"เรื่องอื่นเล่า หมดเพียงเท่านี้รึ"
เฉิงซือหานเริ่มสับสน อย่างอื่นล้วนไม่มีแล้ว หากเป็นเรื่องกิจวัตรประจำวันของหญิงสาวเขาก็ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยว องครักษ์หนุ่มจึงเหลียวมองหน้าสหายที่ยืนสงบนิ่งประหนึ่งหุ่นขี้ผึ้งแกะสลักเพื่อขอความช่วยเหลือ อีกฝ่ายเขม้นสายตาดั่งต้องการบอกว่า เรื่องท่านโหวเล่า มีหรือไม่
เฉิงซือหานจึงเข้าใจในบัดดล เพราะเขาเป็นคนตรง ๆ ได้เห็นมาอย่างไรก็กล่าวเช่นนั้น "หากเป็นเรื่องที่ฮูหยินมักเที่ยวมาอาละวาดหน้าเรือนของท่านเช่นเมื่อก่อน ยามนี้ไม่มีแล้วขอรับ ดูเหมือนข้าไม่เคยได้ยินฮูหยินเอ่ยถึงท่านโหวเลยด้วยซ้ำ"
จู่ ๆ ช่ายจินซินก็รู้สึกว่ากำลังจะเกิดพายุลูกใหญ่ เขากระทุ้งข้อศอกไปยังหน้าท้องหนั่นแน่นของสหายเพื่อให้รู้สึกตัว
"เอ่อ เอ่อ มีเอ่ยถึงตอนที่บอกว่าไม่อยากทราบเรื่องท่านโหวแล้วขอรับ" เฉิงซือหานเหงื่อซึมแผ่นหลัง
ช่ายจินซินได้ฟังแทบอยากกัดลิ้นตนเพื่อลงไปนอนแดดิ้นเสีย ดูเหมือนเฉิงซือหานยังซื่อบื้อไม่แปรเปลี่ยน เขานั้นอยู่กับเจียงซื่อจวินตลอด ทราบดีว่าจิตใจอีกฝ่ายยามนี้กระวนกระวายเพียงใด เพราะเจียงซื่อจวินทำตัวราวกับว่า ไม่ใกล้สูญเสียก็ไม่รู้ใจตนเอง แม้เป็นเช่นนั้น นายของเขาก็ยังไม่ยินยอมไปเหยียบเรือนตะวันออกสักครั้ง ช่ายจินซินเป็นเพียงองครักษ์ จะริอ่านเสี้ยมสอนเจ้านายได้อย่างไร
ใบหน้าวสันต์กำลังแผ่รังสีสังหารออกมาเสียจนขนอ่อนพวกเขาลุกเกรียว นัยน์ตาคมกริบดุจมีดดาบตวัดมองฉับ
"เจ้าหมายความว่า นางไม่เห็นหัวข้าแล้วงั้นหรือ"
เฉิงซือหานกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เดิมทีนายของตนก็มักรำคาญฮูหยินอยู่ตลอดไม่ใช่หรือ หากนางไม่มายุ่มย่ามสักคนเจียงซื่อจวินก็ควรสบายใจ เหตุใดสีหน้าของเขากำลังบ่งบอกว่าไม่สบอารมณ์ยิ่งนัก
"ท่านโหว ฮูหยินไม่เข้ามาวุ่นวายกับท่านแล้ว ก็ดีไม่ใช่หรือขอรับ เพราะเดิมทีข้าเองก็ไม่เห็นท่านออกไปพบฮูหยินสักครั้ง"
ปัง!
องครักษ์ทั้งสองสะดุ้งโหยง พวกเขาไม่อาจคาดเดาจิตใจของผู้เป็นนายได้จริง ๆ ไม่รู้ว่าเขาคิดอ่านเช่นไรกันแน่
"สตรีตลบตะแลงทำตัวไม่มีหนังไม่มีหน้าอย่างนางจะมาไม้ไหนกันแน่"
เจียงซื่อจวินใจเต้นระส่ำ เขาไม่รู้ว่าอาการที่เกิดขึ้นหมายความอย่างไร เขาเฝ้าฝันให้นางไม่ต้องสนใจตนโดยตลอด ยามนี้สมใจปรารถนาแล้ว ทว่าเขากลับไม่ยินดีสักนิด เฉกเช่นตนกำลังถูกนางร่ายเสน่ห์มนตราปีศาจจิ้งจอกใส่อย่างจัง
จือหลิน เกิดอะไรขึ้นกับเจ้ากันแน่ นิสัยเช่นนี้มิใช่เจ้าเลยสักนิด
"ซือหาน เจ้ากลับไปสังเกตนางให้ดี หากนางทำตัวประหลาดอีก รีบกลับมารายงานข้า"
"ขอรับ"
.
