Home / แฟนตาซี / ข้านี่แหละคุณหนูผู้ร้ายกาจ / ตอนที่ 1 ท่านรู้ได้ยังไง

Share

ตอนที่ 1 ท่านรู้ได้ยังไง

ไป๋เสวี่ยใช้ชีวิตอยู่แต่ในห้องจนกระทั่งเริ่มรู้สึกเบื่อ “กินแล้วก็นอนเห็นทีว่าคงจะต้องเดินออกไปด้านนอกบ้างแล้ว”

            “คุณหนูเจ้าคะ ท่านจะไปไหน” ทันทีเมื่อประตูห้องของตนเปิดออก ไป๋เสวี่ยก็ผงะด้วยความตกใจเพราะนางยังไม่เคยเจอบ่าวตัวน้อยในความทรงจำของร่างเดิมมาก่อน

            “เจ้าคือเสี่ยวทู่”

            “ใช่เจ้าค่ะ คุณหนูอย่าตีบ่าวเลยนะเจ้าคะ ที่ข้าน้อยต้องถามก็เพราะนายท่านผู้เฒ่าได้สั่งเอาไว้” เด็กหญิงร่างผอมตัวสั่นด้วยความกลัวแม้จะรู้สึกว่าวันนี้คุณหนูของตนดูผิดแผกไปจากเดิมราวกับว่าเป็นคนละคนก็ตาม

            “ข้าไม่ตีเจ้าหรอกอีกทั้งยังต้องขอโทษด้วยที่เคยทำร้ายเจ้าอย่างไม่มีเหตุผลหลายต่อหลายหน” น้ำเสียงของผู้เป็นนายเอ่ยอย่างสำนึกเสียใจ ทำให้เสี่ยวทู่ตัวน้อยต้องรีบกล่าวห้ามด้วยความตื่นตะลึง

            “คุณหนูอย่าได้ก้มหัวให้บ่าวเช่นนี้เจ้าค่ะ ข้าไม่เคยโกรธท่านเลยด้วยความสัตย์ เพราะหากในครานั้นไม่ใช่ท่านเป็นผู้อยากได้บ่าว ในตอนนี้ข้าน้อยเกรงว่าตัวเองคงได้เข้าไปอยู่ในหอโคมเขียวเป็นแน่”เด็กหญิงวัยสิบปีรีบคุกเข่าลงเอ่ยด้วยน้ำเสียงแห่งความตื้นตันจนคนฟังรู้สึกกระดากใจ

            “เจ้ารีบลุกขึ้นก่อนและอย่าได้พูดเช่นนี้อีก แม้ว่าข้าจะให้ท่านพ่อช่วยซื้อตัวเจ้ามาแต่ข้าก็ทำไม่ดีกับเจ้าเช่นกัน ถ้าอย่างนั้นเอาแบบนี้ดีหรือไม่ นับตั้งแต่ตอนนี้พวกเรามาเริ่มใหม่กันนะ”

            เสี่ยวทู่ตัวน้อยน้ำตาไหลพรากอาบใบหน้าอย่างดีใจ “คุณหนู ท่านช่างเป็นคนดีเสียจริง คนดีพระโพธิสัตว์ ย่อมคุ้มครอง” บ่าวตัวน้อยมองผู้เป็นนายด้วยสายตาแห่งความเทิดทูนจนไป๋เสวี่ยทำตัวไม่ถูก

            ในขณะที่นางกำลังยืนละล้าละลังร่างเล็กของคนเป็นน้องชายในสภาพมอมแมมก็แผดเสียงออกมาอย่างไม่พอใจ

            “พี่รองท่านรังแกพี่เสี่ยวทู่อีกแล้วเหรอ” คนตัวเล็กรีบเดินอาด ๆ เข้ามาหมายจะปกป้องผู้ที่ตนมองว่าเป็นพี่สาวมากกว่าเด็กหญิงอีกคนที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้างดงาม

            “คุณชายรองเข้าใจผิดแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูหาได้รังแกบ่าวแต่อย่างใด นางกำลังเอ่ยขอโทษต่างหากล่ะเจ้าคะ”

