Share

บทที่ 6

“คุณหนู คุณชายรองเจ้าคะ นายท่านผู้เฒ่าให้มาตามพวกท่านไปกินอาหารเช้าเจ้าค่ะ” เสี่ยวทู่ตัวน้อยตะโกนพร้อมกับเคาะประตูอยู่ด้านนอกหลังจากเวลาผ่านไปมากกว่าหนึ่งชั่วยาม

ซึ่งครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่สองพี่น้องสนทนากันอย่างสันติ “รู้แล้ว เดี๋ยวข้ากับน้องสามตามไป” ไป๋เสวี่ยตอบกลับพลางลุกจากม้านั่งและด้วยความหวังดีนางจึงตั้งใจจะเข้าไปช่วยพยุงน้องชายให้ลุกขึ้นยืน

ทว่า ฟึบ! ดวงตาของเด็กหญิงเบิกกว้างด้วยความตกตะลึงหลังจากที่น้องชายรวบชายชุดคลุมตัวยาวเข้าหาตัวโดยที่ไม่ทันระวัง

“น้องเล็ก! แม้ว่าเจ้าเพิ่งจะอายุหกรอบทว่ายังไงก็นับว่ารู้ความแล้วเหตุใดถึงไม่ใส่กางเกงให้เรียบร้อย”

“กางเกงอันใดของท่าน” ไป๋เทียนย้อนด้วยสีหน้าฉงนพลางวางเท้าลงบนพื้น

สำหรับไป๋เสวี่ยนั้นนางคล้ายโดนค้อนทุบหัว ปากของนางนั้นเดี๋ยวอ้าเดี๋ยวหุบราวกับปลากำลังขาดอากาศหายใจ

ไป๋เทียนหาได้สนใจคนเป็นพี่หลังจากเขาสวมรองเท้าที่ถักขึ้นมาอย่างหยาบจากฟางข้าวแห้งเขาก็จัดเสื้อคลุมตัวยาวของตนให้เข้าที่เพื่อความเป็นระเบียบ

ไป๋เสวี่ยมองน้องชายด้วยสายตาขึ้นลงอย่างพินิจพิเคราะห์ ก็เห็นว่าพ้นชายเสื้อยาวลงมาก็มีขากางเกงสีซีดนางจึงขมวดคิ้วมุ่น เมื่อครู่ข้าไม่ได้ตาฝาดแน่ ๆ ข้าเห็นก้นของเจ้าเด็กคนนี้ชัด ๆ แล้วทำไมตอนนี้ถึงมีกางเกงแล้วล่ะ เจ้าตัวขบคิด

“ท่านเป็นอะไรหรือว่าหิวจนความคิดเลอะเลือน” วาจาเผ็ดร้อนของคนเป็นน้องหาได้ทำให้ไป๋เสวี่ยโกรธเคืองแต่อย่างใด

พอสองพี่น้องพ้นประตูห้องนอนออกมาได้ไป๋เสวี่ยก็มองเห็นเสื้อผ้าที่กำลังแขวนอยู่กลางลานโล่ง

พลันดวงตาของนางก็สบเข้ากับของสิ่งหนึ่งที่มีรูปร่างคล้ายกางเกงทว่ามันมีเพียงแค่ช่วงท่อนขากับปลายเชือกที่ทำจากผ้าผูกเอาไว้กับราวไม้ไผ่ที่มีหลากหลายขนาด

“ท่านมองอะไร?” คนเป็นน้องถามอย่างสงสัยเมื่อเห็นพี่สาวมองไปทางราวตากผ้าอย่างนิ่งงัน

“เจ้าใส่แบบนี้เหรอ”

“หืม?” ไป๋เทียนแสดงสีหน้างุนงง

“ข้าหมายถึงว่าเจ้าใส่แบบนี้ไว้ด้านในก่อนจะสวมเสื้อทับใช่หรือไม่” ไป๋เสวี่ยเดินมาจับชายกางเกงเปิดเป้าที่กวัดแกว่งตามแรงลมถามขึ้นใหม่

