หยวนไป่หลิงลุกขึ้น เดินไปยังโต๊ะน้ำชา ซึ่งมีกาสุราหวานวางอยู่ หญิงสาวรินน้ำสีอำพันในลงจอก ก่อนจะยกดื่มเพื่อดับความคับแค้น ที่มันกำลังจะครอบงำนางจากความฝันเมื่อครู่
ชีวิตใหม่ของนางควรจะราบเรียบ ทว่าเมื่อตอนอายุได้ห้าขวบ ความทรงจำอันคุ้นเคยได้หลังไหลเข้ามาราวสายน้ำ ทั้งสุขทุกข์ฉายชัดอยู่ในหัว เหมือนมันจะบอกแก่นางแล้วว่าถึงเวลาที่ต้องเลือก
ว่าจะเดินกลับไปเพื่อแก้แค้น หรือจะก้าวต่อไปในชีวิตที่สงบสุข ซึ่งอันที่จริงมันก็มิได้สงบสุขอันใด ออกจากลำบากเสียมากกว่า และนางเลือกที่จะใช้ความทรงจำนั้น สร้างอนาคตให้ตนเองกับครอบครัว
ต่อให้ก้าวกลับไปเพื่อทวงแค้น มันจะมีประโยชน์อันใดถ้าไร้เงินทองและอำนาจ หากจะใช้เรือนร่างเข้าแลก เพื่อการแก้แค้นมันไม่คุ้มเอาเสียเลย เพราะมันมีค่าเกินกว่าจะไปพลีให้ใคร เพียงเพื่อปีนป่ายในสิ่งที่ต้องการ
ความแค้นยังคงมี แต่มันอยู่ที่นางจะเลือกมองมันแบบใด หากโชคชะตาต้องการให้นางทวงความเป็นธรรม มิช้ามันจะนำพานางกลับไปเอง ส่วนเรื่องลูกนั้น นางสุขใจที่เห็นเขาเติบโตอยู่ในที่ปลอดภัย
ใช่ว่านางไม่คิดถึงเขา แต่นางไม่อาจไปยืนตรงหน้าเขา แล้วบอกว่านี่คือแม่ได้ นางในตอนนี้คือหญิงสาววัยไล่เลี่ยกับเขา ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะโอบกอดเขาเหมือนมารดากับบุตรได้
การเฝ้ามองเขาห่าง ๆ และสนับสนุนเขาในฐานะสหาย ย่อมเป็นการดีกว่าใกล้ชิดกับเขา จนมันกลายเป็นเรื่องหนุ่มสาว มันจะกลายเป็นความกระดากใจเสียมากกว่าความสุข
“นายหญิง ไม่สบายหรือเจ้าคะ”
เสียงจากด้านนอกทำให้หญิงสาวหัวเราะในลำคอ สาวใช้ของนางช่างรักษาหน้าที่ดีเหลือเกิน แค่ขยับกายเพียงเล็กน้อย เป็นอันว่าอู่หรงรู้ตัวในทันที
“ข้าสบายดี ข้าแค่กระหายน้ำเท่านั้น”
หญิงสาวตอบกลับไปเพื่อให้คนสนิทคลายใจ นางยอมรับว่านี้มิใช่ครั้งแรก กับความฝันที่ทำให้นางสะดุ้งตื่นกลางดึก เพราะในบางครั้งมันเกิดขึ้นขณะที่นางหลับใหลอยู่บนรถม้า หรือตามที่พักในยามออกเดินทางทำการค้า อู่หรงย่อมต้องรู้เห็นมันจนชินตา
“หากนายหญิงต้องการสิ่งใด เรียกอู่หรงได้ตลอดนะเจ้าคะ”
“รู้จักนอนพักผ่อนบ้างอู่หรง ท่านแม่คงไม่ได้อยากรู้ว่าข้าทำสิ่งใดแม้แต่ตอนปลกทุกข์หรอกนะ”
