Masukเมื่อเทพตัวน้อยแสนแสบต้องลงมาเกิดเพื่อชดใช้กรรม ดังนั้นการผ่านด่านเคราะห์ของนางย่อมไม่ธรรมดา
Lihat lebih banyak“ฝันเรื่องเดิมอีกแล้ว เรายังเหลือเวลาอีกเท่าไหร่กันนะ” หญิงสาวพึมพำหลังจากลืมตาตื่นจากความฝันอันยาวนาน ในขณะเดียวกันเธอก็ยกมือปาดเหงื่อบนหน้าผากของตนทิ้งอย่างลวก ๆ
แสงแรกของวันสาดส่องผ่านม่านหน้าต่างภายในห้องนอนของผู้เป็นหญิงสาวร่างบางหลังจากแต่งกายเป็นชุดทำงานประจำวันของตนเรียบร้อย
“คุณปู่คะ ฉันไปทำงานก่อนนะ” หญิงสาวพนมมือบอกกล่าวรูปภาพของชายชราผู้กำลังส่งยิ้มมาให้ก่อนเดินออกจากบ้านหลังเก่าสุดแสนจะธรรมดาเฉกเช่นทุกวัน
ไป๋เสวี่ยคือชื่อของหญิงสาวเนื่องจากในวันถือกำเนิดของเธอนั้นหิมะแรกกำลังโปรยปรายเกล็ดของมันระยิบระยับดูงดงามจับตาคนเป็นปู่จึงได้ตั้งชื่อนี้ให้กับหล่อน
ทุกเหตุการณ์ในชีวิตประจำวันของหญิงสาวคนนี้ผ่านไปอย่างเชื่องช้าแสนน่าเบื่อจนกระทั่งถึงวันสิ้นปี
ไป๋เสวี่ยยกมือบิดขี้เกียจอ้าปากหาวหลังจากจัดการงานที่คั่งค้างจนเสร็จสิ้น
เสียงมือถือของเธอดังขึ้น หญิงสาวหยิบขึ้นมาคลี่ริมฝีปากแย้มยิ้มก่อนกดรับสาย
“เป่าเปา เธอจะไม่มาฉลองปีใหม่กับฉันจริงเหรอ” น้ำเสียงของคนพูดเต็มไปด้วยความตัดพ้อ
“ไม่ละ ฉันไม่อยากไปเป็นหลอดไฟขวางทางรักของเธอ” น้ำเสียงของผู้พูดเต็มไปด้วยความหยอกเย้าทำให้คนปลายสายหน้าแดงก่ำเถียงไม่ออก “แต่จะให้ฉันมีความสุขแล้วทิ้งเธอไว้ตามลำพังได้ยังไง”
“เธอคิดมากเกินไปแล้ว ฉันมีความสุขกับชีวิตในตอนนี้ดีต่างหาก อีกอย่างฉันกำลังจะกลับไปฉลองปีใหม่กับคุณปู่” ไป๋เสวี่ยหยิบกระเป๋าสะพายคล้องหัวไหล่ก่อนจะหยิบเสื้อคลุมตามหลัง
“เป่าเปา คุณปู่จากไปนานแล้วนะเธออย่าทำให้ฉันขนลุกได้ไหม” คนปลายสายแย้งด้วยความรู้สึกใจหาย
“คิดมากน่า แต่ถ้าฉันได้กลับไปอยู่กับปู่อีกครั้งจริง ๆ ก็ดีนะสิ ตั้งแต่เป็นเด็กปู่ก็มักจะมีเรื่องเล่าแปลก ๆ มาเล่าให้ฟังอยู่ตลอดรวมถึงยังมีวิชาพวกนั้นด้วยแม้ว่าในตอนนี้คนจะเชื่อถือเรื่องเทพและภูติผีน้อยลงก็เถอะ” คนพูดกดลิฟต์ในระหว่างนี้ก็ยกมือถือแนบหูไปด้วย
เสียงเตือนของลิฟต์โดยสารดังขึ้นก่อนประตูเลื่อนของมันจะเปิดออก “ฉันต้องวางแล้วเอาไว้ค่อยคุยกันนะ” ไป๋เสวี่ยกล่าวลาและยังไม่ทันที่เธอจะนำมือถือเครื่องสวยใส่กระเป๋าสะพาย
จู่ ๆ ลิฟท์ก็เกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงก่อนที่ไฟจะดับลงหลังจากเธอก้าวเท้าเข้ามาอยู่ด้านใน
