แชร์

ตอนที่ 2 จริงเหรอ?

last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-11-21 20:00:02

เมื่อไป๋เสวี่ยเห็นใบหน้าของน้องชายนางก็ถอนใจยาวออกมา “ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน ประโยคนี้เจ้าเคยได้ยินหรือไม่” นางถามพลางเดินสำรวจบริเวณสิ่งที่คนเป็นน้องสะดุด

            นางยืนนิ่งไม่ไหวติงเมื่อมองเห็นเจ้าสิ่งนั้นที่อยู่ใกล้เคียงกับรากไม้แห้งขนาดเท่าแขนของตน

            “คุณหนู! คะ....กรี๊ด” เสียงกรีดร้องของบ่าวตัวน้อยได้ทำให้เจ้าสิ่งที่ไป๋เสวี่ยเห็นกับนางสะดุ้งพร้อมกัน

            เหล่านกกาแตกฮือพากันบินขึ้นฟ้าด้วยความตระหนก “พี่เสี่ยวทู่!ท่านเป็นอันใด เกิดอะไรขึ้น” ไป๋เทียนพยายามยันกายของตนขึ้นจากพื้นด้วยความทุลักทุเล

            ส่วนเจ้าตัวตนเหตุซึ่งเป็นงูตัวยาวขนาดคะเนด้วยสายตาราวสามเซียะมันหันมาแลบลิ้นตวัดไปมาให้พวกนางก่อนที่จะค่อย ๆ เลื้อยออกไปราวกับว่ามนุษย์ทั้งสองหาได้อยู่ในสายตา

            “พี่รอง! พี่เสี่ยวทู่! พวกท่านเป็นอะไร” ไป๋เทียนพยายามเขย่งขามาทางพวกเธอถามอย่างร้อนใจ

            “งู! เจ้าค่ะ มะ..มันเลื้อยหายไปทางพุ่มไม้ตรงนั้นแล้ว” เสี่ยวทู่ชี้นิ้วอันสั่นเทาเอ่ยเสียงละล่ำละลัก

            “งูอย่างนั้นเหรอข้าเดินขึ้นภูเขาตั้งหลายครั้งทำไมไม่เคยเจอมาก่อน” คนตัวเล็กพูดพลางปรายตามองไปทางพี่สาวของตนที่กำลังคล้ายสติยังไม่กลับเข้าร่าง

            “พี่รอง!!” เจ้าตัวเล็กตะโกนข้างหูของนางเสียงดัง

            ไป๋เสวี่ยสะดุ้งโหยง “คุณหนูท่านคงตกใจใช่หรือไม่ บ่าวเองยังตกใจกลัวแทบตายโชคดีที่มันหนีไปแล้ว” เสี่ยวทู่ดึงมือของผู้เป็นนายขึ้นมาจับถามเสียงอ่อน

            “อืม นิดหน่อยแต่หลังจากข้าพิจารณามองมันอยู่นานจึงได้รู้ว่ามันเป็นงูไม่มีพิษ” คำพูดของนางได้เรียกความสนใจให้กับคนทั้งคู่ที่ได้ยินอย่างยิ่ง

            “แม้แต่งูท่านก็สามารถแยกแยะได้อย่างนั้นเหรอ?” คนเป็นน้องเอียงคอมองสำรวจใบหน้าของพี่สาวผู้ที่ตนรู้สึกว่านางเริ่มเปลี่ยนไปอย่างกังขา

            “นิดหน่อย ข้าว่าพวกเรารีบลงจากภูเขากันเถอะ ว่าแต่เจ้าเถอะเดินเองไหวหรือไม่หรือจะให้ข้าช่วยพยุง”

            “เหอะ! ข้าเดินไหวท่านนั่นแหละประคองตัวเองให้รอดเถอะเพียงแค่เจองูก็ขวัญหนีดีฝ่อซะแล้ว หากเจอหมาป่าหรือไม่ก็เสือท่านไม่ตกใจตายหรอกหรือ” แม้ใจของเขาจะรู้สึกอบอุ่นที่คนเป็นพี่ห่วงใยแต่กระนั้นวาจาของเจ้าตัวก็พ่นคำร้ายกาจซึ่งไป๋เสวี่ยก็หาได้สนใจคำพูดเหล่านี้แต่อย่างใดเนื่องจากเจ้าของร่างเดิมนั้นแผลงฤทธิ์เอาไว้มากมาย