หญิงสาวแสร้งเย้าสาวใช้ข้างกาย นางรู้ดีว่าช่วงนี้มารดากำลังรู้สึกเช่นไร เพราะเมื่อครึ่งเดือนก่อน ในช่วงที่อยู่ต่างแคว้น ได้มีสาสน์จากเมืองหลวง ทวงถามเรื่องการแต่งงาน ที่ควรเกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว
ทว่ามันถูกปล่อยผ่านมาจนนางเองก็เลยวัยออกเรือน สำหรับสตรีโดยทั่วไป แต่สำหรับนางที่เคยเป็นขุนพล ถือว่ายังไม่เกินเวลาเลยสักนิด ซึ่งหญิงสาวที่แต่งงานหลังการปักปิ่น นางมองว่ามันเร็วเกินไป
วัยหนุ่มสาวที่ควรได้เรียนรู้โลกภายนอก แต่โดยส่วนมากมักถูกครอบครัว กักขังเอาไว้ด้วยคำว่าภรรยาของใครสักคน และนางเองก็ต้องกลายเป็นภรรยา ที่มิได้เกิดจากความรัก ทว่ามันคือการรักษาคำสัตย์ของมารดา นางจึงไม่ได้รู้สึกเสียใจ หรือต้องการทำลายคำมั่นนั้นแม้แต่น้อย
“นายหญิงใหญ่ เพียงเป็นห่วงท่านเท่านั้นเจ้าค่ะ”
“แก้ตัวให้กันตลอดสิน่า! ไปนอนเถอะ ข้าจะนอนต่อแล้ว”
หญิงสาวยกสุราดื่มอีกหลายจอก ก่อนจะเดินกลับไปล้มตัวลงนอนต่อ นางไม่คิดตำหนิในการเฝ้ามองของอู่หรง เพราะทุกสายตาของคนในบ้าน คือความห่วงใยที่มีต่อนางอย่างแท้จริง
ยามเช้า
ร่างระหงก้าวเข้าไปนั่งตรงข้ามกับมารดา ซึ่งตอนนี้มีสีหน้าไม่สดชื่นอย่างที่เคย
“ท่านแม่ไม่สบายรึเจ้าคะ”
หญิงสาวเอ่ยถามมารดาด้วยความเป็นห่วง แม้จะพอเดาได้ว่าผู้เป็นแม่กำลังมีเรื่องกังวลใจ
“คงเพราะแม่เริ่มแก่ เลยนอนไม่ค่อยหลับเท่าใดนัก”
หยวนไป่หลีตอบบุตรสาวด้วยรอยยิ้มอันอิดโรย จากการที่นางนอนไม่ค่อยหลับติดต่อกันมาหลายวัน
“นอนไม่หลับเพราะเริ่มแก่ หรือเพราะกลัวข้าไม่พอใจเรื่องแต่งงานกันเจ้าคะ”
“มิรู้อ้อมค้อมกับคนแก่บ้างเลยนะลูกคนนี้”
หยวนไป่หลีเอ่ยประชดบุตรสาว ที่มิว่าจะมีเรื่องหนักหนาแค่ไหน สองแฝดก็ไม่เคยที่จะตื่นกลัวกับสิ่งเหล่านั้น ซึ่งเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่ทั้งคู่ยังเป็นเด็กแล้ว
“ท่านแม่โปรดกินให้อิ่ม นอนให้หลับเถอะเจ้าค่ะ ข้าเข้าใจทุกอย่างดี อีกอย่างมันแค่การแต่งงาน หาใช่เรื่องสำคัญเท่าการค้าของข้าไม่เจ้าค่ะ”
“สำหรับผู้หญิงเรา การแต่งงานนับเป็นเรื่องสำคัญ จะด้วยเหตุผลใด แม่ก็ไม่อยากเป็นต้นเหตุให้เจ้าทุกข์ใจ”
“สิ่งที่ข้าจะทุกข์ใจ คือความทุกข์ที่มารดาของข้ากำลังแบกมันไว้อยู่ตอนนี้มากกว่าเจ้าค่ะ”
“เจ้ากับท่านแม่ทัพนอกจากจะไม่มีใจต่อกัน แต่ยังมิเคยพบหน้ากันสักครั้งอีกด้วย แม่เกรงว่า...”
