“หม่อมฉันต้องขอบคุณฮองเฮามากนะเพคะที่ทรงตบหม่อมฉันเมื่อวานนี้ เพราะพระองค์เลยฝ่าบาทจึงประทานของขวัญปลอบใจให้หม่อมฉัน พระองค์รู้หรือไม่ว่าคืออะไร...”
หลี่ฟางซินเห็นเย่วลี่อิงกำหมัดแน่นจึงหยุดพูด เพราะหากเย่วลี่อิงลงมือตอนนี้นางคงเจ็บหนักเป็นแน่
อี้หงเห็นสีหน้าของเย่วฮองเฮาก็รู้ได้ว่าทรงบันดาลโทสะอย่างที่สุดแล้ว หากสนมหลี่กุ้ยเฟยพูดอันใดกระตุ้นอีกครั้ง ใบหน้าในตอนนี้ที่ยังมีรอยช้ำอยู่คงได้บวมแดงขึ้นมาอีกรอบเป็นแน่แต่นั่นไม่สำคัญกับนาง ที่สำคัญคือหากฮองเฮาของนางลงมือกับสนมหลี่กุ้ยเฟยตอนนี้ ห้าวเทียนฮ่องเต้ต้องสั่งลงโทษฮองเฮาเป็นแน่
“ฮองเฮาเพคะ อย่าตกหลุมพรางของสนมหลี่กุ้ยเฟยนะเพคะ พระองค์จะหาเรื่องลงโทษนางเมื่อไรก็ได้ แต่วันนี้ทรงปล่อยไปก่อนเถอะนะเพคะ” อี้หงยกมือขึ้นป้องก่อนจะกระซิบกระซาบข้างหูนายของตน
เย่วลี่อิงได้ยินนางกำนัลคนสนิทกล่าวเตือนสติถึงจะเป็นความจริงแต่ในใจนางก็ยังร้อนเป็นไฟ นางเองก็รู้ว่าวันนี้ไม่ใช่วันที่สมควรลงมือ เพราะเมื่อวานนางได้ตบหลี่ฟางซินไปแล้วหากวันนี้ทำอีกย่อมไม่ส่งผลดีกับนาง นางพยายามสูดลมหายใจเข้าออกอย่างช้าๆ
“ข้าไม่อยากรู้ วันนี้ข้าเพียงอยากฟังบางอย่างจากเจ้าและอยากมาดูด้วยว่ารอยที่ข้าฝากไว้เป็นเช่นไรบ้าง”
เพียงเย่วลี่อิงลุกขึ้นก็ทำเอาหลี่ฟางซินสะดุ้งกลัว เย่วลี่อิงเดินเข้ามาใกล้หลี่ฟางซินที่ยืนอยู่ ก่อนจะพินิจพิจารณาใบหน้าของนาง เย่วลี่อิงสังเกตเหงื่อที่ผุดออกมาจากใบหน้าขาวก็ยกยิ้มมุมปาก
“สนมหลี่ เจ้ากลัวข้ามากเลยสินะ แต่อย่างกลัวไปเลยวันนี้เราไม่ทำอันใดเจ้าหรอก เจ้ารักษาตัวและใบหน้าของเจ้าไว้ให้ดีเถอะ”
เย่วลี่อิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงไปด้วยคำขู่ ก่อนใช้นิ้วจิ้มไปยังรอยฟกช้ำบนใบหน้าของหลี่ฟางซิน และหัวเราะเสียงดังแล้วหันหลังเดินลงจากศาลา