“ใช่ แต่ก่อนท่านก็ใส่แบบนี้นะทว่าท่านไม่ชอบก็เลยให้ท่านแม่เย็บขึ้นมาให้ใหม่ซึ่งท่านไม่รู้หรอกว่ามันเปลืองผ้ามากขนาดไหน” เขาตอบพร้อมกับพ่นลมออกมาทางจมูกอย่างอัดอั้น

“กางเกงก็ต้องเย็บปิดทั้งหมดสิ ไม่อย่างนั้นจะมีประโยชน์อะไร เจ้าอย่าบอกนะว่าทุกคนในบ้านก็ใส่กันแบบนี้” ไป๋เสวี่ยโต้ขึ้นอย่างตกใจ

“ท่านจะตกใจอะไร ไม่เพียงแต่บ้านของพวกเราเท่านั้นหรอกเพราะแม้แต่ชาวบ้านรวมถึงขุนนางก็ใส่กันแบบนี้ทั้งนั้นแหละ ข้าว่าท่านคงป่วยจนหัวได้รับความกระทบกระเทือนเป็นแน่ พี่เสี่ยวทู่ท่านรีบไปพาพี่รองเข้ามาเถอะหากตากลมเย็นเกิดเจ็บป่วยขึ้นมาอีกจะลำบาก”

แม้ว่าไป๋เสวี่ยจะเคยรู้มาบ้างว่าสมัยโบราณทั้งหญิงชายนิยมใส่กางเกงเปิดเป้าแต่จะให้เธอใส่แบบนี้ด้วยเห็นทีว่าคงจะไม่ไหว

ภายในห้องกินข้าวในตอนนี้บรรดาสมาชิกในครอบครัวต่างพากันนั่งลงเรียบร้อยยกเว้นเพียงบ่าวตัวน้อยเสี่ยวทู่ที่ยืนหลบมุมอย่างนิ่งเงียบ

“พี่ใหญ่ ท่านไม่รู้สึกเย็นวาบหรือว่าแปลกประหลาดบ้างเหรอ” คำถามไม่มีปี่มีขลุ่ยของน้องสาวที่นั่งข้างกันทำให้ไป๋ตงเงยหน้ามองนางด้วยแววตาสนเท่ห์

“ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ ท่านกินต่อเถอะ”

สายตาของเด็กหญิงมองอาหารบนโต๊ะลอบถอนหายใจยิ่งเมื่อนางเห็นสภาพของคนในครอบครัวอย่างชัดเจนเจ้าตัวก็ยิ่งรู้สึกหม่นเศร้า

โจ๊กข้าวฟ่างที่มีเมล็ดข้าวอยู่เพียงหยิบมือซึ่งส่วนใหญ่มีแต่น้ำกับผักดองที่วางอยู่ในถ้วยก็ให้รู้สึกว่าชีวิตในชาตินี้ช่างน่าเวทนามากกว่าในชีวิตก่อนหน้าเสียเหลือเกิน

ทว่ายามเมื่อนางได้เห็นใบหน้าของปู่เจ้าตัวกลับอิ่มเอมใจ “ท่านปู่ สักวันข้าจะทำให้ครอบครัวของพวกเรากินอาหารดี ๆ ที่แม้แต่ในวังก็เทียบไม่ได้” คำพูดของนางเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ

ไป๋เทียนเผลอปล่อยถ้วยหม้อดินของตนออกจากมือด้วยความตกใจเช่นเดียวกับไป๋ตงและผู้ใหญ่อีกสามชีวิตที่เหลือ

“เป่าเปา คำพูดเมื่อสักครู่นี้เจ้าอย่าได้เที่ยวพูดออกไปอย่างเด็ดขาด หาไม่คนจะคิดว่าเจ้าไม่เคารพเบื้องสูง” ไป๋ซวนกล่าวกำชับเสียงเครียด

“ฟังที่พ่อเจ้าพูดนะหลานรัก แต่ทว่าปู่ก็เชื่อมั่นว่าเจ้านั้นทำได้” ด้วยชายชราเกรงว่าหลานสาวจะน้อยใจเจ้าตัวจึงได้เอ่ยออกมาเช่นนี้

“ข้ารู้แล้วเจ้าค่ะ ข้าฟังท่านพ่อ แต่เรื่องใดที่ออกจากปากของข้าแล้วไม่มีทางที่เสี่ยวเป่าคนนี้จะทำไม่ได้” คำพูดของเด็กหญิงยังคงเปี่ยมล้นไปด้วยความหนักแน่นเช่นเดิม

