หนิงหนิง ไม่รู้ว่าเธอถูกพาตัวมาส่งที่โรงพยาบาลตอนไหน คงเป็นอาเยว่ที่พาเธอมา เพราะตอนนี้เธอเริ่มจะรู้สึกตัวแล้ว
“จะ เจ็บ” เธอพึมพำออกมาเบาๆ เสียงที่แหบเสียจนแทบจะไม่มีเสียงออกมาจากลำคอของเธอ
ตอนนี้เธออยากจะขอความช่วยเหลือจากใครสักคน เพราะเธอหิวน้ำ มือของหว่านหนิงเอื้อมคลำไปด้านข้างอย่างสะเปะสะปะ เพื่อหาปุ่มกดเรียกพยาบาล
หรือหากมีคนเฝ้าอยู่ภายในห้อง ย่อมต้องเห็นว่าเธอตอนนี้รู้สึกตัวแล้ว แต่ก็ไม่มีเสียงใดเกิดขึ้น ดวงตาที่ยังไม่อาจลืมได้เต็มที่ ก็ทำให้ไม่สะดวกที่จะทำสิ่งใด
หว่านหนิงค่อยๆ หยันตัวขึ้นเพื่อพิงหัวเตียง “อ๊ะ” มือทั้งสองข้างของเธอไม่ได้หัก ขาก็ไม่ได้หัก เพียงแค่ปวดเมื่อยตามเนื้อตัวไปหมดเท่านั้น
สิ่งนี่ทำให้เธออดที่จะแปลกใจไม่ได้ แรงชนของรถที่เธอถูกชน เป็นไปไม่ได้หากจะไม่มีส่วนใดที่แตกหัก ถ้าจะบอกว่าเธอสมควรตายทันทีเลยก็ดูจะไม่เกินจริงนัก
“ฟื้นแล้วรึ” เสียงบุรุษหยานคาง เหมือนจะดื่มมาไม่น้อย ถามเธอขึ้นมา มือที่คว้านหาปุ่มกดกับโทรศัพท์ของหว่านหนิงหยุดชะงักทันที
“หือ” เพียงแค่เขาเดินเข้ามาใกล้เธอก็ต้องย่นจมูกทันที เพราะกลิ่นของแอลกอฮอล์ที่ออกมาจากตัวของเขาดูเหมือนจะไม่ใช่น้อยๆ เลย
“คุณเป็นคนที่ชนฉันใช่ไหม ดื่มมามากขนาดนี้ ทำไมถึงไม่ถูกตำรวจจับห๊ะ” นางตำหนิออกมาอย่างไม่พอใจ แม้แต่ตาที่ยังลืมไม่ขึ้นเธอก็เชื่อว่าเธอต้องหันไปทางทิศที่เขายืนอยู่ถูกอย่างแน่นอน ก็กลิ่นเหล้าหึ่งแบบนี้
“เจ้าพูดบ้าอันใด” เสียงเย็นชาที่ดูจะไม่พอใจนางเอ่ยตำหนิเสียงดัง
“คุณพูดอะไร พูดเหมือนกับคนโบราณ ฉันไม่ตลกด้วยนะ ไปเรียกพยาบาลมาให้ฉันก่อน ฉันหิวน้ำ จะเข้าห้องน้ำด้วย” หว่านหนิงขยี้ตาของเธอ เพื่อให้มันลืมได้เสียที
หากต้องรอให้ตาบ้านี่ไปตามพยาบาลมาช่วยเธอ วันนี้เธอก็คงไม่ได้ดื่มน้ำ หรือเข้าห้องน้ำแน่
ภาพตรงหน้าของหว่านหนิงค่อยๆ ปรากฏให้เห็นเลือนราง ก่อนจะชัดเจนขึ้นช้าๆ
พอดวงตาของเธอปรับให้สู้แสงแดดที่ส่องเข้ามาได้แล้ว ภาพตรงหน้าก็ทำให้หว่านหนิงตกตะลึงนิ่งงันไปทันที
ทั้งสองมองจ้องกันไปมาอย่างไม่ลดละ กว่าที่หว่านหนิงจะรู้สึกตัว บุรุษตรงหน้าก็เดินเข้ามาจับหน้าผากเธอเสียแล้ว
“เฮ้ยย” เธอร้องอย่างตกใจ ทั้งถอยหลังไปจนชิดผนังที่อยู่ด้านใน
“เจ้าเป็นบ้าอันใดขึ้นมาอีกเล่า” เขามองหว่านหลินอย่างสงสัย
