เป็นเวลาครึ่งค่อนเดือนที่หลิวจือหลินนั้นใช้ชีวิตในโลกใบใหม่ นางมิได้สนใจหรือใส่ใจเจ้าของเรือนสักนิด กระทั่งอนุที่โหวหนุ่มตบแต่งเข้ามานางก็ยังไม่เคยเห็นหน้า พวกเขาเป็นเพียงภาพเลือนรางในมโนสำนึกของหลิวจือหลินคนเดิมเท่านั้น ทว่าหลิวจือหลินผู้นี้ก็ไม่อยากเห็นคนทั้งสองเท่าใด และไม่อยากรู้ด้วยว่าพวกเขาหน้าตาแบบไหน
เจียงซื่อจวินไม่คิดโผล่หน้ามาพบนางก็นับเป็นเรื่องดีมิใช่หรือ หลิวจือหลินจะได้ไม่ต้องรู้สึกอึดอัดเพราะนางไม่ใช่ฮูหยินตัวจริงของเขา เรือนที่นี่ใหญ่โตโอ่โถงประหนึ่งราชวังขนาดย่อม แค่เดินไปหอตำราก็กินเวลาเกือบเป็นชั่วยาม [1] หนำซ้ำต่อให้หลิวจือหลินคนเดิมจะน่ารังเกียจเดียดฉันท์ ทว่านางกลับมีเรือนร่างงดงามประหนึ่งโฉมสะคราญ ที่น่าตื่นตะลึงไปกว่านั้น นางเป็นสาวบริสุทธิ์ที่แต่งงานมานานแล้ว พรหมจรรย์ที่หาได้ยากอย่างนี้กลับทำให้หลิวจือหลินจากยุคสองพันดีใจเป็นล้นพ้น
ถึงแม้นางคบหากับแฟนหนุ่มมาหลายปีทว่าหลิวจือหลินในโลกอีกด้านก็ไม่เคยเกินเลยกับเขาสักครั้ง อาจมีจับมือ จุมพิต หรือกอดเป็นเรื่องปกติของคนรักกัน นี่คงเป็นเหตุให้อีกฝ่ายคิดนอกใจหลิวจือหลินไปหาหญิงอื่นที่สามารถมอบความสุขก่อนแต่งให้เขาได้กระมัง ดูไปแล้ว เจียงโหวก็คงนึกแบบเดียวกันกับแฟนของหลิวจือหลินในโลกอีกด้าน จึงรับอนุเข้ามาเพื่อระบายกำหนัดเพียงเพราะไม่อยากต้องกายสตรีร้ายกาจเช่นนาง
ส่วนอนุหม่าที่สาวใช้คนสนิทเคยกล่าวถึง นางคงเกรงกลัวว่าหลิวจือหลินจะควบคุมสติไม่อยู่ อาจวิ่งรี่เข้าถลกหนังศีรษะนาง เลยมิกล้าปรากฏกายให้หลิวจือหลินได้เห็น
ดูเหมือนเรื่องเพลิงไหม้ที่ใครก็กล่าวหาว่าเป็นฝีมือฮูหยินใหญ่เจียงโหว กลับเป็นหนึ่งความทรงจำอันเลือนรางที่หลิวจือหลินมิอาจรู้แจ้ง ตระหนักถึงภาพในโซนสมองบางส่วนแล้วก็น่าขัน ไม่คิดว่าหลิวจือหลินคนเดิมช่างร้ายกาจจนทุกคนขยาดกลัวนางเฉกเช่นหนอนบุ้งตัวหนึ่ง
หลิวจือหลินสลัดความคิดเหล่านั้นทิ้งไป ยามว่างจึงเข้าห้องตำราหาอะไรอ่านไปเรื่อยเปื่อย กระทั่งนางพบสูตรโอสถที่ช่วยลดเลือนแผลเป็นและริ้วรอย ในเมื่อยุคนี้ไม่มีโลชันหรือเซรั่มบำรุงผิว เช่นนั้นนางก็ต้องเรียนรู้และปรับทุกอย่างให้เข้ากับยุคสมัย