“ท่านแม่ ข้ารู้ว่าท่านแม่เป็นห่วง การแต่งงานย่อมไม่น่ากลัวเท่างานของข้าสองพี่น้องนะเจ้าคะ ท่านแม่โปรดวางใจ ข้าสามารถจัดการทุกอย่างได้เจ้าค่ะ”
“แม่จะปฏิเสธใต้เท้าจ้าวไปดีหรือไม่”
“ท่านแม่สอนข้าเองมิใช่หรือเจ้าคะ ว่าคนเราเมื่อมีปัญหาอย่าได้หลีกหนี นิ่งพิจารณาแล้วแก้ไข สำหรับข้าแล้วมันแค่เรื่องเล็กน้อย ส่วนจะเป็นเรื่องใหญ่สำหรับสกุลจ้าวหรือไม่นั้น นั่นก็เป็นปัญหาของพวกเขาหาใช่เราเจ้าค่ะ”
หญิงสาวกล่าวกับมารดาด้วยน้ำเสียงเนิบช้า โดยที่นางจัดแจงตักอาหารตรงหน้าให้แก่มารดาและตนเอง เรื่องแต่งงานหรือจะเท่าการค้าที่ต้องสะดุดไปบ้าง เพราะตัวนางไม่อาจเดินทาง เพื่อไปควบคุมมันด้วยตนเองเช่นเมื่อก่อนได้
“ท่านแม่ทัพจ้าวย่อมต้องเป็นคนดี เช่นพ่อแม่ของเขาอย่างแน่นอน”
หยวนไป่หลีเอ่ยขึ้นอีกครั้ง คล้ายการปลอบใจตนเองเสียมากกว่า ที่จะเป็นการปลอบใจบุตรสาว หัวอกคนเป็นแม่ พอลูกกำลังจะออกจากอก ย่อมต้องรู้สึกใจหายเป็นธรรมดา
“เจ้าค่ะ”
หญิงสาวรับคำมารดา ก่อนจะคีบอาหารป้อนให้แก่ผู้เป็นแม่ นางไม่สนใจหรอกว่าจ้าวลู่เชียนจะเป็นคนเช่นไร เพราะถ้าเขาและนางอยู่ร่วมกันฉันท์มิตรไม่ได้ เส้นทางมันก็ต้องสิ้นสุดลง
“เหนื่อยหรือไม่ลูกรัก”หยวนไป่หลีเดินเข้ามาหาบุตรสาวด้วยรอยยิ้มละมุน ใบหน้างามของมารดามิเคยจืดจางรอยยิ้มเลย แม้ในยามที่เหน็ดเหนื่อย สองพี่น้องเดินเข้าโอบประคองผู้เป็นแม่คนละข้าง“แค่ท่านแม่มีความสุข แค่นี้นับว่าน้อยมากเจ้าค่ะ”หยวนไป่หลิง ซบใบหน้าลงกับไหล่ของมารดาด้วยความรักใคร่ หยวนไป่หลียกมือขึ้นวางบนแก้มของบุตรสาวทั้งสอง“เจ้าสองพี่น้องล้วนคือความสุขของแม่ รวมถึงเจ้าตัวเล็กของแม่ทุกคนด้วย”หยวนไป่หลีมองไปยังหลาน ๆ ที่กำลังวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน กว่าจะมีวันนี้นางสามแม่ลูก ล้วนผ่านการเสียน้ำตากันมาไม่น้อยเลย“ข้ารักท่านแม่เจ้าค่ะ”สองพี่น้องพูดขึ้นพร้อมกัน หากวันนั้นที่บิดาทอดทิ้ง มารดามิคิดถึงพวกนางที่อยู่ในท้อง ป่านนี้คงไร้ลมหายใจตั้งแต่มิทันลืมตาดูโลก“ท่านแม่ต้องกลับชายแดนเหนือกับข้านะเจ้าคะ คู่แฝดนั่นกำลังซุกซนนัก บิดาพวกนางล้วนมิเคยขัดใจลูกสักครั้ง”หยวนไป่หลินเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเว้าวอน เพราะพี่สาวที่ใกล้คลอดมีแม่สามีอยู่เคียงข้างแล้ว แต่นางที่ต้องออกทำหน้าที่รักษาชายแดน ย่อมไม่มีเวลาที่จะดูแลคู่แฝดได้อย่างเต็มที่ หากปล่อยให้สามีของนางเลี้ยงลูกลำพัง เห็นที่จะไร้ความเป็นสตรีอ
