Masukในขณะที่ไป๋ตงกำลังเร่งฝีเท้าตามน้องสาวไปติด ๆ เขาก็ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือดังขึ้น เจ้าตัวจึงได้รีบสาวเท้าให้เร็วกว่าเดิม
ภาพที่เข้ามาในครรลองสายตาของเจ้าตัวเป็นภาพน้องสาวที่กำลังนั่งยองอยู่เหนือหลุมดักสัตว์โดยมีสัตว์ตัวสีทองหมอบอยู่ข้างกันด้วยท่าทางเอื่อยเฉื่อย
“น้องสาว! เกิดอันใดขึ้น” เขาถามพลางเดินเข้ามาถึงตัวน้องน้อยพร้อมกันนั้นเจ้าตัวจึงได้ก้มหน้าลงไปดูทางต้นเสียงที่ได้ยิน
“ช่วยด้วย” น้ำเสียงอันอ่อนแรงดังขึ้น
ไป๋ตงมองชายร่างผอมคนนั้นสลับกับใบหน้าอันเฉยชาของคนเป็นน้องด้วยความไม่เข้าใจ
“เหตุใดเจ้าถึงไม่ช่วยเขา” คำถามของคนเป็นพี่ทำให้ไป๋เสวี่ยมองเขาด้วยรอยยิ้ม
“ท่านนับว่าเป็นคนมีเหตุผล” เด็กหญิงลุกขึ้นยืนเต็มความสูงนำมือปัดกระโปรงที่ตนสวมเอ่ยชมคนเป็นพี่
“เขาตั้งใจจะทำร้ายข้าก่อนแต่ทว่ากรรมนั้นคืนสนอง จึงทำให้เจ้าตัวมีอันต้องตกลงไปในหลุมดักสัตว์เก่าอันนี้เสียเอง” คำตอบนี้ทำให้คนรักน้องเยี่ยงชีพส่งสายตาดุดันไปให้คนด้านล่างที่บัดนี้ได้แต่ก้มหน้าลงต่ำไม่เอ่ยร้องขอความช่วยเหลือออกมาอีก
“เจ้ามีเหตุผลหรือไม่” น้ำเสียงของเขาแฝงแววดุดันจน ไป๋เสวี่ยกับสหายเทพมองด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด
เจ้าเด็กตัวเหม็นนี่มีวรยุทธแม้ว่าพลังปรานจะยังมีไม่มากนัก แต่ถ้าหากได้ฝึกอีกหน่อยข้าคิดว่าเขาน่าจะพัฒนาได้ไม่ยาก ผีซิวสื่อสารผ่านทางจิตกับไป๋เสวี่ยให้ได้ยินตามลำพัง
อย่างนี้ก็ดีนะสิ ในโลกนี้ข้าว่ามันพิลึกอย่างไรไม่รู้อย่างน้อยการมีวิชานับว่าเป็นเรื่องประเสริฐทีเดียว
ชาวป่าที่อยู่ในหลุมด่านล่างตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว “เรื่องนี้ข้าอธิบายได้ขอรับ” เขารีบพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ว่ามา”
แม้ว่าไป๋ตงจะยังเป็นเพียงเด็กชายอายุสิบสามปีกระนั้นด้วยความที่เขาทำงานหนักอีกทั้งยังเป็นผู้ฝึกยุทธ์รูปร่างของเขาจึงค่อนข้างบึกบึนมากกว่าเด็กวัยเดียวกัน
“ข้าน้อยต้องการจับคุณหนูเป็นตัวประกันเพื่อแลกกับอาหาร ในยามนี้พวกเราหากินได้ลำบากยิ่ง” คนผู้นั้นพูดขึ้นด้วยดางตาแดงก่ำอย่างเจ็บช้ำที่เขาไร้ความสามารถจึงทำให้ตัวเองต้องตกอยู่ในสภาพเยี่ยงนี้
เขาพูดจริงไหม? ไป๋เสวี่ยบ่ายหน้าไปทางสหายขนทอง
