เข้าสู่ระบบ“คุณหนู คุณชายรองเจ้าคะ นายท่านผู้เฒ่าให้มาตามพวกท่านไปกินอาหารเช้าเจ้าค่ะ” เสี่ยวทู่ตัวน้อยตะโกนพร้อมกับเคาะประตูอยู่ด้านนอกหลังจากเวลาผ่านไปมากกว่าหนึ่งชั่วยาม
ซึ่งครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่สองพี่น้องสนทนากันอย่างสันติ “รู้แล้ว เดี๋ยวข้ากับน้องสามตามไป” ไป๋เสวี่ยตอบกลับพลางลุกจากม้านั่งและด้วยความหวังดีนางจึงตั้งใจจะเข้าไปช่วยพยุงน้องชายให้ลุกขึ้นยืน
ทว่า ฟึบ! ดวงตาของเด็กหญิงเบิกกว้างด้วยความตกตะลึงหลังจากที่น้องชายรวบชายชุดคลุมตัวยาวเข้าหาตัวโดยที่ไม่ทันระวัง
“น้องเล็ก! แม้ว่าเจ้าเพิ่งจะอายุหกรอบทว่ายังไงก็นับว่ารู้ความแล้วเหตุใดถึงไม่ใส่กางเกงให้เรียบร้อย”
“กางเกงอันใดของท่าน” ไป๋เทียนย้อนด้วยสีหน้าฉงนพลางวางเท้าลงบนพื้น
สำหรับไป๋เสวี่ยนั้นนางคล้ายโดนค้อนทุบหัว ปากของนางนั้นเดี๋ยวอ้าเดี๋ยวหุบราวกับปลากำลังขาดอากาศหายใจ
ไป๋เทียนหาได้สนใจคนเป็นพี่หลังจากเขาสวมรองเท้าที่ถักขึ้นมาอย่างหยาบจากฟางข้าวแห้งเขาก็จัดเสื้อคลุมตัวยาวของตนให้เข้าที่เพื่อความเป็นระเบียบ
ไป๋เสวี่ยมองน้องชายด้วยสายตาขึ้นลงอย่างพินิจพิเคราะห์ ก็เห็นว่าพ้นชายเสื้อยาวลงมาก็มีขากางเกงสีซีดนางจึงขมวดคิ้วมุ่น เมื่อครู่ข้าไม่ได้ตาฝาดแน่ ๆ ข้าเห็นก้นของเจ้าเด็กคนนี้ชัด ๆ แล้วทำไมตอนนี้ถึงมีกางเกงแล้วล่ะ เจ้าตัวขบคิด
“ท่านเป็นอะไรหรือว่าหิวจนความคิดเลอะเลือน” วาจาเผ็ดร้อนของคนเป็นน้องหาได้ทำให้ไป๋เสวี่ยโกรธเคืองแต่อย่างใด
พอสองพี่น้องพ้นประตูห้องนอนออกมาได้ไป๋เสวี่ยก็มองเห็นเสื้อผ้าที่กำลังแขวนอยู่กลางลานโล่ง
พลันดวงตาของนางก็สบเข้ากับของสิ่งหนึ่งที่มีรูปร่างคล้ายกางเกงทว่ามันมีเพียงแค่ช่วงท่อนขากับปลายเชือกที่ทำจากผ้าผูกเอาไว้กับราวไม้ไผ่ที่มีหลากหลายขนาด
“ท่านมองอะไร?” คนเป็นน้องถามอย่างสงสัยเมื่อเห็นพี่สาวมองไปทางราวตากผ้าอย่างนิ่งงัน
“เจ้าใส่แบบนี้เหรอ”
“หืม?” ไป๋เทียนแสดงสีหน้างุนงง
“ข้าหมายถึงว่าเจ้าใส่แบบนี้ไว้ด้านในก่อนจะสวมเสื้อทับใช่หรือไม่” ไป๋เสวี่ยเดินมาจับชายกางเกงเปิดเป้าที่กวัดแกว่งตามแรงลมถามขึ้นใหม่
“ใช่ แต่ก่อนท่านก็ใส่แบบนี้นะทว่าท่านไม่ชอบก็เลยให้ท่านแม่เย็บขึ้นมาให้ใหม่ซึ่งท่านไม่รู้หรอกว่ามันเปลืองผ้ามากขนาดไหน” เขาตอบพร้อมกับพ่นลมออกมาทางจมูกอย่างอัดอั้น