“คุณนั่นแหละเป็นใคร แล้วเข้ามาได้ไง ฉะ ฉัน ฉัน...” เธอมองสำรวจห้องที่เธออยู่ไปด้วย “ที่ไหนวะเนี่ย” เธอกรีดร้องออกมาอย่างเสียขวัญ พร้อมทั้งดึงทึ้งผมของตนเองไปด้วย
ห้องเก่าๆ ที่ผนังดำเหมือนขึ้นรา เตียงไม้ที่ทำขึ้นมาจากไม้ไผ่ดูไม่แข็งแรง ทั้งยังหมอนหนุนที่คงจะใช้ไม้ทั้งท่อนทำขึ้นมา ไหนจะผ้าห่มที่เหม็นอับจนอยากจะสะบัดทิ้งเสียตอนนี้
คนตรงหน้าก็แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าย้อนยุค เก่าเสียจนคิดว่าห่อด้วยผ้าเช็ดพื้นไว้ ไหนจะหนวดเคราที่รกรุงรังไม่ได้โกนออกให้เรียบร้อยจนดูไม่ออกว่าเขามีอายุเท่าไหร่
“พูดอันใดของเจ้า ข้าฟังไม่รู้เรื่อง หรือว่าตกเขาจนความจำเสื่อมไปเสียแล้ว” เขายิ้มเยาะมองสตรีตรงหน้า
หากนางไม่คิดจะหนีออกจากหมู่บ้าน นางจะตกเขาได้อย่างไร คงนึกเสียใจที่แต่งให้เขาจนอยากจะหนีกลับไปที่เมืองหลวง
“ตกเขา ฉันถูกรถชนไม่ใช่เหรอ” แววตาที่ทั้งสับสนทั้งหวาดกลัว ทำให้หลี่เฉียงแปลกใจไม่น้อย
ซูหว่านหนิง สตรีไร้ยางอาย นางไม่เคยหวาดกลัวสิ่งใดมาก่อน ในตอนแรกที่เขาเห็นว่านางฟื้นขึ้นมาคงได้อ้าปากด่าทอเขา ที่พานางกลับมาอยู่ในที่ที่ซอมซ่ออย่างแน่นอน
นี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางคิดหนีกลับเมืองหลวง แต่ทุกครั้งนางก็ไปได้ไม่ไกลก็ถูกเขาตามกลับมาได้ ในเมื่อนางอยากแต่งให้เขาก็ต้องทนทุกข์ทรมานไปกับเขาด้วย
นางที่เป็นคนหลงใหลในชื่อเสียงเงินทอง ย่อมไม่อาจทนอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้ ที่นางยอมแต่งให้เขาก็เพราะหลี่เฉียงเป็นบุตรชายคนโตของคหบดีหาน พ่อค้าผู้มั่งคั่งในเมืองหลวง
หลี่เฉียงแม้จะเป็นบุตรชายคนโต ก็ไม่ได้มีความสำคัญมากนักในตระกูลทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะเขาทำตัวเอง ด้วยมารดาของเขาเสียตั้งแต่เขายังเล็ก บิดาจึงได้แต่งสุ่ยอวี้ ญาติผู้น้องของมารดาตนเข้ามาเป็นภรรยาเพื่อดูแลหลี่เฉียง
สุ่ยอวี้ในตอนแรกก็เลี้ยงหลี่เฉียงมาด้วยความรักเช่นบุตรของนาง ถึงอย่างไรเขาก็เป็นหลานชายของนางแท้ๆ แต่เมื่อนางมีบุตรชายของตนเอง ความรักที่มีให้เขาก็แปรเปลี่ยน
ต่อหน้าผู้เป็นสามีนางก็รักหลี่เฉียงราวกับบุตรที่นางคลอด แต่พอลับหลังสามีนางสอนหลี่เฉียงให้กลายเป็นคุณชายน้อยผู้ร้ายกาจ ไม่อยากเรียนนางก็ไม่ให้ไปเรียน อยากจะเที่ยวเล่นนางก็ล้วนแต่เห็นดีเห็นงามด้วย ชื่อเสียงของเขาไม่มีผู้ใดพูดถึงในทางที่ดี