            “เจ้าเอาไม้อันนี้ช่วยพยุงก็แล้วกัน”

            ไป๋เทียนรับไม้ยาวที่ได้รับมาจากพี่สาวด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วนทั้งนี้เป็นเพราะเขาคิดว่าตัวเองไม่น่าพูดจาร้ายกาจออกไปแบบนั้น ทว่าคำพูดเมื่อกล่าวออกไปแล้วไม่สามารถเรียกคืนได้ดังนั้นเขาจึงได้แต่ก้มหน้าค่อย ๆ ก้าวเท้าเดินไปอย่างเงียบงัน

            “เจ้าเดินช้า ๆ ไม่ต้องรีบ หากบาดเจ็บมากกว่านี้ขึ้นมาจะยิ่งแย่” เสียงเจื้อยแจ้วของคนเดินตามมาด้านหลังหาได้ทำให้ไป๋เทียนรู้สึกรำคาญเฉกเช่นอย่างที่ผ่านมา

            หรือว่านางจะเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ เขาคิด

            ในระหว่างการเดินลงจากภูเขาทั้งเสี่ยวทู่และไป๋เสวี่ยต่างเป็นคนสะพายตะกร้าหวายที่มีฟืนกับโสมซานซีที่เก็บมาเพิ่มได้ด้วยความบังเอิญไว้บนหลังแทนเด็กชายผู้ได้รับบาดเจ็บ

            “เจ้าระวัง! จับกิ่งไม้ดี ๆ ทางมันค่อนข้างลาดชัน” ไป๋เสวี่ยไม่วายกล่าวเตือน “ข้ารู้แล้ว” คนฟังตอบโต้เสียงเบา

            วิญญาณผู้ใหญ่ในร่างเด็กรู้สึกว่าคนเป็นน้องเริ่มจะอ่อนให้กับตนลงบ้างพอสมควรดังนั้นนางจึงคิดจะชวนเขาคุย

            “น้องเล็กภูเขาที่เรากำลังเดินอยู่นี้เรียกว่าอะไรอย่างนั้นเหรอ”

            “ท่านเองก็รู้ไม่ใช่หรือเหตุใดถึงถามอะไรที่มันประหลาดยิ่ง” คนเป็นน้องตอบโดยที่ไม่ได้ละจากหนทางเบื้องหน้าที่เต็มไปด้วยก้อนดินก้อนกรวด

            “ขะ..ข้าลืม” ไป๋เสวี่ยตอบไม่เต็มเสียงเนื่องจากในความทรงจำของร่างเดิมนั้นเต็มไปด้วยเรื่องราวเกี่ยวเก็บกับเสื้อผ้าเครื่องประดับเป็นส่วนมาก

            “คุณหนูของบ่าวช่างน่าสงสารเหลือเกิน” เสี่ยวทู่ผู้เดินตามอยู่ด้านหลังยกมือขึ้นปาดน้ำตาในขณะกล่าว

            “..” ไป๋เสวี่ยไม่รู้จะตอบโต้อย่างไรกับนาง เธอจึงได้แต่เดินตามหลังน้องชายไปเงียบ ๆ

            “ที่นี่คือเนินเขาหลีซาน” ไม่รู้ว่าคนเป็นน้องนึกอย่างไรเจ้าตัวจึงได้เอ่ยทำลายบรรยากาศอันน่าอึดอัดนี้ออกมา

            “เจ้าหมายความว่าที่เรากำลังเดินเหยียบย่ำอยู่นี่คือเนินเขาหลีซานอย่างนั้นเหรอ!”

            “ท่านจะตกใจอะไร ก็ใช่นะสิ” คนพูดแสดงสีหน้าฉงนเขายังคงเดินจับกิ่งไม้ใหญ่ที่ยื่นออกมาด้วยความระมัดระวังเพราะเกรงว่าตัวเองจะกลิ้งหลุน ๆ ลงจากเนินเขาแล้วคนเป็นพี่จะเอามาล้อเลียน

            โอ้! แม่เจ้า ฉันได้มาเดินอยู่บนสถานที่อันเป็นสุสานของจักรพรรดิอันยิ่งใหญ่ที่ผู้ขวัญกล่าวถึงอย่างนั้นเหรอ ความคิดนี้ไม่มีใครล่วงรู้นอกจากเจ้าตัวเอง

