เจินจิ่วหรง คือองค์หญิงเก้า พระธิดาของเจินเซียหยางฮ่องเต้กับพระสนมเสียนเฟย ชีวิตของนางมีพร้อมทุกอย่าง ทั้งลาภยศ ความงาม รวมถึงไปความรุ่งโรจน์ แม้นจะมิเป็นที่โปรดปรานมากมายดั่งเช่นองค์หญิงรอง ทว่าเสด็จพ่อก็หาได้ลืมเลือนนางไม่
มิว่าจะต้องการสิ่งใด นางล้วนได้มันมาอย่างง่ายดาย เพียงเปิดปากเอ่ยมิกี่คำ ทุกสิ่งย่อมมากองอยู่ตรงหน้า เว้นเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น
นั่นคือบุรุษที่บอกว่าท้องฟ้าและผืนหญ้าเป็นของนาง แม่ทัพบนหลังอาชาสง่า ‘ไท่หย่งเสียน’
นางมิเคยเสียเวลาหรือมอบความสนใจให้กับสิ่งใดเท่านี้มาก่อน พบกันครั้งแรกในรั้ววัง ใต้ต้นท้อซึ่งผลิบานสะพรั่ง
“เปิ่นกง [1] คือองค์หญิงเก้า พระธิดาในเจินเซียหยางฮ่องเต้”
บุรุษผู้นี้มิรู้ด้วยซ้ำว่านางเป็นใคร กระนั้นเขาเพียงฉีกยิ้มโง่ ๆ ซื่อ ๆ และสดใสดั่งดวงตะวันในฤดูร้อน
“กระหม่อมไท่หย่งเสียน บุตรชายของท่านแม่ทัพประจิมพะย่ะค่ะ”
และตอนนั้นเขายังเป็นเพียงบุตรชายของแม่ทัพประจิม เด็กหนุ่มวัยสิบสี่ปี ไร้เดียงสา มิรู้ความ
ช่างต่างจากนางที่แม้นจะเพียงสิบปี แต่ด้วยสภาพแวดล้อมในวัง นางกลายเป็นเหมือนผู้ใหญ่ที่มองโลกต่างจากเด็กวัยเดียวกันไปมาก
“ไฉนเจ้าถึงบอกว่าท้องฟ้าและผืนหญ้าเป็นของเปิ่นกง ไยมิบอกว่าเป็นของเสด็จพ่อ”
ไท่หย่งเสียนยังคงฉีกยิ้มและขยับกว้างขึ้นเรื่อย ๆ “กระทั่งโอรสสวรรค์ยังต้องร้องขอความเมตตาจากฟ้าดิน แท้จริงแล้วพวกมันล้วนแต่มิใช่ของใครเลย”
“แต่เจ้าบอกว่ามันเป็นของเปิ่นกง”
ปลายเท้าของเขาขยับก้าวเข้ามาใกล้ นัยน์ตากลมโตหรี่ลง เรียวขางามถอยหนีตามสัญชาตญาณ “เจ้า...”
“ดวงตาของท่าน ทำให้กระหม่อมคิดว่ามันเป็นเช่นนั้น ไหนเมื่อท้องฟ้าและผืนหญ้าต่างมิมีเจ้าของที่แท้จริง ไยบางเวลามันจะเป็นของผู้อื่นบ้างมิได้เล่า”
“...”
