"ท่านโหว ยามนี้ฮูหยินได้สติแล้วขอรับ"
มือที่จับพู่กันยังคงตวัดเขียนด้วยความใจเย็น เสียงทุ้มตอบกลับแบบขอไปที "อืม รู้แล้ว"
องครักษ์ทั้งสองต่างเหลือบมองกันหลุกหลิก พวกเขาทราบดีว่านายของตนนั้นแสนชิงชังฮูหยินใหญ่เพียงใด เพราะนางชมชอบเจียงโหวหรือเจียงซื่อจวินจนหน้ามืดตามัว ยามที่ทั้งสองยังไม่ออกเรือนหลิวจือหลินก็ตามราวีโหวหนุ่มไม่ลดละ กระทั่งหลิวจือหลินไม่อาจทนมองท่าทีกระด้างกระเดื่องจากบุรุษที่ตนชมชอบได้ นางจึงตัดสินใจร้องขอบิดาซึ่งมีตำแหน่งเป็นถึงซ่างซูเสิ่ง [1] ทูลขอราชโองการจากฮ่องเต้เพื่อมอบสมรสพระราชทานให้แก่หลิวจือหลินและเจียงซื่อจวินอย่างไม่มีหนังไม่มีหน้า [2]
บิดาที่เลี้ยงดูบุตรสาวดุจไข่ในหินเช่นใต้เท้าหลิวเฝ้าตามใจนางไปเสียทุกอย่าง ส่งผลให้หลิวจือหลินเติบโตขึ้นมาเป็นสตรีร้ายกาจซ้ำยังนิสัยเสีย หากเป็นสิ่งที่นางต้องการแล้วล่ะก็ ผู้ใดก็อย่ามาขวาง
หลิวจือหลินคิดเพียงว่าแต่งแล้วอยู่กินกันไปอีกฝ่ายก็ต้องหลงรักตนเข้าสักวัน ไหนเลยจะรู้ว่านางกำลังคิดผิดมหันต์ นับวันโหวหนุ่มก็ยิ่งรังเกียจชิงชังนาง กระทั่งย่างกรายเข้าไปเหยียบเรือนฝั่งตะวันออกสักครั้งก็ไม่เคย
เพราะหลิวตงมีผลงานมากมายเป็นที่ประจักษ์แก่ราชวงศ์และขุนนางทุกลำดับขั้น ซ้ำฮ่องเต้ยังเคยลั่นวาจาจะปูนบำเหน็จให้ตระกูลหลิว ผู้เป็นจักรพรรดิแผ่นดินจึงมิอาจขัดความประสงค์ของอีกฝ่าย การร้องขอสมรสพระราชทานนี้เลยง่ายดายดุจพลิกฝ่ามือ
แม้เจียงซื่อจวินเป็นบุตรบุญธรรมที่ฮ่องเต้รักดั่งลูกในไส้ ทว่ามิอาจมองข้ามผลประโยชน์ของราชวงศ์ เช่นนั้นการที่เขาสามารถเกี่ยวดองกับตระกูลหลิวกลับถือว่าเหมาะสมยิ่งแล้ว
เพราะเหตุนี้ยามที่โหวหนุ่มเข้าเฝ้าฮ่องเต้ เขาจึงมักทำหน้าปั้นยากเสียจนอีกฝ่ายอ่อนใจ ฮ่องเต้คือประมุขแผ่นดิน เป็นโอรสแห่งสวรรค์ คำพูดเปรียบได้ดั่งทอง วาจาเปรียบได้ดั่งหยก จะคืนคำได้เช่นไร
"เอ่อ...ท่านโหวจะไปดูฮูหยินหน่อยหรือไม่ขอรับ" เฉิงซือหานเอ่ยถามด้วยท่าทีประหวั่น
นัยน์ตาคมช้อนขึ้นแช่มช้า ประกายสังหารพวยพุ่งออกมาเสียจนองครักษ์ทั้งสองขนลุกเกรียว "ไปหาให้นางได้ใจหรือ นางยังไม่ตายก็นับว่าดีแล้วกระมัง ทำตัวเองทั้งนั้น ยามนี้สาวใช้ของนางคงตามหมอแล้ว เจ้าก็จับตาดูนางให้ดี อย่าให้ลุกมาก่อเรื่องวุ่นวายอีก อาละวาดเสียจนจวนข้าวอดไปครึ่งหลังแล้ว"
"ขอรับ"