            แสงอาทิตย์ยามเย็นเริ่มลาลับทิวไม้ลงทุกขณะ พวกเขาเพิ่งจะเดินได้เพียงครึ่งทาง

            “เจ้าไหวหรือไม่” ไม่รู้ว่าไป๋เทียนได้ฟังคำถามของคนเป็นพี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่ในขณะที่พวกเขานั่งพัก

            “ไหว” เขากัดฟันตอบทั้งที่ภายในอกนั้นรู้สึกเจ็บปวดเหลือคณา เหงื่อเม็ดเป้งผุดพรายบนหน้าผากของเขาทำให้ไป๋เสวี่ยอดที่จะเป็นห่วงไม่ได้กระนั้นนางก็ไม่คิดเปิดโปงคนเป็นน้อง

            “พี่เสี่ยวทู่ ข้าว่าพี่ไปตามพี่ใหญ่กับท่านพ่อให้มาช่วยพวกเราเถอะ ท่านวิ่งไปคนเดียวจะเร็วกว่าข้ากับน้องเล็ก”

            สายตาสองคู่มองไปทางคนพูดอย่างไม่เข้าใจ “ข้าเหนื่อยมาก ข้าอยากขี่หลังท่านพ่อพวกเจ้ามีปัญหาหรือไม่”

            เสี่ยวทู่ส่ายศีรษะไปมาส่วนไป๋เทียนได้แต่สะบัดหน้าพรืดไปอีกทาง นางก็ยังเหมือนเดิมทั้งเห็นแก่ตัวและร้ายกาจ ข้านี่คงจะบาดเจ็บจนสมองเลอะเลือนถึงได้มองว่านางเปลี่ยนไป เขาคิดด้วยความผิดหวัง

            คล้อยหลังบ่าวตัวน้อยไป๋เสวี่ยก็มองไปทางน้องชายผู้มีอายุน้อยกว่าสองปีของตนเมื่อเห็นว่าเขายังไม่หันมามองนางก็คิดหาวิธีมาหลอกล่อ

            “ข้าจะเล่าความลับหนึ่งให้เจ้าฟังดีไหม” คนตัวเล็กกว่ายังคงนิ่งแม้ว่าภายในอกจะเริ่มมีความอยากรู้

            “ไม่ฟังจริงอย่างนั้นเหรอ ความลับนี้ก็เป็นเรื่องที่เจ้าสงสัยนั่นแหละว่าทำไมข้าถึงมีความรู้เรื่องสมุนไพรและยังรู้จักงูตัวนั้นด้วย” เด็กหญิงพูดเพื่อกระตุ้นความสนใจอีกคำรบ

            “ท่านมีอะไรจะพูดก็พูดมาเถอะ” เขาตัดบทคล้ายรำคาญ

            เจ้าน้องชายคนนี้ช่างท่ามากเหลือเกิน นางคิดพลางยกมุมปากขึ้นสูง “เอาละ ข้าจะเล่าให้ฟังเดี๋ยวนี้แหละ ในตอนที่ข้าหมดสติอยู่นั้นได้เจอเข้ากับท่านปู่เครายาวสีเงินยวงคนหนึ่ง ผมของท่านเป็นสีขาวโพลนทั่วทั้งศีรษะ” คนพูดเว้นช่วงเมื่อเห็นว่าคนเป็นน้องเริ่มจะให้ความสนใจในสิ่งที่ตนเองกล่าวออกมา

            “แล้วยังไงต่อ” ใบหน้าของเขาแสดงความขัดใจเมื่อจู่ ๆ พี่สาวก็หยุดไปเสียดื้อ ๆ

            “เจ้าไม่ต้องทำสีหน้าเช่นนั้น เอาล่ะข้าจะเล่าต่อ แล้วในตอนนั้นท่านเดินเข้ามาหาข้าก่อนที่ท่านจะพาข้าไปยังสถานที่ ต่าง ๆ เริ่มจากที่แห่งหนึ่งซึ่งที่แห่งนั้นดูแปลกตาเป็นอย่างยิ่งมีทั้งตึกสูงเสียดฟ้า มีนกยักษ์บินได้ผู้คนแห่งนั้นเรียกกันว่าเครื่องบิน มีรถไฟที่แล่นฉิวไปตามรางเหล็ก เรือยนต์ลำใหญ่ล่องไปทางแม่น้ำและมหาสมุทร” ถ้อยคำที่ไป๋เสวี่ยกล่าวออกมาทำให้คนเป็นน้องเบิกตากว้างดวงตาแทบถลนออกจากเบ้า