หลี่ฟางซินเห็นท่าทางและเสียงหัวเราะของเย่วลี่อิงก็เจ็บใจจนลืมความเจ็บปวดที่โดนนิ้วจิ้มซ้ำรอยเก่า นางกำหมัดแน่น ในเมื่อแผนที่นางคิดใช้ให้นางกำนัลไปตามห้าวเทียนฮ่องเต้มาดูเย่วฮองเฮารังแกนางต่อหน้าเพื่อให้เฟยห้าวเทียนลงโทษเย่วลี่อิง และเพื่อให้เฟยห้าวเทียนเข้ามาช่วยปกป้องนางจากเย่วลี่อิง นางจะได้ไม่เจ็บมากนัก นางต้องยอมรับว่าเย่วฮองเฮามือหนักมากทีเดียว ที่นางโดนกระทำเมื่อวานทั้งศีรษะและใบหน้ายังราวระบมอยู่มาก แต่นางจะพลาดโอกาสนี้ไปไม่ได้ ‘ข้ายอมทุ่มสุดตัว แต่ไม่ยอมเจ็บอยู่ฝ่ายเดียวเป็นแน่’ ยังไม่ทันที่เย่วลี่อิงจะเดินจากไปหลี่ฟางซินก็รีบเอ่ยขึ้น
“ถึงฮองเฮาไม่อยากรู้แต่ของขวัญล้ำค่าเช่นนี้หม่อมฉันย่อมต้องประกาศให้รู้ทั่ววังหลังอยู่แล้วเพคะ... ที่ต้องบอกฮองเฮาก่อนก็เพียงแต่กลัวฮองเฮารู้ที่หลังแล้วจะทำให้ฮองเฮากริ้วหม่อมฉันอีกเพคะ”
เย่วลี่อิงหยุดเดินเมื่อได้ยินเสียงหลี่ฟางซินพูดกระแนะกระแหน ‘เจ้าจะไม่ปล่อยข้าไปสินะ ก็ได้ในเมื่อเจ้าอยากเล่นเล่ห์อุบายของสตรีแห่งวังหลังกับข้า ข้าก็จะเล่นเป็นเพื่อนเจ้า จะได้รู้ว่าใครคือเจ้าของวังหลังแห่งนี้’ เมื่อนางคิดดีแล้วจึงหันมามองหลี่ฟางซินที่ยืนอยู่บนศาลา
เมื่อหลี่ฟางซินเห็นว่าหยุดเย่วลี่อิงไว้ได้ จึงลงจากศาลาไปหาเย่วลี่อิง ถึงอย่างไรนางก็ต้องยื้อเวลาจนกว่าเฟยห้าวเทียนจะมาให้ได้ หากไม่ได้จริงๆ ก็คงต้องปล่อยให้เย่วลี่อิงทำร้าย และกระพือข่าวออกไปเพื่อให้เย่วลี่อิงถูกลงโทษ เพราะหากครั้งนี้ไม่สามารถทำให้เย่วลี่อิงถูกลงโทษได้ ต่อไปก็จะถูกเย่วลี่อิงรังแกไปเรื่อยๆ อีกแน่
“ของขวัญอันใดที่ฝ่าบาทมอบให้เจ้า ก็เป็นธรรมดาที่เจ้าย่อมจะดีใจ เพราะถ้าหากข้าจำไม่ผิดแต่ก่อนตอนอยู่ตระกูลหลี่เจ้าไม่เคยได้ของอันใดจากท่านเสนาบดีและหลี่ฮูหยินเลย จะมีแต่ก็เพียงของเหลือๆ ที่พี่สาวพี่ชายเจ้ามอบให้เท่านั้น ข้าจึงไม่นึกแปลกใจที่เจ้าอยากป่าวประกาศให้ทุกคนได้รู้หรอกนะ” เย่วลี่อิงพูดด้วยน้ำเสียงถากถาง
เย่วลี่อิงยิ้มให้สนมหลี่อย่างเยาะเย้ย ‘ในเมื่อเจ้ากล้าเอาความรู้สึกของข้ามาย่ำยี ก็อย่าโทษข้าที่เอาปมในใจของเจ้ามาตอกย้ำแล้วกัน’ เย่วลี่อิงคิดอยู่ในใจ แต่คำพูดก่อนหน้านี้ที่พูดออกไปกลับบ่งบอกออกมาอย่างชัดเจน ว่านับแต่นี้นางกับหลี่ฟางซินไม่จำเป็นต้องถนอมน้ำใจแก่กันอีกต่อไป