พรึบ! “เกิดอะไรขึ้น” น้ำเสียงแสดงความหวาดหวั่นของคนพูดดังขึ้นท่ามกลางความมืด และยังไม่ทันที่หล่อนจะตั้งสติลิฟท์ตัวนั้นก็ร่วงลงสู่พื้นเบื้องล่างอย่างรวดเร็ว
ไป๋เสวี่ยกรีดร้องจนสุดเสียง จากนั้นเธอก็สลบไป เมื่อฟื้นขึ้นมาหญิงสาวก็พบว่าตัวเองได้มาอยู่ในสถานที่แปลกตาแห่งหนึ่งยังไม่ทันทำความเข้าใจให้กระจ่างหัวของเธอก็ปวดราวกับจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ เพราะความทรงจำต่าง ๆ มากมายกำลังประดังประเดเข้ามาราวสายน้ำหลากจนทำให้สลบไปอีกครั้ง
ภายในห้วงฝันสองเท้าเล็ก ๆ เดินมุ่งหน้าไปทางศาลาข้างสระบัวหลังงามที่มองเห็น ภายในศาลาหลังนั้นมีร่างของหญิงสาวผู้มีใบหน้าราวกับตนตอนอยู่ในโลกมนุษย์ไม่ผิดเพี้ยนนั่งอยู่ตามลำพัง
“เจ้ามาแล้วเหรอ” น้ำเสียงหวานเอื้อนเอ่ยกับเธออย่างเป็นกันเอง
“พี่สาว ข้ามาขอโทษ” เด็กหญิงตัวน้อยเอ่ยอย่างรู้สึกผิด
“ข้าไม่โกรธเจ้าเลย อีกทั้งยังรู้สึกขอบคุณอีกด้วยเพราะหากไม่ได้เจ้าข้าก็คงไม่เจอเขา ดังนั้นอย่าได้รู้สึกผิดและต่อจากนี้ไปเจ้าเองก็จะมีชีวิตที่มีความสุขของตนบ้างแล้ว จงใช้ชีวิตให้ดีเล่า” หญิงสาวคนนั้นวางพู่กันในมือลงสบตากลมโตของเด็กหญิงตรงหน้าเอ่ยจากใจจริง
“พี่สาวขอบคุณเจ้าค่ะ ได้เวลาที่ข้าต้องไปแล้วเอาไว้หลังสิ้นสุดจากภพนั้นข้าจะกลับมาพบท่านอีก” สิ้นเสียงของเด็กหญิงตัวน้อยร่างกายของเธอก็เป็นละอองจางหายไป
ย้อนกลับไปยังอดีตกาลก่อนหน้าราวปี771 ช่วงเวลา 256 ปีก่อนคริสต์ศักราช ในช่วงนี้เป็นยุคการล่มสลายของราชวงค์โจวก็เข้าสู่ยุคชุนชิว ในช่วงเวลานี้เป็นยุคปกครองที่ผู้นำไร้อำนาจ
ทำให้อ๋องหรือเจ้าเมืองต่าง ๆ ได้แข็งข้อและสู้รบกันในแต่ละแคว้น จึงทำให้สถานการณ์ในช่วงเวลานี้เต็มไปด้วยความวุ่นวาย ผู้คนต่างอยู่กันอย่างหวาดระแวงและต้องคอยระแวงกันอยู่ตลอดเวลา
ยุคนี้นักวิชาการจีนโบราณเรียกขานประวัติศาสตร์จีนช่วงนี้ว่า “ยุควสันตสารท” อยู่ในช่วงปี 770 หรือ 453 ปีก่อนคริสต์ศักราช เป็นยุคหนึ่งในราชวงศ์โจวราชวงค์ที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์จีน
เป็นยุคที่นครรัฐแต่ละรัฐทำสงครามด้วยกลอุบายอันแยบยล เกิดเป็นตำนานและเรื่องเล่าขานมากมายจนมาถึงปัจจุบัน
คำว่า “วสันตสารท” หมายถึง ฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงมาจากชื่อคัมภีร์ของขงจื๊อที่บันทึกเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการเปรียบเปรยถึงนครรัฐต่าง ๆ ที่เคยตั้งอยู่และดับไปเหมือนดั่งใบไม้ในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง[1]
