หลี่เฉียงลุกเดินออกไปที่ห้องครัวเพื่อดูว่าหว่านหนิงนางหลงเหลือสิ่งใดไว้ให้เขาบ้าง แต่เมื่อจะจุดเทียนเพื่อใช้ส่องทาง ก็ต้องพบบนเชิงเทียนมีเพียงน้ำตาเทียนเท่านั้นที่เหลืออยู่
“เพ้ย อยู่เรือนเช่นไรถึงไม่ยอมเตรียมสิ่งของ” เขาสบถออกมาอย่างหัวเสีย
หากหลี่เฉียงใส่ใจสักนิดเขาจะรู้ว่าภายในเรือนยามนี้แทบไม่มีสิ่งใดหลงเหลืออยู่แล้ว
หลี่เฉียงจำต้องอาศัยแสงจันทร์นำทางมาที่ห้องครัว พอถึงห้องครัวเขาถึงได้ใช้ตะบันไฟจุดเพื่อส่องสว่าง หาดูว่ามีสิ่งใดที่พอจะใส่ลงท้องได้บ้าง
“สวรรค์ ไม่มีอะไรให้ข้ากินเลยหรือเนี่ย” เขามองห้องครัวที่ว่างเปล่าตรงหน้าอย่างเศร้าใจ
สุดท้ายหลี่เฉียงทำได้เพียงดื่มน้ำลงท้องไปให้ได้มากที่สุดแล้วกลับเข้าห้องไปนอนหนาวและหิวจนเช้า
หว่านหนิงเห็นท้องฟ้าสว่างแล้ว แต่นางยังไม่คิดที่จะลุกขึ้นจากที่นอน นางยังคิดไม่ตกว่าสมควรทำเช่นไรต่อไปดี
ปัง ปัง ปัง เสียงเคาะประตูหน้าห้องของนางดังขึ้น พร้อมทั้งเสียงร้องเรียกของหลี่เฉียงที่กำลังโมโหหิว
“หว่านหนิง เจ้าออกมาหาอะไรให้ข้ากินประเดี๋ยวนี้” เสียงทุบประตูยังดังไม่หยุด
หว่านหนิงเพียงแค่มองไปทางประตูห้องอย่างเย็นชา แต่นางไม่คิดจะลุกขึ้นไปเปิดหรือตอบสิ่งใด
หลี่เฉียงออกแรงได้ไม่นาน กลอนประตูห้องที่ไม่ได้แข็งแรงอยู่แล้วก็พังลง เขาเดินเข้ามาหยุดอยู่ที่ข้างเตียงของนางด้วยดวงตาที่แดงก่ำ
“สายปานนี้ เหตุใดเจ้ายังไม่ลุก” เขากำมือแน่น เพื่อไม่ให้ตนเองใช้มือกระชากร่างของนางขึ้นมา
“...” หว่านหนิงปรายตามองเล็กน้อย ก่อนจะพลิกตัวหันหลังหนี
โทสะจากความหิวที่มีอยู่แต่เดิม ทำให้หลี่เฉียงโมโหเพิ่มมากขึ้นยิ่งได้เห็นท่าทางที่เมินเฉยของหว่านหนิง เขาดึงตัวนางขึ้นมาอย่างแรง
จนร่างของนางเกือบจะล้มไปกองอยู่ที่พื้น แต่ดีที่หลี่เฉียงยังมีความคิด มืออีกข้างของเขารวบเอวของนางไว้ได้ทัน ร่างของทั้งสองแนบชิดกันจนไม่เหลือเป็นช่องว่าง
ใบหูของหลี่เฉียงแดงก่ำขึ้นมาทันที เขาไม่ได้ใกล้ชิดนางเพียงนี้มานานเท่าใดแล้ว ผิดกับหว่านหนิงที่แสนจะรังเกียจหลี่เฉียง ทั้งกลิ่นเหงื่อของพวกนักพนันและกลิ่นสุราที่ออกมาจากตัวของเขา ทำให้นางผลักตัวของเขาออกทันที
“อยากกินก็ไปหากินเอง ข้าไม่ทำ” นางกลับไปนั่งลงที่เตียง เพราะข้อเท้าของนางยังปวดอยู่ไม่น้อย
“ในครัวไม่มีสิ่งใดเหลืออยู่แล้ว แล้วจะให้ข้าไปทำอันใด”