ทั้งเรื่องสุรา การพนันเข้าล้วนแต่ชื่นชอบทั้งหมด เพียงแต่ไม่เข้าหอคณิกาเท่านั้น เพียงสองสิ่งผู้เป็นบิดาก็เริ่มจะไม่พอใจเขามากแล้ว
นางสุ่ยซื่อยังจัดหาหว่านหนิงมาตบแต่งให้เขาด้วยตนเอง ในช่วงแรกนางทั้งอ่อนหวานและอ่อนโยน เพียงแค่เดือนเดียวเท่านั้นความร้ายกาจของนางก็ปรากฏออกมาเรื่อย ๆ
หลี่เฉียงกับหว่านหนิงทะเลาะกันแทบจะทุกวัน เพียงแต่งงานกันยังไม่พ้นเดือน สุดท้ายเมื่ออยู่ในเรือนไม่มีความสุขเขาก็แทบจะกินนอนอยู่ที่หอพนันเลยทีเดียว
ความอดทนของคหบดีหานหมดลง เมื่อหอพนันนำใบทวงหนี้ก้อนใหญ่มาหาเขาถึงจวน ครั้งนี้เขาถึงจ่ายเงินถึงสองพันตำลึงทอง หากไม่จ่ายบุตรชายก็ต้องถูกตัดมือทิ้ง
“อาเฉียง พ่อจะยอมช่วยเจ้าครั้งสุดท้าย หากมีอีกครั้งเจ้าก็ไสหัวออกไปจากตระกูลหานได้เลย!!!” ครั้งนี้ดูเหมือนผู้เป็นบิดาจะได้พูดเล่นๆ เสียแล้ว หลี่เฉียงจำต้องยอมรับปากบิดาของตน
เขาเห็นแววตาของบิดาที่เสียใจกับสิ่งที่เขาทำ จึงคิดที่จะกลับเนื้อกลับตัว แต่ก็เพียงแค่ไม่กี่วัน เมื่อนางสุ่ยซื่อที่ต้องการให้เขาถูกขับออกจากตระกูลอยู่แล้วก็สร้างเรื่องให้หลี่เฉียงกับหว่านหนิงทะเลาะกัน
พอหลี่เฉียงขาดสติจากเรื่องที่หว่านหนิงนางชวนทะเลาะ สุ่ยซื่อก็เข้ามาทำทีว่าเข้าใจในตัวเขา มอบเงินให้เขาหนึ่งก้อน เพื่อให้ตนเองออกไปหาความสำราญด้านนอก
เขาคิดว่าเงินก้อนนี้หากจะได้หรือเสียก็จะขอไปอีกเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น แล้วอย่างไรเล่าเขาที่เสียจนมิอาจถอนตัวได้ก็กลายเป็นหนี้อีกครั้ง
ถึงแม้ครั้งนี้จะเพียงไม่กี่ร้อยตำลึงเงิน แต่ผู้เป็นบิดากลับไม่ให้โอกาสเขาอีกแล้ว
หลี่เฉียงภายในอกของเขาสั่นสะท้านขึ้นมา เมื่อรู้ว่าครั้งนี้เขาต้องเสียนางไปอย่างแน่นอน เขาพุ่งตัวเขาไปกอดหว่านหนิงจากด้านหลังไว้แน่น“ทะ ท่าน ท่านปล่อยข้าประเดี๋ยวนี้นะ” นางดิ้นอย่างไม่ยินยอม“หนิงหนิง ข้ายอมแล้ว ยอมทุกอย่าง แต่เจ้าอย่าได้ทิ้งข้าไว้ลำพังได้หรือไม่”“เหอะ ท่านก็ไปหาสตรีอื่นมาอยู่ด้วยสิ ในหมู่บ้านย่อมต้องมีสักคนที่หลงรูปของท่าน” นางยังคงดิ้นเพื่อให้หลุดจากการเกาะกุมของเขา“ไม่ หนิงหนิง ข้าต้องการเพียงแค่เจ้า” เขากอดนางไว้แน่นกว่าเดิม“ปล่อย