หลังจากยุคนั้นสิ้นสุดก็ก้าวเข้าสู่ยุคจ้านกว๋อ ยุคที่ผู้คนเข้าถึงสมุนไพรได้ยากทำให้ผู้คนต้องพึ่งพาผู้ที่ตั้งตนเป็นผู้วิเศษ เพื่อหวังให้ตัวเองหายจากอาการเจ็บไข้ได้ป่วยหรือเพื่อพ้นจากความยากลำบาก
แม้ว่าผู้คนกำลังอยู่ในช่วงระส่ำระสาย แต่ยังคงมีอำเภอเล็ก ๆ อำเภอหนึ่ง อำเภอแห่งนี้อยู่ห่างไกลอีกทังยังกันดารเป็นอย่างมากสภาพโดยรอบเต็มไปด้วยภูเขาสูงชันสลับซับซ้อน
ชาวบ้านส่วนใหญ่อยู่ได้โดยอาศัยการหาของป่าเลี้ยงชีพ พวกเขาใช้ชีวิตกันอย่างปกติและเพราะสภาพแวดล้อมเช่นนี้จึงทำให้ชาวบ้านเหล่านี้ล้วนถูกปิดหูปิดตาจากโลกภายนอก ไม่เว้นแม้แต่บัณฑิตผู้หนึ่งที่ถูกแต่งตั้งให้เป็นนายภำเภอของเมืองอันแสนห่างไกลความเจริญ
ภายในบ้านดินขนาดห้าห้องนอนของนายอำเภอเมือง ฟงอวิ๋น “ท่านพ่อ เหตุใดเป่าเปาถึงยังไม่ฟื้นอีก” ผู้พูดน้ำเสียงเต็มไปด้วยความร้อนใจเดินไปวนเวียนมาถามกับบิดาผู้กำลังยกมือลูบเคราสีเงินยวงของตนไปมาคล้ายไม่ทุกข์ร้อน
“เจ้า! หยุดเดินได้หรือยัง ข้าบอกว่านางย่อมปลอดภัยก็ต้องเป็นไปตามนั้น ชะตาชีวิตของนางหนูนั้นเต็มไปด้วยเรื่องราวประหลาดหากว่านางผ่านพ้นคราวเคราะห์ครั้งนี้ไปไม่ได้จะทำการใหญ่ได้เยี่ยงไร”
ชายหนุ่มวัยสามสิบจ้องมองพ่อของตนกำลังอยากจะอ้าปากตอบโต้ ทว่า “ท่านพี่ เป่าเปาฟื้นแล้วเจ้าค่ะ” หญิงสาวผู้เป็นภรรยาเปิดประตูห้องนอนของเด็กหญิงเอ่ยเรียกขึ้นเสียก่อน
ชายต่างวัยด้านนอกทั้งสี่คนรวมถึงบุตรชายอีกสองพากันกึ่งเดินกึ่งวิ่งหมายจะเข้าไปดูให้เห็นกับตา
ขนตาเป็นแพรหนาของคนบนเตียงสั่นไหวราวกับปีกผีเสื้อก่อนที่เจ้าของร่างจะเปิดเปลือกตาของตนขึ้นในที่สุด
ดวงตากลมโตของเธอกะพริบขึ้นลงเพื่อปรับให้คุ้นชินกับแสงสว่างที่ได้รับ “ที่นี่คือที่ไหน” เพียงประโยคนี้จบลงเสียงเซ็งแซ่จากคนในครอบครัวเล็ก ๆ ของเรือนก็ดังขึ้น
“เงียบ!!” ผู้เป็นประมุขคนปัจจุบันตะโกนก้องพร้อมกับกระแทกไม้เท้าในมือ หากเป็นเด็กหญิงคนเดิมเธอคงจะสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวตามวิสัยคนขี้ขลาดไปแล้ว
แต่ไม่ใช่กับไป๋เสวี่ยผู้เติบโตผ่านร้อนผ่านหนาวมาจนกระทั่งอายุยี่สิบห้าปีคนนี้ เธอจึงยกมือขึ้นป้องดวงตาพยายามเพ่งมองชายชราผู้เป็นเจ้าของเสียงเมื่อครู่