จริง
“เหตุใดเจ้าถึงไม่เพาะปลูกหรือไปรับจ้าง ทำไมถึงเลือกใช้วิธีต่ำช้าเช่นนี้กันเล่า และแม้ว่าเจ้าจับตัวข้าไปได้แล้วคิดบ้างหรือไม่ว่าคนในครอบครัวของข้าอาจจะไม่มีอาหารมาแลกกับเจ้าก็ได้”
คนป่ามองไป๋เสวี่ยก่อนส่ายหน้า “ไม่จริงหรอก คุณหนูแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสะอาดสะอ้านแม้ว่าชุดจะไม่ได้ทำจากผ้าชั้นดีทว่าก็ไม่มีร่องรอยปะชุนอีกทั้งใบหน้ากับผิวก็ขาวราวไข่ปอก นั่นย่อมแสดงให้เห็นว่าฐานะทางบ้านของท่านย่อมไม่แย่อีกทั้งคุณหนูยังนับว่าเป็นที่รักของครอบครัวอีกด้วย ยังไงซะครอบครัวของท่านย่อมจะต้องนำอาหารมาแลกอย่างแน่นอน” คนป่าตอบอย่างมาดมั่นในความคิดของตน
ทว่าด้านไป๋เสวี่ยกลับกลอกตาไปมา กรรมของข้าที่มาอยู่ในร่างของคุณหนูตัวร้ายสินะที่วัน ๆ นางไม่คิดทำอะไรเอาแต่แต่งตัว เจ้าตัวคิด
“ข้าฟังเจ้าพูดวิเคราะห์ถึงน้องสาวของข้าดีขนาดนี้ก็นับได้ว่าเจ้าเป็นคนฉลาดผู้หนึ่งแต่เพราะเหตุใดจึงริมาทำตัวเป็นโจร”
“ข้าไม่ใช่โจร! ข้าเป็นคนป่า” คนผู้นั้นตอบโต้เสียงดังด้วยใบหน้าดำคล้ำราวตับหมู
“คนป่า! ไม่ใช่ว่าพวกเจ้าอาศัยอยู่ในป่าลึกหรอกเหรอ” ไป๋ตงซัก
“ใช่ แต่ก่อนพวกข้าอยู่ในป่าลึกทว่าเมื่อเดือนก่อนได้เกิดเหตุการณ์ประหลาดทำให้พวกเราหายไปทีละคนสองคนอย่างไม่ทราบสาเหตุ ไม่ว่าพวกเราจะออกตามหาอย่างไรก็ไม่พบจนนานวันเข้าไม่มีใครกล้าที่จะอาศัยอยู่ที่นั่นอีก”
“เพียงแค่นี้ ไม่แน่ว่าคนเหล่านั้นอาจจะเดินทางไปแคว้นอื่นแล้วก็ได้” ไป๋ตงยังคงถามต่อไปเพื่อหาพิรุธของชายคนนี้
“เป็นไปไม่ได้เพราะหนึ่งในนั้นที่หายตัวไปคือพี่ชายของข้า อีกทั้งเขายังทิ้งลูกน้อยวัยสามรอบเอาไว้กับข้าด้วย” คนตอบส่ายศีรษะแย้งขึ้นทันควัน
ไป๋ตงมองหน้าของไป๋เสวี่ยหลังได้ยินคำตอบเช่นนี้ “จำนวนคนของเจ้าที่เหลือในตอนนี้มีกี่คน” คำถามของไป๋เสวี่ยทำให้คนป่ารู้สึกระแวง
“อย่าได้โป้ปดมิเช่นนั้นไม่ใช่แค่เจ้าที่เดือดร้อน” คำพูดของเด็กหญิงทำให้คนป่ารู้สึกขนอ่อนตั้งชันแม้แต่ผมบนหัวก็ไม่เว้น
“หนึ่งร้อยห้าสิบชีวิต ส่วนใหญ่เป็นหญิงม่ายกับเด็ก” คำตอบนี้ทำให้สองพี่น้องรู้สึกฉงน “เพราะเหตุใด” ไป๋ตงถามขึ้นด้วยความอยากรู้
“เพราะเหล่าบุรุษในวัยที่มากกว่าข้าออกไปหาอาหารแล้วไม่เคยได้กลับมารวมถึงพี่ชายของข้าด้วย” คนตอบเสียงสั่นน้ำตาของเขาหลั่งรินคล้ายได้ระบายความอัดอั้นในใจ