“พี่รอง ท่านพูดอย่างกับว่าท่านเคยเห็นอาหารของท่านอ๋อง ข้าไม่ได้ไม่เชื่อท่านหรอกนะ เพียงแต่อาหารเหล่านั้นข้าเคยได้ยินมาว่าช่างเลิศรสมีพ่อครัวเอกเป็นคนปรุงมีห้องเครื่องใหญ่โตหลากหลายวัตถุดิบ” เสียงของไป๋เทียนเริ่มเบาสีหน้าเริ่มสลดเมื่อเขารู้ตัวว่าคำพูดตนอาจจะทำให้คนเป็นพี่เสียใจ

“เคย เจ้าจำเรื่องที่ข้าเล่าให้ฟังก่อนหน้าไม่ได้หรือ ข้าไม่เพียงแต่เคยเห็นนะ บางอย่างข้าก็ยังเคยได้ลิ้มลองมาแล้วด้วย” คำพูดโอ้อวดเช่นนี้หากเป็นคนนอกมาฟังคงคิดว่าเป็นเพียงผายลมที่เด็กตัวเหม็นพ่นออกมา

แต่ในเมื่อที่แห่งนี้ไม่มีคนนอกดังนั้นทุกสายตาจึงได้มองนางด้วยความความทึ่ง “พี่รอง แล้วของเหล่านั้นเอามาที่นี่ด้วยไม่ได้หรือ” ท่าทีของน้องชายเริ่มจะเชื่อเธอมากขึ้นจึงได้ถามออกมาด้วยน้ำเสียงแห่งความหวัง

ไป๋เสวี่ยส่ายศีรษะไปมา “แต่ทุกคนไม่ต้องผิดหวัง สักวันสิ่งที่ข้าเคยลิ้มรสทุกคนเองก็ย่อมต้องได้กินเหมือนกัน” จบประโยคของนางท้องเจ้ากรรมกลับส่งเสียงร้องออกมาประจานเจ้าของเสียอย่างนั้น

“ดี ๆ เจ้าพูดได้ดี ฮ่าฮ่า แต่ปู่ว่าตอนนี้เจ้าคงจะต้องกินโจ๊กข้าวฟ่างกับผักดองเพื่อเอาแรงเสียก่อน”

ใบหน้าของไป๋เสวี่ยแดงก่ำด้วยความอายกระนั้นนางก็ตอบรับคำพูดของชายชราอย่างเชื่อฟัง

สิ้นสุดมื้ออาหารอันอบอุ่นไป๋ซวนก็ไปทำงานของตนยังที่ว่าการอำเภอซึ่งห่างจากบ้านเพียงหนึ่งลี้

“พี่ใหญ่ท่านกำลังจะไปไหนหรือเจ้าคะ” ไป๋เสวี่ยถามขึ้นเมื่อเห็นคนเป็นพี่สะพายตะกร้าหวายขึ้นหลัง

“ไปเก็บฟืน เจ้าสามยังไม่หายดีพี่ก็เลยอาสารับหน้าที่นี้แทน”

“พี่ใหญ่ข้าขอโทษที่ทำให้ท่านต้องทำงานเพิ่ม” ไป๋เทียนตัวน้อยสีหน้าสลดหลังได้ยินคำตอบของคนเป็นพี่

“ขอโทษทำไม ข้าหาได้โกรธเจ้า อีกอย่างเจ้าตัวเล็กถึงเพียงนั้นยังรู้จักช่วยงานไม่เอาแต่วิ่งเล่นเรื่องนี้เจ้าก็ดีมากแล้ว” ไป๋ตงพูดพลางยกมือหยาบกร้านจากการทำงานหนักวางลงบนหัวเล็ก ๆ ของเขา

ไป๋เทียนช้อนตามองพี่ชายคนโตด้วยดวงตาแดงก่ำเขารู้ดีว่าพี่ใหญ่รักพวกตนมากเพียงใด

อีกทั้งยังทำงานหนักอีกด้วยทั้งนี้เป็นเพราะตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างพี่ชายก็หาได้อยู่นิ่งกว่าเขาจะกลับเข้าเรือนก็หลังจากดวงตะวันลาลับเหลี่ยมเขา