ร่างสูงขององครักษ์หนุ่มถลันออกจากห้องทันควัน เฉิงซือหานได้รับหน้าที่ให้เฝ้าจับตามองการกระทำทุกฝีก้าวของหลิวจือหลิน ทุกครั้งที่นางก่อเรื่องเขาจะเร่งมารายงานเจียงซื่อจวินเสมอ ครั้งล่าสุดหลิวจือหลินช่างทำได้เจ็บแสบยิ่งนัก ขณะที่เจียงโหวเข้าพิธีรับหม่าลี่เจียเป็นอนุ นางถึงขั้นอาละวาดเผาเรือนจนวอดไปเกือบครึ่ง ผู้คนในงานต่างหนีตายกันจ้าละหวั่น
คนนิสัยหยาบช้าล้วนนับเป็นบาป เพลิงที่อีกฝ่ายจงใจทำลายงานพิธีลุกลามอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ขื่อไม้ท่อนหนึ่งล้มครืนพร้อมเปลวไฟอันโชติช่วง ตวัดผ่านใบหน้าเกลี้ยงเกลาของหลิวจือหลินจนเกิดรอยแผลพุพองไปครึ่งข้างแก้ม โชคยังดีที่เฉิงซือหานช่วยนางไว้ได้ทัน ไม่เช่นนั้นหลิวจือหลินคงต้องถูกไฟคลอกจนสิ้นใจเข้าจริง ๆ
แม้เจียงซื่อจวินอยากให้นางตายให้พ้นหูพ้นตา ทว่าเขานั้นเป็นบุรุษผู้หนึ่ง ความคิดต่ำทรามเช่นนี้จึงถูกปัดทิ้งไปในที่สุด เรื่องเอาผิดหลิวจือหลินก็ยิ่งนับว่าลำบาก ทุกอย่างต้องคำนึงถึงผลได้ผลเสียที่จะตามมา
ครั้นหวังหย่าร้างกับนาง ความยุ่งยากที่เปรียบชนักติดหลังนี้กลับเป็นสมรสพระราชทานที่มิอาจกระทำได้ตามอำเภอใจ หากนางรู้จักผ่อนปรนสักหน่อย อ่อนข้อและยอมรับผิดเสียบ้าง เขาก็คงไม่ชิงชังนางถึงเพียงนี้กระมัง
โหวหนุ่มถอนหายใจด้วยความอ่อนล้า ร่างกำยำเอนพิงพนักเก้าอี้ พลางยกมือคลึงหว่างคิ้ว "จินซิน"
"ขอรับ"
"แล้วลี่เจี่ยเป็นอย่างไร"
"อนุหม่าไม่ได้รับบาดเจ็บใดขอรับ มีเพียงอาการอ่อนเพลียเล็กน้อย ท่านโหวอยากไปพบนางหรือ"
เจียงซื่อจวินระบายลมหายใจอีกครั้ง "ข้าจะไปดูนางสักหน่อย ถึงอย่างไรราชครูก็ฝากฝังนางไว้กับข้าแล้ว ข้าจะละเลยนางได้อย่างไร"
เพราะราชครูหม่าเฉียงเปรียบดั่งผู้มีพระคุณของเขา ขณะที่อีกฝ่ายต้องจากไปด้วยโรคชรา หลานสาวเพียงคนเดียวเช่นหม่าลี่เจียจึงไม่มีผู้ใดให้พึ่งพิงอีก
ชายชราได้ฝากฝังหลานสาวของตนให้โหวหนุ่มช่วยดูแล ถึงแม้ยามนั้นเขารู้สึกอึดอัดไปบ้างหมายรับนางเป็นน้องสาวบุญธรรม แต่ราชครูต้องการให้นางเป็นอนุของเขา ทั้งที่การเป็นอนุมิได้ดีเด่อันใดเลย เขาไม่เข้าใจจุดประสงค์ราชครูจริง ๆ
เจียงซื่อจวินช่างเป็นชายหนุ่มผู้อาภัพในการเลือกคู่ยิ่ง สตรีทั้งสองที่ตบแต่งล้วนมิได้มาจากความรักใคร่ของตนสักคน ยามนั้นเขาไร้ทางเลือกจึงทำตามอย่างเสียไม่ได้ คาดไม่ถึงว่าวันรับอนุ จวนโหวจะเกิดเรื่องตาลปัตรใหญ่โตเพราะฮูหยินของตนจนเป็นข่าวครึกโครมไปทั่วแคว้น
.