“เจ้าอายุเท่าไหร่” ไป๋ตงยังคงถามต่อ
“หนาวนี้ได้สิบห้ารอบ”
“สิบห้า!” สองพี่น้องส่งเสียงร้องอย่างตกตะลึง
เด็กหนุ่มผู้มีอายุสิบห้าปีเมื่อไม่นานเหมือนจะเริ่มรู้สึกตัว “พวกท่านคิดว่าข้ามีอายุเท่าไหร่”
“ตอบยากแต่คิดว่าน่าจะมากทั้งนี้เป็นเพราะสภาพของเจ้านั่นแหละ” ครั้งนี้ไป๋เสวี่ยเป็นคนตอบ
“สภาพของข้าทำไม” เขาถามน้ำเสียงแสดงอาการฉุนเฉียว
“เหอะ ๆ ผมยาวรกรุงรังปิดใบหน้าหากเจ้าไม่พูดกับหน้าอกไม่แบนข้าคงแยกไม่ออกว่าเป็นชายหรือหญิงแล้วใครจะเดาอายุของเจ้าออกกัน” ไป๋เสวี่ยยักไหล่ตอบตามจริง
“จะ...เจ้าเป็นเด็กผู้หญิงแบบใด เหตุไฉนถึงได้กล้าวิพากษ์วิจารณ์รูปร่างของบุรุษเช่นนี้” คนพูดเอามือปิดช่วงบนของตนอย่างลืมตัวตะโกนขึ้นเสียงดัง
คนผู้นี้ทั้งสองพี่น้องดูไปคล้ายไม่ใช่คนป่าจึงทำให้คนทั้งคู่เกิดความกังขาเรื่องที่เขาเล่ามาเป็นอย่างมาก
“เจ้าตอบมาตามตรงว่าทำไมถึงมาเป็นคนป่า หากคำตอบของเจ้าเป็นที่พอใจข้าจะให้พี่ใหญ่ช่วยเจ้าขึ้นมา แต่ถ้าหากว่า.....ข้าจะให้เจ้าเป็นอาหารของสหายข้าหึหึ”
ข้าไม่กินเนื้อมนุษย์ สัตว์เทพส่งเสียงแย้ง
ข้ารู้ เพียงแต่เจ้าน่าเกรงขามเกินไปข้าก็เลยนำมาขู่เขาเท่านั้นเอง คำตอบนี้ค่อนข้างทำให้สัตว์เทพพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง
ดังนั้นเจ้าตัวจึงได้อ้าปากส่งเสียงก้องคำรามจนนกกาพากันแตกฮือบินขึ้นฟ้าด้วยความตื่นตระหนก
คนฟังเบื้องล่างเม้มปากแน่น ‘ข้าควรทำเยี่ยงไร’ เขาถามตัวเอง สองพี่น้องเองก็ใจดีไม่เร่งรัด
“พี่ใหญ่ท่านเฝ้าเขานะ” ไป๋เสวี่ยผู้ไม่ชอบอดทนรอพูดขึ้นพร้อมกับขยับกายเตรียมจะผละไป
“เจ้าจะไปไหน ในป่ามันอันตราย” ไป๋ตงรีบจับมือน้องสาวค้านขึ้นด้วยสีหน้ากังวล
“พี่ใหญ่ที่แห่งนั้นได้สอนวรยุทธข้ามาด้วย รับรองได้ว่าข้าปลอดภัยกลับมาอย่างแน่นอน” สิ้นคำตอบของคนตัวเล็ก ร่างกายของนางก็เลือนหายไปโดยที่ไป๋ตงยังไม่ทันปล่อยมือ
ไป๋ตงก้มลงมองมือที่วางเปล่าด้วยความตื่นตะลึง จนได้ยินเสียงเรียกจากคนป่านั่นแหละเขาถึงได้รู้สึกตัว
‘วิชาของน้องรองช่างเยี่ยมยุทธ’ เขาคิดด้วยความชื่นชมและหมายมั่นว่าจะให้น้องสาวของตนช่วยชี้แนะ หากว่าคนเป็นน้องไม่ติดขัด