มือเนียนสวยใช้เครื่องบดยาในสมัยโบราณคลึงไปคลึงมาอยู่หลายหน ส่วนสาวใช้ทั้งสองรอเป็นลูกมืออยู่ไม่ห่าง หลิวจือหลินหยิบใบสีเขียวของโม่ลี่ฮวา [2] หย่อนลงไปพอประมาณ เจียวเจียวเห็นดังนั้นจึงขันอาสาเพื่อช่วยเหลือ
"บ่าวช่วยนะเจ้าคะ"
หลิวจือหลินส่งยิ้มผ่านผ้าแพรผืนโปร่ง "ขอบใจมาก"
ส่วนปี้อี๋กำลังง่วนอยู่กับการต้มน้ำอุ่น "ฮูหยิน ใช้ได้หรือยังเจ้าคะ"
ปี้อี๋เหลียวมอง ใบหน้าของนางยามนี้เปื้อนเขรอะไปด้วยเขม่าดินดำ หลิวจือหลินเห็นเช่นนั้นก็หัวเราะร่วน เจียวเจียวเมียงมองสำทับ พลันหลุดขำพรืดเสียงดัง "ฮ่า ฮ่า อาอี๋ เจ้าทำอย่างไรหน้าดำหมดแล้ว"
ปี้อี๋กะพริบตางุนงง "หา..." นางยกมือขึ้นเพื่อเช็ดหน้าเช็ดตา กระนั้นยิ่งเช็ดก็ยิ่งเกิดรอยดำเป็นปื้น
เสียงหัวเราะร่าจากเจียวเจียวยิ่งสะท้อนก้องไปใหญ่ ร่างระหงลุกเดินเข้าใกล้ปี้อี๋ ริมฝีปากสีกุหลาบประดับรอยยิ้ม จากนั้นหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาบรรจงเช็ดคราบสกปรกให้อีกฝ่ายอย่างไม่ถือตัว ปี้อี๋ผงะแทบหงายหลัง ส่วนเจียวเจียวก็พลอยอ้าปากค้างตื่นตะลึงไปตามกัน
อยู่ ๆ ฮูหยินที่แสนเกรี้ยวกราดก็เปลี่ยนแปลงไป คาดไม่ถึงนอกจากนิสัยที่พลิกจากหลังมือเป็นหน้ามือแล้ว นางยังไม่ถือตัวกับบ่าวไพร่เฉกเช่นกาลก่อนอีกด้วย
เดิมทีพวกนางมักถูกกล่าวหาว่าเป็นตัวสกปรกเหม็นสาบ ทำงานไม่ได้เรื่องได้ราว ถูกหลิวจือหลินทุบตีอยู่เสมอ
"...ฮูหยิน ไม่เป็นอันใดเจ้าค่ะ เดี๋ยวบ่าวเช็ดเอง" ปี้อี๋เอ่ยตะกุกตะกัก
"อยู่นิ่ง ๆ ข้าเช็ดให้ ดูสิเลอะเทอะหมดแล้ว"
มือเรียวยังบรรจงเช็ดต่อไปจนใบหน้าของปี้อี๋สะอาดเอี่ยม เฉิงซือหานที่เฝ้าจับตามองอยู่ตลอดหลายวันยิ่งเห็นก็ยิ่งประหลาดใจ ฮูหยินคนเดิมหายไปไหน เหตุใดครึ่งเดือนนี้หลิวจือหลินจึงได้ดูสงบเสงี่ยมใจเย็น จากไม่เคยเข้าหอตำราก็เข้าไปหลายชั่วยาม เดิมเป็นคนนั่งผัดหน้าขาวไปวัน ๆ จ้องจะเข้าไปเหยียบเรือนหลักเพื่อพบหน้าเจียงซื่อจวิน ก็แปรผันเป็นแม่บ้านแม่เรือนหางานทำไปเรื่อย ซ้ำยังไม่เคยเอ่ยถึงนายของตนแม้เพียงครึ่งคำ
.