            “พี่รองท่านไม่ได้เพ้อไปเองใช่หรือไม่ เรื่องที่ท่านเล่ามาข้าว่าดูเหลวไหลเหลือเกิน”

            “เสี่ยวซาน!” เสียงเรียกชื่อภายในครอบครัวสำหรับนามของเขาดังลั่น “ท่านพ่อ!” สองพี่น้องส่งเสียงเรียกออกมาพร้อมกัน

            “ซานซาน เหตุใดเจ้าถึงพูดเช่นนั้นกับพี่สาว เจ้าไม่รู้หรือว่าการที่นางโดนพาไปยังสถานที่แปลกประหลาดเช่นนั้นย่อมหมายความว่านางเกือบจะตายไปจากพวกเราแล้ว”

            คำพูดของบิดาทำให้เด็กน้อยตัวชาวาบด้วยความกลัวแม้ว่าเขาจะไม่ชอบพี่สาวต่างมารดาทว่าก็ไม่ได้เกลียดถึงขนาดจะให้นางตกตาย

            เด็กชายผู้วางท่าเข้มแข็งมาโดยตลอดเริ่มมีน้ำตาคลอหน่วยปากเริ่มเบะก่อนจะแผดเสียงร้องไห้จ้าจนทำให้คนในครอบครัวที่อยู่ด้วยกันตกใจ

            “น้องเล็ก! เจ้าเงียบเถอะ อย่าร้องไห้เลยเจ้าก็เห็นแล้วนี่ว่าพี่ยังไม่ตาย” ไป๋เสวี่ยผู้รู้สติก่อนใครรีบเข้าไปโอบกอดเขาพลางโยกตัวคนในอ้อมแขนไปมาเพื่อปลอบประโลม

            “พี่รอง ข้าขอโทษข้าไม่รู้จึงไม่เชื่อท่าน ข้าขอโทษ” เด็กชายพูดไปก็ส่งเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นไปอย่างน่าสงสาร

            “เจ้าไม่ผิดเลย เป็นข้าเองที่เล่าเรื่องเช่นนี้ออกมาเอง เจ้าไม่ต้องร้องไห้แล้วนะ”

            สองพี่น้องสลับกันปลอบโยนกันไปมาโดยมีพ่อกับพี่ชายยืนละล้าละลังด้วยความเป็นห่วงกอปรกับความยินดีที่คนทั้งคู่พูดและทำดีต่อกัน

            เวลาผ่านไปครู่ใหญ่หลังจากที่ไป๋ซวนแบกลูกชายคนเล็กกลับลงมาจากภูเขาพวกเขาพากันเดินจนกระทั่งถึงบ้าน

            “ท่านพ่อสามี ซานซานเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” เหมยกุ้ยถามขึ้นด้วยความร้อนรนเมื่อเห็นข้อเท้าของบุตรชายบวมแดงจนม่วงช้ำ

            “เจ้านำโสมที่เสี่ยวเป่าให้มาไปต้มตามที่ข้าบอกเถอะ ส่วนแผลภายนอกข้าได้ทำยาพอกไว้แล้วช่วงนี้ก็ให้เขาพักอยู่แต่ในห้องอีกไม่กี่วันก็หายจนวิ่งซุกซนได้เหมือนเดิมนั่นแหละ” คนพูดล้างมือลงในอ่างดินเผาตอบตามตรง

            “เจ้าค่ะ แต่ว่าท่านพ่อสามีโสมต้นนี้มีค่ามากไม่ใช่หรือเจ้าคะ ลูกรองยอมให้ลูกสามกินอย่างนั้นเหรอ ข้าไม่อยากให้นางเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจหากว่าไม่ได้นำไปขาย”

            “แม่รองเป็นข้าบอกท่านปู่เองเจ้าค่ะ แม้ว่าโสมจะเป็นของล้ำค่าทว่าร่างกายนั้นล้ำค่ามากกว่าดังนั้นหากร่างกายแข็งแรงข้าเชื่อว่าเราสามารถจะหาโสมอีกกี่ต้นก็ย่อมได้” น้ำเสียงสดใสของเด็กหญิงดังมาก่อนตัว