“กางเกงก็ต้องเย็บปิดทั้งหมดสิ ไม่อย่างนั้นจะมีประโยชน์อะไร เจ้าอย่าบอกนะว่าทุกคนในบ้านก็ใส่กันแบบนี้” ไป๋เสวี่ยโต้ขึ้นอย่างตกใจ
“ท่านจะตกใจอะไร ไม่เพียงแต่บ้านของพวกเราเท่านั้นหรอกเพราะแม้แต่ชาวบ้านรวมถึงขุนนางก็ใส่กันแบบนี้ทั้งนั้นแหละ ข้าว่าท่านคงป่วยจนหัวได้รับความกระทบกระเทือนเป็นแน่ พี่เสี่ยวทู่ท่านรีบไปพาพี่รองเข้ามาเถอะหากตากลมเย็นเกิดเจ็บป่วยขึ้นมาอีกจะลำบาก”
แม้ว่าไป๋เสวี่ยจะเคยรู้มาบ้างว่าสมัยโบราณทั้งหญิงชายนิยมใส่กางเกงเปิดเป้าแต่จะให้เธอใส่แบบนี้ด้วยเห็นทีว่าคงจะไม่ไหว
ภายในห้องกินข้าวในตอนนี้บรรดาสมาชิกในครอบครัวต่างพากันนั่งลงเรียบร้อยยกเว้นเพียงบ่าวตัวน้อยเสี่ยวทู่ที่ยืนหลบมุมอย่างนิ่งเงียบ
“พี่ใหญ่ ท่านไม่รู้สึกเย็นวาบหรือว่าแปลกประหลาดบ้างเหรอ” คำถามไม่มีปี่มีขลุ่ยของน้องสาวที่นั่งข้างกันทำให้ไป๋ตงเงยหน้ามองนางด้วยแววตาสนเท่ห์
“ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ ท่านกินต่อเถอะ”
สายตาของเด็กหญิงมองอาหารบนโต๊ะลอบถอนหายใจยิ่งเมื่อนางเห็นสภาพของคนในครอบครัวอย่างชัดเจนเจ้าตัวก็ยิ่งรู้สึกหม่นเศร้า
โจ๊กข้าวฟ่างที่มีเมล็ดข้าวอยู่เพียงหยิบมือซึ่งส่วนใหญ่มีแต่น้ำกับผักดองที่วางอยู่ในถ้วยก็ให้รู้สึกว่าชีวิตในชาตินี้ช่างน่าเวทนามากกว่าในชีวิตก่อนหน้าเสียเหลือเกิน
ทว่ายามเมื่อนางได้เห็นใบหน้าของปู่เจ้าตัวกลับอิ่มเอมใจ “ท่านปู่ สักวันข้าจะทำให้ครอบครัวของพวกเรากินอาหารดี ๆ ที่แม้แต่ในวังก็เทียบไม่ได้” คำพูดของนางเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ
ไป๋เทียนเผลอปล่อยถ้วยหม้อดินของตนออกจากมือด้วยความตกใจเช่นเดียวกับไป๋ตงและผู้ใหญ่อีกสามชีวิตที่เหลือ
“เป่าเปา คำพูดเมื่อสักครู่นี้เจ้าอย่าได้เที่ยวพูดออกไปอย่างเด็ดขาด หาไม่คนจะคิดว่าเจ้าไม่เคารพเบื้องสูง” ไป๋ซวนกล่าวกำชับเสียงเครียด
“ฟังที่พ่อเจ้าพูดนะหลานรัก แต่ทว่าปู่ก็เชื่อมั่นว่าเจ้านั้นทำได้” ด้วยชายชราเกรงว่าหลานสาวจะน้อยใจเจ้าตัวจึงได้เอ่ยออกมาเช่นนี้
“ข้ารู้แล้วเจ้าค่ะ ข้าฟังท่านพ่อ แต่เรื่องใดที่ออกจากปากของข้าแล้วไม่มีทางที่เสี่ยวเป่าคนนี้จะทำไม่ได้” คำพูดของเด็กหญิงยังคงเปี่ยมล้นไปด้วยความหนักแน่นเช่นเดิม