“องค์หญิงเก้า ในสนามรบมิว่าจะเป็นโอรสสวรรค์หรือแคว้นเจิน พวกมันต่างเป็นเพียงนามอันไร้รูปธรรม ศัตรูนับหมื่นต่างหากคือนามธรรม รบเพื่อฝ่าบาท แต่ใช่ว่าจะต้องยอมตายเพื่อฝ่าบาท”
“ความหมายของท่านคิดจะเป็นกบฏหรืออย่างไร” ริมฝีปากอวบอิ่มขบเป็นเส้นตรง ดวงหน้างดงามแหงนขึ้นสบตาเขาอย่างมิหวั่นเกรง แลรอยยิ้มกว้างของเขา
ไท่หย่งเสียนส่ายหน้า “กระหม่อมเพียงจะบอกว่า แม้นท่านจะถูกกักขังอยู่ในวังหลวง ท้ายที่สุดแล้วสองสิ่งที่กักขังท่านอยู่ ล้วนแต่เป็นนามอันไร้รูปธรรม ชีวิตของท่านคือของท่าน องค์หญิงเก้า”
ณ เวลานั้นนางพลันตระหนักว่าไท่หย่งเสียน มีสติปัญญาอยู่พอสมควร
ดวงเนตรดำขลับหลุบต่ำลง ก่อนยกยิ้มบางเบาประดับมุมปาก “เจินจิ่วหรง นามของเปิ่น...ข้า”
อย่างไรก็ตามนางเพียงแค่สนใจเขา หากนั่นคือจุดเริ่มต้น
“ข้ากำลังอยากได้สหายมากสติปัญญา โดยเฉพาะกับผู้ที่บอกว่าท้องฟ้าและผืนหญ้าเป็นของข้า”
หลังจากนั้นองค์หญิงเก้าได้ใช้เวลาหลายปีเพื่อเฝ้ามองเขา ผลาญวันเวลาโลดแล่นไปด้วยกันดั่งสหาย
ทว่าไท่หย่งเสียนกลับมิชอบนาง
สามปีต่อมาไท่หย่งเสียนจับจูงมือของสตรีผู้หนึ่ง แล้วบอกกับนางว่าสตรีผู้นั้นคือคนที่เขาอยากจะแต่งงานและใช้ชีวิตอยู่ด้วย เจินจิ่วหรงทำได้เพียงคงรอยยิ้มเอาไว้บนดวงหน้า เรียวนิ้วมือกำเข้าหากันแน่น
นางในวัยเพียงสิบสามปีพ่ายแพ้ให้แก่บุตรีของนายทหารระดับล่าง ‘ตงเหลียนฮวา’ สตรีที่ไท่หย่งเสียนบอกว่ามีรอยยิ้มงดงามยิ่งกว่าใคร
องค์หญิงเก้ามีอำนาจในมือมากมาย มันมิใช่เรื่องยากเลยหากจะบีบบังคับทูลขอสมรสพระราชทานจากเสด็จพ่อ หากนั่นมิใช่สิ่งที่นางต้องการ ยามเห็นความสุขฉายชัดในดวงตาของเขา นางได้แต่ฉีกยิ้ม ก้มหน้ายอมรับความจริง
“ข้าต้องยินดีกับท่านใช่หรือไม่”
ไท่หย่งเสียนขมวดคิ้ว ด้วยสติปัญญาของเขาคงพอคาดเดาความในใจของนางมิยาก การที่เขามาบอกนางด้วยตนเองเช่นนี้ ย่อมหมายอยากให้นางตัดใจจากเขา
“จิ่วหรง ข้าเจอคนที่อยากใช้ชีวิตอยู่ด้วยแล้ว”
แต่แรกคิดว่าเขาอาจลังเลอยู่บ้าง กลับมิเป็นเช่นนั้น
มิมีใจให้ก็คือมิมีใจ
“ยินดีกับท่านด้วย”
แล้วก็ได้แต่ปล่อยให้น้ำตาไหลลงมามิหยุด
“อย่าได้เห็นใจข้า”
ใช่ อย่าได้เห็นใจนาง
แต่แล้วดั่งสวรรค์เป็นใจ หลายเดือนถัดมา ณ สงครามที่เพ่ยหยาง ตงเหลียนฮวาถูกฆ่าตายกลางสนามรบ แม้นแต่ศพก็หามิพบ
ไท่หย่งเสียนมิเคยทำตัวเหลวแหลกเช่นนี้
กลิ่นสุราลอยคละคลุ้งไปทั่วห้องกว้างใหญ่ภายในจวนแม่ทัพประจิม เป็นเวลาร่วมเดือนกับการดื่มสุรามึนเมา มิทำงานทำการ เก็บตัวอยู่ภายในเรือน จนแม่ทัพประจิมต้องร้องขอนางไปพูดกับเขา เจินจิ่วหรงค่อนข้างลังเล เพราะนับแต่วันนั้นนางก็มิได้ปรากฏตัวให้เขาเห็นอีก