.
"ท่านโหว" เฉิงซือหานประสานฝ่ามือค้อมกายเล็กน้อย
"ว่าอย่างไร นางมิได้ก่อเรื่องใดอีกกระมัง" เจียงซื่อจวินไม่ได้ละสายตาจากม้วนไม้ไผ่ในมือ
เฉิงซือหานเหลียวมองหน้าสหายที่ยืนขนาบข้าง ช่ายจินซินงุนงงต่อท่าทีกระอึกกระอักของอีกฝ่าย จึงเอ่ยสำทับเดี๋ยวนั้น "เป็นอันใดของเจ้า อ้ำอึ้งอยู่ได้"
"คือ...ช่วงนี้ฮูหยินไม่ได้ก่อเรื่องใดเลยขอรับ นอกจากเข้าหอตำรา และทำยาสมานแผล อีกทั้งยังไม่เคยอาละวาดสักครั้ง"
คิ้วเข้มเลิกขึ้นอย่างนึกฉงน คนเช่นนางน่ะหรือสนใจอ่านตำรา ซ้ำยังทำยาสมานแผลเอง ของแบบนั้นกระทั่งเฉียดเข้าใกล้นางก็ยังไม่ทำ
เจียงซื่อจวินช้อนสายตาขึ้นแช่มช้า "หมายความว่าอย่างไร"
"คิดว่าตอนเกิดเพลิงไหม้ฮูหยินอาจสมองกระทบกระเทือน ทำให้ยามนี้เปลี่ยนไปดุจคนละคน"
เจียงซื่อจวินแทบไม่อยากเชื่อ ทว่าตลอดหลายวัน เฉิงซือหานไม่เคยรายงานว่าอีกฝ่ายก่อปัญหาเลย ซ้ำนางยังมิปริปากถึงตนอีกด้วย ครั้นจะกล่าวถามเขาก็รู้สึกเก้อกระดากไม่น้อย
โหวหนุ่มกระแอมหนึ่งครั้ง "เรื่องอื่นเล่า"
เฉิงซือหานครุ่นคิด "อ้อ..."
ริมฝีปากได้รูปกระตุกแผ่ว ทว่าเมื่อได้ยินเรื่องที่อีกฝ่ายกล่าว ใบหน้าหล่อเหลาก็พลันหม่นทะมึนลงเดี๋ยวนั้น
"ก่อนหน้านี้ใต้เท้าหลิวมาเยี่ยมฮูหยิน แต่ทว่าท่านโหวไม่อยู่ก็เลยไม่ได้เข้ามาพบขอรับ" เฉิงซือหานตอบฉะฉาน กระนั้นกลับทำให้เจียงซื่อจวินรู้สึกหงุดหงิดชอบกล
^หนึ่งชั่วยาม = 2 ชั่วโมง
^โม่ลี่ฮวา หมายถึง ดอกมะลิใบมะลิลา ลดรอยแผลเป็นได้ การนำเอาใบจากต้นมะลิ สัก 2-3 ใบ ล้างให้สะอาด นำมาตำหรือบดพอละเอียด แล้วคั้นเอาแต่น้ำมาทาบริเวณรอยแผลเป็นที่เกิดขึ้น ทาวันละ 2-3 ครั้ง ทำเป็นประจำทุกวัน เพียง 2-3 สัปดาห์ข้อมูลจาก : www.springnews.co.th
หลังได้รับตำแหน่ง หลิวจือหลินจึงมาเยือนเรือนของตนเป็นครั้งแรก นางพบปะบิดาล่าสุดก็ตอนฟื้นจากเพลิงไหม้หนนั้นเพียงคราเดียว"หลินเอ๋อร์ลูกพ่อ" ใต้เท้าหลิวโผกอดบุตรสาวน้ำตานองหน้าเขาทั้งปลื้มใจและตกใจในเวลาเดียวกัน ผู้ใดจะทันคาดคิดนอกจากบุตรสาวนั้นใจกล้าฝ่าคมดาบดงอัคนี นางยังได้รับตำแหน่งเป็นถึงฮูหยินตราตั้ง ชายแก่ผมขาวที่ฮูหยินตายจากไปนานโขเลี้ยงลูกสาวไม่เป็นก็ได้แต่ตามใจนางจนเสียคน