สองสหายจอมซนพากันตะเวนวิ่งไปแทบจะทั่วทั้งหุบเขาแสงสีเงินสีทองวูบวาบไปมาจนในที่สุดไป๋เสวี่ยได้หยุดพักนั่งห้อยขาบนต้นผิงกั่วลำต้นสูงต้นหนึ่งที่ผลของมันกำลังเป็นสีแดงสด
นางเด็ดผลไม้ที่ผลค่อนข้างเล็กกว่ายุคปัจจุบันออกจากขั้วนำมาเช็ดกับแขนเสื้อก่อนกัดเข้าไปคำใหญ่
“อืม รสชาติไม่เลวแต่ติดเปรี้ยวไปสักหน่อย” นางพูดไปเคี้ยวผลไม้ในปากไป
เจ้าจะล่าสัตว์ไม่ใช่หรือเหตุใดถึงได้มานั่งแกว่งขาอยู่ตรงนี้เล่า สัตว์เทพถามขึ้นอย่างสงสัยระคนใคร่รู้
ข้ากำลังมองคนพวกนั้น ไป๋เสวี่ยชี้นิ้วลงไปทางพื้นเบื้องล่างที่มีควันไฟสีขาวกำลังลอยอ้อยอิ่ง
หืม? มีอะไรน่าสนใจอย่างนั้นหรือ
ข้าว่าคนพวกนี้ไม่เหมือนคนป่า แม้ว่าจะพยายามทำตัวให้เหมือนก็ตามทว่าดูอย่างไรก็ไม่ใช่
จะว่าไปก็จริงอย่างที่เจ้าว่า
ใช่ไหมล่ะ ถ้าอย่างนั้นเห็นทีว่าข้าคงต้องทดสอบดูสักครา ไป๋เสวี่ยทิ้งตัวลงจากกิ่งไม้เมื่อใกล้จะถึงพื้นนางจึงตีลังกาหนึ่งรอบ
เท้าทั้งสองแตะพื้นดินแบบพอดิบพอดี ครู่ต่อมาจากเด็กหญิงผู้มีใบหน้าน่ารักก็แปรเปลี่ยนเป็นสภาพมอมแมมเสื้อผ้าเปรอะเปื้อนดินโคลนจำสภาพเดิมไม่ได้
นางเดินโซซัดโซเซไปทางหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังนั่งอยู่หน้าเตาที่ทำจากก้อนหินตั้งเอาไว้อย่างหยาบ ๆ
“พี่สาว ชะ..ช่วยด้วย” น้ำเสียงของนางฟังดูราวกับจะขาดใจ จนทำให้หญิงสาวนางนั้นรีบลุกจากหินก้อนใหญ่ที่ตนนั่งอยู่
“น้องสาว! น้องสาว! ใครก็ได้มาช่วยเด็กคนนี้ที” นางรีบเข้าไปช่วยรับร่างอ่อนปวกเปียกของไป๋เสวี่ยไว้ได้ทันพร้อมกันนั้นก็ตะโกนออกมาด้วยความตกใจ
ยังแสดงเก่งเหมือนเดิม สหายสัตว์เทพของเด็กหญิงไม่รู้กล่าวชมหรือประชดคงมีเพียงเจ้าตัวเท่านั้นที่ตอบได้
หากแสดงไม่ดีคนเขาก็จับได้นะสิ คนตัวเล็กกว่าเถียง
ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็เล่นงิ้วของเจ้าไป ส่วนข้าจะออกไปล่าเนื้อไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเจ้าเด็กนั่นจะหาว่าข้ามีแต่ราคาคุย
ไม่ทันรอให้ไป๋เสวี่ยตอบความ เงาวูบวาบสีทองสายหนึ่งก็ห้อตะบึงไปไกลลิบเสียแล้ว