ไหสุราตกเกลื่อนอยู่ตามพื้นพรม นางก้มตัวลงเก็บมันขึ้นมาแล้ววางบนโต๊ะแถวนั้น สภาพยอดแย่ของไท่หย่งเสียนที่นางเคยเห็นคือมีแผลเต็มทั้งตัว มิใช่ผีสุราเยี่ยงนี้ เรือนผมดำขลับลู่ปรกดวงหน้าคมคาย มือข้างหนึ่งถือจอดสุรา แผ่นหลังเอนพิงกับชั้นหนังสือ
“ท่านพ่อขอให้เจ้ามางั้นหรือ” เขากล่าวเสียงแหบแห้ง นัยน์ตาคู่คมหม่นแสงดั่งท้องฟ้าไร้แสงตะวัน “กลับไปซะ”
“แลบุตรเป็นทุกข์ บิดาและมารดาทุกข์ยิ่งกว่านัก” นางมองหาเก้าอี้ไม้ แล้วทิ้งตัวลงนั่งบนนั้นแทนการนั่งบนพื้นเสมอเขา “ข้าเพียงหยิบยืมคำผู้อื่น ในวังหลวงหาได้เป็นเช่นนี้ไม่”
“ข้ามิอยากฟังอะไรทั้งนั้น” ไท่หย่งเสียนกลายเป็นคนเอาแต่ใจ เขาตวาดเสียงแข็งใส่นางเป็นครั้งแรก หากนั่นมิได้ทำให้เจินจิ่วหรงตื่นตระหนกแต่อย่างใด
หยาดน้ำตาไหลลงมาตามข้างแก้มของเขา ตามด้วยเสียงสะอื้นไห้ “จิ่วหรง...”
นางอยู่ข้างกายและเฝ้ามองเขามาถึงสามปีเต็ม แลเห็นทุกการเปลี่ยนแปลง จากเด็กหนุ่มกลายเป็นรองแม่ทัพ ในอนาคตก็จะเป็นแม่ทัพผู้เกรียงไกร
เจินจิ่วหรงหลับตาลง ขยับลุกขึ้นแล้วย่อตัวลงเบื้องหน้า ฝ่ามืออุ่นร้อนทาบบนข้างแก้มของเขา ไท่หย่งเสียนกัดปาก พยายามหลงสายตานาง
“นางตายแล้ว ถูกธนูยิงตกลงมาต่อหน้าต่อตาข้า” น้ำเสียงของเขาสั่นไหว มิต่างจากกายแกร่ง “ข้าทำอะไรมิได้เลย ทุกครั้งที่หลับตาลงข้าเห็นเพียงของนางที่ตกลงมา จิ่วหรง จิ่วหรง...”
“ไท่หย่งเสียน คนเป็นยังต้องอยู่ต่อไป มีชีวิตอยู่ท่ามกลางคนที่รักท่าน” นางกดศีรษะของเขาลงบนซอกคอของตน โอบกอดเขาเอาไว้ด้วยเรียวแขนบอบบาง “ต่อจากนี้ หากท่านนอนมิหลับ ข้าจะร้องเพลงให้ท่านฟัง เล่านิทานสักเรื่อง หรือไม่ก็พูดคุยกับท่านจนถึงเช้า”
“...”
“ข้ามิสนว่าตงเหลียนฮวาจะอยู่หรือตาย แต่ไท่หย่งเสียนจะต้องอยู่ต่อไป หากเขานอนมิหลับ ข้าก็จะอยู่กับเขาในทุกคืน หากเขามิสามารถก้าวต่อไปหรือหลงลืมได้ ข้าจะยังอยู่กับเขาเช่นเดิม”
ไท่หย่งเสียนหลับตาลง ยกมือกอดตอบนาง น้ำตาเปียกชื้นไหลซึมลงบนอาภรณ์ชั้นดี “จิ่วหรง”
“ทั้งหมดเป็นเพราะองค์หญิงเก้าตกหลุมรักท่านในปีนั้น”
และหลังจากนั้นนางใช้เวลาถึงสองปีเพื่อเยียวยาไท่หย่งเสียน ในวันที่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง ดอกไม้บานสะพรั่ง เจินจิ่วหรงผลิรอยยิ้มอ่อนหวานยิ่งกว่าคราไหน
ท่ามกลางความยินดีจากครอบครัวและเหล่าขุนนาง เขาขอนางแต่งงาน ทว่านางกลับเป็นฝ่ายร้องไห้ไม่หยุด
“หย่งเสียน...”