ในที่สุดลูกสาวของเขาก็เป็นผู้เป็นคนเสียที"ท่านพ่อ เป็นถึงเสนาบดี ร้องไห้ขี้แยเป็นเด็ก ๆ" หลิวจือหลินเอ่ยยิ้ม ๆ จากนั้นเอื้อมมือปาดน้ำตาให้ผู้เป็นบิดาด้วยความรักใคร่แม้นางคือจิตวิญญาณจากโลกอีกด้าน แต่หลิวตงนับเป็นบุรุษอีกคนที่รักและห่วงใยนางที่สุด หลิวจือหลินรักเขาเฉกเช่นพ่อแท้ ๆ กระทั่งพูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อยบิดาของเขาจึงพาหลิวจือหลินและเจียงซื่อจวินไปกราบป้ายวิญญาณของมารดาทว่าหางตาของหลิวจือหลินเหลือบเห็นภาพวาดหญิงชราผู้หนึ่ง ซึ่งแขวนติดผนังเอาไว้"ท่านพ่อ คุณยายท่านนี้คือใครเจ้าคะ" นางรู้สึกคุ้นตาพิกล แต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ตกว่าเคยเห็นที่ใด&nbs
เจียงซื่อจวินได้รับตำแหน่งโหวติดตัวนับตั้งแต่บิดาของเขาลาโลกเมื่อตนเยาว์วัย ยามนี้ฮ่องเต้เปรียบดั่งบิดาแท้ ๆ ของเขา แม้บิดาผู้ให้กำเนิดเจียงโหวเป็นสหายร่วมสาบานของฝ่าบาทแต่เขาก็มิใช่ขุนนางยศหนาศักดิ์ใหญ่ใด ซ้ำฮองเฮาและไท่จื่อก็คอยดูแลประคบประหงมเขาอย่างไม่รังเกียจ เช่นนั้นเมื่อภัยมาสู่ราชวงศ์ บัลลังก์มังกรนี้เจียงซื่อจวินย่อมยินดีช่วยกอบกู้ด้วยความเต็มใจเมื่อทุกอย่างเข้าร่องเข้ารอย ราชวังกลับสู่ความผาสุกอีกครั้ง ผ่านไปไม่นานก็มีราชโองการเรียกเจียงโหวและฮูหยินเข้าเฝ้า รถม้าจากจวนโหวแล่นมาจอดเทียบเบื้องหน้าธรณีทางเข้าราชวังหลวงแล้ว เจียงซื่อจวินลงมาก่อน จากนั้นยื่นมือให้ฮูหยินอันเป็นที่รักด้วยรอยยิ้มร่างระหงเยื้องย่างตามลงมา ภาพจำครั้งก่อนที่นางเมินเขายังติดตามิลืมเลือน หนนี้ทั้งสองปรับความเข้าใจกันเป็นที่เรียบร้อย หลิวจือหลินยื่นมือส่งให้เขาพร้อมรอยยิ้ม กระทั่งลงยืนเคียงกันเบื้องล่างก็มีรถม้าอีกคันเคลื่อนมาหยุดต่อท้ายเข้าพอดี"คุณชายฟ่าน" หลิวจือหลินโบกไม้โบกมือเพื่อทักทายสหายเจ้าของใบหน้าหล่อเหล่าผลิยิ้มตอบกลับ "ฮูหยิน และท่านโหวก็ถูก