“พี่น้องปรองดองรักกันนับว่าเป็นเรื่องดี เสี่ยวตงเจ้ารีบเดินขึ้นเขาเถอะหากบ่ายกว่านี้จะลำบาก” เสียงของชายชราทำให้สามพี่น้องหันไปมองทางเขาพร้อมกัน

“ขอรับ” อี้ตงกำลังจะหมุนกายเดินจากไปมือขาวละเอียดของคนเป็นน้องสาวก็รั้งชายเสื้อของเขาเอาไว้

“พี่ใหญ่ข้าไปด้วย” ดวงตาใสกระจ่างของน้องน้อยไม่อาจทำให้เด็กชายวัยสิบสามปฏิเสธเจ้าตัวจึงผงกหัวเป็นการตกลง

ไป๋เทียนรู้สึกไม่วางใจเกรงว่าพี่ชายจะบาดเจ็บเช่นเดียวกับตนแต่จะให้เขาโพล่งออกไปก็กลัวว่าจะทำร้ายความรู้สึกของพี่สาวที่ทำตัวดีขึ้น

คนตัวเล็กจึงได้เดินกระเผลกด้วยไม้ค้ำอันเดิมที่ได้มาตั้งแต่เมื่อวาน

“พี่ใหญ่ ท่านเอาหูมานี่” เขาทำท่าท่างมีลับลมคมใน

ไป๋ตงโน้มตัวลงมาแต่โดยดี “พี่อย่าได้บาดเจ็บเช่นข้านะ” เจ้าตัวพูดไปก็ปรายตามองไปทางไป๋เสวี่ยที่กำลังแสร้งชมนกชมไม้

“ขอบใจที่เจ้าเป็นห่วงข้า แต่ทำไมต้องพูดเสียงเบาเช่นนี้ด้วย” ไป๋ตงยืดตัวเต็มความสูงของตนพูดอย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่น้องชายคนเล็กสื่อเลยสักนิด

คล้อยหลังสองพี่น้องกับสัตว์ตัวเล็กสีทองเดินจากไป ปู่กับหลานชายก็พากันเดินเข้าบ้าน สำหรับเสี่ยวทู่ตัวน้อยในยามนี้นางก็ไปช่วยเหมยกุ้ยทำงานบ้าน ปักชุนเสื้อผ้าเท่าที่แรงของตนจะทำไหว

สองข้างทางแม้ว่าจะมีบ้านเรือนบ้างทว่าเมืองนี้ราวกับเป็นเมืองร้างทุกสิ่งทุกอย่างดูแห้งแล้งจนไป๋เสวี่ยไม่อาจทนเก็บความสงสัยเอาไว้ได้อีกต่อไป

“พี่ใหญ่ที่นี่ทำไมถึงได้ดูยากจนนัก” คำถามนี้ทำให้ไป๋ตงสะดุดแทบจะคว่ำหน้าลงกับพื้นดิน

“น้องสาวหากว่าเจ้าบอกว่าคนในอำเภอยากจน พี่ว่าถ้าเจ้าไปเห็นชาวบ้านตามท้องไร่ท้องนาเจ้าจะไม่คิดว่าพวกเขาเป็นยาจกหรอกหรือ”

ไป๋เสวี่ยไม่เข้าใจในสิ่งที่พี่ของตนกล่าวจึงได้เปิดปากของตนถามต่อไปอีก “ยังไงหรือเจ้าคะ”

“เฮ้อ! เอาไว้ข้าจะพาเจ้าไปเห็นเองจะดีกว่า ส่วนคำถามแรกของเจ้าที่สภาพเมืองของเราเป็นอย่างตอนนี้ทั้งหมดล้วนเกิดจากสงครามทั้งสิ้น หลังจบสงครามยังไม่ทันที่ชาวบ้านจะฟื้นตัวดีก็มีหนังสือแจ้งเรียกเก็บภาษีเพิ่มทำให้ตอนนี้ท่านพ่อกำลังปวดเศียรเวียนเกล้าเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เจ้าคิดดูขนาดบ้านเรามีท่านพ่อเป็นขุนนางแม้ว่าจะเป็นเพียงนายอำเภอตัวเล็ก ๆ ก็เถอะ แต่ยังไงก็ยังได้เบี้ยหวัดอีกทั้งยังได้รับธัญพืช ทว่าสำหรับชาวบ้านนั้นย่อมต่างออกไปพวกเขาล้วนแล้วแต่อาศัยกำลังของตนทั้งสิ้น

