เพราะอู๋ซวนบอกว่าเป็นเรื่องสำคัญที่บิดามารดาต้องการพบ เมื่อกลับมาถึงจวนสองพี่น้องจึงตรงไปยังเรือนฉืออวิ๋นเก๋อ ซึ่งยามนี้หย่างไท่หมิงพูดคุยกับซูอันเรื่องกิจการผ้าไหมไปพลาง ๆ
หยางซิวหรงกับหยางเฟิ่งเซียนเข้ามาถึงห้องรับรอง ก็ทำความบิดามารดาอย่างรู้มารยาท แม้ใครจะมองว่าทั้งสองถูกเลี้ยงดูอย่างตามใจ แต่ก็แค่คนส่วนน้อยที่ไม่รู้อะไรเสียมากกว่า
“คารวะท่านพ่อ ท่านแม่ขอรับ /เจ้าค่ะ”
“มากันแล้วหรือรีบเข้ามานั่งเถิด พ่อกับแม่รอพวกเจ้าอยู่นานแล้วนะ” หยางไท่หมิงที่เปลี่ยนสีหน้าเป็นเคร่งขรึม เมื่อบุตรทั้งสองมาพบตนที่เรือนอย่างรวดเร็ว
เพื่อมิให้เกิดความเคร่งเครียดจนเกินไป ซูอันจึงถามเรื่องการสอบของฟงเหยาเหวิน “เป็นอย่างไรเซียนเอ๋อร์ ผลการสอบของพี่เหยาเหวินของเจ้าได้อย่างที่ต้องการหรือไม่”
พอได้ยินคำถามของมารดาถึงเรื่องนี้ หยางเฟิ่งเซียนถึงกับคุยโวความเก่งกาจของญาติผู้พี่ “ท่านแม่เจ้าคะพี่เหยาเหวินเก่งกาจมาก เพราะว่าคนที่สอบได้อันดับหนึ่งก็คือพี่เหยาเหวินเจ้าค่ะ”
“โอ๋ว ที่แท้จอหงวนปีนี้ก็เป็นของอาเหวินหรอกหรือนี่” ซูอันไม่แปลกใจหากตำแหน่งนี้จะเป็นหลานชายของนาง เพราะฟงเหยาเหวินชอบอ่านตำราเป็นชีวิตจิตใจ แต่การฝึกซ้อมวรยุทธ์ก็ไม่น้อยหน้าเช่นกัน
หยางซิวหรงที่รับฟังแผนการของน้องสาว เรื่องการเป็นขุนนางของญาติผู้พี่ทั้งสองตั้งแต่ทุกคนอายุได้สิบสองหนาว “ครั้งนี้ก็สมใจเซียนเอ๋อร์แล้วขอรับท่านแม่ พี่เสวี่ยหลินเป็นรองแม่ทัพที่อายุน้อยที่สุด ส่วนพี่เหยาเหวินก็สอบได้จอหงวนอีกคน ตำแหน่งขุนนางในราชสำนักที่น้องเล็กวางไว้ ก็สำเร็จสมบูรณ์ไปหนึ่งขั้นแล้วขอรับ”
“อิ อิ ต่อไปในภายหน้ามีพี่เสวี่ยหลินเป็นแม่ทัพ คอยตรวจตราเหล่าพ่อค้าที่เข้าออกแคว้น มิให้มีสิ่งแปลกปลอมที่อาจทำลายกิจการผ้าไหมของแคว้นเรา ส่วนพี่เหยาเหวินก็คอยตรวจสอบขุนนางในราชสำนัก หากมีบางคนรับเงินสินบนจะได้ลากตัวมาลงโทษทันทีเจ้าค่ะ หึ” หยางเฟิ่งเซียนที่ติดตามมารดาทำการค้าแต่เด็ก นางจดจำและสังเกตปัญหานี้ที่มักถูกมองข้ามเอาไว้ ถึงต้องการให้ญาติผู้พี่เป็นขุนนางในราชสำนัก