เป็นคำอวยพรของสหายทั้งหลาย ก่อนจะผลักร่างเมามายของเจ้าบ่าวเข้าภายในห้อง พร้อมปิดประตูให้เป็นที่เรียบร้อย หลังจากประตูปิดลงร่างสูงพลันยืดตัวตรง ก่อนจะก้าวไปยังเตียงนอนด้วยรอยยิ้มอิ่มเอม สุราแค่นี้หรือจะทำอันใดเขาได้ แม่ทัพหนุ่มหย่อนกายลงนั่งเคียงข้างภรรยา ก่อนจะค่อย ๆ เป็นผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวออก รอยยิ้มละมุนคือสิ่งที่เขาปรารถนาได้เห็นมันมาตลอดทั้งวัน “หิวหรือไม่!” “เจ้าค่ะ” “เช่นนั้นเราไปกินข้าวกัน” แม่ทัพหนุ่มประคองภรรยาให้เดินไปยังโต๊ะกลางห้อง ที่มีการจัดเตรียมอาหารเอาไว้รอท่าแล้ว โดยมีเตาอุ่นสำหรับทำให้อาหารยังคงความร้อน คู่สามีภรรยาต่างสบตากัน เมื่อสุรามงคลได้ถูกแลกเปลี่ยนแล้ว การสนทนาเป็นไปอย่างนุ่มนวล ต่างจากเมื่อแรกพบหน้า เรื่องราวที่พวกเขาผ่านมันมาด้วยกัน ล้วนเต็มไปด้วยความทรงจำมากมาย “จะอยู่ตรงนี้กันทั้งคืนเลยรึ! ดึกแล้วมิรู้จักกลับบ้านไปหลับนอน” แม่ทัพสาวเอ่ยถามสหาย ที่พากันแอบอยู่หลังพุ่มดอกไม้หน้าห้องหอ เสียงของนางไม่ได้เบาเลยสักนิด ป่านนี้คนด้านในคงได้ยินกันหมดแล้ว
สองวันถัดมาการเดินทางของคนจากชายแดน ได้แยกเป็นสองคณะ ซึ่งแขกคนสำคัญล้วนอยู่ในขบวนสินค้าจากชายแดน ส่วนในคณะจะเป็นคนของมวลเมฆา ที่ปลอมตัวเป็นคณะของแขกต่างแคว้น การเดินทางทั้งสองคณะนั้นจะแยกไปคนละเส้นทาง และจากสาสน์ลับที่บอกถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น ทำให้ทั้งสองคณะต่างเร่งเดินทางชนิดที่เรียกได้ว่ามิได้หลับนอนกันเลยทีเดียว เพราะหากล่าช้า อาจเกิดการสูญเสียที่ยากจะกู้คืนมาได้ หยวนไป่หลิงพยายามป้อนยาให้แก่จ้าวลู่เชียน ซึ่งเมื่อคืนที่ผ่านมาอาการไข้ของเขาได้ทวีความรุนแรงขึ้น ผลคงมาจากความมั่นใจ ว่าตนเองทนไหวต่อการเจ็บป่วยเพียงเล็กน้อย จนมันลุกลามเป็นหนักขึ้น “กินยาสักหน่อยเถอะนะเจ้าคะ หาไม่แล้วเราอาจต้องทิ้งท่านไว้ระหว่างทาง” หมับ! แม่ทัพหนุ่มรวบจับข้อมือของหญิงสาวเอาไว้ ก่อนจะพยายามลืมตามองใบหน้าของสตรีใจร้าย ที่คิดจะทิ้งเขาเอาไว้กลางทาง นางช่างไม่มีหัวใจเอาเสียเลย “เจ้ากล้ารึ!” “ท่านเคยเห็นข้าขู่ใครหรือไม่เล่า” “แต่มันขม!” หยวนไป่หลิงได้แต่อมยิ้ม เมื่อคนตัวโตแสร้งเว้าวอนราวเด็กสิบขว
“โหวปู้หยา ข้ารู้จักเจ้าและอำนาจที่เจ้าพยายามไขว่คว้ามันได้เป็นอย่างดี แค่ความคิดที่เจ้าจะแตะต้องเขา ข้าก็พร้อมที่จะปลิดลมหายใจเจ้าอย่างไม่คิดที่จะลังเล”หยวนไป่หลิงโน้มใบหน้าเข้าใกล้อีกฝ่าย ก่อนจะเอ่ยเบา ๆ ให้ได้ยินเพียงสองคน โหวปู้หยาขบกรามแน่นเมื่อได้ยินคำพูดของหญิงสาว คนที่เคยเอ่ยเช่นนี้กับเขา มีเพียงคนเดียวเท่านั้น ‘เชียวอิง’อึก! หยวนไป่หลิงดันดาบในมือจนมิดด้าม มือบางอีกข้างที่ลูบยังลำคอของชินอ๋อง มันทำให้เขารู้สึกราวแมวข่วนเบา ๆ ก่อนที่ทุกอย่างในครรลองสายตาจะพร่าเลือน“ตอนท่านสังหารสามีข้า แม้ความปราณีสักนิดก็ไม่มี การที่ข้าทำเยี่ยงนี้ใช่เมตตาต่อท่าน แต่ข้ามิอยากให้ลูกของข้าเห็นภาพที่ไม่ชวนมอง”หยวนไป่หลิงเอ่ยเบา ๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างสง่า แล้วหมุนกายเดินกลับไปหาจ้าวลู่เชียน ซึ่งแม่ทัพหนุ่มเองก็รีบถลามาโอบกอดหญิงสาวเอาไว้แน่น ก่อนจะผละออกแล้วจับร่างงามหมุนไปมา เพื่อดูให้แน่ใจว่านางปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน ก่อนจะรวบกอดหญิงสาวอีกครั้ง“ท่านพ่อ! ฮือ ๆ พวกท่านทำกับเราเยี่ยงนี้ได้อย่างไรกัน บิดาข้าเป็นถึงโอรสฮ่องเต้นะ”ท่านหญิงโหวถลาเข้าสวมกอดร่างอ่อนแรงของบิดา ที่ตอนนี้มีลมหายใจเหลือเ
