Home / แฟนตาซี / ข้านี่แหละคุณหนูผู้ร้ายกาจ / ตอนที่ 7 ข้าเป็นทายาทของถงหวีไม่รู้หรือ

Share

ตอนที่ 7 ข้าเป็นทายาทของถงหวีไม่รู้หรือ

อากาศบนภูเขาเริ่มเย็นลงทุกขณะไป๋ตงเริ่มกระวนกระวายด้วยน้องน้อยยังไม่กลับมา

            “นี่!!” คนภายในหลุมส่งเสียงเรียก

            “เจ้ามีอะไร”

            “ข้ายอมบอกเรื่องของตนแล้ว เจ้าช่วยดึงข้าขึ้นไปก่อนได้หรือไม่ อยู่ในนี้ข้าอึดอัดยิ่งนัก”

            ไป๋ตงทำสีหน้าลังเลทั้งนี้ไม่ใช่เพราะว่าเจ้าตัวเชื่อใจคนป่า แต่ทว่าใจเขาเป็นห่วงน้องสาวเสียมากกว่า

            แต่ถ้าหากปล่อยให้คนผู้นี้อยู่ในหลุมต่อไปก็เกรงว่าเขาอาจจะเกิดอันตราย เฮ้อ! ข้าควรทำยังไงดี

            “พี่ใหญ่! ข้ากลับมาแล้ว” เสียงตะโกนก่อนตัวของผู้ที่ตนกำลังรอคอยดังขึ้นก่อนจะปรากฏกายออกมา ทำให้ไป๋ตงผู้กำลังคิดมากรีบหันหน้าไปทางเสียงที่ได้ยิน

            “น้องรอง นะ..นั่นทำไมมันมากถึงเพียงนั้น” ใบหน้าของไป๋ตงเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก

            “แค่นี้นับว่าเล็กน้อยนะเจ้าคะ ผีซิวล่าได้เยอะมากกว่านี้อีก แต่ว่าข้าได้แบ่งให้พี่สาวที่เจอกับครอบครัวของนางส่วนหนึ่ง

พี่ใหญ่รู้ไหมพวกเขาอยู่กันอย่างลำบากมาก” ไป๋เสวี่ยส่งเสียงเจื้อยแจ้วเล่าเรื่องที่ตัวเองประสบมาโดยเจตนาให้คนที่อยู่ในหลุมดักสัตว์ได้ยิน

            “เจ้าไปที่แห่งนั้นมาได้ยังไง” น้ำเสียงของเขาแสดงความร้อนใจในตอนนี้เจ้าตัวเริ่มอยู่ไม่นิ่งเสียแล้ว

            “เจ้ารู้จักคนพวกนั้น” ไป๋ตงถามด้วยความสงสัย

            “มะ..” “ข้าให้เจ้าทบทวนดูใหม่ว่าควรตอบเช่นไร” ไป๋เสวี่ยแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงแฝงแววข่มขู่

            “ก็ได้ข้ายอมรับ คนเหล่านั้นมีแม่และพี่สะใภ้ของข้ารวมถึงหลาน ๆ ด้วย ส่วนที่เหลือก็เป็นบ่าวที่ติดตามกันมา” เมื่อเขาได้พูดออกไปคล้ายว่าความอึดอัดก็พลันเบาบางลงไปด้วย

            “ก็แค่นั้น พี่ใหญ่ท่านช่วยดึงเขาขึ้นมาเถอะเจ้าค่ะ”

            “เรื่องของเจ้าเป็นมายังไงกันแน่” ไป๋ตงอยากรู้ใจแทบขาดจึงได้ถามขึ้นทันทีเมื่อช่วยเหลือเด็กหนุ่มคนนี้ขึ้นมาจนถึงปากหลุม

            “ข้ากับครอบครัวอพยพมาจากแคว้นอื่น พวกเรารอนแรมหนีสงครามกันมาจนกระทั่งถึงภูเขาลูกนี้ ให้ข้ากินก่อนไม่ได้เหรอข้าหิวจนตาลายไปหมดแล้วแม้น้ำสักหยดก็ยังไม่มีตกถึงท้อง” คนพูดกลืนน้ำลายเมื่อได้กลิ่นไก่ย่างที่ไป๋เสวี่ยกำลังพลิกไปมา

