Accueil / วาย / ข้านี่แหละจอมมาร (yaoi) / บทที่ 8 หมู่บ้านกลืนวิญญาณ

Share

บทที่ 8 หมู่บ้านกลืนวิญญาณ

last update Dernière mise à jour: 2025-08-28 18:16:11

หลังจากที่ทั้งสองเดินทางออกมาจากสกุลหลิวโดยการย่างเท้า ด้วยเหตุที่ว่าหลิวมู่เหยียนมิอาจขึ้นขี่บนกระบี่ไท่หยางได้ พวกเขาทั้งคู่จึงต้องกึ่งเดินกึ่งใช้วิชาตัวเบาสลับกันในการเดินทาง

เป็นเหตุให้เวลาล่วงเลยไปหลายชั่วยาม ทว่าก็ยังมิเห็นวี่แววของขบวนรถม้าที่เดินทางล่วงหน้ามาก่อนแม้เพียงครึ่งคัน แสงแดดอ่อนเริ่มคล้อยลาลับหลบเหลี่ยมมุมยอดเขา เหลือทิ้งไว้เพียงแสงสีแดงยามอาทิตย์อัสดง

ความเงียบโอบคลุมดินแดนแห่งนี้ไว้ ชวนให้รู้สึกถึงความเปล่าเปลี่ยวเคว้งคว้างเสียนี่กระไร เสียงสายลมอ่อนๆ ครวญครางหวีดหวิวพัดผ่านผิวกายเป็นระลอก ทว่ากลับไร้ซึ่งเสียงของสรรพสัตว์ใดแว่วให้ได้ยินแม้เพียงครึ่งคำ หรือแม้แต่เหล่าจักจั่นเรไรก็มิโผล่หน้ามาให้เชยชม

“ช่างน่าประหลาดยิ่งนัก” จ้าวเสี่ยวหมิงเอ่ยพึมพำเสียงเบา หลังจากรับรู้ถึงความกดดันบางอย่างผ่านแทรกเข้ามา เขาพยายามเงี่ยหูสดับฟังเสียงนกร้องกลับรังยามอาทิตย์ลับเหลี่ยมขอบฟ้า

ทว่าก็ไม่อาจจับเสียงเหล่านั้นได้อย่างที่ใจปรารถนา นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มกวาดมองไปมา ตระหนักได้ว่ากำลังถูกบางสิ่งที่ไม่ควรเข้าใกล้ครอบงำอย่างมิทันได้ระวังตัว

ในครานั้นจ้าวเสี่ยวหมิงจึงเร่งฝีเท้าขึ้นอีกเป็นเท่าตัว เพื่อให้ตนสามารถเดินไปเสมอกับบุรุษผู้สวมแพรพรรณสีขาวเนื้อดีที่จ้ำเท้าพรวดๆ เยื้องย่างนำอยู่ด้านหน้าตน แล้วกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความกังวล “ไร้ซึ่งเสียงแม้กระทั่งสัตว์น้อยใหญ่ที่ควรมีเช่นนี้ ท่านมิรู้สึกว่ามันประหลาดบ้างหรือขอรับ”

“…”

ไร้เสียงตอบกลับมาจากบุรุษผู้สวมแพรพรรณสีขาวเนื้อดี มีเพียงนัยน์ตาสีดำสนิทเพ่งมองไปยังด้านหน้าอย่างมิอาจคาดเดา ก่อนเจ้าตัวจะยกฝ่ามือขึ้นมาเพียงข้างแล้วชะงักงันฝีเท้าไว้เพียงแค่นั้น จากนั้นก็ใช้นิ้วชี้ชี้ไปยังด้านหน้าท่ามกลางความมืดมิดโดยมิเอ่ยอะไรออกมาแม้เพียงครึ่งคำ

เมื่อเห็นดังนั้นจ้าวเสี่ยวหมิงจึงมองออกไปตามนิ้วชี้ของหยางหยุนเหลียง ภาพที่เห็นในคลองจักษุคือหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ไม่ไกล บรรยากาศชวนอึดอัดน่าวิงเวียนเสียนี่กระไร ความมืดมิดแผ่ปกคลุมทุกหย่อมหญ้า เป็นเหตุให้รับรู้ได้ถึงความกดดันบางอย่างแทรกผ่านเข้ามา

เขาพึงตระหนักได้อย่างทันท่วงทีว่า ความผิดแปลกที่บังเกิดขึ้นมานั้น คงมาจากหมู่บ้านข้างหน้านี้อย่างไม่ต้องคาดเดา เมื่อคิดได้เช่นนั้นจ้าวเสี่ยวหมิงจึงหันใบหน้าไปสบมองสหายร่วมเดินทางข้างกาย แล้วเอ่ยเสียงเบาออกมา “ท่านว่าอย่างไรเล่า”

“วันนี้ไม่มีที่พักที่ไหนแล้ว คงต้องหาโรงเตี๊ยมในหมู่บ้านนั้นพักสักคืน”

“พี่สามหยางแน่ใจแล้วหรือขอรับ ว่าจะย่างเท้าเข้าไปในค่ำคืนนี้จริงๆ”

“เรื่องนั้นข้าย่อมรู้สึกได้ไม่ต่างจากเจ้า” หยางหยุนเหลียงเอ่ยเสียงเรียบ แล้วผินใบหน้าหันไปสบมองคนข้างกายด้วยแววตาเรียบเฉยอย่างรู้ทันว่าสิ่งที่ตนสัมผัสได้นั้นหลิวมู่เหยียนดรุณน้อยผู้นี้ก็รับรู้ได้ไม่ด้อยไปกว่าเขา ก่อนจะกล่าวเสียงเบาแบบสงวนท่าที “แต่ถ้าหากเราไม่เข้าไปที่นั่นแล้วจัดการทุกอย่างให้สิ้นเสีย เกรงว่าทั้งข้าและเจ้าคงจักต้องตายอย่างอนาถอยู่ในห้วงมิตินี้เสียแล้วกระมัง”

เห…เจ้าหนูผู้นี้จิตสัมผัสไวเช่นนี้เชียวรึ จริงๆ แล้วเจ้าหนูผู้นี้มิใช่ฝึกตบะฌานได้ระดับสามหรอกหรืออย่างไร น่าสนใจ... น่าสนใจยิ่งนัก

จ้าวเสี่ยวหมิงเอ่ยชื่นชมในใจ เขาสบมองใบหน้าบุรุษข้างกายด้วยแววตาเป็นประกาย เมื่อพบเจอผู้ที่มีความสามารถมากกว่าระดับตบะฌานและมีพลังปราณอยู่เหนือกว่าระดับที่ฝึกฝน ช่างยาวนานเหลือเกินที่เขามิได้พบปะผู้คนที่ซ่อนคมในฝักเฉกเช่นบุรุษข้างกาย เขาจึงเผลอยกยิ้มอย่างพึงใจก่อนจะกล่าวออกไปว่า “หากเป็นเช่นนั้น ก็สุดแล้วแต่พี่สามหยางจะจัดการเถอะขอรับ”

สิ้นเสียงของหลิวมู่เหยียน ทั้งสองจึงย่างเท้าเข้าไปยังหมู่บ้านด้านหน้าอย่างไม่เร่งร้อน ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูปก็เดินมาถึงหน้าหมู่บ้านพอดิบพอดี กลิ่นคลื่นเหียนแปลกประหลาดปะทะเข้าจมูกแบบทันท่วงที จนจ้าวเสี่ยวหมิงรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวเสียอย่างนั้น เขาจึงกวาดสายตาไปมาอย่างระวัง แต่ก็ยังมิเห็นมีสิ่งใดที่ผิดแปลกไป