“พี่รอง ท่านพูดอย่างกับว่าท่านเคยเห็นอาหารของท่านอ๋อง ข้าไม่ได้ไม่เชื่อท่านหรอกนะ เพียงแต่อาหารเหล่านั้นข้าเคยได้ยินมาว่าช่างเลิศรสมีพ่อครัวเอกเป็นคนปรุงมีห้องเครื่องใหญ่โตหลากหลายวัตถุดิบ” เสียงของไป๋เทียนเริ่มเบาสีหน้าเริ่มสลดเมื่อเขารู้ตัวว่าคำพูดตนอาจจะทำให้คนเป็นพี่เสียใจ
“เคย เจ้าจำเรื่องที่ข้าเล่าให้ฟังก่อนหน้าไม่ได้หรือ ข้าไม่เพียงแต่เคยเห็นนะ บางอย่างข้าก็ยังเคยได้ลิ้มลองมาแล้วด้วย” คำพูดโอ้อวดเช่นนี้หากเป็นคนนอกมาฟังคงคิดว่าเป็นเพียงผายลมที่เด็กตัวเหม็นพ่นออกมา
แต่ในเมื่อที่แห่งนี้ไม่มีคนนอกดังนั้นทุกสายตาจึงได้มองนางด้วยความความทึ่ง “พี่รอง แล้วของเหล่านั้นเอามาที่นี่ด้วยไม่ได้หรือ” ท่าทีของน้องชายเริ่มจะเชื่อเธอมากขึ้นจึงได้ถามออกมาด้วยน้ำเสียงแห่งความหวัง
ไป๋เสวี่ยส่ายศีรษะไปมา “แต่ทุกคนไม่ต้องผิดหวัง สักวันสิ่งที่ข้าเคยลิ้มรสทุกคนเองก็ย่อมต้องได้กินเหมือนกัน” จบประโยคของนางท้องเจ้ากรรมกลับส่งเสียงร้องออกมาประจานเจ้าของเสียอย่างนั้น
“ดี ๆ เจ้าพูดได้ดี ฮ่าฮ่า แต่ปู่ว่าตอนนี้เจ้าคงจะต้องกินโจ๊กข้าวฟ่างกับผักดองเพื่อเอาแรงเสียก่อน”
ใบหน้าของไป๋เสวี่ยแดงก่ำด้วยความอายกระนั้นนางก็ตอบรับคำพูดของชายชราอย่างเชื่อฟัง
สิ้นสุดมื้ออาหารอันอบอุ่นไป๋ซวนก็ไปทำงานของตนยังที่ว่าการอำเภอซึ่งห่างจากบ้านเพียงหนึ่งลี้
“พี่ใหญ่ท่านกำลังจะไปไหนหรือเจ้าคะ” ไป๋เสวี่ยถามขึ้นเมื่อเห็นคนเป็นพี่สะพายตะกร้าหวายขึ้นหลัง
“ไปเก็บฟืน เจ้าสามยังไม่หายดีพี่ก็เลยอาสารับหน้าที่นี้แทน”
“พี่ใหญ่ข้าขอโทษที่ทำให้ท่านต้องทำงานเพิ่ม” ไป๋เทียนตัวน้อยสีหน้าสลดหลังได้ยินคำตอบของคนเป็นพี่
“ขอโทษทำไม ข้าหาได้โกรธเจ้า อีกอย่างเจ้าตัวเล็กถึงเพียงนั้นยังรู้จักช่วยงานไม่เอาแต่วิ่งเล่นเรื่องนี้เจ้าก็ดีมากแล้ว” ไป๋ตงพูดพลางยกมือหยาบกร้านจากการทำงานหนักวางลงบนหัวเล็ก ๆ ของเขา
ไป๋เทียนช้อนตามองพี่ชายคนโตด้วยดวงตาแดงก่ำเขารู้ดีว่าพี่ใหญ่รักพวกตนมากเพียงใด
อีกทั้งยังทำงานหนักอีกด้วยทั้งนี้เป็นเพราะตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างพี่ชายก็หาได้อยู่นิ่งกว่าเขาจะกลับเข้าเรือนก็หลังจากดวงตะวันลาลับเหลี่ยมเขา
“พี่น้องปรองดองรักกันนับว่าเป็นเรื่องดี เสี่ยวตงเจ้ารีบเดินขึ้นเขาเถอะหากบ่ายกว่านี้จะลำบาก” เสียงของชายชราทำให้สามพี่น้องหันไปมองทางเขาพร้อมกัน
“ขอรับ” อี้ตงกำลังจะหมุนกายเดินจากไปมือขาวละเอียดของคนเป็นน้องสาวก็รั้งชายเสื้อของเขาเอาไว้
“พี่ใหญ่ข้าไปด้วย” ดวงตาใสกระจ่างของน้องน้อยไม่อาจทำให้เด็กชายวัยสิบสามปฏิเสธเจ้าตัวจึงผงกหัวเป็นการตกลง
ไป๋เทียนรู้สึกไม่วางใจเกรงว่าพี่ชายจะบาดเจ็บเช่นเดียวกับตนแต่จะให้เขาโพล่งออกไปก็กลัวว่าจะทำร้ายความรู้สึกของพี่สาวที่ทำตัวดีขึ้น
คนตัวเล็กจึงได้เดินกระเผลกด้วยไม้ค้ำอันเดิมที่ได้มาตั้งแต่เมื่อวาน
“พี่ใหญ่ ท่านเอาหูมานี่” เขาทำท่าท่างมีลับลมคมใน
ไป๋ตงโน้มตัวลงมาแต่โดยดี “พี่อย่าได้บาดเจ็บเช่นข้านะ” เจ้าตัวพูดไปก็ปรายตามองไปทางไป๋เสวี่ยที่กำลังแสร้งชมนกชมไม้
“ขอบใจที่เจ้าเป็นห่วงข้า แต่ทำไมต้องพูดเสียงเบาเช่นนี้ด้วย” ไป๋ตงยืดตัวเต็มความสูงของตนพูดอย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่น้องชายคนเล็กสื่อเลยสักนิด
คล้อยหลังสองพี่น้องกับสัตว์ตัวเล็กสีทองเดินจากไป ปู่กับหลานชายก็พากันเดินเข้าบ้าน สำหรับเสี่ยวทู่ตัวน้อยในยามนี้นางก็ไปช่วยเหมยกุ้ยทำงานบ้าน ปักชุนเสื้อผ้าเท่าที่แรงของตนจะทำไหว
สองข้างทางแม้ว่าจะมีบ้านเรือนบ้างทว่าเมืองนี้ราวกับเป็นเมืองร้างทุกสิ่งทุกอย่างดูแห้งแล้งจนไป๋เสวี่ยไม่อาจทนเก็บความสงสัยเอาไว้ได้อีกต่อไป
“พี่ใหญ่ที่นี่ทำไมถึงได้ดูยากจนนัก” คำถามนี้ทำให้ไป๋ตงสะดุดแทบจะคว่ำหน้าลงกับพื้นดิน
“น้องสาวหากว่าเจ้าบอกว่าคนในอำเภอยากจน พี่ว่าถ้าเจ้าไปเห็นชาวบ้านตามท้องไร่ท้องนาเจ้าจะไม่คิดว่าพวกเขาเป็นยาจกหรอกหรือ”
ไป๋เสวี่ยไม่เข้าใจในสิ่งที่พี่ของตนกล่าวจึงได้เปิดปากของตนถามต่อไปอีก “ยังไงหรือเจ้าคะ”
“เฮ้อ! เอาไว้ข้าจะพาเจ้าไปเห็นเองจะดีกว่า ส่วนคำถามแรกของเจ้าที่สภาพเมืองของเราเป็นอย่างตอนนี้ทั้งหมดล้วนเกิดจากสงครามทั้งสิ้น หลังจบสงครามยังไม่ทันที่ชาวบ้านจะฟื้นตัวดีก็มีหนังสือแจ้งเรียกเก็บภาษีเพิ่มทำให้ตอนนี้ท่านพ่อกำลังปวดเศียรเวียนเกล้าเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เจ้าคิดดูขนาดบ้านเรามีท่านพ่อเป็นขุนนางแม้ว่าจะเป็นเพียงนายอำเภอตัวเล็ก ๆ ก็เถอะ แต่ยังไงก็ยังได้เบี้ยหวัดอีกทั้งยังได้รับธัญพืช ทว่าสำหรับชาวบ้านนั้นย่อมต่างออกไปพวกเขาล้วนแล้วแต่อาศัยกำลังของตนทั้งสิ้น