.
"ฮูหยิน ท่านยังมีอาการวิงเวียนหรือไม่" หมอวัยกลางคนเอ่ยถาม
ผู้ที่เอนกายอยู่ภายใต้ม่านโปร่งส่ายหน้า มือขาวผ่องยื่นออกมาเพื่อให้อีกฝ่ายตรวจจับชีพจร "ไม่เจ้าค่ะ ข้าดีขึ้นมากแล้ว"
ผู้เป็นหมอพยักหน้าด้วยความเข้าใจ "เช่นนั้นใบหน้าของท่าน ข้าขอตรวจดูเสียหน่อย"
"ได้สิ" หลิวจือหลินแง้มผ้าออกแช่มช้า นางค่อย ๆ ปลดผ้าผืนโปร่งผะแผ่ว
"ฮูหยิน ใบหน้าของท่านอาจรักษายากเสียหน่อยเพราะเกิดจากไฟไหม้ เกรงว่าคงทิ้งร่องรอยเอาไว้"
หลิวจือหลินหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เหตุใดนางจึงกลายมาเป็นสตรีจอมวายร้าย หนำซ้ำยังมีใบหน้าอีกครึ่งดุจผีสาง ชาติก่อนช้ำรักถูกหักอกก็ช่างเถิด มาชาตินี้กลับย่ำแย่ยิ่งกว่าเก่า ความทรงจำที่มีอยู่ในมโนสำนึกล้วนบ่งบอกว่าหลิวจือหลินคนเดิมเป็นที่เกลียดชังของสามีเพียงใด หนำซ้ำอีกฝ่ายยังรับอนุเพื่อหยามหน้าตนถึงถิ่น
แต่ก็เอาเถิด ในเมื่อไม่อาจเลือกวาสนาและโชคชะตาได้ บางทีนางอาจหาวิธีหย่ากับเขา แม้จะเป็นสมรสพระราชทาน การหย่าของสตรีในยุคนี้ล้วนไม่อาจเป็นไปได้ แต่หลิวจือหลินที่มาจากยุคสองพัน มั่นใจว่าต้องมีวิธีเป็นแน่ ขอเพียงเขาชิงชังนางให้มาก ๆ แต่อย่ารังแกกันเกินไปก็พอ หากอนุนางนั้นคือคนรักของโหวหนุ่ม เช่นนั้นแล้วนางก็ยินดีเป็นผู้จากไปเอง
หมอและสาวใช้ได้ยินเสียงถอนหายใจของนาง เรือนกายก็พานสั่นระริก เพราะเกรงว่าหากเอ่ยสิ่งใดไม่เข้าหู หลิวจือหลินอาจอาละวาดจนได้แผลกลับไปคนละสองสามรอย ยิ่งหลิวจือหลินต้องยอมรับว่าใบหน้าอันเคยสะสวยมิอาจกลับเป็นเช่นเดิม ดูเหมือนครานี้หลังคาคงได้พังครืนเหลือแต่โครงค้ำยัน
"ช่างเถิด ขอแค่หายจากความเจ็บปวด จะหน้าผี หน้าปลวกข้าก็ไม่สน ต่อให้งดงามแล้วอย่างไร สุดท้ายก็มิอาจมัดใจบุรุษไว้ได้อยู่ดี"
สาวใช้ทั้งสองตะลึงงัน หากเป็นหลิวจือหลินในเมื่อก่อนคงอาละวาดขว้างปาข้าวของจนเกิดความเสียหาย ดูเหมือนสมองของนางอาจได้รับความกระทบกระเทือนเข้าจริง ๆ แต่ก็นับเป็นเรื่องดีมิใช่หรือ