เมื่อก้าวย่างเข้ามาด้านในของหมู่บ้าน ภาพที่เห็นคือผู้คนมากมายเดินกันให้ขวักไขว่ สีหน้าซีดเซียวราวกับซากศพเดินได้ ไม่มีผู้ใดเปล่งเสียงหรือพูดคุยกันแม้เพียงครึ่งคำ

หยางหยุนเหลียงชะงักฝีเท้าแล้วกวาดตาไปมาเพียงครู่เดียวก็ย่างเท้าต่อไป ทั้งสองเยื้องย่างมาถึงเกือบท้ายหมู่บ้านก็พบกับโรงเตี๊ยมเล็กๆ สภาพกลางเก่ากลางใหม่ตั้งอยู่ ทว่ากลับไร้ซึ่งเสียงของผู้คนภายใน

จ้าวเสี่ยวหมิงกวาดตามองโดยรอบเคหสถานแห่งนี้ไปมา ก่อนจะตัดสินใจเยื้องย่างเข้าไปด้านใน ภาพที่เห็นในคลองจักษุชวนให้อดีตจอมมารเช่นเขาถึงกับขนลุกชัน นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มเบิกโพลงอย่างตกใจเสียอย่างนั้น เลือดในกายเย็นเฉียบจนไม่อาจต้านได้

เพราะสิ่งที่เห็นนั้นคือภาพแขวนตามฝาผนัง มันเป็นภาพที่เขาคุ้นตาเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นภาพวาดของภูตผีที่ล่องลอยอยู่ในเวหา หรือจะเป็นดวงวิญญาณมากมายลอยพุ่งเบียดเสียดกันออกมา และทุกๆ ภาพล้วนเคยผ่านสายตาเขามาด้วยกันจนต้องสบถออกมา เพราะทั้งหมดทั้งมวลนั้นล้วนเคยถูกนำไปสะกดไว้ที่วังมาร

‘ที่นี่คือที่ใด เหตุใดถึงมีของเหล่านี้ได้ ของที่ภพของมวลมนุษย์ไม่สมควรจะมี

เพราะเขารู้ว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนกัดกินจิตวิญญาณภายในร่าง หาใช่ของดีที่ควรนำมาแขวนตามบ้านเรือน เพียงไม่นานหลังยืนนิ่งงันตะลึงค้างก็มีดรุณน้อยนายหนึ่งยืนอยู่ด้านในประตูที่เปิดโล่งเอาไว้กำลังก้มหัวต้อนรับทั้งสองเป็นอย่างดีพร้อมกับเอ่ยเสียงแหบพร่าออกมา “เชิญคุณชายทั้งสอง” ก่อนจะเงยใบหน้าซีดเซียวราวกับภูตผีขึ้นมา 

“ข้าต้องการที่พักหนึ่งห้อง” หยางหยุนเหลียงเอ่ยเสียงเรียบออกมา ก่อนจะกวาดสายตาไปมาอย่างระวัง มือข้างหนึ่งกระชับกระบี่ข้างกายเอาไว้อย่างมาดมั่นมิยอมเปิดช่องโหว่ใดๆ

เพียงไม่นานหลังจากนั้น ก็มีบุรุษวัยกลางคนมายืนตรงหน้า ใบหน้าซีดเซียวซูบตอบราวกับถูกโรคภัยกัดกินตามร่างกาย มีเพียงชุดที่ทำจากผ้าฝ้ายเนื้อหยาบสีซีดห่มกาย เขาเปล่งเสียงแหบพร่าสั่นเครือออกมา “เชิญคุณชายทั้งสองขอรับ” ก่อนจะเดินนำขึ้นไปยังเรือนพักด้านบน

เมื่อก้าวขาเข้ามาในห้องพัก จ้าวเสี่ยวหมิงก็ได้กลิ่นสาบสางบางอย่างลอยปะทะเข้ามาในจมูกจนความรู้สึกคลื่นเหียนวิงเวียนถาโถมเข้ามาอย่างมิอาจต้าน เขากวาดสายตาไปมาก็เห็นโต๊ะและตั่งไม้ตั้งอย่างเป็นระเบียบอยู่ด้านในจ้าวเสี่ยวหมิงจึงเดินโต๋เต๋เข้าไปด้านในอย่างไร้เรี่ยวแรง พลันเมื่อเห็นบุรุษวัยกลางคนเยื้องย่างออกประตูไป เขาจึงหย่อนก้นลงบนตั่งอย่างอ่อนแรง แล้วเอาใบหน้าซบลงบนโต๊ะไม้เก่าๆ เสียอย่างนั้น จากนั้นพลิกใบหน้าหันไปมองสหายร่วมทางที่กำลังกวาดสายตาไปมาเพื่อสำรวจภายในก่อนจะกล่าวออกมา “หมู่บ้านนี้คือสิ่งใดกัน หากไม่รักษาระดับพลังปราณในกายให้คงที่ คงโดนสูบวิญญาณออกไปตั้งแต่ก้าวเข้ามาเป็นแน่” 

เมื่อได้ยินเช่นนั้นหยางหยุนเหลียงจึงหันมาสบมองหลิวมู่เหยียนด้วยสายตาเรียบเฉย แล้วเอ่ยเสียงเบาออกมาว่า “จากที่ข้าลองตรวจตราดู ที่นี่คงจะเป็นหมู่บ้านกลืนวิญญาณที่เขาร่ำลือกันเสียแล้วกระมัง ไม่นึกฝันว่าจักได้มาเจอกับตนเอง” กล่าวเพียงแค่นั้นเขาก็เบือนหน้าหนีหันไปมองอย่างอื่นแทน “และผู้คนส่วนใหญ่ที่หลงเข้ามาในดินแดนแห่งนี้ ล้วนเป็นอันต้องถูกเซ่นสังเวยให้แก่มัน”

“แล้วหนทางที่จะออกไปเล่าขอรับ ท่านรู้หรือไม่”

“ข้าไม่รู้ เพราะที่ข้าเคยได้ยินมีเพียงเรื่องเล่าสืบกันมา มิเคยพบเจอผู้คนที่รอดจากดินแดนแห่งนี้แม้แต่คนเดียว”

“เป็นเช่นนั้นหรือขอรับ” จ้าวเสี่ยวหมิงพึมพำเสียงเบา เขาหยัดกายลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางไม่คงที่เพราะยังรู้สึกวิงเวียนคลื่นเหียนอยู่ในที แล้วเดินโต๋เต๋ไปที่ขอบหน้าต่าง พลางเลิกม่านเก่าคร่ำคร่าสีซีดขึ้นเพียงนิด ก่อนจะมองออกไปยังภายนอกอย่างเหม่อลอย

ภาพที่เห็นมาเพียงผู้คนเดินสวนกันไปมา แต่ทุกท่วงท่ากลับเอื่อยเฉื่อยไร้ชีวิตชีวาเสียนี่กระไร “มีเรื่องเล่ามาให้ได้ยินเช่นนี้ ย่อมต้องเคยมีผู้ที่หลุดออกไปแล้วมาเล่าสู่กันฟังนะขอรับ แต่ผู้คนเหล่านั้นทำเช่นไร พวกเราคงต้องสืบหาดู”

“จริงของเจ้า แต่จะสืบอย่างไรนั้นคงต้องหาวิธี”

“เรื่องนั้นไม่ยากขอรับ ในเมื่อท่านบอกว่าหมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านกลืนวิญญาณ” จ้าวเสี่ยวหมิงเอ่ยออกมา นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มยังจับจ้องตามผู้คนที่เดินขวักไขว่ไปมา แล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายลงหลายส่วน “หากเป็นเช่นนั้นที่ทั้งข้าและท่านถูกดึงเข้ามาในห้วงมิตินี้ ด้วยก็เพราะเจ้าพวกนั้นคงต้องการดวงวิญญาณ ด้วยเหตุนี้จะต้องดาหน้ามากันเองแน่ขอรับ พวกคนตายที่มาหาคนเป็นเพื่อช่วงชิงดวงวิญญาณไป” กล่าวจบก็ยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาแล้วประสานตรงท้ายทอยเอาไว้ ริมฝีปากบางฉีกยิ้มกว้างอย่างพึงใจที่คิดแผนการนี้ได้ขึ้นมา