            “ลูกรอง แม่ขอบใจเจ้ามากนะ” น้ำตาของเหม่ยกุ้มอาบทั่วทั้งใบหน้าทั้งหมดทั้งมวลก็เป็นเพราะคำว่าแม่ที่เด็กหญิงเรียกนั่นเอง พี่ใหญ่เจ้าคะ ในที่สุดเป่าเปาก็ยอมเรียกข้าว่าแม่แล้ว นางนึกถึงผู้เป็นพี่สาวผู้จากไป

            สายตาของชายวัยชรามองหลานสาวคนเดียวอย่างพออกพอใจ “เจ้ารีบไปต้มยาเถอะ ข้าเองก็จะไปพักแล้วเหมือนกัน”

            เสียงประตูห้องของเด็กชายผู้เป็นน้องเล็กของเรือนปิดลง ไป๋เสวี่ยจึงได้ถือโอกาสนี้นั่งลงข้างเตียงของเขาโดยที่เจ้าของห้องไม่ทันได้เชื้อเชิญ

            “พี่รองทำไมท่านยังอยู่อีก” น้ำเสียงของเขาแม้ว่าฟังดูจะยังไม่อ่อนโยนแต่ทว่าก็หาได้แข็งกร้าวเหมือนก่อน

            สาเหตุก็เป็นเพราะเจ้าตัวเกิดความละอายใจที่คิดว่าพี่สาวเรียกพ่อกับพี่ใหญ่มาเพื่อตัวนางทว่ากลับเป็นเพราะนางเรียกมาเพื่อตัวเขาเองต่างหาก

            “เจ้าไม่อยากฟังเรื่องเล่าของข้าต่อเหรอ เทพตนนั้นยังได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับตำราซานไห่จิง[1]ด้วยนะ ข้าได้ยินมาจากท่านปู่กับพี่ใหญ่ว่าเจ้าสนใจเรื่องราวเหล่านี้ไม่ใช่เหรอแต่ในเมื่อเจ้าไม่อยากรู้ถ้าอย่างนั้นข้าไปก็ได้” คนพูดยืดตัวเตรียมลุกจากม้านั่ง

            “ที่ท่านพูดมานั้นจริงเหรอ” คนกึ่งนั่งกึ่งนอนบนเตียงหูผึ่งขึ้นในบัดดล

            แผนหลอกล่อกระชับความสัมพันธ์กับน้องชายสำเร็จไปหนึ่งขั้นสินะ ไป๋เสวี่ยคิดก่อนตอบออกไปด้วยรอยยิ้มกว้างทั้งปากและตา “ย่อมจริงอย่างแน่นอน”

[1] ซานไห่จิงเป็นคัมภีร์ที่เล่าเรื่องตำนานสัตว์แปลก ๆ บนภูเขาและท้องทะเล

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • ข้านี่แหละคุณหนูผู้ร้ายกาจ   ตอนที่ 17 เจ้าไม่หิว?

    กว่าคนกลุ่มใหญ่จะเดินป่ากันลงจากภูเขาได้ดวงตะวันก็เริ่มอ่อนแสงลงลับทิวไม้ไปทุกขณะ “ท่านยาย ไหวหรือไม่เจ้าคะ อดทนหน่อยอีกไม่ไกลพวกเราก็จะถึงแล้ว” ไป๋เสวี่ยเอ่ยปลอบหญิงวัยกลางคนผู้อายุมากอย่างเป็นห่วง “ไหว ยายยังไม่แก่มากปานนั้นนะเป่าเปา” แม้บนหน้าผากจะเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ ทว่านางเกาก็ยังคงตอบอย่างอารมณ์ดี สำหรับชายชราที่มีอายุมากก็ได้ไป๋ตงกับเฟยชิวรวมถึงเด็กชายอีกหลายคนช่วยกันพยุง คนเหล่านี้ล้วนแต่มีร่างกายผ่ายผอมเกรงว่าหากมีลมพัดแรงพวกเขาก็คงจะปลิวดั่งใบไม้ถูกปลิดออกจากขั้ว “ท่านตาเหนื่อยหรือไม่ จะนั่งพักก่อนดีไหมขอรับ” ไป๋ตง ถามขึ้นอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นท่าทางอันเหนื่อยหอบของคนที่ตนช่วยเหลือ “บ่าวยังเดินไหวขอรับ คุณชาย