            ใบหน้าของไป๋เทียนคล้ายถูกผีหลอกเมื่อได้ยินคำพูดของเด็กรับใช้ข้างกายคนเป็นพี่

            “พี่เสี่ยวทู่พูดจริงเหรอ” เด็กชายถามย้ำอย่างไม่เชื่อหู

            เสี่ยวทู่ตัวน้อยผงกหัวราวลูกเจี๊ยบจิกข้าวสาร ไป๋เสวี่ยมองเด็กชายตัวน้อยผู้สูงกว่าตนไม่มากอย่างพินิจพิจารณา

            “เหตุใดตัวเจ้าถึงได้ดูไม่ได้เช่นนี้เล่า”

            ไป๋เทียนมองค้อนคนถามก่อนจะสาธยายออกมายาวเหยียด “พี่รองท่านลืมหรือแสร้งปิดหูปิดตากันแน่ บ้านของเรายากจนมากขนาดไหนพี่ไม่รู้หรือ ข้ากับพี่ใหญ่วัน ๆ หาได้อยู่เฉยอย่างท่านไม่ พวกเราตั้งแต่ลืมตาตื่น ข้าคนนี้ก็จะต้องไปหาฟืนบนเขา ส่วนพี่ใหญ่กับท่านแม่ก็ต้องไปช่วยกันหาบน้ำมาใส่โอ่งดินเผาข้างเรือน แม้แต่พี่เสี่ยวทู่เองก็ยังต้องไปรับจ้างซักผ้าทั้ง ๆ ที่ตัวเองเป็นลูกจ้าง มีแต่พี่คนเดียวเท่านั้นแหละที่ไม่ต้องทำอะไร วัน ๆ เอาแต่เรียกร้องจะเอาเสื้อผ้าบ้างล่ะ เอาของกินดี ๆ บ้าง ไหนจะเครื่องประดับอีก ” น้ำตาของเด็กชายไหลอาบใบหน้าเอ่ยอย่างคับแค้นใจ

            “ข้าขอโทษ” สามคำนี้ทำให้น้ำตาของเด็กชายหยุดไหล ลงอย่างงงงันก่อนเงยหน้ามองคนเป็นพี่เพื่อให้แน่ใจว่าคนตรงหน้ายังเป็นพี่สาวผู้เจ้าอารมณ์เอาแต่ใจของตนหรือเป็นคนอื่นปลอมตัวมา

            บ้าไปแล้วใครจะอยากมาปลอมตัวเป็นคุณหนูนายอำเภอยากจนกัน เขาคิดพลางสะบัดหน้าไปมาไล่ความคิด        “ต่อไปนี้ข้าให้สัญญาว่าจะกลับตัวเป็นคนใหม่ เจ้าอาจไม่เชื่อแต่ข้าจะพิสูจน์ให้เห็นเอง” คนเป็นพี่วางมือขาวราวหยกลงบนศีรษะเล็กของคนเป็นน้องอย่างอ่อนโยน

            “ท่านทำให้จริงอย่างที่พูดเถอะ เอามือออกไปซะข้าจะไปทำงานต่อ” เด็กชายตัวเล็กไม่กล้าเอามือสกปรกของตนปัดมือของเด็กหญิงออกจึงได้ทำเป็นขืนตัวและพูดจาห้วน ๆ ออกมา

            “ได้สิ ว่าแต่เจ้ายังต้องไปเก็บฟืนอีกหรือเปล่าให้ข้าไปด้วยได้ไหม” ไป๋เทียนผู้รออยู่นานก็ไม่เห็นว่าคนเป็นพี่จะอาละวาดด่าทอแต่ทว่านางกลับทำในเรื่องตรงกันข้ามเสียอย่างนั้น อีกทั้งยังไร้ซึ่งท่าทางโกรธเคืองแต่เก่าก่อนเขาจึงตกใจอีกคำรบ

            “ท่านต้องเสียสติไปแล้วแน่ ๆ” เมื่อผู้พูดเห็นท่าทางอันเศร้าสลดของคนเป็นพี่เจ้าตัวก็อดจะใจอ่อนไม่ได้จึงได้พูดแบบขอไปที

            “จะไปก็ไปแต่ท่านห้ามบ่นว่าร้อนหรือเหนื่อยแล้วขอกลับกลางคันนะ ข้าไม่ได้ว่างลงจากเขามาส่งท่านหรอก” ท่าทางเอามือไพล่หลังราวผู้ใหญ่ตัวน้อยได้เรียกรอยยิ้มอย่างเอ็นดูจากผู้ใหญ่ในร่างเด็กของไป๋เสวี่ย