“ก็ใช่ไง ไม่มีสิ่งใดเหลือแล้ว เงินก้อนสุดท้ายที่มีท่านก็นำไปเล่นพนันหมด ตอนนี้จะมาร้องหาสิ่งใด” เสียงที่เรียบเฉยของนางทำให้หลี่เฉียงเม้มปากแน่น
เขาคิดว่าหากนางได้รู้เรื่องนี้คงจะโวยวายด่าทอ หรือทุบตีเขาเช่นเมื่อวาน แต่นี่นางไม่แม้แต่จะต่อว่า หรือมองเขาเลยด้วยซ้ำ
“ขะ ข้า ข้าคิดว่ามือข้าจะขึ้น จะมีเงินมาลงทุนค้าขายหาเงินเข้าเรือน” เขาเอ่ยแก้ตัวออกมา
“อ้อ แล้วเป็นเช่นใดเล่า” นางช้อนสายตาขึ้นมามองเขา
“เหอะ เจ้าไม่ต้องถาม หากไม่มีก็ต้องไปหา ข้าเห็นสตรีในหมู่บ้านขึ้นเขาไปหาของป่ามากิน เหตุใดเจ้าไม่ทำ”
“หึ” หว่านหนิงสบถออกมา นางไม่อยากเชื่อว่าเขาจะมีความคิดที่ติดลบมากถึงเพียงนี้
“ท่านรู้เช่นนี้ก็ขึ้นเขาไปเองเถิด ข้าไม่ทำ” นางจะล้มตัวลงนอนอีกครั้ง แต่ก็ถูกหลี่เฉียงดึงรั้งไว้
“เจ้าเป็นภรรยาจะปล่อยให้ผู้เป็นสามีอดตายได้อย่างไร”
“หลี่ เฉียง ท่านยังจำได้หรือว่าในเรือนยังมีภรรยา หากท่านคิดถึงข้าสักนิดคงไม่นำเงินก้อนสุดท้ายไปเล่นพนัน” นางพูดแสงลอดไรฟันออกมา
“ผู้ใดจะรู้เล่าว่าจะเสีย”
“เหอะ มีนักพนันคนใดที่ขนเงินกลับบ้านบ้างเล่า เรื่องเพียงเท่านี้ท่านยังคิดไม่ได้ เมื่อก่อนท่านจะถูกสั่งสอนมาเช่นไรข้าไม่รู้ แต่หากไม่คิดจะทำตัวให้ดีขึ้นก็ต้องปล่อยข้าไป ข้าบอกท่านถึงสองหนว่าข้ามิใช่ซูหว่านหนิง มิอาจทนอยู่กับบุรุษไร้ค่าเช่นท่านได้ รบกวนท่านเขียนหนังสือหย่าให้ข้าเถิด”
สิ้นคำว่าหนังสือหย่า หลี่เฉียงดึงตัวของหว่านหนิงขึ้นมาเผชิญหน้ากับเขา มือของเขายึดเอวคอดกิ่วของนางไว้แน่น
“เจ้าอย่าได้คิดเอ่ยเรื่องหย่าออกมาอีก ต่อให้เจ้าไม่ใช่นาง แต่ในเมื่ออยู่ในร่างของนางเช่นนี้ เจ้าก็ต้องอยู่กับข้าจนกว่าจะตายจากกัน” เมื่อกล่าวจบเขารั้งคอของนางไว้แน่น
พร้อมทั้งก้มลงประกบปากจุมพิตนางทันที หลี่เฉียงไม่รู้ตัวว่าเขากำลังทำสิ่งใด เพียงแต่ไม่อยากให้นางพูดเรื่องหย่าอีก และเขาไม่ต้องการให้นางทิ้งเขาไปด้วย
เพราะความผิดหวัง ช้ำใจที่ถูกผู้เป็นบิดาทอดทิ้ง ทั้งยังโดนมารดาเลี้ยงที่ตนรักดั่งมารดาผู้ใดกำเนิดหักหลัง เขาจึงไม่ต้องการให้หว่านหนิงที่เป็นภรรยาของตนทิ้งเขาไปด้วยอีกคน
หว่านหนิงตกใจกับสิ่งที่หลี่เฉียงทำไม่น้อย นางจะร้องประท้วงแต่ก็ถูกเรียวลิ้นของเขาปิดกั้นเสียงของนางไว้เสียก่อน