  • ข้านี่แหละคุณหนูผู้ร้ายกาจ   ตอนที่ 16 กำจัดเหาง่ายนิดเดียว (หรือเปล่า)

    “ท่านแม่ ตอนนี้ท่านเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ พอจะเดินไหวหรือไม่” ไป๋เสวี่ยถามมารดาเลี้ยงหลังจากกลุ่มของพวกเธอเดินย้อนกลับมา “แม่คิดว่าพอไหว” ผู้ถูกถามกัดฟัดตอบ “ข้าว่าไม่ได้แน่ เอาอย่างนี้เถอะเจ้าค่ะ ท่านนั่งบนหลังของผีซิวเถอะ ได้ไหมสหายรัก” ประโยคแรกไป๋เสวี่ยกล่าวกับมารดาก่อนจะบ่ายหน้าไปถามสหายสัตว์เทพที่กำลังเบิกตามองนาง หลังข้า ไม่ได้! แต่ข้ามีอีกตัวที่ดีกว่า จบคำของสัตว์เทพเจ้าตัวก็อ้าปากคำรามเสียงดังจนนกแตกฮือบินขึ้นฟ้า ฉับพลันในทันใดก็มีสายลมหอบหนึ่งพัดมาพร้อมกับการปรากฏร่างของสัตว์ชนิดหนึ่ง “ชงหลง”[1] ใช่! เป็นเจ้านี่แหละภูเขาทางทิศตะวันออกเฉียงใต้เป็นที่อยู่ของพวกมันข้าไปเจอมาด้วยความบังเอิญ สัตว์เทพผู้มีดวงตาสีทับทิมตอบเสียงเนือย “พี่รอง! มันคือตัวอะไร

  • ข้านี่แหละคุณหนูผู้ร้ายกาจ   ตอนที่ 15 จำต้องตกใจขนาดนี้?

    กระต๊าก! กระต๊าก! ไก่ตัวใหญ่ตีปีกพั่บ พั่บ พุ่งตัวออกมาจากพุ่มไม้ ไป๋ตงที่ตั้งท่ารอเขาได้เงื้อมือขึ้นสูงก่อนลงมืออย่างเฉียบขาด ฉับ! สัตว์โชคร้ายไม่ทันได้ร้องขอชีวิตของเหลวสีแดงสดจากตัวไก่ไหลราวน้ำหลาก “ไก่ ของข้า” เสียงร้องโหยหวนของคนผู้หนึ่งดังขึ้นก่อนที่เจ้าตัวในชุดหนังสัตว์จะโผล่พ้นออกมา ไป๋ตงเปิดปากเมื่อเห็นใบหน้าของชายคนนี้ “เป็นเจ้า” “เจ้า!! เหตุใดถึงเป็นพวกเจ้าอีกแล้วล่ะ” คนป่าถามพลางนั่งยองมองไก่ผู้โชคร้ายด้วยน้ำตานอง ไป๋ตงมองไก่กับเด็กหนุ่มที่เคยเจอด้วยสายตาเรียบเฉย “เจ้าควรฝังร่างไก่ตัวนั้นนะ ที่มันยอมรับกระบี่ของข้าแทนร่างของเจ้า” “มันถึงคราวเคราะห์เองต่างหาก ในเมื่อมันตายแล้ว ข้าคิดว่าแทนที่จะให้มันต้องกลายเ