อีกทั้งยังต้องพึ่งโชคชะตาอย่างเช่นชาวไร่ชาวนาก็ต้องดูว่าปีนี้น้ำจะมากหรือน้อย ส่วนพ่อค้าที่เคยมีก็เหมือนกันเส้นทางการเดินผ่านนั้นย่อมเต็มไปด้วยอันตราย ทั้งจากโจรป่าดินโคลนถล่มเจ้าเองก็รู้ว่าเมืองของเรานั้นห่างไกลมากเพียงใด”
ไป๋เสวี่ยกำลังย่อยข้อมูลที่ตนได้รับมาไปพลางสองเท้าก็เดินตามคนเป็นพี่ไปพร้อมกัน
“อี้ตง เจ้ากำลังจะไปไหนหรือ” เสียงเด็กชายวัยไม่ห่างจากเจ้าของชื่อทำให้สองพี่น้องไป๋หยุดฝีเท้าของตน
“ข้ากำลังจะไปเก็บฟืน เจ้าเล่าจือชิวกำลังจะไปไหน”
ไป๋เสวี่ยลอบพินิจมองคนที่กำลังสนทนากับพี่ชายของตนอย่างละเอียด จื่อชิวคล้ายกับรับรู้ถึงสายตาที่กำลังมองมาทางตนเขาจึงได้มองตอบกลับไป
ดวงตาใสกระจ่างมีแววร่าเริงสดใสคู่นั้นผิดแผกจากเดิมจนเขาเผลอมองสบอยู่ชั่วครู่ “อี้ต๋งข้าไปก่อนนะ”
ไม่รอให้สหายตอบรับเด็กชายก็จ้ำพรวดไปคนละทางกับสองพี่น้องราวกับมีสัตว์ร้ายไล่ล่าอยู่ด้านหลัง
เจ้าว่าเขากลัวบารมีข้าหรือไม่ ผีซิวในรูปลักษณ์ของลูกสิงโตขนทองสื่อสารขึ้นอย่างเย่อหยิ่ง
ก็อาจจะเป็นไปได้นะ ไป๋เสวี่ยผสมโรง
ข้าก็ว่าเช่นนั้น เดินทางกันต่อเถอะวันนี้บิดาอารมณ์ดี ข้าจะล่าเนื้อมาให้บ้านเจ้าได้กินเป็นมื้อเย็น ร่างวูบวาบสีทองผ่านหน้าไป๋ตงไปด้วยความเร็วทำให้สายลมปะทะเข้ากับใบหน้าของเขาเข้าอย่างแรง
“น้องรอง เจ้านั่นจะรีบไปไหน” ไป๋ตงถามขึ้นด้วยความไม่เข้าใจ “พี่ใหญ่เจ้านั่นของพี่มีชื่อนะเจ้าคะ ข้าเรียกเขาว่าผีซิว”
“พี่จำไว้แล้ว”
“ต้องจำให้มั่นนะเจ้าคะ เพราะวันนี้ผีซิวบอกว่าบ้านเราจะมีเนื้อกิน หากพี่จำไม่แม่นระวังจะไม่ได้รับการเหลียวแล” คนเป็นน้องแสร้งขู่ก่อนจะรีบเดินไปด้านหน้าทิ้งให้คนเป็นพี่ผู้ได้ยินคำพูดเมื่อสักครู่อ้าปากค้างตาโต
“เนื้อ!” เสียงของเขาดังก้องไปทั่วทั้งตีนเขา