            “ท่านยิ้มอะไร จะไปก็ตามมา” คนตัวเล็กทำแก้มป่องสะบัดเสียงให้นางก่อนจะเดินนำหน้าออกจากเรือน

            เด็กทั้งสามคนเดินมุ่งหน้าขึ้นภูเขาไปตามเส้นทางคดเคี้ยวด้านหลังเรือน ซึ่งเส้นทางนี้ไป๋เสวี่ยคาดว่าเด็กชายน่าจะใช้สัญจรอยู่เป็นนิจทั้งนี้เป็นเพราะเส้นทางค่อนข้างเตียนโล่ง

            แม้ปากของไป๋เทียนจะพูดว่าไม่สนใจคนเป็นพี่ที่เดินตามหลัง กระนั้นเด็กชายก็ผ่อนฝีเท้าให้ช้าลงเป็นระยะ ๆ

            ไป๋เสวี่ยมองรอบด้านอย่างให้ความสนใจโดยไม่รู้ว่าท่าทางชมนกชมไม้ของเจ้าตัวเริ่มทำให้คนเป็นน้องหงุดหงิด

            “ท่านเดินให้เร็วกว่านี้ไม่ได้เหรอ”

            เสี่ยวทู่เกรงว่าสองพี่น้องจะโต้เถียงกันขึ้นมาอีกดังนั้นด้วยความหวังดีเด็กหญิงจึงได้เอ่ยเข้าข้างผู้เป็นนาย

            “คุณชายรอง ให้บ่าวขึ้นไปเก็บฟืนเองดีหรือไม่ คุณหนูเพิ่งจะหาย ท่านอย่าได้ว่านางเลย”

            “พี่ก็เป็นแบบนี้เสมอนั่นแหละ ไม่ว่าพี่รองจะทำอะไรผิดพี่ก็มักจะออกหน้ารับแทน” คนตัวเล็กกว่ากระทืบเท้าเดินลิ่ว ๆ โดยไม่รอคนทั้งคู่

            “น้องเล็กเจ้าช้าลงหน่อยเถอะ หากเดินสะดุดแล้วเกิดบาดเจ็บขึ้นมาจะลำบาก” ไป๋เสวี่ยยกมือปาดหน้าผากตะโกนไล่หลังด้วยความเป็นห่วง

            “ไม่มีทางหรอกคนอย่างข้าเดินภูเขาลูกนี้มาตั้งแต่จำความ....อ๊าก” ยังไม่ทันสิ้นเสียงของคนพูดเจ้าตัวก็ร้องดังลั่นด้วยความเจ็บปวด “เกิดอะไรขึ้น เจ้าเป็นอะไร” คนเป็นพี่เอ่ยอย่างร้อนใจ เช่นเดียวกับเสี่ยวทู่

            และเมื่อพวกเขากึ่งเดินกึ่งวิ่งมาเห็นสภาพของเด็กชายตัวเล็ก “คุณชายรอง!!” “น้องเล็ก!”

            “ต้องเป็นเพราะท่านนั่นแหละถึงทำให้ข้าเจ็บตัวเช่นนี้” ในเมื่อระบายความโกรธให้ใครไม่ได้สุดท้ายจึงได้ลงกับพี่สาวผู้นั่งยองมองสำรวจเท้าของตน

            “ได้ ๆ ข้าผิดเองแต่ไม่ใช่ว่าพี่ตะโกนเตือนเจ้าแล้วหรอกหรือ” ไป๋เสวี่ยไม่พูดเปล่านางยังได้จับข้อเท้าของคนเป็นน้องขึ้นมาสำรวจด้วยความระมัดระวัง

            “โอ๊ย! ท่านทำอะไร อีกอย่างชายหญิงไม่ควรใกล้ชิดกัน” คนเป็นน้องพยายามกระถดตัวหนีพลางเอ่ยตำหนิด้วยใบหน้าแดงก่ำไม่รู้ว่าเจ้าตัวโกรธหรืออาย

            “เจ้าอายุเท่าไหร่ ข้าอายุเท่าไหร่ อีกอย่างเราสองคนเป็นพี่น้องกันแม้จะไม่ได้ร่วมมารดาแต่แม่ของเจ้าก็เป็นน้าแท้ ๆ ของข้า อีกอย่างเราก็บิดาเดียวกันเจ้าอย่าคิดมากจะได้ไหม”