.
ภายในหอนอนขนาดกว้าง แสงจากบุหลันสะท้อนผ่านช่องลมทรงกลมเข้ามา ความสว่างจากทั้งเชิงเทียน และดวงจันทราส่งผลให้ผิวกายของหญิงสาวแลดูผุดผาดงดงามขึ้นอีกหลายส่วน
เจียวเจียวกำลังแปรงผมสีดำนุ่มสลวยซึ่งส่งกลิ่นหอมกรุ่นด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม ส่วนปี้อี๋ช่วยหลิวจือหลินละเลงบางอย่างลงบนผิวด้วยความแผ่วเบา
เจียวเจียว "ฮูหยินเจ้าคะ เครื่องประทินโฉมพวกนี้ไยกลิ่นหอมยิ่งนัก แตกต่างจากที่ข้าเคยได้กลิ่นตามท้องตลาดมากโข ทั้งสดชื่น ทั้งรู้สึกช่วยให้ผ่อนคลาย หนำซ้ำยามนี้ใบหน้าของฮูหยินก็กลับมาสะสวยเช่นกาลก่อนแล้ว ท่านช่างเก่งกาจนัก กระทั่งท่านหมอยังตื่นตกใจที่รอยแผลเป็นของฮูหยินไม่หลงเหลือแล้ว"
หลิวจือหลินคลี่ยิ้ม "ข้าก็ไม่คิดว่าสมุนไพรธรรมชาติจะช่วยสมานแผลซ้ำยังสามารถรักษาร่องรอยได้ดีเพียงนี้ เช่นนั้นข้ายกให้เจ้าทั้งสองได้ใช้ด้วยดีหรือไม่"
ปี้อี๋เบิกตากว้าง "ได้อย่างไรเจ้าคะ บ่าวไม่กล้าหรอกเจ้าค่ะ"
หลิวจือหลินยิ้มขัน "ของพวกนี้เจ้าทั้งสองก็ช่วยข้าเช่นกันมิใช่หรือ เอาไปเถิดไว้ค่อยทำใหม่ก็ได้"
"แต่..."
"ไม่ต้องแต่แล้ว...เอาเป็นว่าตามนี้ ไว้พรุ่งนี้ไปตลาดกัน ข้าอยู่ที่นี่นานมากแล้วยังไม่เคยออกไปไหนเลย"
เจียวเจียวหน้าสลดลง "เอ่อ...ถ้าออกไปข้างนอกต้องขออนุญาตท่านโหวก่อนหรือไม่เจ้าคะ เกรงว่าหากเราออกไปกันเอง..."
"ต้องบอกเขาด้วยหรือ เดิมทีข้าคิดว่าเขาไม่มีตัวตนด้วยซ้ำ อีกอย่างเจ้าคิดว่าเขานั้นใส่ใจข้าหรือ ดูเอาเถิดตั้งแต่เกิดเรื่องเขาไม่เคยมาดูดำดูดีข้าสักครั้ง แล้วพวกเจ้าจะเกรงกลัวไปไย หากเกิดอะไรขึ้นข้ายินดีรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว"
เจียวเจียวและปี้อี๋ก้มหน้างุด นายหญิงออกปากเช่นนี้ พวกนางควรออกไปเปิดหูเปิดตากันเสียหน่อยย่อมเป็นเรื่องดี จากเหตุการณ์ที่ผ่านมา เจียงซื่อจวินล้วนมิเคยให้พวกนางเฉียดเข้าใกล้เลยสักครั้ง เช่นนั้นการรายงานก็ย่อมมิสลักสำคัญใด
"ก็ได้เจ้าค่ะ" สาวใช้ตอบรับโดยพร้อมเพรียง
"ดูพวกเจ้าสิ หงอยเป็นแมวเชื่อง ๆ" หลิวจือหลินคลี่ยิ้ม พลางเอื้อมมือบีบบี้พวงแก้มสาวใช้คนละฝั่งอย่างนึกมันเขี้ยว
"ฮูหยิน เหตุใดซนนักเล่าเจ้าคะ" เจียวเจียวเอ่ยอู้อี้ ส่วนปี้อี๋หน้าเบี้ยวตามแรงบีบขยุ้มเสียแล้ว หลิวจือหลินหัวเราะคิกคักอย่างนึกสนุก สาวใช้ทั้งสองเห็นรอยยิ้มเริงร่าของนายหญิงก็พลอยขบขันไปตามกัน