ข้าหายใจไม่ออก หากท่านต้องการข้า ท่านคงไม่ทิ้งข้าไว้ผู้เดียวทั้งคืน ทั้งยังนำเงินที่ข้าหามาอยากยากลำบากไปเล่นพนัน” นางเอ่ยออกมาอย่างเหนื่อยใจยิ่งคิดว่าต้องจับปลาเมื่อวานมากเพียงใด นางก็ปวดใจมากขึ้น ความหวังที่จะได้มีเงินมาลงทุนซื้อผ้ามาปักขาย แต่เขากลับซื้อมาให้นางเพียงเล็กน้อย แล้วนำเงินที่เหลือไปเป็นทุนเล่นพนัน“หนิงหนิง ข้าจะไม่ทำอีกแล้ว ให้โอกาสข้าได้หรือไม่” เขาซุกหน้าลงกับซอกคอของนาง“หลี่เฉียง ข้าเคยให้โอกาสท่านไปแล้ว คนเราไม่มีโอกาสแก้ตัวบ่อยครั้งนักหรอกนะ”หากมีโอกาสแก้ตัวจริง วันนั้นนางคงไม่ต่อว่าเทพชะตาเช่นนั้น และคงไม่ดื่
หว่านหนิงมาหาท่านย่าที่เรือนของเขาตั้งแต่เช้า นางต้องการนำปลาเข้าไปขายในหมู่บ้าน แต่ไม่รู้จะต้องไปขายที่ตรงใด จึงได้มาถามกับป้าตู้ ตอนนั้นเขาเพิ่งออกมาจากห้องนอนพอดีจึงได้เห็นนางเข้า“ท่านป้าตู้ ท่านพอจะบอกข้าได้หรือไม่ว่าควรจะไปขายที่ใดของหมู่บ้านเจ้าคะ” หว่านหนิงแบกถังน้ำมาด้วยสองถังตัวของนางบอบบางจนแทบมิอาจจะยกถังน้ำทั้งสองมาด้วยตนเองได้“อาเฉียงไปที่ใดเล่า เหตุใดปล่อยให้เจ้ายกของหนักเช่นนี้” ป้าตู้อดที่จะเอ่ยถามออกมาไม่ได้“อย่าไปพูดถึงบุรุษสารเลวเช่นนั้นเลย ตั้งแต่เมื่อวานเขายังมิได้กลับเรือน” นางโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ“อาหนิงเอ๋ยยยย” ป้าตู้อดที่จะเห็นใจนางไม่ได้“ช่างเถิดเจ้าค่ะ ท่านพอจะบอกข้าได้หรือไม่”“ไป ไปข้าจะพาไป” ป้าตู้จะเข้ามาช่วยหว่านหนิงนางยก แต่นางกลับปฏิเสธจะให้ป้าตู้พาไปแล้วยังจะขอให้นางช่วยยกอีกรึ“ไม่ต้องเจ้าค่ะ ข้ายกเองได้ ท่านเพียงเดินนำทางก็พอ” หว่านหนิงกำลังจะยกถังน้ำที่มีปลาอยู่เต็มขึ้นแต่ก็ถูกฝ่ามือหนาของตู้ลู่จื้อที่ไม่รู้ว่าเดินมาที่พวกนางตั้งแต่เมื่อใด แย่งยกตัดหน้านางก่อน“ทะ ท่าน ข้ายกเองเจ้าค่ะ” นางที่กำลังจะแย่งมา แต่ถูกเขาเบี่ยงตัวหลบ“ท่านย่านำทางเถ
หลงจู๊รู้ข่าวจากเสี่ยวเอ้อว่ามีชาวบ้านนำปลาเป็นๆ มาขายก็รีบเร่งมาตรวจดูของด้วยตนเองทันที“สวรรค์ ยังไม่ตายจริงด้วย” เขามองปลาที่ยังมีชีวิตอย่างพอใจ ปลาเช่นนี้หากขายในวันแรกไม่หมดก็ยังสามารถเก็บไว้ได้ เหลาอาหารย่อมต้องการเป็นอย่างมาก“ท่านรับซื้อหรือไม่” หลี่เฉียงเร่งถามทันที เขายังต้องไปซื้อของที่หว่านหนิงนางสั่งอีกมาก“ซื้อๆ อาต๋า เจ้ารีบนำปลาไปชั่งเร็วเข้า”หลี่เฉียงขวางทางไว้ไม่ให้เสี่ยวเอ้อเข้าไปยกของลงจากเกวียนวัว“ประเดี๋ยว ท่านยังไม่ได้บอกข้าเลยว่าจะซื้อเท่าใด”“อ้อ ใช่ ๆ จินละแปดสิบอิแปะ เจ้าเห็นเป็นเช่นไร” หลี่เฉียงยกยิ้มอย่างพอใจ“ได้” เขาเดินหลบไปอยู่ด้านข้าง เพื่อเปิดทางให้เสี่ยวเอ้อยกปลาไปชั่งปลาหลายสิบตัวที่หว่านหนิงนางจับมาได้ แต่ละตัวมีน้ำหนักไม่ต่ำกว่าหนึ่งจิน บางตัวเกือบสามจินเลยทีเดียว“ท่านหลงจู๊ ทั้งหมดหกสิบจินขอรับ”หลี่เฉียงรีบคำนวณอย่างไว ว่าเขาจะต้องได้เงินเป็นจำนวนเท่าใด เขาต้องได้เงินทั้งหมด ห้าตำลึงเงินกับอีกสองร้อยอิแปะ นับว่าไม่น้อยเลยทีเดียว ตอนแรกคิดว่าจะได้ไม่เกินสามตำลึงเสียอีกหลงจู๊ยื่นเงินส่งให้หลี่เฉียง พร้อมทั้งบอกเขาว่าหากจับมาได้อีกให้นำมาขายท
หลี่เฉียงออกไปจัดการเรื่องเช่าเกวียนวัวที่จะเข้าเมือง หว่านหนิงนางส่งเงินให้เขาไปก่อนสิบอิแปะ เพื่อนำไปจ่ายค่าเกวียนวัว ส่วนที่เหลือจะให้ในวันพรุ่งนี้“ท่านแวะซื้อข้าวสารในหมู่บ้านมาให้ข้าก่อนสักหนึ่งจิน พรุ่งนี้เช้าข้าจะได้ทำอาหารให้ท่านก่อนออกไปขายปลา”“ได้” หลี่เฉียงแบมือขอเงินเพิ่ม“เท่าใด”“ข้าก็ไม่รู้” เขาเคยซื้อของพวกนี้เสียที่ไหน“เช่นนั้นเอาไป แล้วเอากลับมาคืนด้วย” นางส่งถุงเงินที่เหลืออีกสามสิบตำลึงให้เขา“รู้แล้ว เงินเจ้าข้าไม่เอาหรอก” หลี่เฉียงเบ้ปากอย่างไม่พอใจ เงินไม่กี่สิบอิแปะเขาจะเอาไปทำไม“แล้วรีบกลับมาด้วย อย่าได้แวะที่ใดเด็ดขาด” นางเอ่ยเตือนเขาก่อนที่จะออกจากเรือนไปอาหารที่หว่านหนิงนางทำไว้เพียงพอให้กินได้ถึงมื้อเย็นนางจึงไม่ต้องเหนื่อยทำเพิ่ม เมื่อเก็บกวาดเรือนในส่วนที่เหลือต่อจากเมื่อวานแล้วพอหลี่เฉียงกลับมาที่เรือนพร้อมกับข้าวสารหนึ่งจิน แล้วนำถุงเงินที่ว่างเปล่ากลับมาคืน นางจึงได้รู้ว่าข้าวสารมีราคาจินละสามสิบอิแปะ“เห้อ สามสิบอิแปะ ได้มาหนึ่งจิน จะกินได้กี่วัน” นางมองข้าวสารในถุงที่หลี่เฉียงส่งมาให้นาง“เอาเถิด พรุ่งนี้ข้าจะซื้อในเมืองมาให้มากเสียหน่อย ของใน