กว่าคนกลุ่มใหญ่จะเดินป่ากันลงจากภูเขาได้ดวงตะวันก็เริ่มอ่อนแสงลงลับทิวไม้ไปทุกขณะ “ท่านยาย ไหวหรือไม่เจ้าคะ อดทนหน่อยอีกไม่ไกลพวกเราก็จะถึงแล้ว” ไป๋เสวี่ยเอ่ยปลอบหญิงวัยกลางคนผู้อายุมากอย่างเป็นห่วง “ไหว ยายยังไม่แก่มากปานนั้นนะเป่าเปา” แม้บนหน้าผากจะเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ ทว่านางเกาก็ยังคงตอบอย่างอารมณ์ดี สำหรับชายชราที่มีอายุมากก็ได้ไป๋ตงกับเฟยชิวรวมถึงเด็กชายอีกหลายคนช่วยกันพยุง คนเหล่านี้ล้วนแต่มีร่างกายผ่ายผอมเกรงว่าหากมีลมพัดแรงพวกเขาก็คงจะปลิวดั่งใบไม้ถูกปลิดออกจากขั้ว “ท่านตาเหนื่อยหรือไม่ จะนั่งพักก่อนดีไหมขอรับ” ไป๋ตง ถามขึ้นอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นท่าทางอันเหนื่อยหอบของคนที่ตนช่วยเหลือ “บ่าวยังเดินไหวขอรับ คุณชาย
“ท่านแม่ ตอนนี้ท่านเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ พอจะเดินไหวหรือไม่” ไป๋เสวี่ยถามมารดาเลี้ยงหลังจากกลุ่มของพวกเธอเดินย้อนกลับมา “แม่คิดว่าพอไหว” ผู้ถูกถามกัดฟัดตอบ “ข้าว่าไม่ได้แน่ เอาอย่างนี้เถอะเจ้าค่ะ ท่านนั่งบนหลังของผีซิวเถอะ ได้ไหมสหายรัก” ประโยคแรกไป๋เสวี่ยกล่าวกับมารดาก่อนจะบ่ายหน้าไปถามสหายสัตว์เทพที่กำลังเบิกตามองนาง หลังข้า ไม่ได้! แต่ข้ามีอีกตัวที่ดีกว่า จบคำของสัตว์เทพเจ้าตัวก็อ้าปากคำรามเสียงดังจนนกแตกฮือบินขึ้นฟ้า ฉับพลันในทันใดก็มีสายลมหอบหนึ่งพัดมาพร้อมกับการปรากฏร่างของสัตว์ชนิดหนึ่ง “ชงหลง”[1] ใช่! เป็นเจ้านี่แหละภูเขาทางทิศตะวันออกเฉียงใต้เป็นที่อยู่ของพวกมันข้าไปเจอมาด้วยความบังเอิญ สัตว์เทพผู้มีดวงตาสีทับทิมตอบเสียงเนือย “พี่รอง! มันคือตัวอะไร
กระต๊าก! กระต๊าก! ไก่ตัวใหญ่ตีปีกพั่บ พั่บ พุ่งตัวออกมาจากพุ่มไม้ ไป๋ตงที่ตั้งท่ารอเขาได้เงื้อมือขึ้นสูงก่อนลงมืออย่างเฉียบขาด ฉับ! สัตว์โชคร้ายไม่ทันได้ร้องขอชีวิตของเหลวสีแดงสดจากตัวไก่ไหลราวน้ำหลาก “ไก่ ของข้า” เสียงร้องโหยหวนของคนผู้หนึ่งดังขึ้นก่อนที่เจ้าตัวในชุดหนังสัตว์จะโผล่พ้นออกมา ไป๋ตงเปิดปากเมื่อเห็นใบหน้าของชายคนนี้ “เป็นเจ้า” “เจ้า!! เหตุใดถึงเป็นพวกเจ้าอีกแล้วล่ะ” คนป่าถามพลางนั่งยองมองไก่ผู้โชคร้ายด้วยน้ำตานอง ไป๋ตงมองไก่กับเด็กหนุ่มที่เคยเจอด้วยสายตาเรียบเฉย “เจ้าควรฝังร่างไก่ตัวนั้นนะ ที่มันยอมรับกระบี่ของข้าแทนร่างของเจ้า” “มันถึงคราวเคราะห์เองต่างหาก ในเมื่อมันตายแล้ว ข้าคิดว่าแทนที่จะให้มันต้องกลายเ