อีกทั้งยังต้องพึ่งโชคชะตาอย่างเช่นชาวไร่ชาวนาก็ต้องดูว่าปีนี้น้ำจะมากหรือน้อย ส่วนพ่อค้าที่เคยมีก็เหมือนกันเส้นทางการเดินผ่านนั้นย่อมเต็มไปด้วยอันตราย ทั้งจากโจรป่าดินโคลนถล่มเจ้าเองก็รู้ว่าเมืองของเรานั้นห่างไกลมากเพียงใด”

ไป๋เสวี่ยกำลังย่อยข้อมูลที่ตนได้รับมาไปพลางสองเท้าก็เดินตามคนเป็นพี่ไปพร้อมกัน

“อี้ตง เจ้ากำลังจะไปไหนหรือ” เสียงเด็กชายวัยไม่ห่างจากเจ้าของชื่อทำให้สองพี่น้องไป๋หยุดฝีเท้าของตน

“ข้ากำลังจะไปเก็บฟืน เจ้าเล่าจือชิวกำลังจะไปไหน”

ไป๋เสวี่ยลอบพินิจมองคนที่กำลังสนทนากับพี่ชายของตนอย่างละเอียด จื่อชิวคล้ายกับรับรู้ถึงสายตาที่กำลังมองมาทางตนเขาจึงได้มองตอบกลับไป

ดวงตาใสกระจ่างมีแววร่าเริงสดใสคู่นั้นผิดแผกจากเดิมจนเขาเผลอมองสบอยู่ชั่วครู่ “อี้ต๋งข้าไปก่อนนะ”

ไม่รอให้สหายตอบรับเด็กชายก็จ้ำพรวดไปคนละทางกับสองพี่น้องราวกับมีสัตว์ร้ายไล่ล่าอยู่ด้านหลัง

เจ้าว่าเขากลัวบารมีข้าหรือไม่ ผีซิวในรูปลักษณ์ของลูกสิงโตขนทองสื่อสารขึ้นอย่างเย่อหยิ่ง

ก็อาจจะเป็นไปได้นะ ไป๋เสวี่ยผสมโรง

ข้าก็ว่าเช่นนั้น เดินทางกันต่อเถอะวันนี้บิดาอารมณ์ดี ข้าจะล่าเนื้อมาให้บ้านเจ้าได้กินเป็นมื้อเย็น ร่างวูบวาบสีทองผ่านหน้าไป๋ตงไปด้วยความเร็วทำให้สายลมปะทะเข้ากับใบหน้าของเขาเข้าอย่างแรง

“น้องรอง เจ้านั่นจะรีบไปไหน” ไป๋ตงถามขึ้นด้วยความไม่เข้าใจ “พี่ใหญ่เจ้านั่นของพี่มีชื่อนะเจ้าคะ ข้าเรียกเขาว่าผีซิว”

“พี่จำไว้แล้ว”

“ต้องจำให้มั่นนะเจ้าคะ เพราะวันนี้ผีซิวบอกว่าบ้านเราจะมีเนื้อกิน หากพี่จำไม่แม่นระวังจะไม่ได้รับการเหลียวแล” คนเป็นน้องแสร้งขู่ก่อนจะรีบเดินไปด้านหน้าทิ้งให้คนเป็นพี่ผู้ได้ยินคำพูดเมื่อสักครู่อ้าปากค้างตาโต

“เนื้อ!” เสียงของเขาดังก้องไปทั่วทั้งตีนเขา
Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terbaru