มีเหตุผลนับร้อยรวมถึงความเหมาะสมมากมายสำหรับการแต่งงานของนางกับไท่หย่งเสียน ทว่านั่นเป็นเพียงรายละเอียดยิบย่อยในสายตาของนาง ต่อให้เขามิใช่บุตรชายของท่านแม่ประจิม เจินจิ่วหรงก็ยังยินดีจะเป็นภรรยาของบุรุษที่ชื่อว่าไท่หย่งเสียน
นางพยายามไม่คิดถึงเหตุผลที่เขาตัดสินใจแต่งงานกับนาง องค์หญิงเก้ามิใช่คนโง่ เรื่องผลประโยชน์ทั้งหลาย ย่อมตระหนักรู้ดีกว่าใคร กระนั้นแล้วมันมิได้สำคัญ เมื่อเทียบกับไท่หย่งเสียน
คุ้มค่างั้นหรือ มิใช่แม้แต่น้อย เขาเป็นเพียงสิ่งเดียวในชีวิตที่นางมิประเมินคุณค่า
“เจินจิ่วหรง ข้าสัญญาว่าจะดูแลและทะนุถนอมเจ้าเป็นอย่างดี”
องค์หญิงเก้าแย้มยิ้มอ่อนหวาน ปล่อยให้น้ำตาหลั่งรินออกมามิขาดสาย ก่อนโอบกอดเขาแน่น ฝังดวงหน้าลงกับแผ่นอกแกร่ง
ไท่หย่งเสียนมิเคยโกหกนาง
และนี่น่าพึงพอใจแล้ว
“มิจำเป็นต้องสร้างตำนานรักหรือเป็นที่จดจำของคนมากมาย ข้าเพียงอยากเป็นภรรยาของท่าน เป็นที่จดจำของท่านผู้เดียว”
ไท่หย่งเสียนรับรู้ถึงความในใจของนางก็จริง แต่เขามิเคยรู้เลยว่านางรักเขามากเพียงใด ดังนั้นในเวลานี้ดวงตาคู่คมจึงฉายแววตื่นตระหนก ฝ่ามืออุ่นร้อนลูบไปตามเรือนผม
ตงเหลียนฮวาตายไปสองปีแล้ว นางอยู่เคียงข้างเขามาถึงห้าปีเต็ม ก่อนหน้าใคร ๆ
ไร้ซึ่งเสียงตอบรับใด ริมฝีปากบางทาบลงบนกลีบปากของนาง อาภรณ์สีมงคลเลื่อนตกลงบนพื้น เพลิงปรารถนาเจืออยู่ในดวงตา
“หย่งเสียน”
เจินจิ่วหรงมิเคยกังขาในตัวของสามี นางใช้ชีวิตในฐานะภรรยาของเขามาถึงห้าปีเต็ม ความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวของสามีก็เป็นไปได้ด้วยดีตลอดมา อีกทั้งเสด็จแม่-พระสนมเสียนเฟยพึงพอใจในตัวไท่หย่งเสียนเป็นอย่างยิ่ง
บัดนี้เขากลายเป็นแม่ทัพประจิม รับสืบทอดตำแหน่งต่อจากบิดา
ชีวิตครอบครัวสงบสุข ขาดเพียงแค่นางมิได้ให้กำเนิดบุตรกับเขาเลยสักคนเดียว จิ่วหรงเคยตั้งครรภ์ในช่วงปีแรดของการแต่งงาน น่าเสียดายที่นางไม่ทันระวังจึงแท้งไป นับแต่นั้นก็มิเคยตั้งครรภ์อีกเลย
โชคดีที่ครอบครัวของเขามิได้กดดันนาง นั่นเป็นเพราะด้วยยศฐานของนาง มันเพียงพอแล้ว ต่อให้มิมีลูก พวกเขาหรือจะกล้าดูถูกเหยียดหยาม
นางกะพริบตารู้ตัวอีกทีสาวใช้คนสนิทก็รีบวิ่งมาพร้อมฉีกยิ้มกว้าง “ฮูหยิน ท่านแม่ทัพกลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
ดวงตาเรียวดั่งหงส์เบิกกว้างขึ้น รีบขยับลุกออกไปหาเขา เมื่อห้าเดือนก่อนเสด็จพ่อมีราชโองการให้เขานำทัพปราบกบฏที่ชายแดน แม้นนี่จะมิใช่ครั้งแรก แต่เขาหายไปนานถึงห้าเดือน ส่วนนางก็ทำได้แค่เป็นภรรยาที่ดี รั้งรอเขา