สองวันถัดมาหลังจากหยูไห่ได้ไปดำเนินการตามที่ไป๋ซวนสั่ง ในวันนี้เขาก็ได้เดินทางมาหาผู้เป็นนายที่ได้ย้ายเข้ามาทำงานที่เรือนแทนที่ว่าการอำเภอ “ใต้เท้านี่คือรายชื่อของชาวบ้านทั้งหมดมีทั้งสิ้นสามร้อยห้าสิบชีวิต แบ่งเป็นหมู่บ้านจงซานแปดสิบชีวิต หมู่บ้านตงซานห้าสิบ หมู่บ้านถงซานหกสิบ หมู่บ้านไห่ซานเก้าสิบ หมู่บ้านไป๋ซานเจ็ดสิบคนขอรับ” “หมู่บ้านไห่ซานคนเยอะกว่าหมู่บ้านอื่นพวกเขายึดอาชีพอะไรอย่างนั้นหรือ” ไป๋ซวนหยิบม้วนไม้ไผ่ออกมาอ่านพลางถามขึ้นด้วยความอยากรู้ “ก็คล้ายกับชาวบ้านทั่วไปนั่นแหละขอรับ ทว่าพื้นที่บริเวณนั้นอยู่ใกล้ป่ามากกว่าที่อื่น ดังนั้นพวกเขาจึงได้ยึดอาชีพหาของป่า แต่หลังจากเมืองของเราได้กลายเป็นแบบนี้พวกเขาก็ได้แต่เก็บของป่ามาประทังชีวิต หากจะล่าสัตว์นั้นยิ่งเป็นไปไม่ได้เพราะส่วนใหญ่ตอนนี้เหลือแต่ผู้หญิง เด็ก และคนชรา”&n
เหอะ! ข้าไม่ง้อเจ้าก็ได้ ช่วงนี้คนที่ข้าพบเจอก็มีไม่มากนักข้าจะลองค่อย ๆ นึก เอ๋! หรือว่าจะเป็นเด็กคนนั้น “พี่ใหญ่ที่ท่านพูดคงจะไม่ใช่หมายถึงเขาหรอกนะเจ้าคะ” ไป๋เสวี่ยไม่ปล่อยผ่านจึงถามสิ่งที่ตนนึกได้ออกไป “อืม เขานั้นแหละ” ไป๋ซวนผู้ฟังการสนทนาของบุตรทั้งสองรู้สึกเกิดความสงสัยและกำลังตั้งใจจะเอ่ยปากถาม ทว่าเขาก็มองเห็นทหารนายหนึ่งขี่ลามาฝุ่นตลบ ทหารนายนั้นรีบกระโดดลงจากสัตว์พาหนะของตนวิ่งมาทางไป๋ซวนหน้าตาแตกตื่นจึงทำให้ชาวบ้านพากันตกใจ “หรือว่ามีข้าศึกบุกมาแล้ว” หนึ่งในกลุ่มคนคาดเดา ครานี้จากที่พวกเขากำลังนั่งสงบก็กลับส่งเสียงฮือราวผึ้งแตกรัง&n
เสียงหาวลากยาวของสัตว์เทพทำให้นกกาที่พากันหลับใหลแตกตื่นพากันแตกฮือบินขึ้นฟ้าส่งเสียงร้องกันดังจ้าละหวั่น กา กา พึ่บ พับ “พวกมันคงคิดว่าแผ่นดินไหวเป็นแน่” “เหอะ! ข้าแค่หาวเพียงหาวเดียวมันยังพากันตกใจถึงเพียงนี้หากว่าเกิดภัยพิบัติขึ้นมาจริงนกใจเสาะพวกนี้คงไม่แคล้วร่วงหล่นจากฟ้าเพราะหัวใจล้มเหลวเป็นแน่” สัตว์เทพตอบโต้สหายผู้อยู่บนหลังของตนอย่างถือดี “จ้า จ้า เจ้าพูดสิ่งใดล้วนถูกต้อง อดทนอีกนิดก็แล้วกันตอนนี้เราเหลือเพียงทิศอุดรภารกิจของเราก็สิ้นสุดสามารถกลับไปนอนเอกเขนก” คนพูดเองก็ตาปรือไม่แพ้กัน “ข้าจะนอน นอน และก็นอน ต่อให้แผ่นฟ้าถล่มหรือว่าบิดาของข้ามาข้าก็จะไม่สนใจ” สัตว์เทพสีทองเร่งฝีเท้าเพื่อให้ถึงเป้าหมายจนลมเย็นตีเข้าหน้าของไป๋เสวี่ย&nbs