“เท่าที่ข้าลอบมองดูตั้งแต่ย่างเท้าเข้ามาในหมู่บ้าน ผู้คนส่วนมากที่เยื้องย่างอย่างกันขวักไขว่อย่างไร้ซึ่งชีวิตชีวาล้วนเป็นบุรุษ หาพบสตรีสักนางไม่” หยางหยุนเหลียงเอ่ยเสียงเบา หลังได้ยินคำกล่าวของหลิวมู่เหยียนเข้ามาในรูหู แม้จะเห็นด้วยกับแผนการที่ว่าอยู่หลายส่วน ทว่ายังมีบางอย่างที่ขัดแย้งอยู่ในใจ เขาจึงหยัดกายลุกยืนขึ้นอย่างคล่องแคล่ว แล้วเยื้องย่างไปยังหน้าต่างพลางยกมือเลิกผ้าม่านเพียงนิดดูบ้าง นัยน์ตาสีดำสนิทมองออกไปยังลานกว้างด้านนอกโรงเตี๊ยมอย่างคิดไม่ตก “ความผิดแปลกที่แยกไม่ได้เช่นนี้เจ้าคิดว่าอย่างไร”

เมื่อได้ยินคนข้างกายเอ่ยออกมา จ้าวเสี่ยวหมิงจึงกล่าวพึมพำต่อไปว่า “ข้าก็รู้สึกได้ไม่ต่างกับท่านหรอก พี่สามหยาง หมู่บ้านนี้มีแต่บุรุษ สตรีสักนางก็มิโผล่ออกมาให้เห็น แต่บุรุษเหล่านั้นที่เยื้องย่างตามหนทางกลับไร้ซึ่งชีวิตชีวา” ก่อนเจ้าตัวจะจับจ้องมองกลับไปยังพื้นเบื้องล่าง ภาพที่เห็นยังมีเพียงเหล่าบุรุษหลายสิบชีวิตเดินกันให้ขวักไขว่ แต่ผู้คนเหล่านี้ก็ไม่ต่างจากหุ่นภูตผีที่ถูกควบคุมอีกที

คงจะมีใครสักคนที่มีพลังสูงส่งอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้เป็นแน่

จ้าวเสี่ยวหมิงสบถภายในใจ แล้วจึงหันใบหน้าไปสบมองสหายร่วมเดินทางที่เป็นเพียงดรุณผู้ผ่านม่านฝนมาเพียงสิบแปดปีอย่างใช้ความคิด ภาพที่เห็นในคลองจักษุคือผู้บำเพ็ญตนฝึกฝนตบะฌานถึงช่วงระดับสามและกำลังจะเตรียมตัวก้าวข้ามระดับต้นกำเนิดอีกเพียงไม่กี่เดือนข้างหน้านี้

หากเขากล่าวสิ่งใดมิบังควรออกไปเกินพอดี ก็เกรงว่าจะสร้างความตื่นตระหนกให้คนผู้นี้จนไม่อาจทำสิ่งใดได้เลยในยามคับขัน แม้หยางหยุนเหลียงจะเคร่งครัดในบทเรียนและฝึกฝนตรากตรำมามากกว่าผู้คนในรุ่นเดียวกันเพียงใด ก็ยังเป็นเพียงดรุณน้อยที่ยังไม่ได้เข้าพิธีสวมกวาน[1]ด้วยเหตุนี้จ้าวเสี่ยวหมิงจึงกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มเหมือนไม่ยิ้มว่า “เรื่องนี้ข้าเองก็ยังไม่กระจ่างเช่นเดียวกันกับท่านนะขอรับ”

หยางหยุนเหลียงได้ยินคำเอ่ยอย่างแห้งแล้งจากบุรุษข้างกายก็ทอดถอนลมหายใจพรืดใหญ่ ก่อนจะกล่าวออกมาว่า “หากเป็นเช่นนั้นก็ใช้วิธีอย่างที่เจ้าว่าเถอะ ถ้าหากเราไปเค้นถามจากผู้คนไร้ซึ่งชีวิตเหล่านั้นก็คงมิได้สิ่งใดกลับมา” เอ่ยเพียงเท่านั้น เขาก็หมุนกายหันกลับเข้ามาด้านในห้อง แล้วเยื้องย่างมานั่งที่ตั่งตามเดิม

“หากท่านมั่นใจแล้วว่าจะทำตามในสิ่งที่ข้าเอ่ย ตัวข้าที่ไม่ค่อยมีวรยุทธ์จะเป็นตัวล่อให้เองนะขอรับ” จ้าวเสี่ยวหมิงเอ่ยออกมาอย่างเริงร่า ใบหน้าซีดเซียวฉีกยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดีที่ตนนั้นไม่ต้องมาลับฝีปากหาวิธีให้ยุ่งยากไปกว่านี้กับสหายร่วมเดินทาง

“ไม่ได้”

“เหตุใดเล่าขอรับ”

“ตัวเจ้าที่ไม่ชำนาญวรยุทธ์จะป้องกันตัวได้อย่างไร ตัวข้าที่เป็นคนฝึกวิชาให้เจ้าไม่อนุญาตให้ทำเช่นนั้น”

“เรื่องนั้นหาใช่ปัญหานะขอรับ แม้พลังภายในของข้าจะอ่อนด้อย แต่ความคล่องแคล่วของข้านั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้ใด” จ้าวเสี่ยวหมิงเอ่ยอย่างอารมณ์ดี เขายกมือทั้งสองข้างขึ้นเหนือหัวแล้วบิดซ้ายบิดขวาไปมา เสียงกระดูกลั่นดัง ‘กร็อบๆ แกรบๆ’ แทรกเข้ามา ก่อนเจ้าตัวจะเดินมานั่งบนตั่งไม้ด้วยท่วงท่าที่ผ่อนคลายบ้าง

“มันหาใช่เรื่องที่สมควรหรอกกระมัง มิติที่ทั้งเจ้าและข้าหลงเข้ามามิใช่เรื่องเล่นๆ ไอความแค้นค่อนข้างรุนแรง ข้าจักเป็นตัวล่อให้เอง”

‘เห…เจ้าหนูผู้นี้ช่างดื้อด้านเสียจริง

จ้าวเสี่ยวหมิงผรุสวาทภายในใจ ยามได้เห็นกิริยาที่ไม่ยอมแพ้ของสหายร่วมเดินทาง ทั้งที่ในความเป็นจริงผู้อาวุโสเช่นเขาควรออกหน้ารับภยันตรายเหล่านี้เสียมากกว่า แต่จะเอ่ยได้อย่างไรในเมื่อยามนี้ตัวตนของเขานั้นเป็นเพียงดรุณน้อยที่ผ่านม่านฝนมาเพียงสิบหกปี 

ในครานั้นจ้าวเสี่ยวหมิงจึงนั่งนิ่งอยู่กับที่เพียงครู่ใหญ่ก็เงยหน้าฉีกยิ้มกว้างเมื่อคิดเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ภายในใจ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงร่าเริงเข้าไว้ “แล้วถ้าท่านเกิดพลาดพลั้งขึ้นมา ข้าที่ไร้วรยุทธ์คงช่วยท่านได้มิทันการ เอาแบบนี้ดีไหมขอรับ ข้าจักแสร้งนอนหลับแล้วให้ท่านยืนแอบอยู่ที่มุมลับสายตาดีหรือไม่ หากข้าพลาดพลั้งขึ้นมาท่านค่อยช่วยข้าก็มิสายเกินไป”