“คุณปู่! ฮือ ๆ ฉันคิดถึงปู่เหลือเกิน” น้ำตามากมายของเธอไหลออกมาราวทำนบแตก
“หลานรักไม่ต้องร้องไห้ ปู่อยู่ตรงนี้แล้ว หลานเล่าให้ปู่ฟังได้หรือไม่ว่าหลานตกลงไปในสระน้ำได้เยี่ยงไร” คำถามของชายชราได้เรียกความประหลาดใจให้กับผู้ที่กำลังร่ำไห้อยู่เป็นอย่างมาก
ตกน้ำ? จะเป็นไปได้ยังไงเราเข้าลิฟต์และตอนนี้เกิดอะไรขึ้นกับเรากันแน่ น้ำตาของเด็กหญิงหยุดไหลและได้ถูกแทนที่ด้วยสายตาแห่งความสับสนเพราะเรื่องราวของเธอบนสวรรค์นั้นไม่ได้อยู่ในความทรงจำ
ฉับพลันใบหน้าเล็ก ๆ ของเธอก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวดจนต้องยกมือกุมศีรษะ เหตุการณ์เรื่องราวก่อนหน้าของเจ้าของร่างได้ถูกถ่ายทอดมาทั้งหมดรวมถึงความร้ายกาจสุดแสนจะเอาแต่ใจของตนด้วย
เด็กอะไรร้ายกาจชะมัด ทั้งดูถูกคน ทั้งรังแกน้องชายต่างมารดา รวมถึงยังขยันสร้างปัญหาให้แม่เลี้ยง ทั้ง ๆ ที่แม่เลี้ยงนั้นดีกับหล่อนมากกว่าลูกแท้ ๆ ไม่ไหว ๆ ฉันไป๋เสวี่ยจะเปลี่ยนแปลงร่างนี้ให้จงได้
“ลูกรัก เหตุใดเจ้าถึงได้นิ่งเงียบแบบนี้ไม่สบายตรงไหนรีบบอกพ่อ”
ไป๋เสวี่ยหลุดออกจากภวังค์เด็กหญิงพิจารณาชายวัยสามสิบตรงหน้าก่อนจะคลี่ยิ้มอย่างสดใสจึงทำให้ใบหน้าของเธอดูดีขึ้นเป็นอย่างมาก
“ท่านพ่อ ข้าไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ ท่านอย่าได้ห่วง” ท่าทางรวมถึงน้ำเสียงของคนพูดได้ทำให้คนฟังภายในห้องตื่นตะลึง
“ท่านพ่อ ข้าว่าพี่รองต้องไม่สบายหนักเป็นแน่” เสียงเล็ก ๆ ของเด็กชายอายุน้อยเอ่ยอย่างจริงจังและยังไม่ทันที่เจ้าตัวจะได้รับคำตอบจากบิดา
“โอ๊ย! ท่านแม่ตีข้าทำไมขอรับ” เขาเอ่ยอย่างตัดพ้อ
“เจ้ายังไม่รู้ตัวอีกอย่างนั้นเหรอ หรือว่าจะให้แม่ตีเจ้าอีก” หลินเหมยกุ้ยตำหนิเขาไม่ไว้หน้า
“ท่านแม่ อย่าได้ตีน้องเล็กเลย” หลังคำพูดนี้หลุดออกจากปากของคนกำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงห้องทั้งห้องก็เกิดความเงียบอันชวนน่าอึดอัดขึ้นทันควัน
“จะ..เจ้าเรียกแม่ของข้าว่าอะไรนะ” เด็กน้อยราวถูกผีหลอกย้อนถามอย่างไม่เชื่อหู
“ท่านแม่อย่างไรเล่าหรือว่าข้าเรียกไม่ถูกต้อง” ไป๋เสวี่ย เอ่ยอย่างพาซื่อใบหน้าขาวซีดของเธอแสร้งทำหน้าไร้เดียงสา
“ท่านพ่อ ท่านปู่ ข้าเห็นว่าน้องรองคงจะอาการหนักเป็นแน่ให้ข้าไปตามหมอดีหรือไม่” เด็กชายวัยสิบสามกำลังจะหมุนกายออกจากห้องนอนของคนเป็นน้องเอ่ยน้ำเสียงติดขัด