กลิ่นสุราและรสสุรายังไม่จางหายไปจากปากของหลี่เฉียง ยามที่เรียวลิ้นของเขาตวัดเกี่ยวพันลิ้นของนาง หว่านหนิงก็แทบจะมัวเมาไปด้วยรสของสุราทันที
ยามที่นางได้สติ หว่านหนิงจึงกัดไปที่ริมฝีปากของเขาอย่างแรง จนหลี่เฉียงจำต้องปล่อยตัวนางให้เป็นอิสระ
ฉาด เสียงฝ่ามือตบลงบนหน้าของหลี่เฉียง “ทะ ท่านมันสารเลว” หว่านหนิงร่ำไห้ออกมาอย่างปวดใจ
นางต้องมาพบเจอเรื่องเลวร้ายถึงเพียงนี้เลยรึ เหตุใดวิญญาณของนางที่สมควรจะต้องไปดื่มน้ำแกงยายเมิ่ง ถึงต้องมารับกรรมในภพนี้กับหลี่เฉียงด้วย
หลี่เฉียงตกใจไม่น้อยที่หว่านหนิงนางร่ำไห้ออกมาเสียงดัง เมื่อวานที่เขาเห็นน้ำตาของนางถึงสองครั้ง เสียงร้องไห้ของนางแทบจะไม่มีหลุดออกมาให้ได้ยิน
“หนิงหนิง หนิงหนิง ข้าขอโทษ” เขาเดินเข้ามาหานางด้วยท่าทางที่กระวนกระวาย
“อย่าเข้าใกล้ข้า ข้าเกลียดท่าน เกลียดทุกสิ่งที่นี่ สวรรค์ ทำไมท่านไม่ปล่อยให้ข้าตายไปเสีย พาข้ามาที่นี่ทำไม” นางทรุดตัวลงร้องไห้กับพื้นอย่างน่าสงสาร
หลี่เฉียงเขาถึงได้ตระหนักว่าสิ่งที่เขาทำมันน่าละอายสิ้นดี ยิ่งได้ฟังคำพูดที่ตัดพ้อชะตาของนางเขาก็ยิ่งเสียใจ
“หนิงหนิง ข้าขอโทษ ต่อไปข้าจะไม่ทำเช่นนี้กับเจ้าอีกแล้วดีหรือไม่” เขาคุกเข่าลงข้างนาง แต่พอจะยื่นมือเขามาลูบหลังปลอบนาง นางก็สะบัดหนีอย่างรังเกียจ
“หลี่เฉียง ข้าพูดเรื่องจริง หากท่านยังไม่คิดจะปรับปรุงตัวก็ควรปล่อยข้าไป”
“ข้าจะปรับปรุงตัว เจ้าต้องการให้ข้าทำสิ่งใด เจ้าบอกข้ามาได้เลย” เขาพยายามจะจับมือของหว่านหนิงแต่นางก็ไม่ยินยอม
“เช่นนั้นท่านก็ออกไปหาของป่ามาให้ข้าทำอาหาร ต่อไปท่านต้องเลิกไปหอพนันและอย่าได้ดื่มสุราทุกวันเช่นเดิมอีก” หากมีเงินขึ้นมาเล็กน้อยค่อยมาคิดเรื่องปลูกข้าว ปลูกผัก เงินที่จะหาซื้อเมล็ดพันธุ์ยังไม่มีเลยสักเหรียญทองแดง
“ได้ ได้ ข้าล้วนฟังเจ้า” เพราะเขากลัวการถูกทิ้งให้อยู่ลำพังมิใช่น้อย
หลี่เฉียงภายในอกของเขาสั่นสะท้านขึ้นมา เมื่อรู้ว่าครั้งนี้เขาต้องเสียนางไปอย่างแน่นอน เขาพุ่งตัวเขาไปกอดหว่านหนิงจากด้านหลังไว้แน่น“ทะ ท่าน ท่านปล่อยข้าประเดี๋ยวนี้นะ” นางดิ้นอย่างไม่ยินยอม“หนิงหนิง ข้ายอมแล้ว ยอมทุกอย่าง แต่เจ้าอย่าได้ทิ้งข้าไว้ลำพังได้หรือไม่”“เหอะ ท่านก็ไปหาสตรีอื่นมาอยู่ด้วยสิ ในหมู่บ้านย่อมต้องมีสักคนที่หลงรูปของท่าน” นางยังคงดิ้นเพื่อให้หลุดจากการเกาะกุมของเขา“ไม่ หนิงหนิง ข้าต้องการเพียงแค่เจ้า” เขากอดนางไว้แน่นกว่าเดิม“ปล่อย ข้าหายใจไม่ออก หากท่านต้องการข้า ท่านคงไม่ทิ้งข้าไว้ผู้เดียวทั้งคืน ทั้งยังนำเงินที่ข้าหามาอยากยากลำบากไปเล่นพนัน” นางเอ่ยออกมาอย่างเหนื่อยใจยิ่งคิดว่าต้องจับปลาเมื่อวานมากเพียงใด นางก็ปวดใจมากขึ้น ความหวังที่จะได้มีเงินมาลงทุนซื้อผ้ามาปักขาย แต่เขากลับซื้อมาให้นางเพียงเล็กน้อย แล้วนำเงินที่เหลือไปเป็นทุนเล่นพนัน“หนิงหนิง ข้าจะไม่ทำอีกแล้ว ให้โอกาสข้าได้หรือไม่” เขาซุกหน้าลงกับซอกคอของนาง“หลี่เฉียง ข้าเคยให้โอกาสท่านไปแล้ว คนเราไม่มีโอกาสแก้ตัวบ่อยครั้งนักหรอกนะ”หากมีโอกาสแก้ตัวจริง วันนั้นนางคงไม่ต่อว่าเทพชะตาเช่นนั้น และคงไม่ดื่
หว่านหนิงมาหาท่านย่าที่เรือนของเขาตั้งแต่เช้า นางต้องการนำปลาเข้าไปขายในหมู่บ้าน แต่ไม่รู้จะต้องไปขายที่ตรงใด จึงได้มาถามกับป้าตู้ ตอนนั้นเขาเพิ่งออกมาจากห้องนอนพอดีจึงได้เห็นนางเข้า“ท่านป้าตู้ ท่านพอจะบอกข้าได้หรือไม่ว่าควรจะไปขายที่ใดของหมู่บ้านเจ้าคะ” หว่านหนิงแบกถังน้ำมาด้วยสองถังตัวของนางบอบบางจนแทบมิอาจจะยกถังน้ำทั้งสองมาด้วยตนเองได้“อาเฉียงไปที่ใดเล่า เหตุใดปล่อยให้เจ้ายกของหนักเช่นนี้” ป้าตู้อดที่จะเอ่ยถามออกมาไม่ได้“อย่าไปพูดถึงบุรุษสารเลวเช่นนั้นเลย ตั้งแต่เมื่อวานเขายังมิได้กลับเรือน” นางโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ“อาหนิงเอ๋ยยยย” ป้าตู้อดที่จะเห็นใจนางไม่ได้“ช่างเถิดเจ้าค่ะ ท่านพอจะบอกข้าได้หรือไม่”“ไป ไปข้าจะพาไป” ป้าตู้จะเข้ามาช่วยหว่านหนิงนางยก แต่นางกลับปฏิเสธจะให้ป้าตู้พาไปแล้วยังจะขอให้นางช่วยยกอีกรึ“ไม่ต้องเจ้าค่ะ ข้ายกเองได้ ท่านเพียงเดินนำทางก็พอ” หว่านหนิงกำลังจะยกถังน้ำที่มีปลาอยู่เต็มขึ้นแต่ก็ถูกฝ่ามือหนาของตู้ลู่จื้อที่ไม่รู้ว่าเดินมาที่พวกนางตั้งแต่เมื่อใด แย่งยกตัดหน้านางก่อน“ทะ ท่าน ข้ายกเองเจ้าค่ะ” นางที่กำลังจะแย่งมา แต่ถูกเขาเบี่ยงตัวหลบ“ท่านย่านำทางเถ