ได้ยินเช่นนั้นหยางหยุนเหลียงก็คร้านที่จะต่อฝีปากด้วยอีกหน หากโต้เถียงกันไปมาคงไม่แคล้วที่จะพลาดท่าเสียให้กับศัตรู ท่ามกลางความมืดมิดที่เริ่มกัดกินผืนฟ้าเร่งเร้าเข้ามาทุกขณะ เขาจึงทำได้เพียงแค่ทอดถอนลมหายใจออกมาอย่างระอาแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “หากเจ้ายืนกรานเช่นนั้นข้าก็ไม่อาจขัดได้ คงลำบากเจ้าแล้ว”

เมื่อหยางหยุนเหลียงเลิกที่จะต่อฝีปากด้วย จ้าวเสี่ยวหมิงจึงฉีกยิ้มกว้างอย่างพึงใจ ก่อนจะกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงร่าเริง “ที่เหลือข้าขอรบกวนท่านด้วยนะขอรับ” กล่าวจบก็ยกมือประสานกันไว้ด้านหน้าแล้วโค้งคารวะพอเป็นพิธี

“อืม”

สิ้นเสียงของหยางหยุนเหลียง ทั้งสองก็นำของกินที่ติดตัวมายัดลงกระเพาะอย่างรวดเร็ว เมื่อท้องอิ่มเลือดในกายพลันฉีดพล่าน การเดินลมปราณจึงไม่ติดขัดเหมือนครั้งยามหิวโหย

แม้เขาจะโคจรพลังปราณในกายได้ไม่สะดวกดั่งครั้งเก่าก่อน ก็ยังถือว่าไม่ต้องเป็นภาระของผู้ใด ในครานั้นจ้าวเสี่ยวหมิงจึงเอนกายลงบนเตียงไม้ แล้วดึงผ้าผืนใหญ่ขึ้นมาห่มกาย ก่อนจะค่อยๆ ปิดเปลือกตาลงอย่างเชื่องช้า

ส่วนทางด้านหยางหยุนเหลียง เมื่อเห็นว่าบุรุษร่างกายผ่ายผอมนอนนิ่งไม่ไหวติ่งจึงเร้นกายหลบหายเข้าไปในที่ลับสายตา เพียงไม่นานเมื่อความมืดมิดเริ่มปกคลุมบนผืนแผ่นฟ้า ไอทมิฬที่เต็มไปด้วยแรงกดดันบางอย่างจึงแผ่กำจายออกมา

เสียงอื้ออึงของสัตว์เดรัจฉานร้องระงมดังกึกก้องทุกหย่อมหญ้า ความกดดันบางอย่างค่อยๆ คืบคลานเข้ามาใกล้ ในครานั้นเองหยางหยุนเหลียงจึงกระชับกระบี่ในมือไว้อย่างมาดมั่น นัยน์ตาสีดำสนิทจับจ้องไปที่ร่างของบุรุษที่นอนอยู่บนเตียง

เพียงไม่นานก็บังเกิดเสียงเดินเอี๊ยดอ๊าดบนแผ่นไม้กระดานอย่างบางเบา ก่อนจะปรากฏเรือนร่างของสตรีผู้หนึ่งเปิดประตูเข้ามา เยื้องย่างไปทางหลิวมู่เหยียนที่นอนอยู่บนเตียงไม้ด้วยฝีเท้าที่เบาหวิวและแช่มช้าเพียงลำพัง

ยามเช้ามีเพียงบุรุษไร้ชีวิตชีวาเดินกันให้ขวักไขว่ แต่ยามเย็นผู้ที่เยื้องย่างเข้ามาหากลับเป็นสตรีเสียนี่ สถานที่แห่งนี้คือสิ่งใดกัน

หยางหยุนเหลียงสบถออกมาภายในใจ หลังจากได้เห็นสตรีผู้หนึ่งปรากฏกาย เขาจับกระบี่ข้างกายอย่างมาดมั่น นัยน์ตาสีดำสนิทจับจ้องอย่างระวัง เพียงไม่นานก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันบางอย่างจนมิอาจระงับเหงื่อกาฬที่ไหลซึมออกมา

ส่วนทางด้านสตรีนิรนาม เมื่อสาวเท้าเข้ามาใกล้เตียงไม้ที่ตั้งอยู่ริมห้อง นางกลับพบบุรุษเพียงผู้เดียวนอนอยู่ลำพัง หาใช่สองคนดั่งคำบอกเล่าจากชายเจ้าของโรงเตี๊ยมไม่ คิดได้เช่นนั้นในใจพลันบังเกิดความกังวลและสงสัย แม้ตัวนางจะจำแลงกายได้คล้ายมนุษย์มากเพียงใดก็มิอาจจับหาจิตวิญญาณของผู้อื่นได้เฉกเช่นปีศาจชั้นสูงผู้เป็นนาย

ในครานั้นนางจึงกวาดสายตาไปมาอย่างระวัง แต่ก็มิอาจพบเห็นบุรุษอีกคนแม้แต่เงา จากนั้นจึงผินใบหน้าหันมาสบมองเรือนร่างที่นอนนิ่งไม่ไหวติ่งอยู่กลางเตียงไม้แล้วเผลอสำรวจเครื่องหน้าอย่างลืมตัว

ใบหน้าซีดเซียวมีร่องรอยเขียวช้ำจากการทุบตีปรากฏอย่างบางเบา หากตัดส่วนฟกช้ำนี้ออกไป บุรุษผู้นี้ค่อนข้างมีรูปหน้าสง่าอยู่หลายส่วน เรียวคิ้วเข้มกับดวงตาที่ปิดสนิทรับกับเครื่องหน้าทุกอย่างพอดิบพอดี แม้ร่างกายจะซูบผอมบอบบางไปหน่อย แต่ก็น่าจับมาเชยชม

และในขณะที่นางปีศาจจำแลงกำลังใช้สายตาสำรวจมองร่างกายตนเองอยู่นั้น จ้าวเสี่ยวหมิงก็รับรู้และสัมผัสได้เช่นกัน เขาจึงเผยอเปลือกตาขึ้นเพียงนิดเพื่อลอบมองดูกิริยา

ภาพที่เห็นในคลองจักษุคือโฉมสะคราญอายุราวๆ สิบหกขวบปี ผู้มีใบหน้าหวานซึ้ง นัยน์ตาสีดำสนิทราวกับน้ำหมึก ริมฝีปากรูปกระจับเรียวเล็กกำลังยกยิ้มที่มุมปากอย่างบางเบา ช่วยให้นางผู้นี้งามหยดย้อยขึ้นไปอีกเป็นทบทวี สวมอาภรณ์ที่ทำจากผ้าฝ้ายสีเขียวอ่อน แต่ก็มิอาจกลบกลิ่นอายปีศาจภายในกายได้

กลิ่นสาบสางที่เป็นเอกลักษณ์ของเผ่าปีศาจจึงลอยปะทะจมูกเป็นระลอกๆ จนเริ่มรู้สึกคันคะเยออยู่ภายใน จ้าวเสี่ยวหมิงพยายามสะกดกลั้นความรู้สึกเหล่านั้นไว้อย่างสุดกำลัง

เมื่อนางปีศาจจำแลงกายย่างเท้าเข้ามาใกล้ นางเอื้อมมือหมายจะเข้าไปเลิกผ้าห่มคลุมกายเขาให้เปิดออก ทว่าจู่ๆ เจ้าของร่างที่นอนอยู่บนเตียงไม้ก็กระตุกดิ้นเร้าๆ เสียอย่างนั้น ความตกตะลึงบังเกิดขึ้นมาอย่างทันควัน