โลกใบเดิมหลิวจือหลินเองก็นับเป็นหญิงสาวที่มีใบหน้าสะสวยพริ้มเพรา ทว่าความงามไม่ได้ช่วยให้ใครสมหวังในความรักหากบุรุษไม่รู้จักพอ
หลิวจือหลินจึงตั้งใจไว้แล้วว่าตนเกิดใหม่ชาตินี้ จะค่อย ๆ ปรับตัว แก้ไขพฤติกรรมอันน่ารังเกียจของหลิวจือหลินคนเดิมเสีย แล้วจึงออกไปใช้ชีวิตให้ห่างจากความวุ่นวาย อาจเปิดร้านตัดเย็บเสื้อผ้าสักร้าน เพราะนางเรียนด้านดีไซเนอร์มา ความสามารถนี้คงช่วยให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นได้แน่ แม้ยามนี้ยังมองไม่เห็นหนทางก็ตาม
หมอวัยกลางคนเขียนเทียบยาส่งให้บ่าวทั้งสอง และกำชับเรื่องการรักษาเป็นที่เรียบร้อยจึงขอตัวจากไป เจียวเจียวช่วยแง้มผ้าโปร่งออกให้ผู้เป็นนาย เห็นอีกฝ่ายยังนั่งเหม่อลอยก็มิกล้าเอ่ยมากความ กระนั้นปี้อี๋กลับเอ่ยขึ้น
"ฮูหยินเจ้าคะ ไม่กี่ชั่วยาม บ่าวเห็นท่านโหว...เอ่อ...ไปพบอนุที่ระ..."
ไม่ทันจบประโยคเจียวเจียวเกิดตื่นตระหนก นางกระทุ้งข้อศอกใส่หน้าท้องปี้อี๋ไปทีหนึ่ง พลางถลึงตากล่าวลอดไรฟัน "เจ้าเอ่ยเรื่องไม่เป็นเรื่องอะไรยามนี้ เห็นหรือไม่ว่าฮูหยิน..."
"ช่างเถิด" เสียงใสโพล่งตัดบท
ปี้อี๋หน้าบูดเบี้ยวเพราะรู้สึกจุก ทว่าเมื่อสาวใช้ทั้งสองได้ยินสิ่งที่ผู้เป็นนายกล่าวออกมาก็ล้วนนิ่งค้างไปตาม ๆ กัน
หลิวจือหลินเหลียวหน้ามองพวกนางแช่มช้า จากนั้นคลี่ยิ้มละไม ต่อให้เขาไม่มีอนุ เขาก็ไม่เคยแยแสฮูหยินคนนี้อยู่ดี เขาอยากไปไหนก็แล้วแต่เถิด ยามนี้นางเหมือนคนแปลกหน้าที่มาอาศัยร่างซึ่งเหมือนตนเองในต่างยุคสมัยก็เท่านั้น ผิดก็ตรงใบหน้านี้มีรอยแผลเป็นอย่างน่าอนาถใจ
"ข้าไม่อยากรู้เรื่องเขาสักนิด ปล่อยไปเช่นนั้นดีแล้ว ยิ่งไม่ต้องพบกันเลยก็ยิ่งดี ต่อให้ข้าตาย พวกเจ้าคิดว่าเขาจะมาเหยียบที่นี่รึ"
"หา!" สาวใช้ทั้งสองปากอ้าตาค้าง
อย่าว่าแต่พวกนางเลย องครักษ์ที่จับตามองอยู่ในมุมมืดก็ล้วนไม่อยากเชื่อหูเช่นเดียวกัน
ฮูหยินสมองมีปัญหาแน่แท้!