  • ข้านี่แหละคุณหนูผู้ร้ายกาจ   ตอนที่ 14 ทะ..ท่านเป็นคนลามก

    สองวันถัดมาหลังจากหยูไห่ได้ไปดำเนินการตามที่ไป๋ซวนสั่ง ในวันนี้เขาก็ได้เดินทางมาหาผู้เป็นนายที่ได้ย้ายเข้ามาทำงานที่เรือนแทนที่ว่าการอำเภอ “ใต้เท้านี่คือรายชื่อของชาวบ้านทั้งหมดมีทั้งสิ้นสามร้อยห้าสิบชีวิต แบ่งเป็นหมู่บ้านจงซานแปดสิบชีวิต หมู่บ้านตงซานห้าสิบ หมู่บ้านถงซานหกสิบ หมู่บ้านไห่ซานเก้าสิบ หมู่บ้านไป๋ซานเจ็ดสิบคนขอรับ” “หมู่บ้านไห่ซานคนเยอะกว่าหมู่บ้านอื่นพวกเขายึดอาชีพอะไรอย่างนั้นหรือ” ไป๋ซวนหยิบม้วนไม้ไผ่ออกมาอ่านพลางถามขึ้นด้วยความอยากรู้ “ก็คล้ายกับชาวบ้านทั่วไปนั่นแหละขอรับ ทว่าพื้นที่บริเวณนั้นอยู่ใกล้ป่ามากกว่าที่อื่น ดังนั้นพวกเขาจึงได้ยึดอาชีพหาของป่า แต่หลังจากเมืองของเราได้กลายเป็นแบบนี้พวกเขาก็ได้แต่เก็บของป่ามาประทังชีวิต หากจะล่าสัตว์นั้นยิ่งเป็นไปไม่ได้เพราะส่วนใหญ่ตอนนี้เหลือแต่ผู้หญิง เด็ก และคนชรา”&n

  • ข้านี่แหละคุณหนูผู้ร้ายกาจ   ตอนที่ 13 ไม่รู้จะตกใจอะไรก่อนดี

    เหอะ! ข้าไม่ง้อเจ้าก็ได้ ช่วงนี้คนที่ข้าพบเจอก็มีไม่มากนักข้าจะลองค่อย ๆ นึก เอ๋! หรือว่าจะเป็นเด็กคนนั้น “พี่ใหญ่ที่ท่านพูดคงจะไม่ใช่หมายถึงเขาหรอกนะเจ้าคะ” ไป๋เสวี่ยไม่ปล่อยผ่านจึงถามสิ่งที่ตนนึกได้ออกไป “อืม เขานั้นแหละ” ไป๋ซวนผู้ฟังการสนทนาของบุตรทั้งสองรู้สึกเกิดความสงสัยและกำลังตั้งใจจะเอ่ยปากถาม ทว่าเขาก็มองเห็นทหารนายหนึ่งขี่ลามาฝุ่นตลบ ทหารนายนั้นรีบกระโดดลงจากสัตว์พาหนะของตนวิ่งมาทางไป๋ซวนหน้าตาแตกตื่นจึงทำให้ชาวบ้านพากันตกใจ “หรือว่ามีข้าศึกบุกมาแล้ว” หนึ่งในกลุ่มคนคาดเดา ครานี้จากที่พวกเขากำลังนั่งสงบก็กลับส่งเสียงฮือราวผึ้งแตกรัง&n

  • ข้านี่แหละคุณหนูผู้ร้ายกาจ   ตอนที่ 12 เรื่องปากท้องสำคัญที่สุด

    เสียงหาวลากยาวของสัตว์เทพทำให้นกกาที่พากันหลับใหลแตกตื่นพากันแตกฮือบินขึ้นฟ้าส่งเสียงร้องกันดังจ้าละหวั่น กา กา พึ่บ พับ “พวกมันคงคิดว่าแผ่นดินไหวเป็นแน่” “เหอะ! ข้าแค่หาวเพียงหาวเดียวมันยังพากันตกใจถึงเพียงนี้หากว่าเกิดภัยพิบัติขึ้นมาจริงนกใจเสาะพวกนี้คงไม่แคล้วร่วงหล่นจากฟ้าเพราะหัวใจล้มเหลวเป็นแน่” สัตว์เทพตอบโต้สหายผู้อยู่บนหลังของตนอย่างถือดี “จ้า จ้า เจ้าพูดสิ่งใดล้วนถูกต้อง อดทนอีกนิดก็แล้วกันตอนนี้เราเหลือเพียงทิศอุดรภารกิจของเราก็สิ้นสุดสามารถกลับไปนอนเอกเขนก” คนพูดเองก็ตาปรือไม่แพ้กัน “ข้าจะนอน นอน และก็นอน ต่อให้แผ่นฟ้าถล่มหรือว่าบิดาของข้ามาข้าก็จะไม่สนใจ” สัตว์เทพสีทองเร่งฝีเท้าเพื่อให้ถึงเป้าหมายจนลมเย็นตีเข้าหน้าของไป๋เสวี่ย&nbs

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status