ในครานั้นจ้าวเสี่ยวหมิงจึงฉวยจังหวะคว้าท่อนแขนเรียวเล็กของสตรีตรงหน้าเอาไว้ เปลือกตาพลันขยับเปิดออกกว้างอย่างตั้งใจแล้วทำหน้าตาตื่นตกใจ ก่อนจะเอ่ยเสียงแสร้งให้สั่นออกมา “ไอ้หยา…แม่นางเหตุใดถึงเข้ามาในห้องข้าได้เล่าขอรับ”

ได้ยินเช่นนั้นนางปีศาจจำแลงจึงคืนสติกลับมา ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงกังวานใสว่า “เรียนคุณชายพอดีอวิ๋นเอ๋อได้ยินเสียงท่านนอนดิ้นทุรนทุรายกระสับกระส่าย จึงเปิดเข้ามาโดยพลการเจ้าค่ะ”

ในครานั้นจ้าวเสี่ยวหมิงจึงหยัดกายลุกขึ้นนั่ง มือข้างที่จับท่อนแขนขาวยังมิยอมคลาย เขาสำรวจตรวจมองสตรีข้างกายอย่างถ้วนถี่ ในใจพึงตระหนักได้ว่าปีศาจน้องนางผู้นี้ช่างแปลงกายได้แนบเนียนเสียนี่กระไร ทว่าถึงแม้จะแนบเนียนเพียงใดแต่ก็ยังเป็นปีศาจระดับล่างที่ไม่อาจกลบกลิ่นกายของตน

ครานั้นเองจ้าวเสี่ยวหมิงจึงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงตัดพ้อต่อว่า “หวา…ข้านึกว่าจะมีสาวงามมาหลงเสน่ห์ข้าแล้วเสียอีก” ก่อนจะหันไปสบมองสตรีข้างกายด้วยแววตาพราวระยับอย่างซุกซน เพราะเขารู้ดีว่าร้อยทั้งร้อยสตรีที่เข้าหาบุรุษในยามวิกาลเช่นนี้ ต่อให้เป็นปีศาจจำแลงกายก็คงมิได้มาเพียงบอกกล่าวเป็นห่วงเรื่องที่ตนนอนดิ้นเพียงอย่างเดียว เขาจึงหว่านล้อมต่อไป “เลยแอบย่องมาหาข้าเช่นนี้น่ะขอรับ”

“…”

เมื่อเห็นว่าสตรีผู้นี้ไม่แม้แต่จะขยับร่างกาย จ้าวเสี่ยวหมิงจึงไม่ปล่อยให้เหยื่อตัวน้อยหลุดลอดออกไป เขาจึงฉวยจังหวะพุ่งเข้าใส่โอบเอวหญิงสาวไว้ นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มสบมองจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่ใสก่อนจะใช้มืออีกข้างหนึ่งเชยปลายคางของนางเอาไว้อย่างแผ่วเบา แล้วเอ่ยออกมา “อย่างไรเล่าขอรับ แม่นางบอกข้าได้หรือไม่ว่าท่านเข้ามาหาข้าเพราะเหตุใด”

“ขะ…ข้า”

‘เห…นี่ข้ายังมิทันได้ทำอันใดเลย เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้เล่า แล้วข้าจะไปต่อได้อย่างไร’

จ้าวเสี่ยวหมิงสบถภายในใจ เขาลอบกลอกสายตาขึ้นลงอย่างระอา เมื่อหญิงสาวในอ้อมแขนเพียงถูกเขาชิดใกล้เล่นหูเล่นตาด้วยเพียงนิดก็พลันอ่อนระทวยไร้ซึ่งเรี่ยวแรงเสียอย่างนั้น ก่อนจะถามย้ำด้วยน้ำเสียงแหบกระเส่าออกไป “ว่าอย่างไรเล่าขอรับ ที่แม่นางเข้ามาหาข้าคงมิใช่เพียงแค่มาดูว่าข้านอนดิ้นใช่หรือไม่” 

“ขะ...ข้าเพียงจะมาเชิญพวกท่านไปร่วมดื่มกับนายหญิงผู้นำหมู่บ้านเจ้าค่ะ แต่เห็นว่าคุณชายหลับอยู่จึงมิกล้ารบกวน”

“ฮะฮ้า...งั้นดีเลย ในเมื่อตอนนี้ข้าก็มิได้หลับ และกำลังอยากดื่มอยู่สักจอกสองจอกอยู่พอดี” จ้าวเสี่ยวหมิงเอ่ยอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะปล่อยมือของตนออกจากร่างกายของสตรีข้างกาย แล้วประสานมือกันไว้ที่ด้านหน้าตน จากนั้นจึงก้มหน้าลงพอเป็นพิธี “ได้โปรดแม่นางนำทางด้วย”

“แล้วสหายที่ร่วมเดินทางมากับท่านอยู่หนใดเจ้าคะ ตั้งแต่ข้าเข้ามาก็มิเห็นแม้เพียงเงา”

“ช่างเขาเถิดขอรับ บุรุษผู้นั้นแม้แต่เหล้าสักจอกก็อาจจะดื่มไม่เป็น ข้ามีเพียงแม่นางอยู่ข้างกายแล้วก็หาได้ต้องการสิ่งใดไม่” กล่าวจบจ้าวเสี่ยวหมิงก็ขยิบตาให้หญิงสาวเสียหนึ่งที แล้วผายมือไปยังประตูห้องด้วยท่าทางสุขุม “แม่นางก่อนขอรับ”

“เชิญทางนี้เจ้าค่ะคุณชาย”

กล่าวจบนางปีศาจจำแลงก็หมุนกายกลับหลังหันแล้วเยื้องย่างออกจากห้องมา โดยมิทันได้เห็นเลยว่าจ้าวเสี่ยวหมิงที่เดินตามตนอยู่นั้น กำลังผงกศีรษะลงเพื่อส่งสัญญาณไปให้กับสหายร่วมเดินทางที่หลบซ่อนตัวตนอยู่ในความมืดมิดยามราตรี

ส่วนทางด้านหยางหยุนเหลียงที่เร้นกายหลบซ่อนตัวตนในที่ลับสายตา ยามได้ยินคำกล่าวว่าหางตาก็พลันกระตุกยิกอย่างมิชอบใจ เขากำกระบี่ในมืออย่างแนบแน่นราวกับใช้ระบายความรู้สึกอัดอั้นลงไป แล้วสบถเสียงเบาออกมา “ใครว่าข้าอ่อนหัด” ก่อนจะสำรวมกิริยาแล้วสะกดข่มโทสะของตนเอาไว้ ค่อยๆ ย่างเท้าตามทั้งสองไปอย่างแผ่วเบา

นางปีศาจจำแลงนำจ้าวเสี่ยวหมิงเยื้องย่างออกจากโรงเตี๊ยมที่พำนัก ก่อนจะพาลัดเลาะตามบ้านเรือนของผู้คน หลบเลี่ยงที่ชุมชนมายังชายป่าด้านหลังของหมู่บ้าน

บรรยากาศโดยรอบชวนให้รับรู้ถึงความกดดันอันมิอาจหยั่งถึง ความเงียบแผ่ปกคลุมทุกหย่อมหญ้าทั้งที่ก่อนหน้าเพียงไม่ถึงหนึ่งก้านธูป เขายังได้ยินเสียงของสัตว์เดรัจฉานร้องให้ระงม

ในยามนั้นจ้าวเสี่ยวหมิงพลันรู้สึกถึงบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มจึงกวาดมองไปมาอย่างถ้วนถี่ ก่อนจะยกนิ้วชี้ขึ้นมาสะกิดสตรีข้างกาย เอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยอย่างไร้ซึ่งความหวาดหวั่นทว่าภายในใจนั้นกลับกำลังวิตกกังวล “นายหญิงของแม่นางพำนักอยู่ไกลยิ่งนัก มิเกรงกลัวพวกโจรป่ามาดักปล้นเอาหรือขอรับ”