หลิวจือหลินตะลึงงันเมื่อทราบว่าเจียงซื่อจวินได้ปลดหม่าลี่เจี่ยจากการเป็นอนุไปเสียตั้งนานแล้ว แต่ทว่าวิธีการที่มากกว่าการปลด และเรื่องตามเอาคืนสตรีทั้งสองที่บังอาจแส่มาหาเรื่องนางเขามิได้เอ่ยถึง เกรงว่าหลิวจือหลินอาจตกใจ และหวาดกลัวบุรุษเหี้ยมโหดเช่นเขาไปเลยตลอดกาล ต่อให้เขาจะโหดร้ายเพียงใด บุรุษเช่นเขาทำไปเพราะมีเหตุผล สิ่งที่กระทำล้วนได้รับการตรึกตรองอย่างดียิ่ง และไม่มีทางทำร้ายสตรีที่ตนรักเป็นอันขาด"ท่านโหว ท่านไม่เสียดายหรือ เดิมการเป็นบุรุษในยุคนี้สามารถมีภรรยาได้มากกว่าหนึ่งอยู่แล้ว" หลิวจือหลินอยากลองเชิงเขาเสียหน่อยนัยน์ตาคมหรี่ลงเล็กน้อย "เจ้าอยากให้ข้ามีอนุอีกงั้นหรือ""หากท่านอยากมีอนุคนใหม่ข้าหรือจะห้ามได้ อีกอย่างองค์หญิงเจ็ดก็พึงใจท่านมิใช่หรือ"เจียงซื่อจวินแค่นหัวเราะในลำคอ นางจะทราบหรือไม่ว่าองค์หญิงเจ็ดถูกเขาจัดการเช่นไร "องค์หญิงเจ็ด ร่วมกบฏกับพี่ชาย ถูกลงทัณฑ์ไปแล้ว หรือต่อให้นางไม่ถูกลงทัณฑ์ ชาตินี้ข้าก็จะไม่มีใครอีกนอกจากเจ้า"จู่ ๆ จมูกโด่งเป็นสันก็จรดลงบนปรางแก้มเนียนนุ่ม หลิวจือหลินตัวแข็งทื่อ "...ทำอะไรของท่าน""จ
ค่ำคืนหนึ่งก่อนเกิดจลาจลก่อกบฏในวังหลวงเจียงซื่อจวินมิได้กลับจวน เขาต้องการสะสางทุกอย่างให้แล้วเสร็จ เขาได้ล่วงรู้ว่าจิตวิญญาณของหลิวจือหลินผู้นี้เป็นสตรีจิตใจงดงามมิใช่หลิวจือหลินคนก่อน นางปล่อยวางและสามารถอภัยได้ทุกสิ่ง กระนั้นคนเช่นเขา เจียงซื่อจวิน มิอาจละเว้นคนผิดให้อยู่ลอยหน้าได้อีกต่อไป ผู้ใดดีกับเขา เขาย่อมดีตอบ แต่ทว่าผู้ใดที่คิดอาฆาตมาดร้ายต่อคนที่เขารัก เขาจะสนองกลับมันไปร้อยเท่าพันทวีเสียงฝีเท้าดังแผ่วใกล้เข้ามาทุกขณะ สตรีร่างบอบบางหลับใหลอยู่บนแท่นบรรทมพลันลืมตาตื่นท่ามกลางความสลัวแห่งราตรีกาล"ท่านพี่ซื่อจวิน มาได้อย่างไรเจ้าคะ""องค์หญิงหลับสบายหรือไม่" น้ำเสียงของเขาแข็งกระด้างเย็นยะเยือกถานจาวหรงนึกดีใจที่อยู่ ๆ เขาก็มาหานาง แต่ทว่าพบเขาเวลานี้นับเป็นเรื่องผิดวิสัย โดยปกติเจียงซื่อจวินไม่เคยคิดเข้าหาสตรียามค่ำคืน เขาเป็นสุภาพบุรุษและคำนึงถึงความต่างระหว่างหญิงชายเสมอ"เหตุใดท่านจึงมายามวิกาลได้เจ้าคะ ทหารเวรยามก็ให้ท่านเข้ามาได้หรือ""แน่นอน ข้าคิดถึงองค์หญิงจึงหมายมาเยือนเสียหน่อย"ถานจาวหรงแย้มยิ้มลิงโลด ใ