หยางไท่หมิงแสนจะภูมิใจกับความเจ้าเล่ห์ของบุตรสาว “ฮ่า ๆ ๆ เซียนเอ๋อร์ของพ่อช่างฉลาดวางแผนนัก ยอดเยี่ยมมากสมแล้วที่เป็นลูกของพ่อ”
หยางเฟิ่งเซียนแม้จะชมตัวเอง แต่นางไม่ลืมชื่นชมบิดามารดาของตน และไม่ลืมถามถึงเรื่องที่เรียกมาพบที่เรือนเช่นกัน “เพราะลูกได้ความฉลาดมาจากท่านพ่อกับท่านแม่ ไม่เช่นนั้นคงคิดอะไรเช่นนี้ออกมาไม่ได้แน่ ว่าแต่พวกท่านให้อู๋ซวนไปตามลูกกับพี่ใหญ่มาพบ มีเรื่องสำคัญอันใดอยากจะกำชับหรือเจ้าคะ”
สีหน้าของซูอันเปลี่ยนไปเล็กน้อย ภายหลังบุตรสาวเอ่ยถามเรื่องที่นางต้องการพบ “อืม อันที่จริงจะถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมากเรื่องหนึ่งก็ว่าได้ เพราะแม้แต่ท่านพ่อของพวกเจ้าสองคน ได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา ดังนั้นยามนี้พวกลูกต่างเติบโตเป็นผู้ใหญ่ สามารถตัดสินใจทั้งเรื่องการทำงานและชีวิตของตนได้แล้ว แต่บางครั้งอาจมีเรื่องที่ยางจะรับมือ แม่จึงอยากให้คนที่แม่รักได้รับรู้สิ่งนี้เอาไว้ เอาล่ะทุกคนลุกขึ้นมาจับมือกันเอาไว้ จากนั้นหลับตาลงให้สนิทอย่าเพิ่งมีคำถามใด ๆ จนกว่าจะบอกให้ลืมตาได้เท่านั้น เมื่อลืมตาแล้วอยากถามสิ่งใดค่อยถามออกมา”
สามคนพ่อลูกแม้จะรู้สึกแปลก ๆ กับคำพูดของภรรยาและมารดา แต่ก็ทำตามอย่างว่าง่าย “พี่เข้าใจเจ้าอันอัน /เข้าใจแล้วขอรับ /ลูกก็เข้าใจเจ้าค่ะ”
“จีจี้...”
วับ! พรึบ! ทั้งสามคนรู้สึกว่าร่างกายขยับเพียงเล็กน้อย ต่อมาก็มีเสียงดังอยู่รอบ ๆ ทั้งที่ก่อนหน้าภายในห้องรับรองไม่มีเสียงเช่นนี้
ซูอันเห็นสามคนพ่อลูกเริ่มคิ้วขมวด จึงบอกให้ลืมตาตามที่รับปากไว้เมื่อครู่ “ทั้งสามคนลืมตาได้พวกเรามาถึงแล้วล่ะ”
แต่ก่อนที่จะลืมตากลับมีเสียงทักทาย จนสามพ่อลูกกระโดดกอดกันกลม [สวัสดีทุกท่าน ยินดีต้อนรับสู่อาณาจักรของจีจี้เจ้าค่ะ]
“อ๊ากก! /เหวอออ! /กรี๊ดดด!”