“นายหญิงของข้านั้นร่างกายอ่อนแอมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เข้าใกล้ผู้คนหมู่มากมิได้ มิเช่นนั้นอาจติดโรคภัยได้ง่ายเจ้าค่ะ นายหญิงจึงมาปลูกเรือนไว้ในป่าด้านใน” ปีศาจจำแลงเอ่ยด้วยน้ำเสียงค่อนข้างกังวานใส ก่อนจะก้มศีรษะลงเล็กน้อยแล้วกล่าวประโยคต่อไป “ได้ออกมาไกลถึงเพียงนี้ ต้องลำบากคุณชายแล้ว”

“อย่าได้เกรงใจ อย่างไรเสียเพื่อแม่นางแล้ว ต่อให้ต้องใช้ขาสองข้างนี้ก้าวไปไกลสักเพียงใดข้าก็ยอมขอรับ” กล่าวเพียงแค่นั้นจ้าวเสี่ยวหมิงก็ฉีกยิ้มกว้างออกมา ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ชิดเคียงข้างหญิงงามผู้จำแลงกาย “เพียงแค่มีแม่นางอยู่ข้างๆ กาย ข้าก็พร้อมที่จักไปทุกที่มิมีเบื่อหน่าย”

สิ้นเสียงของจ้าวเสี่ยวหมิงใบหน้าของสตรีข้างกายก็ถูกประดับด้วยริ้วสีชมพูระเรื่อแต่งแต้มข้างแก้มนวล ยืนก้มหน้างุดอายม้วนเสียตรงนั้น

ส่วนทางด้านหยางหยุนเหลียงที่อยู่บนยอดไม้ใหญ่ในที่ลับสายตา หลังจากได้เห็นหลิวมู่เหยียนหยอดคำหวานเล่นหูเล่นตามิมีว่างเว้น ก็สบถพึมพำออกมาออกมาอย่างระอา “หว่านเสน่ห์ไปทั่วเสียจริง”

ข้าต้องขออภัยเจ้าด้วย หากข้าไม่ทำเช่นนี้ยามเกิดภัยข้าก็มิอาจพึ่งพาใครได้

จ้าวเสี่ยวหมิงนึกอยู่ภายใน ยามได้เห็นกิริยาของนางปีศาจจำแลงข้างกายที่กำลังตกหลุมพรางของเขาอย่างง่ายดาย ริมฝีปากบางก็ยกยิ้มที่มุมปากออกมาอย่างพึงใจ ก่อนรอยยิ้มดังกล่าวจะแปรเปลี่ยนไปเป็นยิ้มผยองที่เยียบเย็นแล้วกล่าวอย่างเร่งเร้าเมื่อเห็นว่านางมิยอมขยับกาย “ข้าว่ารีบเร่งฝีเท้ากันเถอะขอรับ นายหญิงของแม่นางคงรอนานแล้ว”

เมื่อครองสติกลับมาได้ นางปีศาจจำแลงกายจึงรีบกล่าวออกมา “ขออภัยเจ้าค่ะคุณชาย” ก่อนจะก้มศีรษะลงมาเพื่อขออภัยพอเป็นพิธี แล้วเงยหน้าขึ้นผายมือเข้าไปยังภายในป่ารกชัฏด้านใน “เชิญทางนี้เจ้าค่ะ” กล่าวจบนางซึ่งทำหน้าที่ผู้นำทางจึงเดินนำหลิวมู่เหยียนไปยังที่พำนักของผู้เป็นนาย

เพียงไม่ถึงครึ่งก้านธูปทั้งสองก็สาวเท้ามาถึงเรือนหลังหนึ่ง ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ ตั้งตระหง่านอยู่กลางป่าลึกด้านในเพียงลำพัง บรรยากาศโดยรอบชวนให้รู้สึกอึดอัดและวิงเวียนราวกับถูกดูดกลืนกำลัง ทว่ากลิ่นสาบสางของปีศาจร้ายนั้นกลับมิมีเผยออกมา

ในยามนั้นจ้าวเสี่ยวหมิงพึงตระหนักได้ว่าผู้เป็นนายของปีศาจจำแลงนางนี้จิตวิญญาณคงอยู่ในระดับที่สูง เขาจึงเดินลมปราณภายในจากหนึ่งในสิบส่วนขึ้นเป็นสอง ก่อนจะสาวเท้าตามนางปีศาจจำแลงเข้าไปยังเรือนด้านใน

เมื่อเข้ามาได้ตามความสว่างของโคมไฟที่ประดับอยู่ตามเสา ภาพที่เห็นในคลองจักษุคือแท่นบูชาขนาดคนขึ้นไปนอนได้ ด้านหน้ามีกระถางธูปขนาดใหญ่ตั้งอยู่ทั้งสองสิ่งนี้ถูกวางเอาไว้อยู่ชิดข้างผนัง ทว่าในยามนั้นเขาก็เลือกที่จะทำเป็นมิเห็นเสียอย่างนั้น ก่อนจะเดินตามสตรีผู้นำทางไปด้านใน

กลิ่นหอมกำจายของมวลบุปผาแผ่ออกมายามได้ก้าวผ่านหน้าห้องห้องหนึ่ง ทว่าตนเองนั้นกลับถูกพามายังเรือนรับรองที่อยู่ห่างกันไม่ไกล ภายในเรือนหลังนี้มีโต๊ะไม้ตัวใหญ่และตั่งไม้วางอยู่เรียงรายหลายตัว บนโต๊ะมีสำรับถ้วยชาวางเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ มีบานหน้าต่างเปิดโล่งเอาไว้ราวกับไม่เกรงกลัวสิ่งใดย่างกรายเข้ามาในยามวิกาล

เพียงไม่นานจ้าวเสี่ยวหมิงก็ถูกเชิญให้มายังด้านใน เขาเลือกหย่อนก้นลงไปบนตั่งไม้ตัวหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากบานหน้าต่างเสียเท่าไร ชั่วอึดใจเดียวก็มีถ้วยชาถูกนำมาวางตรงหน้า ก่อนนางปีศาจจำแลงจะเอื้อนเอ่ยประโยคออกมา “นี่เป็นชาพุทราที่นายหญิงของข้าทำขึ้นเอง เชิญคุณชายเชิญดื่มดับกระหาย” กล่าวจบสตรีข้างกายก็ค่อยๆ รินชาลงถ้วยอย่างคล่องแคล่ว “คุณชายรอที่นี่สักครู่นะเจ้าคะ ประเดี๋ยวข้าจักไปตามนายหญิงมาพบนะเจ้าคะ”

“อืม”

จ้าวเสี่ยวหมิงเอ่ยตอบเพียงแค่นั้น นางปีศาจจำแลงก็นำกาน้ำชาไปเก็บ ก่อนจะเยื้องย่างออกจากเรือนรับรองไป ชั่วอึดใจเดียวก็ได้ยินเสียงของสตรีผู้นั้นเอ่ยอย่างแผ่วเบา “เรียนนายหญิงข้าได้พาคุณชายแขกของหมู่บ้านมาตามคำเชิญของท่านแล้วเจ้าค่ะ”

ได้ยินเช่นนั้นจ้าวเสี่ยวหมิงจึงค่อยๆ หยัดกายลุกจากตั่งไม้ แล้วย่างเท้ามาที่บานประตูด้วยฝีเท้าที่แผ่วเบา นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มกวาดมองไปมาอย่างระวัง หูทั้งสองข้างสดับฟังเสียงดังกล่าวอย่างตั้งใจ ในใจพึงตระหนักได้ว่าเรือนหลังนี้แม้จะใหญ่โตเพียงใด แต่ก็มีคนพำนักอยู่เพียงแค่สองคน