หลี่ฟางซินเม้มปากแน่นด้วยความแค้น แต่ไม่สามารถแสดงออกมาได้ แต่แววตาของนางมิอาจปิดบังความรู้สึกนี้จากเย่วลี่อิงได้ เย่วลี่อิงเห็นแววตาโกรธเคืองของหลี่ฟางซินก็ทำให้นางสุขใจไม่น้อย ราวได้เอาคืนเรื่องที่ถูกนินทาในวันนี้ แต่ไม่ทันไรนางก็ต้องหุบยิ้มลง เมื่อนางเห็นปากยกยิ้มของหลี่ฟางซิน
หลี่ฟางซินยกยิ้มขึ้นเมื่อได้เห็นหน้านางกำนัลที่ตนส่งไปเชิญห้าวเทียนฮ่องเต้มา ‘ถึงเวลาที่เจ้าจะต้องเจ็บปวดบ้างแล้ว’ หลี่ฟางซินรีบเอ่ยขึ้นเมื่อรู้ว่าบุรุษที่ตนรอคอยใกล้มาถึงแล้ว
“ของขวัญที่ว่าคือ...ครรภ์มังกรเพคะ” หลี่ฟางซินยิ้มมุมปาก
เย่วลี่อิงรู้สึกไม่พอใจอยู่บ้างแต่ก็ไม่มากมายนัก เพราะเรื่องที่สนมนางหนึ่งจะตั้งครรภ์นั้นฮองเฮาอย่างนางก็ต้องเตรียมใจไว้อยู่แล้ว แต่เพียงไม่มีสนมนางใดกล้ามาลอยหน้าลอยตาพูดว่าจะตั้งครรภ์มังกรต่อหน้านางมาก่อนก็เท่านั้น และอีกอย่างต่อให้ฮ่องเต้จะตรัสมอบครรภ์มังกรให้นางก็ไม่แน่ว่านางจะตั้งครรภ์มังกรได้
เย่วลี่อิงหัวเราะดังๆ ไปรอบหนึ่ง ทำเอาหลี่ฟางซินที่กำลังลำพองใจงวยงงไปกับกิริยาอาการของนาง
“หลี่ฟางซินนะ ...หลี่ฟางซิน เจ้าช่างไม่รู้ความอันใดเลย เพียงคำพูดแค่นี้ก็สามารถปลอบประโลมความเจ็บปวดบนใบหน้าของเจ้าได้แล้วอย่างนั้นหรือ”
หลี่ฟางซินหรี่ตามองเย่วลี่อิงอย่างจับผิด พร้อมขมวดคิ้วด้วยความสงสัย เพราะเหตุใดนอกจากเย่วลี่อิงจะไม่โกรธยังขำขันราวกับนางเป็นตัวตลก
“เพื่อนรักของข้า เจ้าพึ่งเข้าวังมาไม่ถึง6เดือน จึงไม่รู้เรื่องในวังหลังดี เช่นนั้นข้าจะบอกเจ้าให้รู้ก่อนที่เจ้าจะป่าวประกาศไปทั่วจนตัวเองต้องอับอายขายหน้า ดีหรือไม่”
เย่วลี่อิงปรายตามองใบหน้าเรียวสวยของหลี่ฟางซินก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา
“ข้าไม่รู้หรอกว่าฝ่าบาทเคยตรัสมอบครรภ์มังกรให้สนมนางในคนใดบ้าง แต่ถึงฝ่าบาทจะไม่เคยตรัสมอบครรภ์มังกรให้ผู้ใดมาก่อน แต่เจ้าควรรู้ไว้ว่าสนมตั้งแต่ระดับกุ้ยเฟยข้าก็มิเคยสั่งให้ดื่มยาห้ามครรภ์ เช่นนั้นสนมตั้งแต่ระดับกุ้ยเฟยขึ้นไปที่ปรนนิบัติฝ่าบาทล้วนมีสิทธิ์ได้สิ่งนี้โดยไม่ต้องให้ฝ่าบาทเอ่ย”
เย่วลี่อิงระบายยิ้มออกมาอย่างพอใจ ก่อนจะเอ่ยต่อ
“และถึงฝ่าบาทจะตรัสมอบครรภ์มังกรให้เจ้า ก็ไม่แน่ว่าเจ้าจะมีได้ หรือถ้ามีแล้วเมื่อไรกัน...หลังข้า...หรือหลังสนมกุ้ยเฟยคนอื่นๆ” เย่วลี่อิงยิ้มเย้ยหยัน