หว่านหนิงเห็นหลี่เฉียงออกมาจากห้องน้ำพร้อมทั้งเสื้อผ้าที่ซักเรียบร้อยแล้วของเขา นางก็อดที่จะนิ่งอึ้งไม่ได้ ถึงขนาดไม่ทิ้งเสื้อผ้าให้นางซักเอง คงจะโกรธนางไม่น้อยเลยทีเดียว“อาหารเสร็จแล้ว มาช่วยข้ายกเร็วเข้า” นางร้องเรียกเขาหลี่เฉียงก็เดินเข้ามาช่วยนางยกอาหารด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย ไม่ได้ตื่นเต้นที่เห็นอาหารตรงหน้า“ท่านโกรธข้ามากเลยรึ” นางเอ่ยถามออกมาเมื่อเขาเอาแต่นั่งก้มหน้ากินไม่เอ่ยพูดกับนาง“อืม” เขาตอบรับเบาๆ“ข้าก็ขอโทษแล้วอย่างไร”“อืม”“เหอะ อยากจะงอนก็งอนไป” นางหยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจหลี่เฉียงจะเข้าใจคำว่างอนของนางได้อย่างไร เพียงแต่พอจะรู้ว่านางคงจะถากถางเขาอยู่แน่“ข้าถูกเปรียบเทียบกับอาเจิ้งตั้งแต่เล็ก เพราะข้าหัวไม่ดีสู้เขาไม่ได้ อยู่ในสำนักศึกษาก็ถูกเยาะเย้ย ข้าจึงหันไปติดพนันกับสุรา คนพวกนั้นจริงใจกว่าพวกบัณฑิตในสำนักศึกษาเสียอีก”หว่านหนิงมองเขาอย่างเห็นใจ หลี่เฉียงยังคงก้มหน้าก้มตากินอาหารของเขาต่อไปโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองนาง“ข้าว่าไม่ใช่เพราะท่านหัวไม่ดี เพียงแต่ท่านถูกเลี้ยงดูมาไม่ดีเสียมากกว่า อาเฉียงหากท่านเปลี่ยนแปลงตนเองได้ ก็จะไม่มีผู้ใดมาดูถูกท่านได้”หลี่เฉี
ป้าตู้นางกลับมาถึงเรือนพอดี จึงได้เข้ามาช่วยแก้ไขสถานการณ์ที่กระอักกระอ่วนหน้าเรือน“อาหนิงเจ้ามาเร็วเสียจริง” นางอดจะเย้าออกมาไม่ได้“ก็ข้ากลัวว่าท่านจะเปลี่ยนใจ” นางยิ้มจนตาหยี สองบุรุษที่ยืนอยู่ไม่ไกลมองรอยยิ้มของนางอย่างตกตะลึงเหมือนตู้ลู่จื้อจะรู้ตัวว่าตนกำลังทำสิ่งที่ไม่สมควร เพราะนางเป็นภรรยาของผู้อื่น สามีของนางก็ยังยืนอยู่ตรงนี้ด้วย“ฮ่า ฮ่า ข้าจะเปลี่ยนใจได้อย่างไร เจ้ารอประเดี๋ยวข้าจะรีบไปหยิบเงินมาให้” ป้าตู้รับปลาจากตะกร้าของหว่านหนิงแล้วเดินเข้าเรือนไป“เจ้าจับปลาได้อย่างไร” หลี่เฉียงเดินเข้ามากระซิบถามนางด้วยความอยากรู้“ท่านถอยไปหน่อย” นางยกมือขึ้นบีบจมูก พร้อมทั้งดันตัวเขาให้ออกห่าง“ข้าเหม็นมากเช่นนั้นรึ” หลี่เฉียงก้มลงดมเสื้อผ้าของตนเอง ก็ไม่เห็นจะเหม็นเหมือนที่นางรังเกียจ เพียงแค่สกปรกไปสักหน่อยก็เท่านั้น“ยังมีหน้ามาถาม” หว่านหนิงถลึงตาใส่เขา“หึหึ” ตู้ลู่จื้อหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อเห็นท่าทางของหว่านหนิงที่กระทำกับหลี่เฉียง“เจ้าหัวเราะอันใด แล้วเหตุใดยังไม่เข้าเรือนไปอีก” เขาเดินมาบังตัวของหว่านหนิงไว้ให้พ้นจากสายตาของตู้ลู่จื้อ“ข้ารอปิดเรือน” เขาหยักไหล่อย่างไม