เพียงไม่นานหลังจากที่นางปีศาจจำแลงเอ่ยออกไปก็มีเสียงใสกังวานของสตรีกล่าวตอบกลับมาจากด้านหลังของบานประตู “เช่นนั้นหรือ”

“เจ้าค่ะตอนนี้ข้าให้เขาเข้ารอที่เรือนรับรองแล้วเจ้าค่ะ”

“อวิ๋นเอ๋อเจ้าเข้ามาหาข้าทีสิ”

“เจ้าค่ะนายหญิง”

สิ้นจากประโยคนี้ก็มีเสียงบานประตูถูกเปิดและปิดลงอย่างเบามือ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงร้องครวญครางโหยหวนด้วยความเจ็บปวดล่องลอยออกมาอย่างแผ่วเบา

ทว่าถึงแม้จะบางเบาเพียงใด บุรุษเฉกเช่นจ้าวเสี่ยวหมิงที่มีหูดีไม่เหมือนชาวบ้านเขาก็ได้ยินเสียงร้องครวญครางเหล่านั้นอย่างแจ่มชัดดังก้องกังวานในรูหู

ด้วยเหตุนี้จ้าวเสี่ยวหมิงจึงตระหนักได้ว่า ปีศาจจำแลงนางนี้คงโดนสตรีที่อยู่ภายในเรือนหลังนั้นลงโทษอย่างไม่ต้องคาดเดา และเหตุที่ว่านั้นคงไม่พ้นที่พาตนเองได้มาที่แห่งนี้โดยมีสติสัมปชัญญะครบถ้วนบริบูรณ์ แทนที่จะถูกพามาอย่างคนที่ตกอยู่ในห้วงภวังค์

รอได้ครู่ใหญ่ก็มีคนเสียงฝีเท้าเดินออกมา ได้ยินเช่นนั้นจ้าวเสี่ยวหมิงจึงรีบกระวีกระวาดกลับไปนั่งลงที่เก่าตามเดิม แล้วแสร้งทำเป็นเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดมาก่อนหน้า

ทว่าสิ่งที่เข้ามาในห้องหาใช่นางปีศาจจำแลงที่เคยนำทางเขามาไม่ แต่กลับเป็นโฉมสะคราญผู้มีใบหน้าหวานซึ้งสวมใส่แพรพรรณสีฟ้าอ่อนเนื้อดี กำลังเยื้องย่างมาอย่างสำรวมกิริยา แลดูอายุราว ๆ สิบเก้าขวบปี ริมฝีปากรูปกระจับสีแดงระเรื่อกำลังยกยิ้มน้อยๆ ที่มุมปากอย่างบางเบา เพิ่มเสน่ห์ยั่วเย้าให้กับผู้พบเห็นได้อย่างไม่ต้องคาดเดา

ในยามนั้นจ้าวเสี่ยวหมิงพึงตระหนักได้ว่า สตรีผู้เข้ามาใหม่ผู้นี้คงถูกฝึกอบรมมาไม่น้อยท่าทางกิริยาราวกับสตรีผู้สูงศักดิ์ และหากลองวัดระดับตบะฌานการฝึกฝนนั้นคงอยู่ในระดับที่สูงกว่าชูเจียหงปีศาจจำแลงในสกุลหลิวเสียด้วยซ้ำไป เนื่องจากที่เขามิอาจสัมผัสกลิ่นสาบปีศาจได้อย่างที่ควรจะเป็น

ในครานั้นเองเลือดในกายพลันฉีดพล่าน ความกังวลบางอย่างเริ่มกัดกินเข้ามาในห้วงของจิตใจ มือทั้งสองเผลอกำแน่นสลับคลายอย่างลืมตัว

ทว่ากิริยาดังกล่าวก็ถูกปลุกด้วยน้ำเสียงกังวานใส “คารวะคุณชาย เหมิงเอ๋อปล่อยให้รอนานเช่นนี้เป็นการเสียมารยาทนัก”

ได้ยินเช่นนั้นจ้าวเสี่ยวหมิงพลันได้สติคืนกลับมา เขาจึงสำรวมกิริยาแล้วหยัดกายลุกขึ้นยืนก่อนโค้งคารวะพอเป็นพิธี “คารวะคุณหนู อย่าได้เกรงใจขอรับ อย่างไรเสียตัวข้านั้นก็หาได้รีบร้อนจักไปที่ใด”

“ขอบคุณคุณชายที่เมตตา” สตรีผู้นั้นเอ่ยพึมพำออกมา ก่อนจะผินใบหน้ามาสบมองหลิวมู่เหยียนด้วยแววตาอ่อนโยน “วันนี้ที่ข้าเชิญท่านมาในยามดึกเช่นนี้ต้องรบกวนท่านแล้ว”

“ฮ่าฮ่าฮ่า อย่าได้เกรงใจ ตัวข้านั้นเป็นเพียงนักเดินทางเร่ร่อนพเนจร เดินทางท่องเที่ยวไปทั่วทั้งใต้หล้า ได้สตรีสูงศักดิ์เช่นแม่นางลงมาต้อนรับด้วยตนเองย่อมเป็นเรื่องน่ายินดี”

“หากเป็นเช่นนั้นขอเชิญคุณชายร่วมดื่มเป็นเพื่อนข้าสักจอกสองจอกนะเจ้าคะ” กล่าวจบถางอี้เหมิงก็ผินใบหน้าไปทางด้านประตูแล้วเอ่ยออกมา “อวิ๋นเอ๋อ รินสุรา”

สิ้นเสียงของถางอี้เหมิง นางปีศาจจำแลงตัวน้อยก็ถือกาสุราเดินเข้ามา ทว่าสายตาของนางกลับมองมาทางหลิวมู่เหยียนด้วยแววตาเศร้า ก่อนจะผินใบหน้าหันไปสบมองผู้เป็นนาย แล้วรินสุราลงในจอกอย่างชำนาญ และเมื่อสุราถูกเติมจนเต็มจอกสุรานางก็ยกกาสุราขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเดินถอยห่างออกไป

เมื่อเห็นท่าทางผิดแปลกไป จ้าวเสี่ยวหมิงก็อ้าปากกำลังจะเอ่ยเสียงเรียกนางปีศาจจำแลงเพื่อถามไถ่ แต่ทว่ากลับถูกขัดจังหวะด้วยน้ำเสียงกังวานใสของสตรีข้างกาย

“เชิญคุณชาย”

ได้ยินเช่นนั้นจ้าวเสี่ยวหมิงจึงยกจอกสุราขึ้นมาจ่อริมฝีปากเอาไว้ ยามเมื่อสุราภายในจอกไหลผ่านริมฝีปากเข้าไป ด้วยรสสัมผัสที่คุ้นเคยมาอย่างยาวนานของสุราอู่เหลียงเย่ชนิดนี้เป็นเหตุให้จ้าวเสี่ยวหมิงรู้ได้ทันท่วงทีว่ามีบางอย่างถูกเจือจางอยู่ภายใน 

เขาจึงทำทีเป็นร่างกายอ่อนระทวยสิ้นเรี่ยวแรงยามสุราเข้าปากไป แล้วซบใบหน้าลงบนโต๊ะไม้แสร้งทำท่าคล้ายจะหลับใหล ก่อนจะแอบพ่นสุราออกจากปากตน จอกสุราในมือพลันร่วงหล่นกระทบพื้นจนบังเกิดเสียงดัง