“สะ สะ เสียงใคร นะ นะ นั่นใครพูดออกมาเดี๋ยวนะ อย่าได้คิดลอบทำร้ายครอบครัวของข้าเด็ดขาด” หยางไท่หมิงได้สติจึงรีบกางแขนปกป้องทั้งซูอันและบุตรทั้งสองทันที
[โอยย อะไรจะเหมือนกันได้ขนาดนี้นะ นายหญิงท่านรีบอธิบายให้ทุกคนเข้าใจสิเจ้าคะ จะให้จีจี้ออกไปได้อย่างไรในเมื่อจีจี้ไม่มีร่างกาย]
“หึ ๆ ๆ ท่านพี่ หรงเอ๋อร์ เซียนเอ๋อร์ ไม่ต้องตกใจกับเสียงที่ได้ยินนั่นหรอก เพราะตอนนี้พวกเราอยู่ในพื้นวิเศษ โดยมีเจ้าของเสียงนั่นเป็นผู้ดูแลทั้งหมดน่ะ”
“หา! พื้นที่วิเศษ”
“ท่านแม่ขอรับ ด้านหลังพวกเรามันคือสิ่งใด ทำไมข้าได้ยินเหมือนเสียงของมันดังอยู่ตลอดเวลาล่ะขอรับ”
แต่หยางเฟิ่งเซียนกลับถามคำถามไม่เหมือนบิดากับพี่ชายสักนิด “ท่านแม่! หรือว่าแท้จริงแล้วท่านคือเทพธิดาจากสวรรค์เจ้าคะ แล้วสิ่งที่พวกเราเห็นอยู่ในยามนี้ ล้วนเป็นสิ่งวิเศษที่ท่านแม่นำติดตัวมาใช่หรือไม่เจ้าคะ”
[ฮ่า ๆ ๆ คุณหนูของจีจี้ช่างฉลาดคิดไม่เหมือนผู้ใดจริง ๆ หากจะบอกว่ามารดาของท่านเป็นเทพธิดาก็มีส่วนถูกกระมัง แต่ความโหดเหี้ยมที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความงาม คนที่ได้เห็นมาก่อนย่อมเป็นบิดาของท่านนะเจ้าคะ]
หยางไท่หมิงนึกถึงภาพในอดีตก็ขนลุกขึ้นมาอีกครั้ง ภาพการสังหารพระชายาหานยังคงติดตาจนถึงตอนนี้ และเขายังนึกไปถึงเรื่องอาวุธที่ซูอันใช้ในแคว้นหยวนซิง
“อันอัน เจ้าคงไม่ได้หมายความถึงอาวุธ หรือแม้แต่สิ่งที่ใช้พาพี่ไปแคว้นหยวนซิง ล้วนมีเจ้าเสียงนี่เป็นผู้ช่วยจัดหามาให้หรอกกระมัง”
ซูอันกลั้นขำท่าทางของหยางไท่หมิงแทบไม่ไหว เนื่องจากพวกเขาได้ยินเพียงเสียงแต่ไม่เห็นผู้ใด “ท่านพี่เข้าใจได้ถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ และสิ่งเหล่านั้นในโลกนี้ไม่สามารถทำขึ้นมาได้ รวมถึงอาวุธลับที่มอบให้กับลูกของเรากับลูกของพี่หญิงด้วย ทั้งหมดเป็นจีจี้ที่ช่วยคิดและหามาให้เจ้าค่ะ”
หยางซิวหรงนึกถึงสิ่งที่มารดามอบให้ตนกับน้องสาว รวมถึงญาติผู้พี่ที่ได้รับพร้อมกันคราวที่สำเร็จการฝึกวรยุทธ์ “ท่านแม่เช่นนั้นอาวุธที่ท่านมอบให้พวกเราสี่คน ล้วนเป็นสิ่งที่ทุกคนบนแผ่นนี้ไม่อาจมีได้ แม้แต่จะทำด้วยการลอกเลียนแบบ อาจทำได้แต่วัสดุที่นำมาใช้ย่อมสู้ของท่านไม่ได้”
[คุณชายเข้าใจเรื่องของอาวุธได้ดีจริง ๆ เจ้าค่ะ สิ่งที่พวกท่านได้รับไปมีความแข็งแรงทนทานมาก จีจี้ย่อมคัดเลือกแต่สิ่งที่ดีที่สุดมาให้นะเจ้าคะ หากมีใครกล้ามาทำร้ายพวกท่าน ก็ใช้มันจัดการให้สมกับที่เป็นลูกของเจ้าแม่มาเฟียด้วยนะ]
“เอ่อ ท่านแม่เจ้าคะ คำว่าเจ้าแม่มาเฟียนี่มันคืออันใดหรือเจ้าคะ?” หยางเฟิ่งเซียนไม่เคยได้ยินคำนี้ของจีจี้มาก่อน