กว่าคนกลุ่มใหญ่จะเดินป่ากันลงจากภูเขาได้ดวงตะวันก็เริ่มอ่อนแสงลงลับทิวไม้ไปทุกขณะ “ท่านยาย ไหวหรือไม่เจ้าคะ อดทนหน่อยอีกไม่ไกลพวกเราก็จะถึงแล้ว” ไป๋เสวี่ยเอ่ยปลอบหญิงวัยกลางคนผู้อายุมากอย่างเป็นห่วง “ไหว ยายยังไม่แก่มากปานนั้นนะเป่าเปา” แม้บนหน้าผากจะเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ ทว่านางเกาก็ยังคงตอบอย่างอารมณ์ดี สำหรับชายชราที่มีอายุมากก็ได้ไป๋ตงกับเฟยชิวรวมถึงเด็กชายอีกหลายคนช่วยกันพยุง คนเหล่านี้ล้วนแต่มีร่างกายผ่ายผอมเกรงว่าหากมีลมพัดแรงพวกเขาก็คงจะปลิวดั่งใบไม้ถูกปลิดออกจากขั้ว “ท่านตาเหนื่อยหรือไม่ จะนั่งพักก่อนดีไหมขอรับ” ไป๋ตง ถามขึ้นอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นท่าทางอันเหนื่อยหอบของคนที่ตนช่วยเหลือ “บ่าวยังเดินไหวขอรับ คุณชาย
“ท่านแม่ ตอนนี้ท่านเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ พอจะเดินไหวหรือไม่” ไป๋เสวี่ยถามมารดาเลี้ยงหลังจากกลุ่มของพวกเธอเดินย้อนกลับมา “แม่คิดว่าพอไหว” ผู้ถูกถามกัดฟัดตอบ “ข้าว่าไม่ได้แน่ เอาอย่างนี้เถอะเจ้าค่ะ ท่านนั่งบนหลังของผีซิวเถอะ ได้ไหมสหายรัก” ประโยคแรกไป๋เสวี่ยกล่าวกับมารดาก่อนจะบ่ายหน้าไปถามสหายสัตว์เทพที่กำลังเบิกตามองนาง หลังข้า ไม่ได้! แต่ข้ามีอีกตัวที่ดีกว่า จบคำของสัตว์เทพเจ้าตัวก็อ้าปากคำรามเสียงดังจนนกแตกฮือบินขึ้นฟ้า ฉับพลันในทันใดก็มีสายลมหอบหนึ่งพัดมาพร้อมกับการปรากฏร่างของสัตว์ชนิดหนึ่ง “ชงหลง”[1] ใช่! เป็นเจ้านี่แหละภูเขาทางทิศตะวันออกเฉียงใต้เป็นที่อยู่ของพวกมันข้าไปเจอมาด้วยความบังเอิญ สัตว์เทพผู้มีดวงตาสีทับทิมตอบเสียงเนือย “พี่รอง! มันคือตัวอะไร
กระต๊าก! กระต๊าก! ไก่ตัวใหญ่ตีปีกพั่บ พั่บ พุ่งตัวออกมาจากพุ่มไม้ ไป๋ตงที่ตั้งท่ารอเขาได้เงื้อมือขึ้นสูงก่อนลงมืออย่างเฉียบขาด ฉับ! สัตว์โชคร้ายไม่ทันได้ร้องขอชีวิตของเหลวสีแดงสดจากตัวไก่ไหลราวน้ำหลาก “ไก่ ของข้า” เสียงร้องโหยหวนของคนผู้หนึ่งดังขึ้นก่อนที่เจ้าตัวในชุดหนังสัตว์จะโผล่พ้นออกมา ไป๋ตงเปิดปากเมื่อเห็นใบหน้าของชายคนนี้ “เป็นเจ้า” “เจ้า!! เหตุใดถึงเป็นพวกเจ้าอีกแล้วล่ะ” คนป่าถามพลางนั่งยองมองไก่ผู้โชคร้ายด้วยน้ำตานอง ไป๋ตงมองไก่กับเด็กหนุ่มที่เคยเจอด้วยสายตาเรียบเฉย “เจ้าควรฝังร่างไก่ตัวนั้นนะ ที่มันยอมรับกระบี่ของข้าแทนร่างของเจ้า” “มันถึงคราวเคราะห์เองต่างหาก ในเมื่อมันตายแล้ว ข้าคิดว่าแทนที่จะให้มันต้องกลายเ