^ซ่างซูเสิ่ง คือเสนาบดีสำนักตรวจราชการขุนนางที่มีศักดิ์เสมออัครเสนาบดีมี 2 ตำแหน่ง คือ เสนาบดีสำนักตรวจราชการหรือซ่างซูเสิ่ง (尚書省) กับเสนาบดีสำนักราชเลขานุการหรือจงซูเสิ่ง (中書省)
^ไม่มีหนังไม่มีหน้า หมายถึง หน้าด้าน ไม่รู้จักกอาย
หลังได้รับตำแหน่ง หลิวจือหลินจึงมาเยือนเรือนของตนเป็นครั้งแรก นางพบปะบิดาล่าสุดก็ตอนฟื้นจากเพลิงไหม้หนนั้นเพียงคราเดียว"หลินเอ๋อร์ลูกพ่อ" ใต้เท้าหลิวโผกอดบุตรสาวน้ำตานองหน้าเขาทั้งปลื้มใจและตกใจในเวลาเดียวกัน ผู้ใดจะทันคาดคิดนอกจากบุตรสาวนั้นใจกล้าฝ่าคมดาบดงอัคนี นางยังได้รับตำแหน่งเป็นถึงฮูหยินตราตั้ง ชายแก่ผมขาวที่ฮูหยินตายจากไปนานโขเลี้ยงลูกสาวไม่เป็นก็ได้แต่ตามใจนางจนเสียคน ในที่สุดลูกสาวของเขาก็เป็นผู้เป็นคนเสียที"ท่านพ่อ เป็นถึงเสนาบดี ร้องไห้ขี้แยเป็นเด็ก ๆ" หลิวจือหลินเอ่ยยิ้ม ๆ จากนั้นเอื้อมมือปาดน้ำตาให้ผู้เป็นบิดาด้วยความรักใคร่แม้นางคือจิตวิญญาณจากโลกอีกด้าน แต่หลิวตงนับเป็นบุรุษอีกคนที่รักและห่วงใยนางที่สุด หลิวจือหลินรักเขาเฉกเช่นพ่อแท้ ๆ กระทั่งพูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อยบิดาของเขาจึงพาหลิวจือหลินและเจียงซื่อจวินไปกราบป้ายวิญญาณของมารดาทว่าหางตาของหลิวจือหลินเหลือบเห็นภาพวาดหญิงชราผู้หนึ่ง ซึ่งแขวนติดผนังเอาไว้"ท่านพ่อ คุณยายท่านนี้คือใครเจ้าคะ" นางรู้สึกคุ้นตาพิกล แต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ตกว่าเคยเห็นที่ใด&nbs
เจียงซื่อจวินได้รับตำแหน่งโหวติดตัวนับตั้งแต่บิดาของเขาลาโลกเมื่อตนเยาว์วัย ยามนี้ฮ่องเต้เปรียบดั่งบิดาแท้ ๆ ของเขา แม้บิดาผู้ให้กำเนิดเจียงโหวเป็นสหายร่วมสาบานของฝ่าบาทแต่เขาก็มิใช่ขุนนางยศหนาศักดิ์ใหญ่ใด ซ้ำฮองเฮาและไท่จื่อก็คอยดูแลประคบประหงมเขาอย่างไม่รังเกียจ เช่นนั้นเมื่อภัยมาสู่ราชวงศ์ บัลลังก์มังกรนี้เจียงซื่อจวินย่อมยินดีช่วยกอบกู้ด้วยความเต็มใจเมื่อทุกอย่างเข้าร่องเข้ารอย ราชวังกลับสู่ความผาสุกอีกครั้ง ผ่านไปไม่นานก็มีราชโองการเรียกเจียงโหวและฮูหยินเข้าเฝ้า รถม้าจากจวนโหวแล่นมาจอดเทียบเบื้องหน้าธรณีทางเข้าราชวังหลวงแล้ว เจียงซื่อจวินลงมาก่อน จากนั้นยื่นมือให้ฮูหยินอันเป็นที่รักด้วยรอยยิ้มร่างระหงเยื้องย่างตามลงมา ภาพจำครั้งก่อนที่นางเมินเขายังติดตามิลืมเลือน หนนี้ทั้งสองปรับความเข้าใจกันเป็นที่เรียบร้อย หลิวจือหลินยื่นมือส่งให้เขาพร้อมรอยยิ้ม กระทั่งลงยืนเคียงกันเบื้องล่างก็มีรถม้าอีกคันเคลื่อนมาหยุดต่อท้ายเข้าพอดี"คุณชายฟ่าน" หลิวจือหลินโบกไม้โบกมือเพื่อทักทายสหายเจ้าของใบหน้าหล่อเหล่าผลิยิ้มตอบกลับ "ฮูหยิน และท่านโหวก็ถูก