            เด็กน้อยจนใจเถียงไม่ออก จึงยอมนั่งนิ่งแต่โดยดีเพื่อให้คนอายุมากกว่าสองปีถอดรองเท้าของตน

            “เจ็บไหม” คนเป็นพี่ถามเสียงอ่อนสีหน้าของนางเต็มไปด้วยความกังวลเพราะข้อเท้าของน้องชายค่อนข้างบวม

            “ไม่” เขากัดฟันแน่น ให้ตายข้าก็จะไม่บอกเจ้าหรอกว่าเจ็บ เขาคิดอย่างอดทน

            “เจ้าไม่จำเป็นต้องเข้มแข็งไปซะทุกเรื่องก็ได้ เจ้าไม่เคยได้ยินหรือว่าเด็กไม่ร้องไห้มักจะไม่มีขนมกิน หากแต่ก่อนเมื่อข้ารังแกเจ้าแล้วเจ้าไม่อดทน ข้าก็คงไม่กำเริบเสิบสานรังแกเจ้าอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันจนทำให้ตัวเองลำพองใจ เจ้าคิดว่าตนเองมีส่วนผิดหรือไม่” คนเป็นพี่พูดไปก็ฉีกชายเสื้อของตนเพื่อนำมาพันเท้าให้คนเป็นน้อง ไป๋เทียนฟังพี่สาวพูดอย่างเหม่อลอยจนกระทั่งฝ่ามือเย็นของนางกำลังพันเท้าให้ตน

            “ท่านทำอะไร! ข้าจำได้ว่าเสื้อตัวนี้ท่านร้องไห้อยู่เป็นนานกว่าท่านพ่อจะยอมซื้อให้ ละ..แล้วตอนนี้” เด็กชายไม่อาจหาถ้อยคำใดเอ่ยออกมาได้เมื่อคนเป็นพี่มองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉยราวกับว่าเรื่องที่เขาพูดนั้นไม่สลักสำคัญ

            “ท่านคงเป็นบ้าไปแล้วจริง ๆ” คนตัวเล็กพึมพำ

            “คุณหนูข้าเจอสมุนไพรชนิดนี้เจ้าค่ะ ท่านผู้เฒ่าเคยบอกว่ามันสามารถลดอาการบวมช้ำได้” เสี่ยวทู่นำสมุนไพรลำต้นอวบมาส่งให้คนเป็นนาย

            ดวงตาของไป๋เสวี่ยเบิกกว้าง “พี่เสี่ยวทู่ท่านเจอของดีเข้าแล้ว” นางพูดขึ้นเสียงดังด้วยความลืมตัว

            ทั้งน้องชายและบ่าวตัวน้อยพากันเอียงคอมองคนพูดด้วยสีหน้าฉงน

            “ท่านรู้จัก?” คนเป็นน้องถามด้วยท่าทางโอหังไม่อยากเชื่อว่าคนที่ไม่สนใจเล่าเรียนเอาแต่แต่งตัวจะรู้จักชื่อและสรรพคุณของสมุนไพร

            “สิ่งนี้เรียกว่าโสมซานซีหรือโสมเลือด สรรพคุณของมันใช้ห้ามเลือดแก้ฟกช้ำได้เป็นอย่างดี”

            คนทั้งคู่ที่ได้ยินพากันตกตะลึง “ท่านพูดจริง!” ไป๋เทียนแทบจะลืมอาการบาดเจ็บของตนไปในบัดดล

            “อืม เจ้านั่งนิ่ง ๆ สิเดี๋ยวอาการบาดเจ็บก็ยิ่งแย่ลงหรอกเอาไว้เมื่อกลับถึงบ้านข้าจะนำโสมไปต้มบำรุงให้เจ้ากิน”

            “ไม่ได้!!” ไป๋เทียนตะโกนห้ามเสียงหลง

            “ทำไม?” คนเป็นพี่ทำสีหน้าไม่เข้าใจ

            “คุณหนูเจ้าคะ หากว่าเป็นเวลาปกติท่านคงจะรีบนำโสมต้นนี้ไปขายเพื่อนำเงินมาซื้อเสื้อผ้าเครื่องประดับแล้วล่ะเจ้าค่ะ ไม่มีทางที่ท่านจะนำมาต้มหรอก” ถ้อยคำแสนซื่อจริงใจทำให้ไป๋เสวี่ยรู้สึกสะอึก