            “น้องสาวเจ้าก่อไฟเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่”

            คนป่ามองหน้าของไป๋ตงด้วยดวงตาที่ถูกผมปรกลงมา “มันใช่ประเด็นไหมแค่จุดไฟเอง หากนางทำไม่ได้ก็นับว่าไม่สมควรเกิดเป็นหญิงแล้วละ หลานสาวของข้ายังก่อเป็นตั้งแต่อายุสี่ขวบ” คำพูดของเขาในช่วงท้ายราวกับโอ้อวด

            “เหอะ! ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็หิ้วท้องไปให้หลานสาวของเจ้าก่อไฟแล้วย่างไก่ให้กินดีไหม” ไป๋เสวี่ยตอบโต้ทันควัน

            เด็กหนุ่มมองไก่ตาละห้อย พร้อมกันนั้นเขาก็คิดว่าเด็กคนนี้ช่างอารมณ์ร้อนเสียจริง “เจ้าก็อย่าใจร้ายกับข้านักเลย กว่าข้าจะเดินกลับถึงที่พักเห็นทีว่าคงจะเป็นลมและหลังจากนั้นอาจจะโดนหมาป่าคาบไปกินเป็นอาหารร่างกายคงเหลือแต่ซาก”

            เด็กหญิงเพียงปรายตามองเขาก่อนทำเป็นหูทวนลม “รอก่อนยังไม่ได้ที่” เด็กหญิงพูดเสียงแข็ง

            “อืม” เด็กหนุ่มแหวกผมของตนที่ปิดหน้าปิดตาตอบตกลงอย่างดีใจ ส่วนไป๋ตงรู้สึกทนไม่ได้ที่เห็นคนผู้นี้ในสภาพราวยาจก

            “ข้าว่าเจ้าเกล้าผมให้เรียบร้อยสักหน่อยดีไหม”

            “จะให้ดีข้าว่าเจ้าไปอาบน้ำล้างตัวตรงลำธารเลยจะดีกว่า” ไป๋เสวี่ยกล่าวอย่างเห็นพ้องกับความคิดของพี่ชาย

            “ข้ายังไม่ได้บ้าถึงเพียงนั้นนะ น้ำในลำธารเย็นจะตายให้ข้าลงไปอาบมีหวังได้แข็งตายเป็นแน่” เขาแย้งขึ้นทันที

            “เฮ้อ! เจ้าอยู่ในป่าแห่งนี้มานานแค่ไหนแล้ว ข้าถามจริงเจ้าเคยสำรวจมันบ้างหรือไม่” ไป๋เสวี่ยพูดพลางถอนใจ

            “นานแล้วแต่จำไม่ได้ว่านานเท่าไหร่ ว่าแต่เจ้าถามถึงเรื่องสำรวจป่าทำไม สัตว์ร้ายในป่ามีเยอะแยะ อีกทั้งครอบครัวข้าก็พากันสูญหาย ไหนเลยข้ายังจะกล้าออกท่องป่า” คำตอบนี้ของเขาค่อนข้างสมเหตุสมผล

            “เดินลึกขึ้นไปทางเหนือมีตาน้ำพุร้อนแต่ตรงนั้นยังไม่สามารถอาบได้เพราะมันร้อนจนเกินไปอาจทำให้ร่างกายของเจ้าเปื่อยยุ่ยซึ่งข้าคิดว่าคงไม่น่าดู แต่ถัดลงมาสักสองลี้จะมีบ่อแห่งหนึ่ง น้ำในนั้นสามารถแช่ตัวได้อย่างสบายทีเดียวดังนั้นเจ้าควรจะไปชำระกายที่นั่น”

            ไป๋ตงใบหน้าเริ่มซีดขาวหลังจากฟังสิ่งที่น้องสาวพูดออกมา “เป่าเปาเหตุใดเจ้าถึงกล้าเข้าป่าลึก”

            “พี่ใหญ่เจ้าคะ ข้าหาได้ไปคนเดียวเสียเมื่อไหร่ มีผีซิวไปด้วยใครจะกล้ามารังแกข้าได้ หากไม่เชื่อพี่ก็ลองดูสัตว์ที่จับมาได้เอาเถอะ” ไป๋เสวี่ยพูดขึ้นพลางพยักเพยิดหน้าไปยังซากไก่ซากปลา และกระต่ายหลายตัว อีกทั้งยังมีลูกหมูป่าที่ขนาดกำลังพอดีอีกหนึ่งตัวซึ่งมันน่าจะพลัดหลงจากฝูง