สองวันถัดมาหลังจากหยูไห่ได้ไปดำเนินการตามที่ไป๋ซวนสั่ง ในวันนี้เขาก็ได้เดินทางมาหาผู้เป็นนายที่ได้ย้ายเข้ามาทำงานที่เรือนแทนที่ว่าการอำเภอ “ใต้เท้านี่คือรายชื่อของชาวบ้านทั้งหมดมีทั้งสิ้นสามร้อยห้าสิบชีวิต แบ่งเป็นหมู่บ้านจงซานแปดสิบชีวิต หมู่บ้านตงซานห้าสิบ หมู่บ้านถงซานหกสิบ หมู่บ้านไห่ซานเก้าสิบ หมู่บ้านไป๋ซานเจ็ดสิบคนขอรับ” “หมู่บ้านไห่ซานคนเยอะกว่าหมู่บ้านอื่นพวกเขายึดอาชีพอะไรอย่างนั้นหรือ” ไป๋ซวนหยิบม้วนไม้ไผ่ออกมาอ่านพลางถามขึ้นด้วยความอยากรู้ “ก็คล้ายกับชาวบ้านทั่วไปนั่นแหละขอรับ ทว่าพื้นที่บริเวณนั้นอยู่ใกล้ป่ามากกว่าที่อื่น ดังนั้นพวกเขาจึงได้ยึดอาชีพหาของป่า แต่หลังจากเมืองของเราได้กลายเป็นแบบนี้พวกเขาก็ได้แต่เก็บของป่ามาประทังชีวิต หากจะล่าสัตว์นั้นยิ่งเป็นไปไม่ได้เพราะส่วนใหญ่ตอนนี้เหลือแต่ผู้หญิง เด็ก และคนชรา”&n
เหอะ! ข้าไม่ง้อเจ้าก็ได้ ช่วงนี้คนที่ข้าพบเจอก็มีไม่มากนักข้าจะลองค่อย ๆ นึก เอ๋! หรือว่าจะเป็นเด็กคนนั้น “พี่ใหญ่ที่ท่านพูดคงจะไม่ใช่หมายถึงเขาหรอกนะเจ้าคะ” ไป๋เสวี่ยไม่ปล่อยผ่านจึงถามสิ่งที่ตนนึกได้ออกไป “อืม เขานั้นแหละ” ไป๋ซวนผู้ฟังการสนทนาของบุตรทั้งสองรู้สึกเกิดความสงสัยและกำลังตั้งใจจะเอ่ยปากถาม ทว่าเขาก็มองเห็นทหารนายหนึ่งขี่ลามาฝุ่นตลบ ทหารนายนั้นรีบกระโดดลงจากสัตว์พาหนะของตนวิ่งมาทางไป๋ซวนหน้าตาแตกตื่นจึงทำให้ชาวบ้านพากันตกใจ “หรือว่ามีข้าศึกบุกมาแล้ว” หนึ่งในกลุ่มคนคาดเดา ครานี้จากที่พวกเขากำลังนั่งสงบก็กลับส่งเสียงฮือราวผึ้งแตกรัง&n
เสียงหาวลากยาวของสัตว์เทพทำให้นกกาที่พากันหลับใหลแตกตื่นพากันแตกฮือบินขึ้นฟ้าส่งเสียงร้องกันดังจ้าละหวั่น กา กา พึ่บ พับ “พวกมันคงคิดว่าแผ่นดินไหวเป็นแน่” “เหอะ! ข้าแค่หาวเพียงหาวเดียวมันยังพากันตกใจถึงเพียงนี้หากว่าเกิดภัยพิบัติขึ้นมาจริงนกใจเสาะพวกนี้คงไม่แคล้วร่วงหล่นจากฟ้าเพราะหัวใจล้มเหลวเป็นแน่” สัตว์เทพตอบโต้สหายผู้อยู่บนหลังของตนอย่างถือดี “จ้า จ้า เจ้าพูดสิ่งใดล้วนถูกต้อง อดทนอีกนิดก็แล้วกันตอนนี้เราเหลือเพียงทิศอุดรภารกิจของเราก็สิ้นสุดสามารถกลับไปนอนเอกเขนก” คนพูดเองก็ตาปรือไม่แพ้กัน “ข้าจะนอน นอน และก็นอน ต่อให้แผ่นฟ้าถล่มหรือว่าบิดาของข้ามาข้าก็จะไม่สนใจ” สัตว์เทพสีทองเร่งฝีเท้าเพื่อให้ถึงเป้าหมายจนลมเย็นตีเข้าหน้าของไป๋เสวี่ย&nbs