            “เอาเถอะข้าไม่เชื่อหรอกว่าภูเขาลูกใหญ่ขนาดนี้จะมีโสมแค่ต้นเดียวพวกเจ้าไม่ต้องเสียดายไป”

            “ท่านยังคิดจะนำมาต้มให้ข้ากินอีกเหรอหากว่านำมันไปขายข้าว่าคงได้เงินไม่น้อย ท่านไม่เสียดายจริงหรือ?” คนเป็นน้องถามย้ำอย่างกังขา

            “ไม่เสียดาย เจ้าอย่ามัวพูดมากอยู่เลยข้าอยากรู้เหลือเกินว่าเจ้าสะดุดสิ่งใดจึงทำให้ตัวเองล้มคว่ำไม่เป็นท่ามากกว่า” เมื่อคนเป็นพี่กล่าวออกมาเช่นนี้แม้ว่าในใจของไป๋เทียนจะรู้สึกซาบซึ้งขึ้นมาบ้างแต่หลังจากได้ยินประโยคหลังเขาก็ทำหน้าบึ้งด้วยความไม่พอใจ

            “ท่านไม่ใช่พูดเกินไปเหรอ ข้าล้มคว่ำเมื่อไหร่กันเพียงแค่สะดุดเล็กน้อยเท่านั้นเอง” เขาแก้ตัว

            ไป๋เสวี่ยคร้านจะโต้แย้งกับคนเป็นน้องนางจึงยอมอ่อนข้อให้แต่โดยดีก่อนที่เจ้าตัวจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง

            “คุณหนู พวกเราจะลงจากภูเขากันเลยดีไหมเจ้าคะ” เสี่ยวทู่ตัวน้อยถามหลังเห็นนายน้อยของเรือนได้รับบาดเจ็บ

            “อืมกลับเลยก็ดี แต่ว่าข้าขอดูต้นเหตุที่ทำให้น้องชายบาดเจ็บสักหน่อยเถอะ” คำพูดของนางทำให้ทั้งไป๋เทียนและ เสี่ยวทู่ตกตะลึงอีกคำรบ

            “ท่านยอมรับข้าว่าเป็นน้องชายแล้วหรือ” แม้ว่านางจะยอมเรียกเขาว่าน้องเล็กแต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่คนเป็นพี่จะบอกว่าตนเป็นน้องชาย

            ไป๋เสวี่ยมองเขาพร้อมกับคลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยนทั้งปากและตา “ข้าบอกเจ้าแล้วว่าต่อไปนี้ข้าคือคนใหม่” แสงของอาทิตย์ยามใกล้อัสดงอาบไล้แนวเขาลามเลียมาถึงตัวของคนพูดจึงทำให้หล่อนดูราวกับเทพธิดาตัวน้อยก็ไม่ปาน

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ข้านี่แหละคุณหนูผู้ร้ายกาจ   ตอนที่ 17 เจ้าไม่หิว?

    กว่าคนกลุ่มใหญ่จะเดินป่ากันลงจากภูเขาได้ดวงตะวันก็เริ่มอ่อนแสงลงลับทิวไม้ไปทุกขณะ “ท่านยาย ไหวหรือไม่เจ้าคะ อดทนหน่อยอีกไม่ไกลพวกเราก็จะถึงแล้ว” ไป๋เสวี่ยเอ่ยปลอบหญิงวัยกลางคนผู้อายุมากอย่างเป็นห่วง “ไหว ยายยังไม่แก่มากปานนั้นนะเป่าเปา” แม้บนหน้าผากจะเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ ทว่านางเกาก็ยังคงตอบอย่างอารมณ์ดี สำหรับชายชราที่มีอายุมากก็ได้ไป๋ตงกับเฟยชิวรวมถึงเด็กชายอีกหลายคนช่วยกันพยุง คนเหล่านี้ล้วนแต่มีร่างกายผ่ายผอมเกรงว่าหากมีลมพัดแรงพวกเขาก็คงจะปลิวดั่งใบไม้ถูกปลิดออกจากขั้ว “ท่านตาเหนื่อยหรือไม่ จะนั่งพักก่อนดีไหมขอรับ” ไป๋ตง ถามขึ้นอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นท่าทางอันเหนื่อยหอบของคนที่ตนช่วยเหลือ “บ่าวยังเดินไหวขอรับ คุณชาย