หลิวจือหลินตะลึงงันเมื่อทราบว่าเจียงซื่อจวินได้ปลดหม่าลี่เจี่ยจากการเป็นอนุไปเสียตั้งนานแล้ว แต่ทว่าวิธีการที่มากกว่าการปลด และเรื่องตามเอาคืนสตรีทั้งสองที่บังอาจแส่มาหาเรื่องนางเขามิได้เอ่ยถึง เกรงว่าหลิวจือหลินอาจตกใจ และหวาดกลัวบุรุษเหี้ยมโหดเช่นเขาไปเลยตลอดกาล ต่อให้เขาจะโหดร้ายเพียงใด บุรุษเช่นเขาทำไปเพราะมีเหตุผล สิ่งที่กระทำล้วนได้รับการตรึกตรองอย่างดียิ่ง และไม่มีทางทำร้ายสตรีที่ตนรักเป็นอันขาด"ท่านโหว ท่านไม่เสียดายหรือ เดิมการเป็นบุรุษในยุคนี้สามารถมีภรรยาได้มากกว่าหนึ่งอยู่แล้ว" หลิวจือหลินอยากลองเชิงเขาเสียหน่อยนัยน์ตาคมหรี่ลงเล็กน้อย "เจ้าอยากให้ข้ามีอนุอีกงั้นหรือ""หากท่านอยากมีอนุคนใหม่ข้าหรือจะห้ามได้ อีกอย่างองค์หญิงเจ็ดก็พึงใจท่านมิใช่หรือ"เจียงซื่อจวินแค่นหัวเราะในลำคอ นางจะทราบหรือไม่ว่าองค์หญิงเจ็ดถูกเขาจัดการเช่นไร "องค์หญิงเจ็ด ร่วมกบฏกับพี่ชาย ถูกลงทัณฑ์ไปแล้ว หรือต่อให้นางไม่ถูกลงทัณฑ์ ชาตินี้ข้าก็จะไม่มีใครอีกนอกจากเจ้า"จู่ ๆ จมูกโด่งเป็นสันก็จรดลงบนปรางแก้มเนียนนุ่ม หลิวจือหลินตัวแข็งทื่อ "...ทำอะไรของท่าน""จ
ค่ำคืนหนึ่งก่อนเกิดจลาจลก่อกบฏในวังหลวงเจียงซื่อจวินมิได้กลับจวน เขาต้องการสะสางทุกอย่างให้แล้วเสร็จ เขาได้ล่วงรู้ว่าจิตวิญญาณของหลิวจือหลินผู้นี้เป็นสตรีจิตใจงดงามมิใช่หลิวจือหลินคนก่อน นางปล่อยวางและสามารถอภัยได้ทุกสิ่ง กระนั้นคนเช่นเขา เจียงซื่อจวิน มิอาจละเว้นคนผิดให้อยู่ลอยหน้าได้อีกต่อไป ผู้ใดดีกับเขา เขาย่อมดีตอบ แต่ทว่าผู้ใดที่คิดอาฆาตมาดร้ายต่อคนที่เขารัก เขาจะสนองกลับมันไปร้อยเท่าพันทวีเสียงฝีเท้าดังแผ่วใกล้เข้ามาทุกขณะ สตรีร่างบอบบางหลับใหลอยู่บนแท่นบรรทมพลันลืมตาตื่นท่ามกลางความสลัวแห่งราตรีกาล"ท่านพี่ซื่อจวิน มาได้อย่างไรเจ้าคะ""องค์หญิงหลับสบายหรือไม่" น้ำเสียงของเขาแข็งกระด้างเย็นยะเยือกถานจาวหรงนึกดีใจที่อยู่ ๆ เขาก็มาหานาง แต่ทว่าพบเขาเวลานี้นับเป็นเรื่องผิดวิสัย โดยปกติเจียงซื่อจวินไม่เคยคิดเข้าหาสตรียามค่ำคืน เขาเป็นสุภาพบุรุษและคำนึงถึงความต่างระหว่างหญิงชายเสมอ"เหตุใดท่านจึงมายามวิกาลได้เจ้าคะ ทหารเวรยามก็ให้ท่านเข้ามาได้หรือ""แน่นอน ข้าคิดถึงองค์หญิงจึงหมายมาเยือนเสียหน่อย"ถานจาวหรงแย้มยิ้มลิงโลด ใ