หยางไท่หมิงกับบุตรชายก็เช่นกัน ทุกคนต่างมองไปที่ซูอันเป็นจุดเดียว คล้ายกำลังรอคำอธิบายจากนาง ซูอันจึงต้องอธิบายให้ทั้งสามคนเข้าใจ “คำพูดนี้น่ะหรือ หากแปลให้เข้ากับโลกนี้คงหมายถึงผู้มีอำนาจ ที่แม้แต่ทางการก็ไม่สามารถโค่นล้มได้ จะมีสุนัขรับใช้เป็นข้าราชการที่รับเงินสินบน คอยดูแลเก็บกวาดกลับดำให้เป็นขาวไม่ถูกจับไปดำเนินคดี หรือจะพูดว่าเป็นผู้อยู่เหนือกฎหมายก็ว่าได้
แต่มิใช่ว่าโลกนั้นจะไม่มีเจ้าหน้าที่ผู้ซื่อสัตย์นะ เพียงแค่บางครั้งคนเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวมีมากกว่า จึงทำงานได้ไม่สะดวกอย่างที่ควรจะเป็น ซึ่งก็คล้ายคลึงกับโลกแห่งนี้ ที่มีขุนนางกังฉินคอยรับเงินสินบน หรือยักยอกเงินงบประมาณอย่างไรล่ะ”
“พี่เข้าใจแล้วว่าเหตุใดเจ้าถึงต้องเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือผู้อื่นหรือกำจัดคนที่คิดทำร้ายเจ้ากับครอบครัว บางคราวความโหดเหี้ยมก็ช่วยให้คนเหล่านั้นฉุกคิด ถึงผลดีผลเสียหากต้องการเป็นศัตรูกับเรา” หยางไท่หมิงนึกถึงความเด็ดขาดของซูอันเมื่อครั้งที่ได้ติดตามนางไปช่วยชาวบ้าน
ซูอันยิ้มรับกับคำพูดของสามีที่รับรู้ในสิ่งที่นางทำมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นการสั่งสอนคนหรือการสังหารหมู่ “ใช่เจ้าค่ะท่านพี่ ข้าถึงได้สอนให้ลูก ๆ กับหลานทั้งสอง ฝึกวรยุทธ์และการใช้อาวุธตั้งแต่เด็ก แม้เราจะไม่รังแกผู้ใดแต่มิใช่ว่าคนที่มีใจอิจฉาริษยา จะไม่หาเรื่องเราก่อนเสียเมื่อไหร่”
หยางเฟิ่งเซียนที่เหมือนมารดาอย่างกับแกะ ย่อมมีนิสัยใจคอเช่นเดียวกันโดยไม่ต้องสอน “ลูกก็คิดเหมือนกับท่านแม่เจ้าค่ะ ถ้าเพียงแค่หาเรื่องทะเลาะธรรมดาก็สั่งสอนพอให้หลาบจำ แต่หากถึงขั้นลงไม้ลงมือหมายเอาชีวิต หรือทำลายกิจการผ้าไหมของตระกูลจิน ลูกไม่มีทางปล่อยให้คนพวกนั้นได้มีโอกาสลงมือเป็นครั้งที่สองแน่”
“ท่านแม่ไม่ต้องห่วงข้ากับน้องเล็กจะปกป้องกิจการนี้ และจะขยายการค้าให้ทั่วทุกแคว้นกิจการผ้าไหมของตระกูลจิน จะเจริญรุ่งเรืองต่อไปอีกร้อยปีพันปีแน่นอนขอรับ”
[คุณชายกับคุณหนูหากพวกท่านต้องการอาวุธร้ายแรง หรือยาพิษที่หลากหลายในการกำจัดศัตรู พวกท่านบอกผ่านนายหญิงได้นะเจ้าคะ จีจี้จะเตรียมไว้ให้ครบทุกอย่างเองเจ้าค่ะ]
ซูอันคล้ายจะคิดถึงบางเรื่องขึ้นมาได้นางจึงลองถามกับจีจี้ “จีจี้ ข้าอยากถามถึงสิ่งประดิษฐ์บางอย่าง”
[นายหญิงถามถึงสิ่งประดิษฐ์อันใดหรือเจ้าคะ]
“หากข้าอยากได้วัตถุที่ใช้เป็นมิติเก็บของ มอบให้ลูกทั้งสองคนกับหลานชายของข้า เจ้าสามารถหามาให้ข้าได้หรือไม่จีจี้”
[โธ่เอ้ยยย ลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไรนะ นายหญิงหากท่านไม่ถามจีจี้ก็คงลืมไปแล้วจริง ๆ สิ่งที่ท่านอยากได้มีหรือที่จีจี้จะหามาให้ไม่ได้ ว่าแต่คุณชายกับคุณหนูอยากได้หรือไม่เจ้าคะ]
“ข้าอยากได้! /ข้าอยากมีเหมือนท่านแม่!”