"ไม่ต้องห่วงหรอกนา เขายังจำว่ามีข้าอยู่หรือเปล่าก็ยังไม่รู้" หลิวจือหลินลอยหน้าตอบ จากนั้นเปลี่ยนเรื่องสนทนาเพราะไม่อยากเอ่ยถึงบุรุษที่ไม่เคยมีใจให้ฮูหยินตัวเอง ซ้ำใบหน้าของเขายังเป็นภาพเลือนรางจนมองไม่ชัด ดูเหมือนหลิวจือหลินคนก่อนคงเสียใจมากที่เขารับอนุสิท่า นางจึงได้พยายามลบอีกฝ่ายออกจากความทรงจำเช่นนี้
ทุกการกระทำและคำพูดของหลิวจือหลินล้วนสร้างความประหลาดใจให้บุรุษบนหลังคาอย่างยิ่งยวด เฉิงซือหานดีดกายผึง พลางเกาศีรษะพร้อมพ่นกิ่งไม้ขนาดเล็กให้พ้นทาง "นี่ฮูหยินเพี้ยนไปแล้วหรือ ดูเหมือนข้าต้องไปรายงานท่านโหวเดี๋ยวนี้"
หลังได้รับตำแหน่ง หลิวจือหลินจึงมาเยือนเรือนของตนเป็นครั้งแรก นางพบปะบิดาล่าสุดก็ตอนฟื้นจากเพลิงไหม้หนนั้นเพียงคราเดียว"หลินเอ๋อร์ลูกพ่อ" ใต้เท้าหลิวโผกอดบุตรสาวน้ำตานองหน้าเขาทั้งปลื้มใจและตกใจในเวลาเดียวกัน ผู้ใดจะทันคาดคิดนอกจากบุตรสาวนั้นใจกล้าฝ่าคมดาบดงอัคนี นางยังได้รับตำแหน่งเป็นถึงฮูหยินตราตั้ง ชายแก่ผมขาวที่ฮูหยินตายจากไปนานโขเลี้ยงลูกสาวไม่เป็นก็ได้แต่ตามใจนางจนเสียคน ในที่สุดลูกสาวของเขาก็เป็นผู้เป็นคนเสียที"ท่านพ่อ เป็นถึงเสนาบดี ร้องไห้ขี้แยเป็นเด็ก ๆ" หลิวจือหลินเอ่ยยิ้ม ๆ จากนั้นเอื้อมมือปาดน้ำตาให้ผู้เป็นบิดาด้วยความรักใคร่แม้นางคือจิตวิญญาณจากโลกอีกด้าน แต่หลิวตงนับเป็นบุรุษอีกคนที่รักและห่วงใยนางที่สุด หลิวจือหลินรักเขาเฉกเช่นพ่อแท้ ๆ กระทั่งพูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อยบิดาของเขาจึงพาหลิวจือหลินและเจียงซื่อจวินไปกราบป้ายวิญญาณของมารดาทว่าหางตาของหลิวจือหลินเหลือบเห็นภาพวาดหญิงชราผู้หนึ่ง ซึ่งแขวนติดผนังเอาไว้"ท่านพ่อ คุณยายท่านนี้คือใครเจ้าคะ" นางรู้สึกคุ้นตาพิกล แต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ตกว่าเคยเห็นที่ใด&nbs
เจียงซื่อจวินได้รับตำแหน่งโหวติดตัวนับตั้งแต่บิดาของเขาลาโลกเมื่อตนเยาว์วัย ยามนี้ฮ่องเต้เปรียบดั่งบิดาแท้ ๆ ของเขา แม้บิดาผู้ให้กำเนิดเจียงโหวเป็นสหายร่วมสาบานของฝ่าบาทแต่เขาก็มิใช่ขุนนางยศหนาศักดิ์ใหญ่ใด ซ้ำฮองเฮาและไท่จื่อก็คอยดูแลประคบประหงมเขาอย่างไม่รังเกียจ เช่นนั้นเมื่อภัยมาสู่ราชวงศ์ บัลลังก์มังกรนี้เจียงซื่อจวินย่อมยินดีช่วยกอบกู้ด้วยความเต็มใจเมื่อทุกอย่างเข้าร่องเข้ารอย ราชวังกลับสู่ความผาสุกอีกครั้ง ผ่านไปไม่นานก็มีราชโองการเรียกเจียงโหวและฮูหยินเข้าเฝ้า รถม้าจากจวนโหวแล่นมาจอดเทียบเบื้องหน้าธรณีทางเข้าราชวังหลวงแล้ว เจียงซื่อจวินลงมาก่อน