            “ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็เถอะทว่าคราวหลังเจ้าอย่าได้เสี่ยงอันตรายเช่นนี้อีก” ไป๋ตงยังอยากจะพูดอีกหลายคำ

            เพียงแต่ในตอนนี้ปากของเขาได้ถูกน่องไก่จากฝีมือคนเป็นน้องฉีกอุดเอาไว้เสียสิ้น

            “พี่ใหญ่รีบกินเถอะเนื้อของมันนุ่มมากเลย เชื่อข้า” คนตัวเล็กกว่าฉีกยิ้มอย่างไม่รู้สึกผิด

            ส่วนเด็กหนุ่มคนป่านั้นไม่ต้องพูดถึงเพราะเจ้าตัวได้ฉีกกินเนื้อไก่ไปมากกว่าครึ่งตัวแล้วด้วยความหิวโหย

            “เจ้าค่อย ๆ กินก็ได้หากติดคอขึ้นมาจะลำบากแล้วนี่ก็กระบอกน้ำ” ไป๋ตงพูดหลังจากกลืนเนื้อไก่ลงคอ

            “อืม” เด็กคนนี้อยากจะตอบรับทว่าก็จนใจทั้งนี้เป็นเพราะเจ้าตัวกำลังเคี้ยวเนื้อไก่อยู่เต็มปาก

            “เจ้าบอกว่ามีบ่าวรับใช้ตามมาด้วยแสดงว่าเจ้าย่อมเป็นคุณชายมาจากไหนสักตระกูลนะสิ จุ๊ ๆ ทว่าดูท่าทางการกินของเจ้าแล้วดูยังไงก็ห่างไกลนัก” ไป๋เสวี่ยไม่วายเอ่ยตำหนิเขาอย่างไม่ไว้หน้า

            “ข้าไม่สนคำตำหนิของเด็กอย่างเจ้าหรอก ข้าหิวก็ต้องกินนะสิ แล้วไม่รู้ว่าอีกกี่วันถึงจะได้กินอย่างนี้อีก” เนื้อไก่ในมือเริ่มฝืดคอ

            “เจ้าไม่ต้องทำหน้าเศร้าได้ไหม ข้าก็เพียงกล่าวหยอกเล่นเท่านั้นเอง ส่วนเรื่องที่เจ้ากังวลนั้นข้าจะพยายามหาทางช่วย”

            แววตาของเด็กหนุ่มเริ่มมีความหวังเมื่อได้ยินประโยคนี้ของเด็กหญิงผู้มีอายุน้อยกว่า

            “น้องรองเจ้าจะทำอันใด”

            “ข้าตั้งใจจะช่วยพวกเขาเจ้าค่ะ พวกเขาจะได้ไม่ต้องเป็นคนป่าแบบนี้”

            “เจ้าจะช่วยอย่างไรในเมื่อบ้านเราเองก็มีฐานะลำบากไม่ต่างจากพวกเขา อีกอย่างการที่จะรับรองฐานะให้คนป่าจำต้องให้พวกเขาลงนามเป็นทาสกับครอบครัวเรา ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็จะถูกทางการจับไปขายให้เป็นทาสแก่ผู้อื่นอยู่ดี” ไป๋เสวี่ยฟังสิ่งที่พี่ชายกล่าวออกมาด้วยใบหน้าฉงน

            “ทำไมล่ะเจ้าคะ ให้พวกเขาเป็นคนในหมู่บ้านไม่ต้องเป็นทาสใครไม่ได้หรือ” ใบหน้าของคนถามเต็มไปด้วยความสนเท่ห์

            “ไม่ได้หรอกทั้งนี้เป็นเพราะพวกเขาเป็นคนต่างแคว้น ยิ่งตอนนี้สงครามเพิ่งจะสิ้นสุดทางการอาจจะมองว่าพวกเขาเป็นสายลับ”