องค์หญิงเก้ารีบสวมกอดร่างสูงสง่าของสามี เช่นเดียวกับเขาซึ่งยกมือกอดตอบนาง ไท่หย่งเสียนขยับยิ้มบางเบา เนื้อตัวดูมอมแมม เรือนผมยุ่งเหยิง ทว่าอย่างน้อยก็มิได้บาดแผลอะไรกลับมา
“หย่งเสียน ข้าคิดถึงท่าน”
กับเขาแล้วนางมิเคยเขินอายที่จะแสดงความรักออกมาให้คนบนโลกได้รับรู้
“ข้านอนฝันถึงท่านทุกคืน”
ไท่หย่งเสียนนิ่งเงียบไปชั่วขณะ เขาดูยังมิคุ้นชินกับท่าทีเช่นนี้ของนางเสียที ฝ่ามืออุ่นร้อนสอดเข้ามาใต้เรือนผม ดึงรั้งให้แหงนหน้าสบตาเขา
“มีอะไรงั้นหรือ”
“ข้ายกเจ้าเป็นที่หนึ่งเสมอ” เขากล่าวเสียงเรียบ เกลี่ยเส้นผมดำขลับทัดใบหู “และเจ้าเป็นภรรยาที่ดีของข้า”
เจินจิ่วหรงเลิกคิ้วสูง แลเห็นความกังวลและลำบากใจมากมายในดวงตาของเขา นางอยู่กับเขามาราวครึ่งชีวิต ความสัมพันธ์ถลำล้ำลึก ไท่หย่งเสียนกัดปากพลางส่ายหน้า แล้วจับจูงนางเข้าไปในตัวเรือน
“คืนนี้ข้าเป็นของเจ้า”
นัยน์ตาของนางวูบไหว พลางโคลงหัวลงครั้งหนึ่ง นึกเกลียดชังสติปัญญาของตนเป็นที่สุด
“ท่านเป็นสามีของข้า”
นอกจากดูแลความเรียบร้อยของจวนและปรนนิบัติพ่อแม่สามี เวลาว่างทั้งหมดถูกมอบให้กับการทำบัญชี คัดลอกพระคัมภีร์ บางคราก็เข้าวังไปพูดคุยกับเสด็จแม่ น่าเสียดายที่บทบาทของสตรีนั้นถูกตีกรอบเอาไว้ แม้นองค์หญิงอย่างนางก็มิอาจก้าวผ่านเส้นกรอบนี้ไปได้
นางเงยหน้าขึ้นพบว่าท้องฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นสีรัตติกาล ทว่าทั้งจวนกลับยังไร้เงาร่างของเขา เรียวนิ้วมือยกขึ้นนวดไปตามหว่างคิ้ว ตามด้วยเสียงถอนหายใจยาวเหยียด
อย่างไรก็ตามนี่หาใช่ครั้งแรกในรอบเดือนนี้ที่เขานอนค้างในค่ายทหาร ไท่หย่งเสียนรู้ดีกว่าใครว่านางมิใช่คนไร้ปัญญา
เจินจิ่วหรงหลับตาลง นึกย้อนไปถึงคำพูดของสาวใช้เมื่อกลายวันก่อน “คนที่ค่ายบอกว่าท่านแม่ทัพนำสตรีนางหนึ่งกลับมาด้วยเจ้าค่ะ”
“ได้ยินว่าท่านแม่ทัพเรียกนางว่าฮวาเอ๋อร์”
ถึงจะน่าเหลือเชื่อแต่สตรีผู้นั้นกลับมาแล้ว ตลอดมาไท่หย่งเสียนมิเคยปรายตาทมองสตรีใดนอกจากนาง ต่อให้ตอนนี้เป็นสามีภรรยา จิ่วหรงไม่กังขาในตัวเขาก็จริง แต่นางมิเคยรู้ว่าแท้จริงแล้วใจเขาเป็นเช่นไร
เมื่อถนอมตนเองนางเลือกหลับตาข้างหนึ่งมาโดยตลอด เดินตามความถูกต้อง อยู่ภายในเส้นกรอบเสมอมา
คืนนั้นนางเบิกตากว้างมิอาจข่มตานอนหลับได้เลย ผ่านไปค่อนคืนถึงได้รับรู้ถึงการมาเยือนของเขา ไท่หย่งเสียนทิ้งตัวลงนอนข้างนาง แล้วโอบกอดนางตามปรกติ
“นางกลับมาแล้วใช่หรือไม่”
“...”