หลงจู๊รู้ข่าวจากเสี่ยวเอ้อว่ามีชาวบ้านนำปลาเป็นๆ มาขายก็รีบเร่งมาตรวจดูของด้วยตนเองทันที“สวรรค์ ยังไม่ตายจริงด้วย” เขามองปลาที่ยังมีชีวิตอย่างพอใจ ปลาเช่นนี้หากขายในวันแรกไม่หมดก็ยังสามารถเก็บไว้ได้ เหลาอาหารย่อมต้องการเป็นอย่างมาก“ท่านรับซื้อหรือไม่” หลี่เฉียงเร่งถามทันที เขายังต้องไปซื้อของที่หว่านหนิงนางสั่งอีกมาก“ซื้อๆ อาต๋า เจ้ารีบนำปลาไปชั่งเร็วเข้า”หลี่เฉียงขวางทางไว้ไม่ให้เสี่ยวเอ้อเข้าไปยกของลงจากเกวียนวัว“ประเดี๋ยว ท่านยังไม่ได้บอกข้าเลยว่าจะซื้อเท่าใด”“อ้อ ใช่ ๆ จินละแปดสิบอิแปะ เจ้าเห็นเป็นเช่นไร” หลี่เฉียงยกยิ้มอย่างพอใจ“ได้” เขาเดินหลบไปอยู่ด้านข้าง เพื่อเปิดทางให้เสี่ยวเอ้อยกปลาไปชั่งปลาหลายสิบตัวที่หว่านหนิงนางจับมาได้ แต่ละตัวมีน้ำหนักไม่ต่ำกว่าหนึ่งจิน บางตัวเกือบสามจินเลยทีเดียว“ท่านหลงจู๊ ทั้งหมดหกสิบจินขอรับ”หลี่เฉียงรีบคำนวณอย่างไว ว่าเขาจะต้องได้เงินเป็นจำนวนเท่าใด เขาต้องได้เงินทั้งหมด ห้าตำลึงเงินกับอีกสองร้อยอิแปะ นับว่าไม่น้อยเลยทีเดียว ตอนแรกคิดว่าจะได้ไม่เกินสามตำลึงเสียอีกหลงจู๊ยื่นเงินส่งให้หลี่เฉียง พร้อมทั้งบอกเขาว่าหากจับมาได้อีกให้นำมาขายท
หลี่เฉียงออกไปจัดการเรื่องเช่าเกวียนวัวที่จะเข้าเมือง หว่านหนิงนางส่งเงินให้เขาไปก่อนสิบอิแปะ เพื่อนำไปจ่ายค่าเกวียนวัว ส่วนที่เหลือจะให้ในวันพรุ่งนี้“ท่านแวะซื้อข้าวสารในหมู่บ้านมาให้ข้าก่อนสักหนึ่งจิน พรุ่งนี้เช้าข้าจะได้ทำอาหารให้ท่านก่อนออกไปขายปลา”“ได้” หลี่เฉียงแบมือขอเงินเพิ่ม“เท่าใด”“ข้าก็ไม่รู้” เขาเคยซื้อของพวกนี้เสียที่ไหน“เช่นนั้นเอาไป แล้วเอากลับมาคืนด้วย” นางส่งถุงเงินที่เหลืออีกสามสิบตำลึงให้เขา“รู้แล้ว เงินเจ้าข้าไม่เอาหรอก” หลี่เฉียงเบ้ปากอย่างไม่พอใจ เงินไม่กี่สิบอิแปะเขาจะเอาไปทำไม“แล้วรีบกลับมาด้วย อย่าได้แวะที่ใดเด็ดขาด” นางเอ่ยเตือนเขาก่อนที่จะออกจากเรือนไปอาหารที่หว่านหนิงนางทำไว้เพียงพอให้กินได้ถึงมื้อเย็นนางจึงไม่ต้องเหนื่อยทำเพิ่ม เมื่อเก็บกวาดเรือนในส่วนที่เหลือต่อจากเมื่อวานแล้วพอหลี่เฉียงกลับมาที่เรือนพร้อมกับข้าวสารหนึ่งจิน แล้วนำถุงเงินที่ว่างเปล่ากลับมาคืน นางจึงได้รู้ว่าข้าวสารมีราคาจินละสามสิบอิแปะ“เห้อ สามสิบอิแปะ ได้มาหนึ่งจิน จะกินได้กี่วัน” นางมองข้าวสารในถุงที่หลี่เฉียงส่งมาให้นาง“เอาเถิด พรุ่งนี้ข้าจะซื้อในเมืองมาให้มากเสียหน่อย ของใน