            “ถ้าอย่างนั้นข้าจะช่วยเขาได้ยังไง” สมองเล็ก ๆ ของไป๋เสวี่ยพยายามหาทางออก

            “เรื่องนี้พี่ว่าเจ้าลองนำไปปรึกษาท่านปู่กับท่านพ่อดีหรือไม่” ไป๋ตงเองก็อดเห็นใจชะตากรรมของคนเหล่านี้ไม่ได้เสนอ

            ดังนั้นหลังจากสองพี่น้องส่งสหายคนป่าที่ยังไม่รู้จักชื่อแซ่กลับเข้าป่าด้านในคนทั้งคู่กับสัตว์เทพจึงได้พากันเดินลงจากภูเขาโดยที่กระบุงของแต่ละคนบรรจุทั้งเนื้อและผักป่าเอาไว้

            เมื่อถึงเนินเขาสายตาทั้งสามคู่ก็มองเห็นคนกลุ่มหนึ่งที่กำลังรวมตัวกันมีคบไฟในมือที่ยังไม่ได้จุดอยู่หลายอัน

            “พวกเจ้ากลับมาแล้ว เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือไม่ทำไมถึงได้กลับมากันเอาป่านนี้” ไป๋ซวนสาวเท้าเดินเข้าไปหาบุตรชายหญิงถามพลางสำรวจร่างกายของลูกตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า

            “ท่านพ่อ พวกเราปลอดภัยดีขอรับ เพียงแต่ข้ากับน้องรองช่วยกันเก็บฟืนกับผักป่านานไปหน่อยก็เลยกลับลงมาช้า” ไป๋ตงไม่ได้ตอบคำถามตามตรงเนื่องจากในตอนนี้มีคนนอกอยู่จำนวนมากแม้ว่าคนพวกนี้จะเป็นทหารในหน่วยของบิดาก็ตาม

            “คราวหน้าคราวหลังเจ้าอย่าได้เป็นเช่นนี้อีก”

            “ขอรับ/เจ้าค่ะ”

            เมื่อคนที่ต้องการตามหากลับมาแล้วไป๋ซวนจึงได้เอ่ยขอบคุณกับคนในที่ว่าการของตน

            “ขอบคุณพี่น้องทั้งหลายเอาไว้วันหน้าข้าจะเลี้ยงตอบแทน”

            “ท่านนายอำเภอเกรงใจเกินไปแล้วขอรับ ถ้าอย่างนั้นพวกเราพี่น้องขอตัวก่อน” นายทหารผู้เป็นหัวหน้าของคนเหล่านี้ประสานมือคารวะเขาก่อนจะสั่งให้ทุกคนแยกย้าย

            แม้ว่าไป๋ซวนจะเป็นนายอำเภอของเมืองนี้ก็ตาม ทว่าอำนาจส่วนใหญ่รวมถึงคนที่ทำงานนั้นล้วนเป็นของเจ้าเมืองแทบทั้งสิ้นดังนั้นเขาจึงค่อนข้างทำอะไรลำบาก

            ไม่ใช่ว่าเจ้าตัวไม่เคยคิดลาออกเพียงแต่หากลาออกแล้วเขากับครอบครัวจะไปอยู่ที่ไหน เป็นเพราะเรื่องนี้เขาจึงจำต้องอยู่อย่างอดทนและหวังว่าสักวันจะหลุดพ้นจากความอึดอัดนี้

            “ท่านพ่อ” น้ำเสียงหวานใสของลูกสาวปลุกให้เขาตื่นจากภวังค์

            “ทำไมหรือลูก” เขาถามเสียงอ่อนใบหน้าอันอ่อนล้าพลันคลายลงเมื่อได้เห็นรอยยิ้มของคนเป็นลูก

            “กลับเรือนกันเถอะเจ้าค่ะ” มือเล็กสอดรับกับมือใหญ่ของบิดาทำให้คนเป็นพ่อเริ่มมีกำลังใจมากขึ้น

            “อืม”

            ภายในบ้านดินขนาดห้าห้องในยามนี้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต่างมองไก่กับกระต่ายที่มีอยู่หลายตัวด้วยสายตาตื่นตะลึง

            “พี่รอง นี่เป็นฝีมือของผีซิวจริงเหรอ” พ้นคำถามนี้สัตว์เทพผู้สง่างามก็ส่งเสียงคำรามใส่หน้าของเขาจนทำให้เจ้าตัวยืนแทบไม่อยู่ด้วยความตกใจ