  • ข้านี่แหละคุณหนูผู้ร้ายกาจ   ตอนที่ 16 กำจัดเหาง่ายนิดเดียว (หรือเปล่า)

    “ท่านแม่ ตอนนี้ท่านเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ พอจะเดินไหวหรือไม่” ไป๋เสวี่ยถามมารดาเลี้ยงหลังจากกลุ่มของพวกเธอเดินย้อนกลับมา “แม่คิดว่าพอไหว” ผู้ถูกถามกัดฟัดตอบ “ข้าว่าไม่ได้แน่ เอาอย่างนี้เถอะเจ้าค่ะ ท่านนั่งบนหลังของผีซิวเถอะ ได้ไหมสหายรัก” ประโยคแรกไป๋เสวี่ยกล่าวกับมารดาก่อนจะบ่ายหน้าไปถามสหายสัตว์เทพที่กำลังเบิกตามองนาง หลังข้า ไม่ได้! แต่ข้ามีอีกตัวที่ดีกว่า จบคำของสัตว์เทพเจ้าตัวก็อ้าปากคำรามเสียงดังจนนกแตกฮือบินขึ้นฟ้า ฉับพลันในทันใดก็มีสายลมหอบหนึ่งพัดมาพร้อมกับการปรากฏร่างของสัตว์ชนิดหนึ่ง “ชงหลง”[1] ใช่! เป็นเจ้านี่แหละภูเขาทางทิศตะวันออกเฉียงใต้เป็นที่อยู่ของพวกมันข้าไปเจอมาด้วยความบังเอิญ สัตว์เทพผู้มีดวงตาสีทับทิมตอบเสียงเนือย “พี่รอง! มันคือตัวอะไร

  • ข้านี่แหละคุณหนูผู้ร้ายกาจ   ตอนที่ 15 จำต้องตกใจขนาดนี้?

    กระต๊าก! กระต๊าก! ไก่ตัวใหญ่ตีปีกพั่บ พั่บ พุ่งตัวออกมาจากพุ่มไม้ ไป๋ตงที่ตั้งท่ารอเขาได้เงื้อมือขึ้นสูงก่อนลงมืออย่างเฉียบขาด ฉับ! สัตว์โชคร้ายไม่ทันได้ร้องขอชีวิตของเหลวสีแดงสดจากตัวไก่ไหลราวน้ำหลาก “ไก่ ของข้า” เสียงร้องโหยหวนของคนผู้หนึ่งดังขึ้นก่อนที่เจ้าตัวในชุดหนังสัตว์จะโผล่พ้นออกมา ไป๋ตงเปิดปากเมื่อเห็นใบหน้าของชายคนนี้ “เป็นเจ้า” “เจ้า!! เหตุใดถึงเป็นพวกเจ้าอีกแล้วล่ะ” คนป่าถามพลางนั่งยองมองไก่ผู้โชคร้ายด้วยน้ำตานอง ไป๋ตงมองไก่กับเด็กหนุ่มที่เคยเจอด้วยสายตาเรียบเฉย “เจ้าควรฝังร่างไก่ตัวนั้นนะ ที่มันยอมรับกระบี่ของข้าแทนร่างของเจ้า” “มันถึงคราวเคราะห์เองต่างหาก ในเมื่อมันตายแล้ว ข้าคิดว่าแทนที่จะให้มันต้องกลายเ