“ช่างเถอะ”
แรกเช้าถัดมานางเพียงช่วยเขาสวมใส่อาภรณ์ ปรนนิบัติเขาตามหน้าที่ของภรรยาที่ดี
สามเดือนต่อไป ไท่หย่งเสียนเริ่มมิกลับจวนอีกครั้ง
ความสัมพันธ์ของพวกเขายังคงปรกติดี เขาเอาใจใส่นางเช่นเดิม อาจมีเมินเฉยอยู่บ้าง แต่ถ้าวันใดนางไม่สบายหรือล้มป่วย เขาก็ยังกลับมาอยู่ข้างกาย เพื่อเฝ้ามองนาง
เจินจิ่วหรงมิเคยเป็นคนขาดสติ นางควบคุมตนเองได้ดีเสมอ ด้วยเหตุนี้แม้นจะรู้ถึงการคงอยู่ของตงเหลียนฮวา และพฤติกรรมที่ผิดแปลกไป นางก็มิได้เข้าไประรานเฉกเช่นนางร้ายในวรรณกรรม
ทั้งไท่หย่งเสียนเองก็มิใช่บุรุษเลวทรามที่ทอดทิ้งภรรยาของเขา สติปัญญาของเขาแยกแยะได้ว่าควรทำตัวอย่างไร ถนอมน้ำใจนางเยี่ยงไร ทั้งยังรู้ด้วยว่าควรจะพูดหรือสารภาพเมื่อไหร่ถึงจะดี
นางมองมือซึ่งกอบกุมกันเอาไว้ เรือนผมแผ่สยายทั่วแผ่นหลังบอบบาง
“ข้าเคยสัญญาว่าจะแต่งนางเป็นภรรยา”
เรียวคิ้วงามเลิกสูง “กระนั้นหรือ”
“แต่ข้ามีเจ้าอยู่แล้ว” เขากล่าวอย่างไร้อารมณ์ ดึงปิ่นปักลมบนเรือนผมของนางออก “ข้ามิมีทางทอดทิ้งเจ้า”
แท้จริงแล้ว มันเป็นเพียงความเห็นอกเห็นใจของเขาหรือไม่นะ
“ให้หม่อมฉันหาสามีให้นางดีไหม”
สามีของนางนิ่งเงียบไป ดวงตาคู่คมหลุบต่ำลง “นางดิ้นรนมีชีวิตรอดหมายกลับมารักษาสัญญาที่ให้ไว้กับข้า”
รอยยิ้มพลันแข็งค้าง “บางทีมันอาจเป็นเพียงความเห็นใจ...”
น้ำเสียงหวานขาดห้วงไป เจินจิ่วหรงโคลงหัวไปมา ไท่หย่งเสียนเป็นคนดื้อรั้น เขาบอกนางก็จริง แต่ใช่ว่าจะเชื่อฟังนาง ท้ายที่สุดเขาจะเชื่อฟังเสียงหัวใจของตนเอง
“ฐานะของข้าในใจท่านคืออะไรกันแน่”
“ข้าขาดเจ้าไม่ได้” เขาตอบอย่างรวดเร็ว “เราอยู่ด้วยกันมานาน เจ้าเป็นภรรยาของข้า และข้ามิมีทางทอดทิ้งเจ้า”
นางหลับตาลง ตลอดมาถูกสอนเกี่ยวกับคุณธรรมของภรรยา เชื่อฟังสามีและบุตร ไท่หย่งเสียนเปิดปากกับนางด้วยตนเองเพียงนี้ ดื้อดึ้งไปก็เท่านั้น บทบาทที่สมควรคือภรรยาผู้ใจกว้างเปี่ยมเมตตา
“เช่นนั้นก็รับนางเข้ามาเป็นอนุภรรยา อย่างไรเสียก็มิใช่เรื่องผิดแปลก จวนผู้อื่นยังมีอนุภรรยามากมาย”
องค์หญิงเก้าใช้สติปัญญามากกว่าความรู้สึก แรกเริ่มเป็นเด็กดีของบิดามารดา ต่อมาเป็นลูกสะใภ้และภรรยาที่ดีของเขา
“จิ่วหรง...”