  • ข้านี่แหละคุณหนูผู้ร้ายกาจ   บทที่ 136

    อาหารของโรงเตี๊ยมแห่งนี้ค่อนข้างสมราคาคุยของเสี่ยวเอ้อ แม้ว่าพื้นที่ของเมืองแห่งนี้จะค่อนข้างห่างไกลจากเมืองหลวงและกันดาร กระนั้นอาหารห้าอย่างที่สั่งมาก็ยังมีเนื้ออยู่ถึงสามจานอีกทั้งยังมีผักใบเขียวในน้ำแกงไข่ให้ได้เห็นรสชาติของน้ำแกงค่อนข้างสดชื่นจึงทำให้น้ำแกงไข่ผักป่าถ้วยนี้เป็นที่ถูกใจของกลุ่มผ

  • ข้านี่แหละคุณหนูผู้ร้ายกาจ   บทที่ 135

    ภายในห้องนอนของคู่สามีภรรยา เมื่อหงฮุยเห็นสีหน้าของสามีเจ้าตัวย่อมรู้ดีว่าเขากำลังมีเรื่องราวในใจ “ท่านพี่ เรื่องที่ท่านกำลังเผชิญอยู่สามารถแบ่งให้ข้ารับรู้ได้นะเจ้าคะแม้ว่าข้าอาจจะช่วยอะไรท่านไม่ได้มากแต่กระนั้นอย่างน้อยข้าก็สามารถรับฟังได้” เฟยเซียวเทียนมองภรรยาที่ตกระกำลำบ

  • ข้านี่แหละคุณหนูผู้ร้ายกาจ   บทที่ 134

    ในระหว่างที่สามพี่น้องอยู่ภายในด่านจิ้งไห่ สถานการณ์ทางเมืองฟงอวิ๋นเริ่มเกิดเหตุการณ์ไม่สู้ดีเท่าที่ควร “พี่ใหญ่ ท่านจะทำอย่างไรกับเรื่องที่ทางการต้องการเรียกภาษีจากประชาชนเพิ่มขึ้นอีกสามส่วน” หยูไห่รู้สึกหนักใจเป็นอย่างมากทั้งนี้เป็นเพราะเรื่องโรคระบาดเพิ่งจะพ้นผ่านไปได้ยังไม่นานประชาชน

  • ข้านี่แหละคุณหนูผู้ร้ายกาจ   บทที่ 133

    “ท่านอา เมืองที่ชายคนนั้นอยู่ข้าได้เขียนบอกเอาไว้ในจดหมายแล้ว ดังนั้นข้าหวังว่าท่านจะสามารถโน้มน้าวและช่วยเขาได้ แต่จำเอาไว้ด้วยว่าหลังจากท่านทำหน้าที่เสร็จแล้วให้ถอนตัวออกมาทันที ซึ่งเรื่องนี้ท่านคงไม่ต้องให้ข้าพูดแล้วกระมั้งว่าเพราะเหตุใดข้าจึงแนะนำท่านออกมาเช่นนี้” ไป๋เสวี่ยพูดออกมายืดยาวหลังจากร

  • ข้านี่แหละคุณหนูผู้ร้ายกาจ   บทที่ 132

    ในระหว่างที่ไป๋เสวี่ยกำลังเตรียมตัวเพื่อจะไปช่วยโอว หยางเฉินตามหาบิดา เฟยเซียวเทียนก็ได้คิดทบทวนในสิ่งที่ไป๋เสวี่ยได้เคยพูดกับตนเอาไว้อย่างรอบคอบ “เข้ามา” น้ำเสียงอ่อนล้าของเขาพูดขึ้นหลังได้ยินเสียงเคาะประตูหน้าห้องหนังสือ เกาซูเดินเข้ามาโดยมีหงฮุยถือถาดของว่างเดินเยื้องอยู่ด

  • ข้านี่แหละคุณหนูผู้ร้ายกาจ   บทที่ 131

    “เป็นเจ้า” โอวหยางเฉินรู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ยินคำพูดคล้ายจำตนได้จากริมฝีปากเล็กของเด็กชายตรงหน้า “เจ้าจำข้าได้ วันก่อนที่ข้าพบเจ้า จำได้ว่าเจ้าเอาแต่ก้มหน้ามองพื้นไม่ใช่หรือ” น้ำเสียงนี้แฝงไว้ด้วยความหยอกเย้าริมฝีปากแดงเรื่อของเขาหยักขึ้นยามเมื่อเห็นท่าทางของคนตัวเล็ก

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status