[จีจี้ยินดีจัดให้ตามคำขอเจ้าค่ะ แต่ว่าขอเวลาจีจี้สักสองสามวัน เพื่อเตรียมของพิเศษให้กับพวกท่านนะเจ้าคะ]
“ได้สิ ข้ากับน้องเล็กย่อมรอได้”
ซูอันเอ่ยขอบใจจี้หยกวิเศษก่อนจะชักชวนสามีกับบุตรทั้งสอง เข้าไปดูการทำงานของเครื่องจักรด้านในโรงงานทั้งสองแห่ง
“ฝากด้วยนะจีจี้ขอบใจเจ้ามาก เอาล่ะตอนนี้พวกเราเข้าไปดูด้านในโรงงานกันเถิด จะได้รู้ว่าผ้าไหมบางส่วนที่วางขายในร้านมีที่มาที่ไปอย่างไรบ้าง หากพวกลูกคิดลวดลายใหม่ ๆ ได้ก็วาดตัวอย่างออกมา และลองให้เครื่องจักรด้านในทดลองทอให้ดูก็แล้วกัน”
หมับ! “พี่ใหญ่เข้าไปดูด้านในกันเถิด ข้าอยากเห็นแล้วว่าเครื่องจักรหน้าตาเป็นอย่างไรเจ้าค่ะ”
“ช้า ๆ สิน้องเล็กไม่ต้องรีบร้อนหรอกน่า อีกไม่กี่ก้าวก็จะถึงอยู่แล้วระวังจะหกล้มจนได้แผลล่ะ” หยางซิวหรงเอ่ยเตือนน้องสาวแต่เท้ากลับขยับตามไป ตั้งแต่ถูกมือบางฉุดดึงแขนกำยำของตนนั่นแล้ว
ซูอันก็จับจูงมือสามีอย่างหยางไท่หมิง เพื่อพาเข้าไปชมต้นตอการผลิตผ้าไหม ที่ส่งเข้าวังหลวงและคนที่มีฐานะร่ำรวย ได้นำไปตัดเป็นเสื้อผ้าสวมใส่ไว้โอ้อวดตามงานเลี้ยงต่าง ๆ เมื่อได้บอกความลับของตนกับสามีและบุตรทั้งสอง ซูอันรู้สึกสบายใจและไม่ต้องแอบนำสิ่งของออกมาลับหลังพวกเขาอีกแล้ว
หยางเฟิ่งเซียนเดินไปยืนกับมารดาด้วยท่าทางเขินอาย ส่วนเสี่ยวฮัวรีบวิ่งไปตามบ่าวไพร่อย่างรวดเร็ว และประตูเรือนรับรองก็ถูกเปิดโดยแม่นมฟาง หลังจากบานประตูเปิดกว้างสิ่งที่พบเห็น ยิ่งสร้างความโกรธเคืองให้กับเหอฮูหยินอย่างมากแต่ว่าภาพตรงหน้าทำเอาสองฮูหยิน ที่ติดตามมาถึงกับตกตะลึงจนอยากหยุดหายใจ เนื่องจากสตรีสองในสี่ที่อยู่ด้านในนั้น กลับกลายเป็นบุตรสาวของพวกนางเสียเอง พวกนางไม่คิดมาก่อนว่าบุตรสาวของตน จะคิดวางแผนกลั่นแกล้งคนในในจวนตระกูลฟง จนต้องรับผลจากแผนสกปรกเสียเอง หากสามีของพวกนางรู้เข้าต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่เหอฮูหยินยังไม่ทันได้กล่าวสิ่งใด ก็มีเสียงจากด้านหลังกรีดร้องและวิ่งเข้าไป เพื่อแยกคนด้านในออกจากบุรุษ ที่พวกนางดูอย่างไรก็มิใช่คุณชายตระกูลสูงศักดิ์ ที่สำคัญคนภายในห้องนี้ล้วนเปลือยกายล่อนจ้อน ไม่เว้นแม้แต่สาวใช้ของบุตรสาวพวกนางปัง! “กรี๊ดดด! เอินเอ๋อร์ /หรานเอ๋อร์!”“เจ้าคนต่ำช้าออกไปให้ห่างลูกของข้านะ ออกไป๊ เอินเอ๋อร์ ๆ เจ้าอย่าทำเช่นนี้บอกแม่มาเถิดว่าใครที่ทำร้ายเจ้า แม่จะให้คนไปตามจับตัวพวกมามาลงโทษ”“หรานเอ๋อร์ ๆ ลูกแม่” เพียะ! เพียะ! “ออกไปให้พ้นพวกสกปรกอย่ามาแตะลูกสาวของข