หลี่ฟางซินขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความแค้นเคือง นางคิดว่าเมื่อเย่วลี่อิงได้ยินย่อมอดกลั้นไม่ไหวต้องตบตีนางเป็นแน่ แต่กลับไม่เป็นดังที่นางคาด นางดันโดนเย่วลี่อิงตอกกลับเสียจนหน้าชา นางพยายามข่มอารมณ์ของตนไว้ก่อนจะนึกถึงคำที่ฮ่องเต้เคยเล่าเรื่องระหว่างเขากับเย่วลี่อิงให้ฟัง ‘โชคดีที่ยังมีอีกเรื่อง เรื่องนี้เย่วลี่อิงคงเก็บอารมณ์ไว้ไม่ได้เป็นแน่’ หลี่ฟางซินเมื่อนางนึกได้ก็ไม่รั้งรอรีบเอ่ยขึ้นในทันที
“จริงเพคะ หม่อมฉันอาจไม่ใช่คนแรกที่ตั้งครรภ์มังกร แต่หม่อมฉันต้องตั้งครรภ์ก่อนฮองเฮาเป็นแน่เพคะ เพราะตั้งแต่เข้าหอกันจนถึงวันนี้ฝ่าบาทก็ยังไม่เคยให้ฮ่องเฮาปรนนิบัติเฉกเช่นสามีภรรยาสักครั้งเลยนี้เพคะ”
เย่วลี่อิงเม้มริมฝีปากแน่นใบหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธเคือง ก่อนจะออกปากสั่งเหล่าขันทีและนางกำนัลที่อยู่บริเวณนั้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
"พวกเจ้าทั้งหมดถอยออกไป10ก้าว"
เหล่านางกำนัลที่อยู่ด้านนอกพยายามห้ามเฟยห้าวซุนแล้วแต่ก็ห้ามไม่ได้ เพราะทุกคนต่างรู้ว่าหากเฟยห้าวซุนได้ร้องไห้แล้วจะไม่หยุดง่ายๆ พวกเขาจึงไม่กล้าขัดใจมากนัก เฟยห้าวซุนเมื่อเห็นบิดาเปิดประตูให้ก็รีบวิ่งเข้าไปด้านในทันที เยว่ลี่อิงเห็นบุตรชายวิ่งมาด้วยน้ำตาก็รีบเข้าโอบกอดบุตรชายไว้แน่น แต่นางกลับต้องแปลกใจเพราะครั้งนี้บุตรชายของนางกลับไม่ร้องไห้โวยวายนานเท่ากับครั้งที่ผ่านๆมาเฟยห้าวซุนลูบท้องมารดาเบาๆอยู่หลายครั้ง พร้อมทั้งทำหน้าทำตาราวกับมีความสงสัยอยากถามแต่ไม่ยอมเอ่ย นางจึงเป็นคนเอ่ยถามบุตรชายก่อน“เจ้าลูบท้องแม่เพราะอะไรอย่างนั้นหรือ”“ท่านอาฟางซินให้ลูกลูบท้องตอนน้องดิ้น ลูกเลยมาลองลูบท้องเสด็จแม่บ้าง เพื่อน้องจะดิ้น”เยว่ลี่อิงอดเอ็นดูในความใสซื่อของบุตรชายไม่ได้ จึงส่งยิ้มหวานให้เขา“ในท้องของแม่ไม่มีน้องอยู่ แล้วน้องจะดิ้นได้อย่างไร” นางเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม แต่บุตรชายกลับร้องไห้เสียงดังขึ้นมา ทำเอานางถึงกับตกใจเฟยห้าวเทียนรีบเข้ามาหาบุตรชายของตนเมื่อได้ยินคำสนทนาของแม่ลูก เขาใช้มือลูบหัวลูกชายเบาๆ แต่เขาก็ไม่ยอมหยุดร้อง“เจ้าอยากมีน้องอย่างนั้นหรือ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ค