“เจ้าจะไปไหน” หัวไม้เท้าของชายชราได้เกี่ยวหลังคอเสื้อของเขาเอาไว้พูดขึ้นอย่างไม่พอใจ “เจ้าลืมหรือว่าปู่ของเจ้าเป็นใคร”
“แหะ ๆ ข้าขออภัยท่านปู่” ไป๋ตงยกมือลูบท้ายทอยแก้เก้อ
ไป๋เสวี่ยหัวเราะคิกคักให้กับท่าทางของคนในครอบครัว ก่อนที่เจ้าตัวจะอ้าปากหาว
“เจ้านอนต่ออีกหน่อยแล้วกัน พวกเราออกไปด้านนอกกันเถอะเรื่องอื่นเอาไว้ค่อยว่ากัน” เมื่อชายชราผู้เป็นเจ้าบ้านปัจจุบันกล่าวเช่นนี้ พวกเขาผู้เป็นลูกหลานมีหรือจะกล้าขัด
ยกเว้นก็แต่น้องเล็กของเรือนที่กำลังหันซ้ายแลขวาและเมื่อผู้ใหญ่ในครอบครัวเดินออกไปจากห้องทั้งหมดแล้วเท้าของเขาก็วิ่งมาทางเตียงของคนเป็นพี่สาว
สองตาของตนหรี่มองสำรวจใบหน้าเล็กขาวซีดของคนเป็นพี่อย่างละเอียด “คนร้ายกาจอย่างท่านจะมาไม้ไหน” ผู้พูดแสดงความเกลียดชังอย่างปิดไม่มิด
แต่แล้ว จู่ ๆ ผู้ที่เขาคิดว่ากำลังหลับก็เปิดเปลือกตาขึ้นอย่างกะทันหัน ไป๋เทียนร้องเสียงหลงเผลอถอยหลังออกห่างจากเตียงถึงสองก้าว ก้นของเจ้าตัวแทบจะกระแทกพื้น
“ข้าขอโทษ ที่เคยรังแกเจ้า” ท่าทางรู้สึกผิดของเด็กหญิง ทำให้เด็กชายตัวเล็กเบิกตากว้างมองนางก่อนที่จะวิ่งหนีเตลิดออกจากห้องราวกับว่ากำลังถูกปีศาจไล่ล่าหมายเอาชีวิต
“เอาเถอะทุกสิ่งต้องใช้เวลา” ไป๋เสวี่ยพึมพำก่อนจะปิดเปลือกตาของตนลงอีกครั้งอย่างเหนื่อยอ่อน
[1] บทความดังกล่าวมาจากหนังสือเปิดหน้าประวัติศาสตร์จีนตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงยุคปฏิวัติ
กว่าคนกลุ่มใหญ่จะเดินป่ากันลงจากภูเขาได้ดวงตะวันก็เริ่มอ่อนแสงลงลับทิวไม้ไปทุกขณะ “ท่านยาย ไหวหรือไม่เจ้าคะ อดทนหน่อยอีกไม่ไกลพวกเราก็จะถึงแล้ว” ไป๋เสวี่ยเอ่ยปลอบหญิงวัยกลางคนผู้อายุมากอย่างเป็นห่วง “ไหว ยายยังไม่แก่มากปานนั้นนะเป่าเปา” แม้บนหน้าผากจะเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ ทว่านางเกาก็ยังคงตอบอย่างอารมณ์ดี สำหรับชายชราที่มีอายุมากก็ได้ไป๋ตงกับเฟยชิวรวมถึงเด็กชายอีกหลายคนช่วยกันพยุง คนเหล่านี้ล้วนแต่มีร่างกายผ่ายผอมเกรงว่าหากมีลมพัดแรงพวกเขาก็คงจะปลิวดั่งใบไม้ถูกปลิดออกจากขั้ว “ท่านตาเหนื่อยหรือไม่ จะนั่งพักก่อนดีไหมขอรับ” ไป๋ตง ถามขึ้นอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นท่าทางอันเหนื่อยหอบของคนที่ตนช่วยเหลือ “บ่าวยังเดินไหวขอรับ คุณชาย