            “ขะ..ข้าขอโทษเพียงแต่ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะเก่งกาจเยี่ยงนี้ทั้งที่ดู ๆ ไปเจ้าตัวเล็กกว่าลูกหมูตัวนั้นด้วยซ้ำ” ไป๋เทียนพูดเสียงสั่น

            สัตว์เทพสะบัดหน้าหนีก่อนที่จะนั่งหมอบลงเชิดศีรษะของตนขึ้น ซึ่งการกระทำเช่นนี้แปลได้ว่าเจ้าตัวค่อนข้างพอใจกับคำพูดของเด็กชายตัวเหม็น

            “คราวหลังเจ้าก็ระวังคำพูดหน่อยก็แล้วกัน มาเถอะเดี๋ยวข้าจะตุ๋นกระต่ายปลอบใจ”

            “ดี ดี ปู่จะรอชิมฝีมือหลาน ส่วนไก่กับเนื้อหมูพวกนี้เห็นทีว่าพวกเราคงจะต้องจัดการทำความสะอาด หาไม่เห็นทีว่าพรุ่งนี้คงจะมีกลิ่นจากของเสียที่อยู่ด้านใน” ไม่มีใครค้านคำพูดของชายชรา

            “ท่านปู่เก็บเครื่องในของมันเอาไว้นะเจ้าคะ ทั้งหมูทั้งไก่เลย”

            “ทำไมเหรอ” เหมยกุ้ยถามอย่างสงสัย

            “มันกินได้เจ้าค่ะ เชื่อข้าเถอะ”

            “ได้ แม่จะเก็บไว้ให้เจ้าเอง แต่จะต้องทำอย่างไรนั้นคงต้องรบกวนเจ้าให้มาบอกเสียแล้ว”

            “ได้เลยเจ้าค่ะ”

            “พี่รองว่าแต่ท่านทำอาหารเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่กันหรือว่าที่แห่งนั้นสอนท่านมาด้วยอย่างนั้นเหรอ” ไป๋เทียนเริ่มเป็นเจ้าหนูจามัยเอ่ยอย่างใคร่รู้

            “ข้าเป็นทายาทของเทพถงหวีมาเกิดเจ้าไม่รู้หรือ” คนตอบพูดไปส่งเสียงหัวเราะเสียงดังอย่างอารมณ์ดีเมื่อเห็นใบหน้าของคนเป็นน้อง

            ไป๋เทียนยกมือเกาศีรษะด้วยความไม่เข้าใจและเจ้าตัวก็ยิ่งทวีความอยากรู้

            “พี่รองเทพถงหวีคือผู้ใด” คนตัวเล็กพยุงไม้เท้าเดินตามคนเป็นพี่ไปทางโรงครัวราวกับเป็นหางเล็ก ๆ ของนางก็ไม่ปาน

            “เอาไว้ข้าจะเล่าให้ฟังในภายหลัง”

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ข้านี่แหละคุณหนูผู้ร้ายกาจ   ตอนที่ 17 เจ้าไม่หิว?

    กว่าคนกลุ่มใหญ่จะเดินป่ากันลงจากภูเขาได้ดวงตะวันก็เริ่มอ่อนแสงลงลับทิวไม้ไปทุกขณะ “ท่านยาย ไหวหรือไม่เจ้าคะ อดทนหน่อยอีกไม่ไกลพวกเราก็จะถึงแล้ว” ไป๋เสวี่ยเอ่ยปลอบหญิงวัยกลางคนผู้อายุมากอย่างเป็นห่วง “ไหว ยายยังไม่แก่มากปานนั้นนะเป่าเปา” แม้บนหน้าผากจะเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ ทว่านางเกาก็ยังคงตอบอย่างอารมณ์ดี สำหรับชายชราที่มีอายุมากก็ได้ไป๋ตงกับเฟยชิวรวมถึงเด็กชายอีกหลายคนช่วยกันพยุง คนเหล่านี้ล้วนแต่มีร่างกายผ่ายผอมเกรงว่าหากมีลมพัดแรงพวกเขาก็คงจะปลิวดั่งใบไม้ถูกปลิดออกจากขั้ว “ท่านตาเหนื่อยหรือไม่ จะนั่งพักก่อนดีไหมขอรับ” ไป๋ตง ถามขึ้นอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นท่าทางอันเหนื่อยหอบของคนที่ตนช่วยเหลือ “บ่าวยังเดินไหวขอรับ คุณชาย