4 ปีต่อมาเขานั่งมองบุตรชายที่วิ่งเล่นไปมากับเฟยห้าวเทียนก่อนที่จะหันมาหาภรรยาเพื่อจะชวนนางให้ออกไปจากอุทยานด้วยกันสองคน เพราะตั้งแต่เจ้าก้อนแป้งตัวน้อยลืมตาดูโลกเขากับนางก็แทบจะไม่ได้ร่วมหอกันเลยช่วงแรกๆเป็นเพราะนางอยากให้นมบุตรด้วยตนเองจึงเอาลูกเข้านอนด้วย ช่วงนั้นเขาก็มัวแต่ยุ่งกับการจัดการตระกูลฉินจึงไม่มีเวลามาคอยดูแลนางมากนัก เมื่อกลับมาเห็นนางอ่อนเพลียเขาจึงไม่กล้ารบกวนนาง ต่อมาเมื่อลูกชายโตขึ้นก็เริ่มติดแม่จนไม่ยอมออกห่างแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังพอมีเวลาที่บุตรชายหลับในการออดอ้อนนางบ้าง แต่ปีกว่าๆมานี้ลูกชายของเขาไม่ยอมให้เขาได้เข้าใกล้นางเลย แม้แต่เขาจะโดนเนื้อต้องตัวนางก็ยังยากต้องรอให้บุตรชายของเขาไม่เห็นเท่านั้นจึงจะสามารถทำได้ไม่ว่าเขาจะปะเหลาะบุตรชายอย่างไร เขาก็ไม่สามารถแตะต้องตัวภรรยาของเขาได้เสียที หากบุตรของเขาเห็นว่าเขาโดนเนื้อตัวมารดาก็มักจะร้องไห้ไม่หยุดไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ต้องหาวิธีปลอบใจอยู่นานถึงจะยอมเงียบได้“เสด็จแม่ ท่านจะไปไหน” เสียงเด็กน้อยดังขึ้น เมื่อเห็นเยว่ลี่อิงกำลังจะลุกจากตั่งนั่งเฟยห้าวเทียนได้แต่ถอนหายใจยาว เมื่อได้ยินเสียงบุตรชายเอ่ยเรียกภรรย
เฟยห้าวเทียนได้ยินคำพูดของนางก็แทบจะอดกลั้นอารมณ์ของตนเองไว้ไม่ไหว เขาพยายามผ่อนลมหายใจเข้าออกอย่างช้าๆ เพื่อระงับความตื่นตัวของแก่นกายที่ตอนนี้ไม่รับฟังคำสั่งของเขาเสียเลยแต่เขากลับต้องสะดุ้งจนขนตามตัวลุกชันเมื่อมีมือน้อยๆสัมผัสโดนสิ่งที่พองโตอยู่ด้านล่าง เขารีบคว้ามือน้อยนั้นไว้ทันทีเพราะหากลูบคลำไปมากกว่านี้เขาเองคงต้านความปรารถนาไว้ไม่ไหว“ไม่ใช่ว่าข้าไม่ต้องการเจ้า แต่เพราะข้ากลัวจะทำรุนแรงเกินไปจนเป็นอันตรายต่อเจ้าและลูกได้”เยว่ลี่อิงกลับไม่สนใจฟังคำที่เขาเอ่ย เพราะนางรู้ดีว่าที่ผ่านมาเขาอดกลั้นมาตลอดเวลาที่นอนอยู่เคียงข้างนาง