“ท่านแม่ ตอนนี้ท่านเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ พอจะเดินไหวหรือไม่” ไป๋เสวี่ยถามมารดาเลี้ยงหลังจากกลุ่มของพวกเธอเดินย้อนกลับมา “แม่คิดว่าพอไหว” ผู้ถูกถามกัดฟัดตอบ “ข้าว่าไม่ได้แน่ เอาอย่างนี้เถอะเจ้าค่ะ ท่านนั่งบนหลังของผีซิวเถอะ ได้ไหมสหายรัก” ประโยคแรกไป๋เสวี่ยกล่าวกับมารดาก่อนจะบ่ายหน้าไปถามสหายสัตว์เทพที่กำลังเบิกตามองนาง หลังข้า ไม่ได้! แต่ข้ามีอีกตัวที่ดีกว่า จบคำของสัตว์เทพเจ้าตัวก็อ้าปากคำรามเสียงดังจนนกแตกฮือบินขึ้นฟ้า ฉับพลันในทันใดก็มีสายลมหอบหนึ่งพัดมาพร้อมกับการปรากฏร่างของสัตว์ชนิดหนึ่ง “ชงหลง”[1] ใช่! เป็นเจ้านี่แหละภูเขาทางทิศตะวันออกเฉียงใต้เป็นที่อยู่ของพวกมันข้าไปเจอมาด้วยความบังเอิญ สัตว์เทพผู้มีดวงตาสีทับทิมตอบเสียงเนือย “พี่รอง! มันคือตัวอะไร
กระต๊าก! กระต๊าก! ไก่ตัวใหญ่ตีปีกพั่บ พั่บ พุ่งตัวออกมาจากพุ่มไม้ ไป๋ตงที่ตั้งท่ารอเขาได้เงื้อมือขึ้นสูงก่อนลงมืออย่างเฉียบขาด ฉับ! สัตว์โชคร้ายไม่ทันได้ร้องขอชีวิตของเหลวสีแดงสดจากตัวไก่ไหลราวน้ำหลาก “ไก่ ของข้า” เสียงร้องโหยหวนของคนผู้หนึ่งดังขึ้นก่อนที่เจ้าตัวในชุดหนังสัตว์จะโผล่พ้นออกมา ไป๋ตงเปิดปากเมื่อเห็นใบหน้าของชายคนนี้ “เป็นเจ้า” “เจ้า!! เหตุใดถึงเป็นพวกเจ้าอีกแล้วล่ะ” คนป่าถามพลางนั่งยองมองไก่ผู้โชคร้ายด้วยน้ำตานอง ไป๋ตงมองไก่กับเด็กหนุ่มที่เคยเจอด้วยสายตาเรียบเฉย “เจ้าควรฝังร่างไก่ตัวนั้นนะ ที่มันยอมรับกระบี่ของข้าแทนร่างของเจ้า” “มันถึงคราวเคราะห์เองต่างหาก ในเมื่อมันตายแล้ว ข้าคิดว่าแทนที่จะให้มันต้องกลายเ
สองวันถัดมาหลังจากหยูไห่ได้ไปดำเนินการตามที่ไป๋ซวนสั่ง ในวันนี้เขาก็ได้เดินทางมาหาผู้เป็นนายที่ได้ย้ายเข้ามาทำงานที่เรือนแทนที่ว่าการอำเภอ “ใต้เท้านี่คือรายชื่อของชาวบ้านทั้งหมดมีทั้งสิ้นสามร้อยห้าสิบชีวิต แบ่งเป็นหมู่บ้านจงซานแปดสิบชีวิต หมู่บ้านตงซานห้าสิบ หมู่บ้านถงซานหกสิบ หมู่บ้านไห่ซานเก้าสิบ หมู่บ้านไป๋ซานเจ็ดสิบคนขอรับ” “หมู่บ้านไห่ซานคนเยอะกว่าหมู่บ้านอื่นพวกเขายึดอาชีพอะไรอย่างนั้นหรือ” ไป๋ซวนหยิบม้วนไม้ไผ่ออกมาอ่านพลางถามขึ้นด้วยความอยากรู้ “ก็คล้ายกับชาวบ้านทั่วไปนั่นแหละขอรับ ทว่าพื้นที่บริเวณนั้นอยู่ใกล้ป่ามากกว่าที่อื่น ดังนั้นพวกเขาจึงได้ยึดอาชีพหาของป่า แต่หลังจากเมืองของเราได้กลายเป็นแบบนี้พวกเขาก็ได้แต่เก็บของป่ามาประทังชีวิต หากจะล่าสัตว์นั้นยิ่งเป็นไปไม่ได้เพราะส่วนใหญ่ตอนนี้เหลือแต่ผู้หญิง เด็ก และคนชรา”&n