“หากเจ้ายังคิดขวางทางข้า เกิดอะไรขึ้นอย่าได้หาว่าข้าไม่เตือน” “เช่นนั้นรึ!” หยวนไป่หลิงยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้ทุกคนเปิดทาง ในเมื่อวันนี้มาถึงนางก็จะจบเรื่องนี้ด้วยตนเอง แม่ทัพหนุ่มคิดที่จะห้ามปราม ทว่าท่านชายลั่วกลับรั้งเขาเอาไว้ แววตาเชื่อมั่นของผู้เป็นนาย ที่มีต่อคู่หมั้นของเขา มันทำให้แม่ทัพหนุ่มหวาดหวั่นอยู่ในใจ เกรงว่าคู่แข่งทางหัวใจจะมาเหนือความคาดหมาย “เจ้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่ เอาไว้จบเรื่องนี้ข้าจะเล่าให้ฟัง” ลั่วหยางเอ่ยกับแม่ทัพหนุ่มเบา ๆ พร้อมส่ายหน้าอย่างระอาใจ ตอนที่ไม่เคยรักใคร่ ปากก็มีแต่จะถอนหมั้น แต่มาดูตอนนี้สิน่า! แทบจะสิงร่างของหยวนไป่หลิงแล้ว ทุกคนเดินออกมายืนอยู่โดยรอบลานกว้างด้านหน้าเรือน เพื่อดูการต่อสู้ระหว่างฮูหยินแม่ทัพแคว้นเยี่ย กับอดีตองค์รัชทายาทจากแคว้นฉู่ หยวนไป่หลิงส่งสัญญาณให้อู่หรง นำอาวุธมามอบแก่โหวปู้หยา “จ้าวฮูหยิน เรื่องนี้ข้าขอเป็นคนชำระความเองได้หรือไม่” เว่ยหลงก้าวเข้ามาเอ่ยขอต่อหญิงสาว “บิดาเจ้ายังตายใต้คมดาบของข้า เจ้าจะ...อ๊ะ!” ปลายกระบี
เสียงของบิดาที่ก้าวผ่าน ทำให้คนที่นอนน้ำตานองหน้า อยากที่จะร้องเรียกขอความช่วยเหลือยิ่งนัก แม้จะมิเสียกายแต่เมื่อใครมาเห็นนางในสภาพนี้ ชื่อเสียงของนางย่อมป่นปี้จะมีบุรุษสูงศักดิ์ใดเล่าจะต้องการนางอีก เกิดมามิเคยอดสูเยี่ยงนี้มาก่อน หญิงสาวทำได้เพียงรำพันอยู่ภายในใจ ด้วยความบอบช้ำจนยากจะเยียวยาภายในห้องนอนแม่ทัพหนุ่มกับคู่หมั้น ทั้งคู่ต่างนั่งจ้องตากัน คล้ายกับว่าใครหลบสายตาก่อน ผู้นั้นพ่ายแพ้ในทันที“ใบหน้าของข้ามีสิ่งใดติดอยู่หรือเจ้าคะ”“ข้าสัญญาว่าจะไม่ทำให้เจ้าหมางใจ”หยวนไป่หลิงคลี่ยิ้มน้อย ๆ ทว่าภายในใจของนางกำลังขำขัน เรื่องที่นางลงมือต่อท่านชายจากฉู่ คงทำให้คนตรงหน้ารู้สึกไม่ปลอดภัยแล้วกระมัง“ที่ข้าทำเช่นนั้น เพื่อตัดทุกวงจรความมิรู้พอของเขา หากเขายังมีมันอยู่ มิแคล้ววนเวียนทำร้ายสตรีไปทั่ว โดยมิสนลูกใครเมียใครเจ้าค่ะ”“ข้าไม่คิดที่จะใช้มันพร่ำเพรื่อกับผู้ใด นอกจากภรรยา”แม่ทัพหนุ่มยังคงไม่วายกังวล เกรงว่าตนเองอาจเป็นรายต่อไป หากมีสตรีใดเข้าใกล้เขา เช่นที่ท่านหญิงแคว้นฉู่ได้ทำกับเขาเมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อนนี้“นอนพักเถอะเจ้าค่ะ พรุ่งนี้เรายังมีเรื่องให้จัดการอีกมาก