าน้อยได้เลยขอรับ”“ข้าต้องการซื้อจวนขนาดใหญ่เล็กน้อย ท่านเจ้าหน้าที่พอจะแนะนำได้หรือไม่ว่า จวนหลังใดน่าสนใจและน่าอยู่อาศัยบ้าง สิ่งที่สำคัญคือจวนหลังนี้ต้องไม่มีผู้คนพลุกพล่านจนเกินไป”“โอ้ว คุณชายท่านมาได้พอดี
เมื่อครอบครัวซ่างกวนตอบรับคำเชิญที่จะพักอยู่ในจวน เรือนรับรองจึงถูกบ่าวไพร่ทำความสะอาดอย่างรวดเร็ว เพื่อให้แขกคนสำคัญของตระกูลซือหม่าได้พักผ่อนจากการเดินทางไกล สิ่งของที่นำมาจากแคว้นหนานหยางด้านหน้าจวน ถูกยกเข้ามาเก็บไว้ที่เรือนรับรองเสียก่อน ด้วยความเหนื่อยล้าที่เดินทางมาสิบกว่าวัน สองสามีภรรยารวมถึงบุตรสาวจึงงีบหลับทันทีหลังจากชำระล้างร่างกายส่วนซ่างกวนเซียวจิ้งถูกหยางเฟิ่งเซียนรั้งไว้ด้านนอกเรือน เพราะนางต้องการพูดถึงเรื่องที่สังเกตเห็นยามที่มาถึงจวนแห่งนี้ โดยมีหยางซิวหรงนั่งฟังน้องสาวเล่าเรื่องด้วยเช่นกัน“เซียนเอ๋อร์มีเรื่องอันใดจะบอกพี่เช่นนั้นหรือ ดูสีหน้าของเจ้าคล้ายกำลังมีคนทำให้โกรธอยู่ใช่ไหม?”“นั่นน่ะสิน้องเล็ก พี่ใหญ่ก็ไม่เห็นว่าจะมีใครไม่ยินดีที่จะต้อนรับพวกเรา ยกเว้นป้าสะใภ้รองของพี่เซียวจิ้งคนนั้น”“หึ เพราะพวกท่านสองคนมิได้สนใจเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นสตรี ถึงไม่เห็นว่ามีสาวใช้คนหนึ่งกำลังอยากปีนเตียงคู่หมั้นของข้าน่ะสิ”“หา!! /อะไรนะ!!”บุรุษทั้งสองอุทานอย่างตกใจออกมาพร้อมกัน เนื่องจากพวกเขาไม่ทันสังเกตอย่างที่หยางเฟิ่งเซียนพูดจริง ๆ เพราะคิดว่าที่นี่ย่อมรู้ว่าครอบค
ในการออกเดินทางของตระกูลซ่างกวน หย่างไท่หมิงอยากให้ซ่างกวนเซียวจิ้งกับครอบครัว ขึ้นไปนั่งอยู่ด้านในรถม้าเสียก่อน เมื่อพ้นเขตเมืองหลวงค่อยออกมาขี่ม้าเช่นที่เคยทำ เนื่องจากมีบ่าวไพร่ติดตามไม่มาก ขบวนเดินทางครั้งนี้จึงใช้ม้าทั้งหมด เพื่อการเดินทางที่สะดวกและรวดเร็ว ซึ่งระยะทางจากเมืองหลวงแคว้นหนานหยาง ไปถึงแคว้นชางเหอใช้เวลาเพียงครึ่งเดือนเท่านั้นเพียงแต่หยางไท่หมิงกับซูอันและสองพี่น้องตระกูลฟง ต้องแยกตัวกลับแคว้นเป่ยชางเมื่อมาถึงเขตชายแดน มีเพียงสองพี่น้องตระกูลหยางและผู้ติดตามอีกสิบคน ยังคงต้องไปกับซ่างกวนเซียวจิ้งตามความตั้งใจเดิมจากชายแดนแคว้นเป่ยชางมาถึงเมืองหลวงแคว้นชางเหอ ขบวนเดินทางของซ่างกวนเซียวจิ้งใช้เวลาอีกเจ็ดวัน ในที่สุดก็ผ่านประตูเมืองหลวงมาหยุดอยู่หน้าจวนขนาดใหญ่ ซึ่งที่นี่เป็นจวนของตระกูลซือหม่าคหบดีอันดับหนึ่งของแคว้นชางเหอเฉินเจ๋อลงจากหลังม้าทำหน้าที่ของตน โดยการบอกบ่าวด้านหน้าประตูให้ไปรายงานเจ้าของจวน “น้องชายรบกวนเจ้าไปรายงานนายท่านผู้เฒ่าว่า บุตรสาวเพียงคนเดียวมาขอพบ”“รอสักประเดี๋ยวข้าจะรีบไปรายงานท่านพ่อบ้านให้ขอรับ”“ขอบใจมาก”บ่าวคนที่พูดคุยกับเฉินเจ๋อเร่งกล
ภายหลังกลับมาถึงจวนตระกูลซ่างกวน ผู้เป็นเจ้าของจวนรีบสั่งพ่อบ้านไปเรียกบ่าวไพร่ มาช่วยทำความสะอาดเรือนรับรอง เพื่อให้ครอบครัวของหยางเฟิ่งเซียนได้พักผ่อน ระหว่างที่นั่งรอบ่าวไพร่จัดการเรื่องเรือนรับรอง ภายในห้องโถงรับแขกจึงมีการสนทนาถึงสิ่งที่ซ่างกวนเจิ้งไห่คิดจะทำหลังจากนี้ เพราะหยางไท่หมิงกับซูอันต่างคิดคล้ายกันว่า ตระกูลซ่างกวนไม่อาจอยู่ที่แคว้นหนานหยางได้อีกแล้ว“นายท่านซ่างกวนกับฮูหยินคิดจะทำอย่างไรต่อหรือขอรับ ข้าว่าพวกท่านคงอยู่ใช้ชีวิตในแคว้นหนานหยางยากแล้วล่ะ แม้ฮ่องเต้จะรู้สึกผิดและเสียดายขุนนางดี ๆ แต่ขุนนางที่ฝักใฝ่ในอำนาจมักมีวิธีการชักจูงฮ่องเต้ได้เสมอนะ”“อืม ข้าเข้าใจสิ่งที่น้องหยางพูดมา ก่อนหน้าจะถึงงานเลี้ยงฉลอง ครอบครัวของเราได้หารือกันไว้ว่า เมื่อเกิดเหตุการณ์อย่างที่คาดก็ไม่คิดจะอยู่ที่แคว้นหนานหยางอีก” ซ่างกวนเจิ้งไห่ตอบหยางไท่หมิงไปตามตรงซือหม่าฮูหยินกล่าวเสริมคำพูดของสามีอีกเล็กน้อย “พวกเราคุยกันไว้ว่าจะย้ายกลับไปตระกูลซือหม่าที่แคว้นชางเหอ เพื่อทำการค้าเนื่องจากบิดาของข้าเป็นวาณิชหลวงให้กับราชสำนักน่ะ”ซูอันได้ยินคำว่าวาณิชหลวงจากซือหม่าฮูหยินก็หูผึ่งทันที เพร