คืนที่หยกมณีเพลิงหายไป เฉิงซือหานและช่ายจินซินรู้สึกถึงความผิดปกติ เขาพบบุรุษร่างกำยำลอบเข้ามาในเรือนตะวันออก จากนั้นรอจังหวะที่เจียวเจียวและปี้อี๋ไม่ทันระวังสับเปลี่ยนหยกเป็นของปลอม เดิมทีเจียงซื่อจวินสัมผัสได้เสียตั้งนานแล้วว่ามีสายตาของใครบางคนกำลังจับจ้อง อีกอย่างใช่เขาไม่รู้ว่าในจวนโหวมีหนอนบ่อนไส้มากมายเท่าใดกระนั้นเขากลับแสร้งหูหนวกเป็นใบ้ [1] มาตลอดเมื่ออีกฝ่ายลงมือ องครักษ์ทั้งสองก็จัดการโค่นกล้วยอย่าไว้หน่อ [2] เสียเลย ชายผู้นั้นถูกนำตัวไปคุมขังยังคุกใต้ดิน เจียงซื่อจวินทรมานเขาอย่างหนัก กระทั่งอีกฝ่ายยินยอมปริปาก เขาจึงล่วงรู้ว่าเป็นแผนการของหม่าลี่เจี่ยทั้งหมดหลายวันผ่านไปเจียงซื่อจวินก็ยังแสร้งมิรู้เห็นโดยตลอดกระทั่งถึงงานพิธีเฉลิมฉลองวันคล้ายวันประสูติของฮองเฮา หลิวจือหลินได้รับบาดเจ็บสาหัส เจียงซื่อจวินบังเกิดโทสะจึงส่งเฉิงซือหาน และช่ายจินซินตามสืบจนรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังอย่างแท้จริง และมีผู้ใดสมรู้ร่วมคิดบ้า
จากดวงตาที่เบิกกว้างอยู่แล้ว ม่านตาของนางก็ยิ่งขยายใหญ่ขึ้น หรือว่าเขาทั้งสองจะเป็นแฝดคนละมิติเช่นที่นางคิดไว้กันเล่าคืนที่เจียงซื่อจวินเฝ้าไข้หลิวจือหลิน เขาเผลอสัมผัสถูกสร้อยลูกปัดปะการังเพลิงของนางโดยบังเอิญ อยู่ ๆ ความทรงจำของชายผู้นั้นก็หลั่งไหลเข้ามาในมโนสำนึกของเขาอี้เหลียงคือตัวตนของเขาในโลกคู่ขนาน ยามนี้จิตวิญญาณอีกฝ่ายก็ติดตามหลิวจือหลินมาถึงที่นี่ ทว่าอี้เหลียงมิได้เข้ามาควบคุมจิตใจและจิตวิญญาณของเขาเฉกเช่นหลิวจือหลินหลิวจือหลินเข้ามามิติแห่งนี้พร้อมจิตวิญญาณของโลกอีกด้าน ส่วนหลิวจือหลินคนเดิม เกรงว่าก็ยังคงอยู่ พวกนางคือคนคนเดียวกัน ทว่าหลิวจือหลินผู้นั้นเปรียบดั่งจิตวิญญาณด้านมืดของนาง ยามนี้หลิวจือหลินได้กดข่มและทำลายจิตวิญญาณอันชั่วร้ายออกจากใจจนหมดสิ้น นางตื่นรู้จากโลกใบก่อนกล่าวโดยง่าย เจียงซื่อจวินและหลิวจือหลินคือคนเดียวกันกับโลกอีกมิติ บางครั้งสวรรค์ก็มีความลับมากมายที่เขาไม่ทันล่วงรู้ แต่ดูเหมือนเงื่อนไขของหนึ่งร่างสองวิญญาณจะต่างกันออกไป เพราะอี้เหลียงไม่สามารถควบคุมเขาได้มีเพียงจิตสำนึกเท่านั้น"ทะ...ท่าน นี่ท่านเป็นเขางั