จากนั้นยื่นมือให้ฮูหยินอันเป็นที่รักด้วยรอยยิ้มร่างระหงเยื้องย่างตามลงมา ภาพจำครั้งก่อนที่นางเมินเขายังติดตามิลืมเลือน หนนี้ทั้งสองปรับความเข้าใจกันเป็นที่เรียบร้อย หลิวจือหลินยื่นมือส่งให้เขาพร้อมรอยยิ้ม กระทั่งลงยืนเคียงกันเบื้องล่างก็มีรถม้าอีกคันเคลื่อนมาหยุดต่อท้ายเข้าพอดี"คุณชายฟ่าน" หลิวจือหลินโบกไม้โบกมือเพื่อทักทายสหายเจ้าของใบหน้าหล่อเหล่าผลิยิ้มตอบกลับ "ฮูหยิน และท่านโหวก็ถูก
หลิวจือหลินตะลึงงันเมื่อทราบว่าเจียงซื่อจวินได้ปลดหม่าลี่เจี่ยจากการเป็นอนุไปเสียตั้งนานแล้ว แต่ทว่าวิธีการที่มากกว่าการปลด และเรื่องตามเอาคืนสตรีทั้งสองที่บังอาจแส่มาหาเรื่องนางเขามิได้เอ่ยถึง เกรงว่าหลิวจือหลินอาจตกใจ และหวาดกลัวบุรุษเหี้ยมโหดเช่นเขาไปเลยตลอดกาล ต่อให้เขาจะโหดร้ายเพียงใด บุรุษเช่นเขาทำไปเพราะมีเหตุผล สิ่งที่กระทำล้วนได้รับการตรึกตรองอย่างดียิ่ง และไม่มีทางทำร้ายสตรีที่ตนรักเป็นอันขาด"ท่านโหว ท่านไม่เสียดายหรือ เดิมการเป็นบุรุษในยุคนี้สามารถมีภรรยาได้มากกว่าหนึ่งอยู่แล้ว" หลิวจือหลินอยากลองเชิงเขาเสียหน่อยนัยน์ตาคมหรี่ลงเล็กน้อย "เจ้าอยากให้ข้ามีอนุอีกงั้นหรือ""หากท่านอยากมีอนุคนใหม่ข้าหรือจะห้ามได้ อีกอย่างองค์หญิงเจ็ดก็พึงใจท่านมิใช่หรือ"เจียงซื่อจวินแค่นหัวเราะในลำคอ นางจะทราบหรือไม่ว่าองค์หญิงเจ็ดถูกเขาจัดการเช่นไร "องค์หญิงเจ็ด ร่วมกบฏกับพี่ชาย ถูกลงทัณฑ์ไปแล้ว หรือต่อให้นางไม่ถูกลงทัณฑ์ ชาตินี้ข้าก็จะไม่มีใครอีกนอกจากเจ้า"จู่ ๆ จมูกโด่งเป็นสันก็จรดลงบนปรางแก้มเนียนนุ่ม หลิวจือหลินตัวแข็งทื่อ "...ทำอะไรของท่าน""จ
ค่ำคืนหนึ่งก่อนเกิดจลาจลก่อกบฏในวังหลวงเจียงซื่อจวินมิได้กลับจวน เขาต้องการสะสางทุกอย่างให้แล้วเสร็จ เขาได้ล่วงรู้ว่าจิตวิญญาณของหลิวจือหลินผู้นี้เป็นสตรีจิตใจงดงามมิใช่หลิวจือหลินคนก่อน นางปล่อยวางและสามารถอภัยได้ทุกสิ่ง กระนั้นคนเช่นเขา เจียงซื่อจวิน มิอาจละเว้นคนผิดให้อยู่ลอยหน้าได้อีกต่อไป ผู้ใดดีกับเขา เขาย่อมดีตอบ แต่ทว่าผู้ใดที่คิดอาฆาตมาดร้ายต่อคนที่เขารัก เขาจะสนองกลับมันไปร้อยเท่าพันทวีเสียงฝีเท้าดังแผ่วใกล้เข้ามาทุกขณะ สตรีร่างบอบบางหลับใหลอยู่บนแท่นบรรทมพลันลืมตาตื่นท่ามกลางความสลัวแห่งราตรีกาล"ท่านพี่ซื่อจวิน มาได้อย่างไรเจ้าคะ""องค์หญิงหลับสบายหรือไม่" น้ำเสียงของเขาแข็งกระด้างเย็นยะเยือกถานจาวหรงนึกดีใจที่อยู่ ๆ เขาก็มาหานาง แต่ทว่าพบเขาเวลานี้นับเป็นเรื่องผิดวิสัย โดยปกติเจียงซื่อจวินไม่เคยคิดเข้าหาสตรียามค่ำคืน เขาเป็นสุภาพบุรุษและคำนึงถึงความต่างระหว่างหญิงชายเสมอ"เหตุใดท่านจึงมายามวิกาลได้เจ้าคะ ทหารเวรยามก็ให้ท่านเข้ามาได้หรือ""แน่นอน ข้าคิดถึงองค์หญิงจึงหมายมาเยือนเสียหน่อย"ถานจาวหรงแย้มยิ้มลิงโลด ใ