หว่านหนิงเห็นหลี่เฉียงออกมาจากห้องน้ำพร้อมทั้งเสื้อผ้าที่ซักเรียบร้อยแล้วของเขา นางก็อดที่จะนิ่งอึ้งไม่ได้ ถึงขนาดไม่ทิ้งเสื้อผ้าให้นางซักเอง คงจะโกรธนางไม่น้อยเลยทีเดียว“อาหารเสร็จแล้ว มาช่วยข้ายกเร็วเข้า” นางร้องเรียกเขาหลี่เฉียงก็เดินเข้ามาช่วยนางยกอาหารด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย ไม่ได้ตื่นเต้นที่เห็นอาหารตรงหน้า“ท่านโกรธข้ามากเลยรึ” นางเอ่ยถามออกมาเมื่อเขาเอาแต่นั่งก้มหน้ากินไม่เอ่ยพูดกับนาง“อืม” เขาตอบรับเบาๆ“ข้าก็ขอโทษแล้วอย่างไร”“อืม”“เหอะ อยากจะงอนก็งอนไป” นางหยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจหลี่เฉียงจะเข้าใจคำว่างอนของนางได้อย่างไร เพียงแต่พอจะรู้ว่านางคงจะถากถางเขาอยู่แน่“ข้าถูกเปรียบเทียบกับอาเจิ้งตั้งแต่เล็ก เพราะข้าหัวไม่ดีสู้เขาไม่ได้ อยู่ในสำนักศึกษาก็ถูกเยาะเย้ย ข้าจึงหันไปติดพนันกับสุรา คนพวกนั้นจริงใจกว่าพวกบัณฑิตในสำนักศึกษาเสียอีก”หว่านหนิงมองเขาอย่างเห็นใจ หลี่เฉียงยังคงก้มหน้าก้มตากินอาหารของเขาต่อไปโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองนาง“ข้าว่าไม่ใช่เพราะท่านหัวไม่ดี เพียงแต่ท่านถูกเลี้ยงดูมาไม่ดีเสียมากกว่า อาเฉียงหากท่านเปลี่ยนแปลงตนเองได้ ก็จะไม่มีผู้ใดมาดูถูกท่านได้”หลี่เฉี
ป้าตู้นางกลับมาถึงเรือนพอดี จึงได้เข้ามาช่วยแก้ไขสถานการณ์ที่กระอักกระอ่วนหน้าเรือน“อาหนิงเจ้ามาเร็วเสียจริง” นางอดจะเย้าออกมาไม่ได้“ก็ข้ากลัวว่าท่านจะเปลี่ยนใจ” นางยิ้มจนตาหยี สองบุรุษที่ยืนอยู่ไม่ไกลมองรอยยิ้มของนางอย่างตกตะลึงเหมือนตู้ลู่จื้อจะรู้ตัวว่าตนกำลังทำสิ่งที่ไม่สมควร เพราะนางเป็นภรรยาของผู้อื่น สามีของนางก็ยังยืนอยู่ตรงนี้ด้วย“ฮ่า ฮ่า ข้าจะเปลี่ยนใจได้อย่างไร เจ้ารอประเดี๋ยวข้าจะรีบไปหยิบเงินมาให้” ป้าตู้รับปลาจากตะกร้าของหว่านหนิงแล้วเดินเข้าเรือนไป“เจ้าจับปลาได้อย่างไร” หลี่เฉียงเดินเข้ามากระซิบถามนางด้วยความอยากรู้“ท่านถอยไปหน่อย” นางยกมือขึ้นบีบจมูก พร้อมทั้งดันตัวเขาให้ออกห่าง“ข้าเหม็นมากเช่นนั้นรึ” หลี่เฉียงก้มลงดมเสื้อผ้าของตนเอง ก็ไม่เห็นจะเหม็นเหมือนที่นางรังเกียจ เพียงแค่สกปรกไปสักหน่อยก็เท่านั้น“ยังมีหน้ามาถาม” หว่านหนิงถลึงตาใส่เขา“หึหึ” ตู้ลู่จื้อหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อเห็นท่าทางของหว่านหนิงที่กระทำกับหลี่เฉียง“เจ้าหัวเราะอันใด แล้วเหตุใดยังไม่เข้าเรือนไปอีก” เขาเดินมาบังตัวของหว่านหนิงไว้ให้พ้นจากสายตาของตู้ลู่จื้อ“ข้ารอปิดเรือน” เขาหยักไหล่อย่างไม