  • ข้านี่แหละคุณหนูผู้ร้ายกาจ   ตอนที่ 14 ทะ..ท่านเป็นคนลามก

    สองวันถัดมาหลังจากหยูไห่ได้ไปดำเนินการตามที่ไป๋ซวนสั่ง ในวันนี้เขาก็ได้เดินทางมาหาผู้เป็นนายที่ได้ย้ายเข้ามาทำงานที่เรือนแทนที่ว่าการอำเภอ “ใต้เท้านี่คือรายชื่อของชาวบ้านทั้งหมดมีทั้งสิ้นสามร้อยห้าสิบชีวิต แบ่งเป็นหมู่บ้านจงซานแปดสิบชีวิต หมู่บ้านตงซานห้าสิบ หมู่บ้านถงซานหกสิบ หมู่บ้านไห่ซานเก้าสิบ หมู่บ้านไป๋ซานเจ็ดสิบคนขอรับ” “หมู่บ้านไห่ซานคนเยอะกว่าหมู่บ้านอื่นพวกเขายึดอาชีพอะไรอย่างนั้นหรือ” ไป๋ซวนหยิบม้วนไม้ไผ่ออกมาอ่านพลางถามขึ้นด้วยความอยากรู้ “ก็คล้ายกับชาวบ้านทั่วไปนั่นแหละขอรับ ทว่าพื้นที่บริเวณนั้นอยู่ใกล้ป่ามากกว่าที่อื่น ดังนั้นพวกเขาจึงได้ยึดอาชีพหาของป่า แต่หลังจากเมืองของเราได้กลายเป็นแบบนี้พวกเขาก็ได้แต่เก็บของป่ามาประทังชีวิต หากจะล่าสัตว์นั้นยิ่งเป็นไปไม่ได้เพราะส่วนใหญ่ตอนนี้เหลือแต่ผู้หญิง เด็ก และคนชรา”&n

  • ข้านี่แหละคุณหนูผู้ร้ายกาจ   ตอนที่ 13 ไม่รู้จะตกใจอะไรก่อนดี

    เหอะ! ข้าไม่ง้อเจ้าก็ได้ ช่วงนี้คนที่ข้าพบเจอก็มีไม่มากนักข้าจะลองค่อย ๆ นึก เอ๋! หรือว่าจะเป็นเด็กคนนั้น “พี่ใหญ่ที่ท่านพูดคงจะไม่ใช่หมายถึงเขาหรอกนะเจ้าคะ” ไป๋เสวี่ยไม่ปล่อยผ่านจึงถามสิ่งที่ตนนึกได้ออกไป “อืม เขานั้นแหละ” ไป๋ซวนผู้ฟังการสนทนาของบุตรทั้งสองรู้สึกเกิดความสงสัยและกำลังตั้งใจจะเอ่ยปากถาม ทว่าเขาก็มองเห็นทหารนายหนึ่งขี่ลามาฝุ่นตลบ ทหารนายนั้นรีบกระโดดลงจากสัตว์พาหนะของตนวิ่งมาทางไป๋ซวนหน้าตาแตกตื่นจึงทำให้ชาวบ้านพากันตกใจ “หรือว่ามีข้าศึกบุกมาแล้ว” หนึ่งในกลุ่มคนคาดเดา ครานี้จากที่พวกเขากำลังนั่งสงบก็กลับส่งเสียงฮือราวผึ้งแตกรัง&n

  • ข้านี่แหละคุณหนูผู้ร้ายกาจ   ตอนที่ 12 เรื่องปากท้องสำคัญที่สุด

    เสียงหาวลากยาวของสัตว์เทพทำให้นกกาที่พากันหลับใหลแตกตื่นพากันแตกฮือบินขึ้นฟ้าส่งเสียงร้องกันดังจ้าละหวั่น กา กา พึ่บ พับ “พวกมันคงคิดว่าแผ่นดินไหวเป็นแน่” “เหอะ! ข้าแค่หาวเพียงหาวเดียวมันยังพากันตกใจถึงเพียงนี้หากว่าเกิดภัยพิบัติขึ้นมาจริงนกใจเสาะพวกนี้คงไม่แคล้วร่วงหล่นจากฟ้าเพราะหัวใจล้มเหลวเป็นแน่” สัตว์เทพตอบโต้สหายผู้อยู่บนหลังของตนอย่างถือดี “จ้า จ้า เจ้าพูดสิ่งใดล้วนถูกต้อง อดทนอีกนิดก็แล้วกันตอนนี้เราเหลือเพียงทิศอุดรภารกิจของเราก็สิ้นสุดสามารถกลับไปนอนเอกเขนก” คนพูดเองก็ตาปรือไม่แพ้กัน “ข้าจะนอน นอน และก็นอน ต่อให้แผ่นฟ้าถล่มหรือว่าบิดาของข้ามาข้าก็จะไม่สนใจ” สัตว์เทพสีทองเร่งฝีเท้าเพื่อให้ถึงเป้าหมายจนลมเย็นตีเข้าหน้าของไป๋เสวี่ย&nbs

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status