คืนที่หยกมณีเพลิงหายไป เฉิงซือหานและช่ายจินซินรู้สึกถึงความผิดปกติ เขาพบบุรุษร่างกำยำลอบเข้ามาในเรือนตะวันออก จากนั้นรอจังหวะที่เจียวเจียวและปี้อี๋ไม่ทันระวังสับเปลี่ยนหยกเป็นของปลอม เดิมทีเจียงซื่อจวินสัมผัสได้เสียตั้งนานแล้วว่ามีสายตาของใครบางคนกำลังจับจ้อง อีกอย่างใช่เขาไม่รู้ว่าในจวนโหวมีหนอนบ่อนไส้มากมายเท่าใดกระนั้นเขากลับแสร้งหูหนวกเป็นใบ้ [1] มาตลอดเมื่ออีกฝ่ายลงมือ องครักษ์ทั้งสองก็จัดการโค่นกล้วยอย่าไว้หน่อ [2] เสียเลย ชายผู้นั้นถูกนำตัวไปคุมขังยังคุกใต้ดิน เจียงซื่อจวินทรมานเขาอย่างหนัก กระทั่งอีกฝ่ายยินยอมปริปาก เขาจึงล่วงรู้ว่าเป็นแผนการของหม่าลี่เจี่ยทั้งหมดหลายวันผ่านไปเจียงซื่อจวินก็ยังแสร้งมิรู้เห็นโดยตลอดกระทั่งถึงงานพิธีเฉลิมฉลองวันคล้ายวันประสูติของฮองเฮา หลิวจือหลินได้รับบาดเจ็บสาหัส เจียงซื่อจวินบังเกิดโทสะจึงส่งเฉิงซือหาน และช่ายจินซินตามสืบจนรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังอย่างแท้จริง และมีผู้ใดสมรู้ร่วมคิดบ้า
จากดวงตาที่เบิกกว้างอยู่แล้ว ม่านตาของนางก็ยิ่งขยายใหญ่ขึ้น หรือว่าเขาทั้งสองจะเป็นแฝดคนละมิติเช่นที่นางคิดไว้กันเล่าคืนที่เจียงซื่อจวินเฝ้าไข้หลิวจือหลิน เขาเผลอสัมผัสถูกสร้อยลูกปัดปะการังเพลิงของนางโดยบังเอิญ อยู่ ๆ ความทรงจำของชายผู้นั้นก็หลั่งไหลเข้ามาในมโนสำนึกของเขาอี้เหลียงคือตัวตนของเขาในโลกคู่ขนาน ยามนี้จิตวิญญาณอีกฝ่ายก็ติดตามหลิวจือหลินมาถึงที่นี่ ทว่าอี้เหลียงมิได้เข้ามาควบคุมจิตใจและจิตวิญญาณของเขาเฉกเช่นหลิวจือหลินหลิวจือหลินเข้ามามิติแห่งนี้พร้อมจิตวิญญาณของโลกอีกด้าน ส่วนหลิวจือหลินคนเดิม เกรงว่าก็ยังคงอยู่ พวกนางคือคนคนเดียวกัน ทว่าหลิวจือหลินผู้นั้นเปรียบดั่งจิตวิญญาณด้านมืดของนาง ยามนี้หลิวจือหลินได้กดข่มและทำลายจิตวิญญาณอันชั่วร้ายออกจากใจจนหมดสิ้น นางตื่นรู้จากโลกใบก่อนกล่าวโดยง่าย เจียงซื่อจวินและหลิวจือหลินคือคนเดียวกันกับโลกอีกมิติ บางครั้งสวรรค์ก็มีความลับมากมายที่เขาไม่ทันล่วงรู้ แต่ดูเหมือนเงื่อนไขของหนึ่งร่างสองวิญญาณจะต่างกันออกไป เพราะอี้เหลียงไม่สามารถควบคุมเขาได้มีเพียงจิตสำนึกเท่านั้น"ทะ...ท่าน นี่ท่านเป็นเขางั