และวันนี้นางก็ได้ศึกษาและได้คำแนะนำจากผู้มีประสบการณ์บวกกับนางได้ตรวจร่างกายมาเป็นอย่างดีแล้ว จึงไม่ได้คิดเป็นกังวลเรื่องอันใดอีก“พระองค์รู้หรือไม่เพคะ ว่าสตรีที่ตั้งครรภ์ในบางช่วงจะมีความต้องการในเรื่องแบบนี้สูง และหากไม่ได้ปลดปล่อยจะทำให้หงุดหงิดซึ่งไม่เป็นผลดีนัก”เฟยห้าวเทียนถึงกับอึ้งนิ่งไป และปล่อยมือออกจากมือของนางเมื่อได้ยินในสิ่งที่นางเอ่ย“เจ้าแน่ใจแน่แล้วใช่หรือไม่”“เพคะ หม่อมฉันแน่ใจ พระองค์เพียงปล่อยให้หม่อมฉันเป็นคนจัดการเองก็พอ”“เช่นนั้
“พวกท่านนี้ก็แปลกเสียจริง หากพระชายาของเราไม่ตั้งครรภ์พวกท่านก็จะให้เราแต่งชายารอง ตอนนี้นางตั้งครรภ์พวกท่านก็ยังจะให้เราแต่งชายารองอีก ตกลงพวกท่านต้องการอย่างไรกันแน่ หรือเพราะพวกท่านเพียงอยากส่งบุตรสาวของพวกท่านมาแต่งกับข้าจึงได้หาข้ออ้างให้ข้าแต่งชายารองใช่หรือไม่”ทุกคนต่างนิ่งเงียบไปชั่วหนึ่งจนอัครเสนาบดีฉินกระแอมดังขึ้นมา ขุนนางชราที่ยืนอยู่ข้างอัครเสนาบดีฉินก็รีบเอ่ยขึ้น“ทูลฝ่าบาท พวกกระหม่อมหาได้คิดดังเช่นองค์รัชทายาทตรัสไม่ เพียงแต่ข่าวลือหนาหูยิ่งนักว่าองค์รัชทายาททรงยอมปิดหน้าปิดตาสวมใส่หน้ากากเพื่อจะได้อยู่ใกล้กับพระชายา พวกกระหม่อมเลยคิดจะหาคนมาปรนนิบัติองค์รัชทายาท เพื่อไม่ให้องค์รัชทายาททรงต้องลำบากเพื่อไปหาพระชายาให้คอยปรนนิบัติ”“ขอบคุณเหล่าขุนนางทุกท่านที่เป็นห่วงเราจากใจ แต่เราไม่ได้มีความลำบากอย่างที่พวกท่านคิด เราไม่รู้ว่าภรรยาของพวกท่านไร้ความสามารถที่จะคอยดูแลปรนนิบัติพวกท่าน หรือเป็นที่พวกท่านมักมากกันแน่ แต่เพราะพระชายาเราดูแลเราดีมากพอ และเราก็หาใช่บุรุษที่มักมากแค่เพียงภรรยาตั้งครรภ์ก็ต้องหาสตรีอื่นมาปรนนิบัติ เช่นนั้นเราจึงไม่จำเป็นที่จะต้องมีชายาเพิ่มเช่น
ตำหนักบูรพาเมื่อกลับมาถึงตำหนักเฟยห้าวเทียนก็ให้หมอหลวงตรวจร่างกายของเยว่ลี่อิง เพราะระหว่างทางกลับมานางมีอาการแพ้ท้องมาตลอดทาง ไม่รู้ว่าเหตุใดยิ่งเขาเข้าใกล้นาง นางก็ยิ่งอาการหนักขึ้นจนนางต้องไล่เขาออกไปไกลๆ แต่พอให้คนอื่นมาพยุงนางกลับไม่เป็นอันใดเสียอย่างนั้น ทำให้เขารู้สึกลังเลใจเป็นอย่างมาก