  • ข้านี่แหละคุณหนูผู้ร้ายกาจ   ตอนที่ 16 กำจัดเหาง่ายนิดเดียว (หรือเปล่า)

    “ท่านแม่ ตอนนี้ท่านเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ พอจะเดินไหวหรือไม่” ไป๋เสวี่ยถามมารดาเลี้ยงหลังจากกลุ่มของพวกเธอเดินย้อนกลับมา “แม่คิดว่าพอไหว” ผู้ถูกถามกัดฟัดตอบ “ข้าว่าไม่ได้แน่ เอาอย่างนี้เถอะเจ้าค่ะ ท่านนั่งบนหลังของผีซิวเถอะ ได้ไหมสหายรัก” ประโยคแรกไป๋เสวี่ยกล่าวกับมารดาก่อนจะบ่ายหน้าไปถามสหายสัตว์เทพที่กำลังเบิกตามองนาง หลังข้า ไม่ได้! แต่ข้ามีอีกตัวที่ดีกว่า จบคำของสัตว์เทพเจ้าตัวก็อ้าปากคำรามเสียงดังจนนกแตกฮือบินขึ้นฟ้า ฉับพลันในทันใดก็มีสายลมหอบหนึ่งพัดมาพร้อมกับการปรากฏร่างของสัตว์ชนิดหนึ่ง “ชงหลง”[1] ใช่! เป็นเจ้านี่แหละภูเขาทางทิศตะวันออกเฉียงใต้เป็นที่อยู่ของพวกมันข้าไปเจอมาด้วยความบังเอิญ สัตว์เทพผู้มีดวงตาสีทับทิมตอบเสียงเนือย “พี่รอง! มันคือตัวอะไร

  • ข้านี่แหละคุณหนูผู้ร้ายกาจ   ตอนที่ 15 จำต้องตกใจขนาดนี้?

    กระต๊าก! กระต๊าก! ไก่ตัวใหญ่ตีปีกพั่บ พั่บ พุ่งตัวออกมาจากพุ่มไม้ ไป๋ตงที่ตั้งท่ารอเขาได้เงื้อมือขึ้นสูงก่อนลงมืออย่างเฉียบขาด ฉับ! สัตว์โชคร้ายไม่ทันได้ร้องขอชีวิตของเหลวสีแดงสดจากตัวไก่ไหลราวน้ำหลาก “ไก่ ของข้า” เสียงร้องโหยหวนของคนผู้หนึ่งดังขึ้นก่อนที่เจ้าตัวในชุดหนังสัตว์จะโผล่พ้นออกมา ไป๋ตงเปิดปากเมื่อเห็นใบหน้าของชายคนนี้ “เป็นเจ้า” “เจ้า!! เหตุใดถึงเป็นพวกเจ้าอีกแล้วล่ะ” คนป่าถามพลางนั่งยองมองไก่ผู้โชคร้ายด้วยน้ำตานอง ไป๋ตงมองไก่กับเด็กหนุ่มที่เคยเจอด้วยสายตาเรียบเฉย “เจ้าควรฝังร่างไก่ตัวนั้นนะ ที่มันยอมรับกระบี่ของข้าแทนร่างของเจ้า” “มันถึงคราวเคราะห์เองต่างหาก ในเมื่อมันตายแล้ว ข้าคิดว่าแทนที่จะให้มันต้องกลายเ

  • ข้านี่แหละคุณหนูผู้ร้ายกาจ   ตอนที่ 14 ทะ..ท่านเป็นคนลามก

    สองวันถัดมาหลังจากหยูไห่ได้ไปดำเนินการตามที่ไป๋ซวนสั่ง ในวันนี้เขาก็ได้เดินทางมาหาผู้เป็นนายที่ได้ย้ายเข้ามาทำงานที่เรือนแทนที่ว่าการอำเภอ “ใต้เท้านี่คือรายชื่อของชาวบ้านทั้งหมดมีทั้งสิ้นสามร้อยห้าสิบชีวิต แบ่งเป็นหมู่บ้านจงซานแปดสิบชีวิต หมู่บ้านตงซานห้าสิบ หมู่บ้านถงซานหกสิบ หมู่บ้านไห่ซานเก้าสิบ หมู่บ้านไป๋ซานเจ็ดสิบคนขอรับ” “หมู่บ้านไห่ซานคนเยอะกว่าหมู่บ้านอื่นพวกเขายึดอาชีพอะไรอย่างนั้นหรือ” ไป๋ซวนหยิบม้วนไม้ไผ่ออกมาอ่านพลางถามขึ้นด้วยความอยากรู้ “ก็คล้ายกับชาวบ้านทั่วไปนั่นแหละขอรับ ทว่าพื้นที่บริเวณนั้นอยู่ใกล้ป่ามากกว่าที่อื่น ดังนั้นพวกเขาจึงได้ยึดอาชีพหาของป่า แต่หลังจากเมืองของเราได้กลายเป็นแบบนี้พวกเขาก็ได้แต่เก็บของป่ามาประทังชีวิต หากจะล่าสัตว์นั้นยิ่งเป็นไปไม่ได้เพราะส่วนใหญ่ตอนนี้เหลือแต่ผู้หญิง เด็ก และคนชรา”&n

  • ข้านี่แหละคุณหนูผู้ร้ายกาจ   ตอนที่ 13 ไม่รู้จะตกใจอะไรก่อนดี

    เหอะ! ข้าไม่ง้อเจ้าก็ได้ ช่วงนี้คนที่ข้าพบเจอก็มีไม่มากนักข้าจะลองค่อย ๆ นึก เอ๋! หรือว่าจะเป็นเด็กคนนั้น “พี่ใหญ่ที่ท่านพูดคงจะไม่ใช่หมายถึงเขาหรอกนะเจ้าคะ” ไป๋เสวี่ยไม่ปล่อยผ่านจึงถามสิ่งที่ตนนึกได้ออกไป “อืม เขานั้นแหละ” ไป๋ซวนผู้ฟังการสนทนาของบุตรทั้งสองรู้สึกเกิดความสงสัยและกำลังตั้งใจจะเอ่ยปากถาม ทว่าเขาก็มองเห็นทหารนายหนึ่งขี่ลามาฝุ่นตลบ ทหารนายนั้นรีบกระโดดลงจากสัตว์พาหนะของตนวิ่งมาทางไป๋ซวนหน้าตาแตกตื่นจึงทำให้ชาวบ้านพากันตกใจ “หรือว่ามีข้าศึกบุกมาแล้ว” หนึ่งในกลุ่มคนคาดเดา ครานี้จากที่พวกเขากำลังนั่งสงบก็กลับส่งเสียงฮือราวผึ้งแตกรัง&n

  • ข้านี่แหละคุณหนูผู้ร้ายกาจ   ตอนที่ 12 เรื่องปากท้องสำคัญที่สุด

    เสียงหาวลากยาวของสัตว์เทพทำให้นกกาที่พากันหลับใหลแตกตื่นพากันแตกฮือบินขึ้นฟ้าส่งเสียงร้องกันดังจ้าละหวั่น กา กา พึ่บ พับ “พวกมันคงคิดว่าแผ่นดินไหวเป็นแน่” “เหอะ! ข้าแค่หาวเพียงหาวเดียวมันยังพากันตกใจถึงเพียงนี้หากว่าเกิดภัยพิบัติขึ้นมาจริงนกใจเสาะพวกนี้คงไม่แคล้วร่วงหล่นจากฟ้าเพราะหัวใจล้มเหลวเป็นแน่” สัตว์เทพตอบโต้สหายผู้อยู่บนหลังของตนอย่างถือดี “จ้า จ้า เจ้าพูดสิ่งใดล้วนถูกต้อง อดทนอีกนิดก็แล้วกันตอนนี้เราเหลือเพียงทิศอุดรภารกิจของเราก็สิ้นสุดสามารถกลับไปนอนเอกเขนก” คนพูดเองก็ตาปรือไม่แพ้กัน “ข้าจะนอน นอน และก็นอน ต่อให้แผ่นฟ้าถล่มหรือว่าบิดาของข้ามาข้าก็จะไม่สนใจ” สัตว์เทพสีทองเร่งฝีเท้าเพื่อให้ถึงเป้าหมายจนลมเย็นตีเข้าหน้าของไป๋เสวี่ย&nbs

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status