ริมฝีปากอวบอิ่มขยับยิ้มกว้างอีกหน่อย “ช่างน่ายินดีที่มันเป็นความสุขของท่าน”
แค่รับอนุภรรยาเข้ามาเพียงคนเดียว เรื่องปรกติ เสด็จพ่อยังมีสนมมากมาย
ไท่หย่งเสียนประทับจูบลงบนหน้าผากเกลี้ยงเกลาของนาง เจินจิ่วหรงปิดเปลือกตาลง มันจะไม่เป็นไร
ครอบครัวของเขามิได้มีความเห็นอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เท่าใดนัก ทั้งยังมิกล้าแสดงกิริยาใดออกนอกหน้า ในวันมงคลของพวกเขา เจินจิ่วหรงเพียงฉีกยิ้มตลอดเวลา มอบของขวัญตามธรรมเนียม รักษาภาพรักที่ดีในฐานะภรรยาของเขา
มิรู้ว่าความรักที่มีต่อตงเหลียนฮวาจะจืดจางไปบ้างหรือไม่ แทนจะเป็นแค่อนุธรรมดา ไท่หย่งเสียนกลับตั้งนางเป็นฮูหยินรอง
นางมองภาพสะท้อนของตนบนกระจกทองเหลือง แลเห็นเพียงองค์หญิงเก้า ภรรยาที่เพียบพร้อมของเขา สตรีที่สง่างามคู่ควรแม่ทัพประจิม กระทั่งในวันรับอนุภรรยานางยังฉีกยิ้มกว้างตลอดทั้งงาน
“รั่วซิน”
สาวใช้คนสนิทรีบก้าวเข้ามาใกล้ตามเสียงเรียก “ไปนำสุรามา”
เพราะทั้งคืนนี้เขาคงนอนอยู่บนเตียงกับสตรีผู้นั้น
“ฮูหยิน...”
“ไปได้แล้ว”
รั่วซินชำเลืองมองนางอยู่ครู่หนึ่งก่อนออกไปในที่สุด เจินจิ่วหรงถอนหายใจยาวเหยียด แล้วดึงปิ่นปักผมมากมานบนเรือนผมออกมาวางไว้ ปลดสร้อยคอและเครื่องประดับตามตัว ขยับลุกไปนั่งตรงบานหน้าต่าง
สายลมหนาวเย็นพัดผ่านเข้ามา แสงจันทร์นวลลออสะท้อนกับนัยน์ตา เรียวนิ้วมือยื่นออกไปด้านหน้า พรุ่งนี้เช้ายังมีหลายสิ่งต้องจัดการ
และตอนนั้นหยาดน้ำตาค่อย ๆ ไหลอาบข้างแก้ม นางเบิกตากว้างอย่างตื่นตระหนก ได้แต่รีบปาดทิ้ง ท่ามกลางความไม่เข้าใจ
“แค่มีคนเพิ่มเข้ามา”
“...”
“จวนใดบ้างจะมิมีอนุภรรยา วังหลวงยังมีสนมตั้งมากมาย มิใช่เรื่องผิดแปลกแม้แต่น้อย”
เจินจิ่วหรงทำในสิ่งที่สมควร
ท้ายที่สุดนางก็ได้แต่พร่ำบอกตนเองเช่นนั้นตลอดทั้งคืน
และนั่นบัดซบที่สุด
[1] ตัวข้าผู้เป็นเจ้าของตำหนัก
Comments