ว่าที่นางเป็นอยู่นี้นางเป็นจริงหรืออยากกลั่นแกล้งเอาคืนที่เขาเคยเฉยเมยต่อนาง“กราบทูลองค์รัชทายาทพระชายามีพระวรกายแข็งแรงดีไม่มีอันใดน่าเป็นห่วงพ่ะย่ะค่ะ ส่วนอาการคลื่นไส้ อาเจียนก็เป็นเรื่องธรรมดาของสตรีมีครรภ์เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”“เช่นนั้นทำไมถึงมีอาการแพ้เพียงตอนเราเข้าใกล้ แต่ทีกับคนอื่นกลับไม่เป็นอันใด” เฟยห้าวเทียนเอ่ยถามอย่างเป็นกังวลและสงสัยหมอหลวงอึ้งไปพักหนึ่งเพราะเขารู้ดีว่าองค์รัชทายาทย่อมรู้สึกหงุดหงิดที่ไม่สามารถเขาใกล้พระชายาของตนได้ แต่ยังโชคดีที่เขาเคยเห็นสตรีที่มีอาการแพ้ท้องสามีของตนเองมาก่อนจึงพอรู้วิธีแก้อยู่บ้าง แต่จะให้บอกสาเหตุเขาเองก็ยังหาคำตอบไม่ได้“กระหม่อมไม่ทราบสาเหตุพ่ะย่ะค่ะ เพราะสตรีที่ตั้งครรภ์แต่ละคนจะแพ้ท้องไม่เหมือนกัน แต่กระหม่อมเคยพบเจอคนแพ้ท้องที่มีอาการแ
เมื่อได้ยินข้อแม้ของบิดาเฟยห้าวหลานหันมามองพี่ชายของตนด้วยสายตาไม่พอใจก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงดังฟังชัด“รอให้เสด็จพี่มีบุตร ลูกว่าเสด็จพ่อให้ลูกแต่งเข้าสกุลกงแล้วให้ลูกมีหลานให้เสด็จพ่อยังจะเร็วเสียกว่า ลูกจะไปถามหรงเอ๋อร์ว่าลูกคนแรกของเรายกให้ตระกูลเฟยได้หรือไม่”เฟยห้าวเทียนถึงกับตบโต๊ะเสียงดัง และชี้นิ้วไปยังน้องชายของเขา เฟยห้าวเทียนเองก็ไม่คาดคิดว่าจะถูกบิดาเล่นงานด้วยเช่นกัน แต่นั่นก็ไม่น่าโมโหเท่ากับคำพูดของน้องชาย“เจ้าช่างกล้าดูถูกข้ายิ่งนัก”สองสามีภรรยาที่นั่งดูบุตรชายทั้งสองอยู่กลับหัวเราะออกมาเสียงดัง เพราะเขารู้ดีว่าที่บุตรชายคนเล็กเอ่ยนั้นไม่ได้คิดจะดูถูกพี่ชายเพียงแต่จะกระตุ้นพี่ชายให้มีบุตรไวๆเท่านั้นเยว่ลี่อิงเห็นสามีกำลังโกรธน้องชายก็เอื้อมมือมาจับมือเขาและลูบหลังมือของเขาเบาๆเพื่อให้เขาใจเย็นลง ก่อนจะส่งยิ้มหวานให้เขา เฟยห้าวเทียนเมื่อหันมามองหน้าภรรยาก็ยิ่งนึกโกรธเพราะหลายวันมานี้นางไม่ยินยอมให้เขาค้างที่เรือนนอนด้วยยังไม่พอ ยังคอยหลบหน้าหลบตาเขาอีกด้วย แถมวันนี้น้องชายยังมาดูถูกเขาอีก และที่สำคัญตอนนี้นางทำเหมือนราวกับจะอาเจียนเมื่อมองหน้าเขา เขาจึงทำหน้าไม่พอใจใส่น