คืนที่หยกมณีเพลิงหายไป เฉิงซือหานและช่ายจินซินรู้สึกถึงความผิดปกติ เขาพบบุรุษร่างกำยำลอบเข้ามาในเรือนตะวันออก จากนั้นรอจังหวะที่เจียวเจียวและปี้อี๋ไม่ทันระวังสับเปลี่ยนหยกเป็นของปลอม เดิมทีเจียงซื่อจวินสัมผัสได้เสียตั้งนานแล้วว่ามีสายตาของใครบางคนกำลังจับจ้อง อีกอย่างใช่เขาไม่รู้ว่าในจวนโหวมีหนอนบ่อนไส้มากมายเท่าใดกระนั้นเขากลับแสร้งหูหนวกเป็นใบ้ [1] มาตลอดเมื่ออีกฝ่ายลงมือ องครักษ์ทั้งสองก็จัดการโค่นกล้วยอย่าไว้หน่อ [2] เสียเลย ชายผู้นั้นถูกนำตัวไปคุมขังยังคุกใต้ดิน เจียงซื่อจวินทรมานเขาอย่างหนัก กระทั่งอีกฝ่ายยินยอมปริปาก เขาจึงล่วงรู้ว่าเป็นแผนการของหม่าลี่เจี่ยทั้งหมดหลายวันผ่านไปเจียงซื่อจวินก็ยังแสร้งมิรู้เห็นโดยตลอดกระทั่งถึงงานพิธีเฉลิมฉลองวันคล้ายวันประสูติของฮองเฮา หลิวจือหลินได้รับบาดเจ็บสาหัส เจียงซื่อจวินบังเกิดโทสะจึงส่งเฉิงซือหาน และช่ายจินซินตามสืบจนรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังอย่างแท้จริง และมีผู้ใดสมรู้ร่วมคิดบ้า
จากดวงตาที่เบิกกว้างอยู่แล้ว ม่านตาของนางก็ยิ่งขยายใหญ่ขึ้น หรือว่าเขาทั้งสองจะเป็นแฝดคนละมิติเช่นที่นางคิดไว้กันเล่าคืนที่เจียงซื่อจวินเฝ้าไข้หลิวจือหลิน เขาเผลอสัมผัสถูกสร้อยลูกปัดปะการังเพลิงของนางโดยบังเอิญ อยู่ ๆ ความทรงจำของชายผู้นั้นก็หลั่งไหลเข้ามาในมโนสำนึกของเขาอี้เหลียงคือตัวตนของเขาในโลกคู่ขนาน ยามนี้จิตวิญญาณอีกฝ่ายก็ติดตามหลิวจือหลินมาถึงที่นี่ ทว่าอี้เหลียงมิได้เข้ามาควบคุมจิตใจและจิตวิญญาณของเขาเฉกเช่นหลิวจือหลินหลิวจือหลินเข้ามามิติแห่งนี้พร้อมจิตวิญญาณของโลกอีกด้าน ส่วนหลิวจือหลินคนเดิม เกรงว่าก็ยังคงอยู่ พวกนางคือคนคนเดียวกัน ทว่าหลิวจือหลินผู้นั้นเปรียบดั่งจิตวิญญาณด้านมืดของนาง ยามนี้หลิวจือหลินได้กดข่มและทำลายจิตวิญญาณอันชั่วร้ายออกจากใจจนหมดสิ้น นางตื่นรู้จากโลกใบก่อนกล่าวโดยง่าย เจียงซื่อจวินและหลิวจือหลินคือคนเดียวกันกับโลกอีกมิติ บางครั้งสวรรค์ก็มีความลับมากมายที่เขาไม่ทันล่วงรู้ แต่ดูเหมือนเงื่อนไขของหนึ่งร่างสองวิญญาณจะต่างกันออกไป เพราะอี้เหลียงไม่สามารถควบคุมเขาได้มีเพียงจิตสำนึกเท่านั้น"ทะ...ท่าน นี่ท่านเป็นเขางั