ขณะที่แขกเหรื่อกำลังสนทนากันอย่างออกรส ภายหลังจากองค์หญิงใหญ่ได้เสด็จกลับจวนไปได้ไม่ถึงหนึ่งเค่อ ซึ่งยามนี้ในวงสนทนามีเหล่าฮูหยินหลายตระกูล ต่างกล่าวชื่นชมบุตรสาวของตนไปมาตั้งแต่เริ่มงานเลี้ยง เพื่อเป็นการมองหาบุรุษให้กับบุตรสาวของตนหนึ่งในนั้นยังมีซูอันที่นั่งอยู่ข้างกายพี่สาวโดยไม่พูดสิ่งใด พวกนางมิได้ตอบรับหรือถามอันใดเพิ่มเติม ทำเพียงแค่ยิ้มบางให้กับบางคำถามเท่านั้น เนื่องจากสองพี่น้องตระกูลจิน ไม่เคยคิดบังคับบุตรของตนในเรื่องของการเลือกคู่ครองส่วนเสี่ยวฮัวที่ตั้งหน้าตั้งหน้าวิ่งมาจากเรือนรับรอง นางย่อมรู้ว่าควรวิ่งไปหาผู้ใดเพื่อรายงานเรื่องที่เกิดขึ้น แฮ่ก ๆ ๆ “ฮูหยินเจ้าคะเกิดเรื่องใหญ่แล้วเจ้าค่ะ ทะ ทะ ที่เรือนรับรองมีคนทำเรื่องบัดสีอยู่ในนั้นเจ้าค่ะ”พรึบ! “เจ้าว่ามีเรื่องอันใดเกิดขึ้นในจวนของข้านะ พูดมาให้ชัดว่ามันเป็นเรื่องอะไรกันแน่!” เหอฮูหยินมารดาของฟงเฉิงฮ่าวแทบนั่งไม่ติด เมื่อได้ยินสาวใช้ของจวนวิ่งหน้าตาตื่น เข้ามารายงานเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้น“เมื่อครู่บ่าวพาคุณหนูหยางไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เรือนรับรอง แต่บ่าวกับคุณหนูหยางกลับได้ยินเสียงบุรุษกับสตรี กำลังทำเรื่องบัดสีอย
ส่วนเสี่ยวขุยที่เดินตามหาเสี่ยวฮัวในที่สุดก็เจอตัว จึงพากลับมาพบเมิ่งฟางเอินเพื่อรับภารกิจตามที่รับปากไว้ โดยที่แขกในงานคิดว่าเป็นการตามสาวใช้ มาช่วยเหลือเรื่องอาหารหรือน้ำชาที่พร่องไป มิได้คิดว่าจะมีแผนการสร้างความวุ่นวายแต่อย่างใด“คารวะคุณหนูทั้งสอง ท่านต้องการให้บ่าวทำสิ่งใดหรือเจ้าคะ”เมิ่งฟางเอินไม่รอช้ารีบสั่งการกับเสี่ยวฮัว ตามแผนการที่นางได้เตรียมเอาไว้ เพื่อสร้างเหตุการณ์ให้แขกเหรื่อในงานทั้งหลาย ได้รับรู้ว่าหยางเฟิ่งเซียนมิใช่สตรีที่ดีงามอันใด“เจ้านำกำยานไร้กลิ่นนี้ไปจุดไว้ในเรือนรับรองหลังใดก็ได้ แล้วไปตามบ่าวที่ดูแลม้าของจวนให้เข้าไปอยู่รอด้านใน จากนั้นเจ้าจงกลับมาในงานถือถาดกาน้ำชา แสร้งสะดุดไปทางหยางเฟิ่งเซียน เมื่อชุดของนางเปียกชื้นเจ้ารีบอาสาพานางไปเปลี่ยนชุดยังห้องรับรอง พอผ่านไปสักหนึ่งเค่อก็ส่งเสียงร้องดัง ๆ ข้ากับสหายจะรีบตามไปที่นั่น”เมื่อรู้ว่าเป็นภารกิจที่ไม่ยากเกินความสามารถ เสี่ยวฮัวยกยิ้มอย่างมั่นใจว่าตนเองทำสำเร็จได้แน่ จึงลองเอ่ยถึงเรื่องค่าจ้างที่เหลือกับเซิ่งฟางเอิน “คุณหนูรอฟังสัญญาณจากบ่าวได้เลยเจ้าค่ะ ว่าแต่ค่าจ้างที่เหลือของบ่าว...”“พรุ่งนี้เช้ามื
และแล้วงานเลี้ยงของจวนตระกูลฟงก็มาถึง แขกเหรื่อมากมายหลายตระกูลต่างมาร่วมแสดงความยินดี ซึ่งในมือของทุกตระกูลจะมีกล่องของขวัญ เพื่อเป็นการแสดงความจริงใจที่บางคนแอบแฝงเรื่องอื่น ๆ เพียงแค่สิ่งที่ผู้คนได้เห็นเป็นเพียงหน้ากากเท่านั้นส่วนหยางเฟิ่งเซียนกับพี่ชายของตน ได้ชักชวนบิดาและมารดามายังจวนญาติผู้พี่ ก่อนจะถึงเวลาเริ่มงานเลี้ยงหนึ่งชั่วยาม เพื่อนำอุปกรณ์พิเศษที่จีจี้จัดเตรียมไว้ล่วงหน้า เข้าไปติดตามมุมต่าง ๆ ที่คาดว่าจะมีคนลงมือทำเรื่องไม่ดีในวันนี้ซูอันนำกล้องวงจรปิดขนาดเล็ก ใส่ไว้ในลังไม้จำนวนนับร้อยชิ้น และกำชับกับบุตรทั้งสองก่อนลงจากรถม้าอีกเล็กน้อย “หรงเอ๋อร์ เซียนเอ๋อร์ อย่าลืมสิ่งที่แม่เคยสอนพวกเจ้าไว้ล่ะ หากมีคนคิดทำร้ายลูกในงานเลี้ยง...”“ถ้าหากลูกถูกคนกลั้นแกล้งหรือลอบทำร้ายในงานเลี้ยง อย่าได้ตอบโต้กลับด้วยความรุนแรง จงทำตัวให้เป็นคนที่น่าสงสาร จากนั้นค่อยเอาคืนอย่างสาสมใช่หรือไม่เจ้าคะ” หยางเฟิ่งเซียนย่อมจดจำได้กับสิ่งที่มารดาต้องการบอกกับตน ยกเว้นหากถูกรังแกซึ่ง ๆ หน้าเท่านั้น นางถึงจะลงมือจัดการอย่างตรงไปตรงมาไม่มีละเว้น“หึ ใช่ ในเมื่อพวกลูกจดจำได้ก็ดีแล้ว แม้จะเป็นที่
เรื่องข่าวดีที่บุตรชายฝาแฝดคนเล็กของเยี่ยนหลิงกับฟงเฉิงฮ่าว สามารถสอบได้ตำแหน่งจอหงวนถูกส่งไปยังตระกูลจิน ที่ยังคงคอยดูแลร้านผ้าไหมอยู่ในเมืองผู่เถียน สองสามีภรรยาอย่างมู่ถงและจือเหมย ยังคงทำงานที่ตนเองรักอย่างมีความสุขทุก ๆ สามเดือนทั้งสองคนจะเดินทางเข้าเมืองหลวง เพื่อไปเยี่ยมเยียนบุตรหลานเป็นประจำ ซึ่งเรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่บุตรสาวออกเรือน และย้ายไปอยู่บ้านสามีตามธรรมเนียม แม้ซูอันกับเยี่ยนหลิงอยากให้บิดามารดาไปอยู่เมืองหลวง แต่ทั้งสองกลับชอบอยู่ที่เมืองผู่เถียนเสียมากกว่าเนื่องจากข่าวดีส่งมาในเวลากระชั้นชิดเกินไป มู่ถงกับจือเหมยจึงเลือกส่งของขวัญให้กับหลานชาย เพราะคงไม่สามารถเดินทางในเวลาอันสั้นได้ และของขวัญที่ส่งให้หลานชายอย่างฟงเหยาเหวิน ย่อมเป็นผ้าไหมปักลายอย่างประณีตงดงามอย่างแน่แท้ทางด้านเยี่ยนหลิงก็ช่วยแม่สามีจัดเตรียมงานเลี้ยง ทุกอย่างในงานล้วนทำอย่างพิถีพิถันมากที่สุด ด้วยไม่ต้องการทำให้ตระกูลฟงขายหน้าได้ อย่างไรเสียงานเลี้ยงครั้งนี้องค์หญิงใหญ่ย่อมเสด็จมาเข้าร่วม เพราะทั้งสองตระกูลมีสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นเป็นเวลาหลายปี ตั้งแต่บุตรชายจนมาถึงหลาน ๆ ของทั้งสองตระกูลแขกเ
ในวันที่ตระกูลฟงได้รับข่าวน่ายินดี เมื่อมีจอหงวนคนใหม่อยู่ในตระกูลแม่ทัพใหญ่ การหารือเรื่องงานเลี้ยงจึงเสร็จสิ้นภายในวันเดียวกัน จินเยี่ยนหลิงกับแม่สามีช่วยกันทำงานไม่ให้ตกหล่น รายชื่อแขกที่เชิญมาร่วมงานได้มอบให้พ่อบ้านจัดการเป็นที่เรียบร้อยมีเพียงหนังสือเชิญของตระกูลหยาง ที่สองพี่น้องฝาแฝดตระกูลฟงนำไปส่งด้วยตนเอง เพื่อเยี่ยมคารวะท่านน้ากับน้าเขย แต่สิ่งที่ทุกคนต่างรู้กันดีย่อมหนีไม่พ้นญาติผู้น้อง ไม่ว่าครั้งไหนทั้งสี่คนมักจะนั่งพูดคุยจนลืมเวลาได้เสมอ“พวกเจ้าสองคนอย่าไปถึงงานเลี้ยงช้านักล่ะ พี่สั่งให้พ่อครัวทำอาหารที่พวกเจ้าชอบไว้หลายอย่าง ไปถึงช้าจะถูกคนอื่นแย่งกินจนหมดนะ”“พี่เหยาเหวินท่านไม่ต้องห่วง ข้ากับพี่ใหญ่จะไปถึงเป็นคนแรกแน่นอนเจ้าค่ะ”แต่หยางซิวหรงกลับคิดต่างกับน้องสาวเล็กน้อย “เซียนเอ๋อร์แน่ใจหรือว่าเจ้าจะเป็นคนแรกที่ไปถึง พี่กลับคิดว่าคงมีคุณหนูอีกหลายตระกูล ที่เร่งเร้าให้บิดามารดาพาไปร่วมงานแต่หัววัน เมื่อเจ้าไปถึงพวกนางก็เดินให้เกลื่อนจวนแล้วกระมัง”“เรื่องนี้ข้าเห็นด้วยกับอาหรงนะ นอกจากตระกูลที่เป็นมิตรกับท่านปู่แล้ว อย่างไรเสียพวกที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามจะไม่เชิญก็ไม่ได้