[1] - กวาน (冠)  คือสิ่งที่ชนชั้นสูงชาวจีนในสมัยโบราณใช้สวมครอบบนศีรษะ เพื่อเป็นเครื่องบอกระดับประดับพระยศพระเกียรติเป็นรัดเกล้าที่จะสวมครอบมวยผม ถือเป็นสัญลักษณ์บอกสถานะ เพราะจำกัดเฉพาะชนชั้นสูงมียศถาบรรดาศักดิ์เท่านั้น มีลำดับชั้นต่างกันไปตามรูปแบบของ “กวาน” และจะใช้ใส่แต่เฉพาะในพิธีการสำคัญเท่านั้น อาทิ ได้รับแต่งตั้งเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง

-  ในอดีตนับแต่สมัย ราชวงศ์โจว (1066 – 256ปีก่อน ค.ศ.) เป็นต้นมา เด็กชายเมื่อมีอายุครบ 20 ปีเต็ม ก็จะมีพิธีสวมกวาน เรียกว่า “จี๋กวาน (及冠)” แต่ก็จะมีบางที่อายุ 16 ปีก็เข้าพิธีนี้ได้แล้ว ซึ่งการสวมกวานจะมี 3 ครั้ง 3 แบบด้วยกันครั้งแรกเรียก “สือเจีย(始加)” เพื่อเป็นเครื่องแสดงว่าได้บรรลุนิติภาวะโตเป็นผู้ใหญ่ มีสิทธิและอำนาจในการปกครองคนขั้นต้นแล้ว แต่ก็อย่าหลงลืมตน ยังต้องปรับปรุงพัฒนาตนให้สมกับความเป็นผู้ใหญ่ต่อไป ครั้งที่สอง “ไจ้เจีย(再加)” ทำเพื่อหวังให้ชายหนุ่มมีความราบรื่นอย่างมั่นคงในหน้าที่การงาน และครั้งที่สาม “ซานเจีย( 三加)” เพื่อบอกว่าเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวสามารถเข้าร่วมงานพิธีการต่างๆ ได้แล้ว

Continuez à lire ce livre gratuitement
Scanner le code pour télécharger l'application

Latest chapter

  • ข้านี่แหละจอมมาร (yaoi)   บทที่ 33 สงบสุขหวนคืน

    “คุณชายใหญ่มาทางนี้”เสียงสะท้อนในอกดังก้องในมโนสำนึกตน นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มเพ่งมองไปยังเบื้องหน้า ก็เห็นเป็นภาพในอดีตเมื่อครั้งยังเยาว์วัย กำลังวิ่งเล่นรอบแปลงดอกโบตั๋นกับดรุณีน้อยนางหนึ่ง เพราะมีเพียงสิ่งนี้เท่านั้นที่ชวนให้คิดถึงมารดาผู้ถูกเหล่าเซียนทั้งหลายรังแกจนจากไปเหม๋ยตงหม่าคือนามของเขา ผู้ที่เกิดจากฮูหยินใหญ่ตระกูลเหม๋ย ส่วนเหม๋ยยี่เถียนนั้นเกิดจากอนุภรรยาผู้ที่เคยเป็นบ่าวรับใช้ ที่แสนจะต่ำต้อยแต่ทว่าเหม๋ยยี่เถียนนั้นกลับมีร่างกายแข็งแรงกว่าดรุณีทั่วไป ด้วยพละกำลังอันมหาศาลนี้ จึงต้องวิ่งร่ามาปกป้องตนเองเสมอมา ส่วนตนเองนั้นที่อ่อนแอกว่า จึงต้องอยู่ภายใต้การคุ้มครองของน้องสาวผู้นี้อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ทั้งๆ ที่เป็นคุณชายใหญ่ของสกุลกลับถูกดูแคลนว่าไร้ซึ่งความสามารถไม่หยุดหย่อน ทั้งจากบิดา ถูกติฉินนินทาแม้กระทั่งบ่าวรับใช้ภายในเรือน แต่กระนั้นเขากลับได้รับความรักจากน้องสาวต่างมารดาผู้นี้เสมอมา มีเพียงเขาเท่านั้นที่คิดว่าเหม๋ยยี่เถียนเสแสร้งมาเอาใจและแล้วภาพเบื้องหน้าจะแปรเปลี่ยนไป เป็นภาพของเหม๋ยยี่เถียนผู้เป็นน้องสาวต่างมารดา กำลังกางมือเข้าปกป้องตนเองจากเหล่า

  • ข้านี่แหละจอมมาร (yaoi)   บทที่ 32 ศึกสุดท้าย

    “ไม่ได้ขอรับ ต่อให้เป็นอาจารย์ ต่อให้ข้าขึ้นชื่อว่าอกตัญญู ข้าก็มิอาจปลดตรวนให้ท่านได้”เสียงของหลิวห้าวเหลียงยังคงดังก้องในมโนสำนึกของตนไม่จางหาย หลังจากที่กลับออกมาเขาก็ได้แต่นั่งนิ่งอยู่บนฟูกนอนในเรือนตน ตรวนสองสายยังคงพันวนอยู่รอบกายมิได้ถูกปลดออกไป ด้วยเหตุที่ว่าราวหนึ่งชั่วยามที่ผ่านมา เมื่อตนเองเดินทางกลับมาถึงสำนักหลิวสุ่ย ก็เร่งฝีเท้าเดินทางมุ่งหน้ามาหาหลิวห้าวเหลียงโดยมิได้กระทำสิ่งอื่นใด เพื่อให้ช่วยปลดโซ่ตรวนที่พันอยู่รอบกาย ทว่ากลับถูกลูกศิษย์ของตนปฏิเสธเสียอย่างนั้น ซ้ำยังถูกห้ามมิให้ออกไปไหน ถูกบ่าวไพร่คอยจับตามองในเมื่อร้องขอก็แล้ว อ้อนวอนก็ทำไปแล้ว หรือแม้แต่ออกคำสั่ง สุดท้ายหลิวห้าวเหลียงก็มิยอมปลดปล่อยตนออกไป จ้าวเสี่ยวหมิงจึงนั่งนิ่งคิดอย่างใคร่ครวญอยู่หลายตลบ แล้วเอ่ยพึมพำออกมา “เจ้าเด็กเหลือขอพวกนี้เล่นพิเรนทร์อะไร มิรู้หรืออย่างไรว่าผลที่ตามมามันจะเป็นเช่นไร” เอ่ยเพียงแค่นั้นก็คว้าเอาเยวี่ยกวงขึ้นมาไว้ในมือ จากนั้นจึงหยัดกายลุกขึ้นยืนแล้วลอบออกไป ไปหาหลิวซูหยวน ผู้เป็นบิดาเจ้าของร่างนี้แทนเมื่อเข้าไปถึงเรือนของหลิวซูหยวน จ้าวเสี่ยวหมิงก็ไม่รอช้าที่เ

  • ข้านี่แหละจอมมาร (yaoi)   บทที่ 31 ตามติด

    รัชศกเสวียนหลีที่ 77 ปีวอกธาตุทอง ไป๋ลู่[1]กลางป่าอั้นฉิงรอยต่อระหว่างเขาหัวซานและที่ตั้งของสำนักหานเสียงเกือกม้ากระทบกับผืนดิน จ้าวเสี่ยวหมิงกุมบังเหียนม้าพ่วงพีตัวใหญ่ควบตะบึงติดตาม หยางหยุนเหลียง ที่ยังคงควบม้าอยู่ไม่ไกล แล้วร้องตะโกนออกมา “พี่หยางท่านหยุดบัดเดี๋ยวนี้รู้หรือไม่ว่าข้าตามหาท่านมานานเพียงใดแล้ว” ก่อนจะใช้ขาหนีบท้องม้า แล้วควบทะยานเข้าไปอย่างรวดเร็วหลายเดือนมานี้จ้าวเสี่ยวหมิงไล่ตามติดหยางหยุนเหลียงไม่หยุดหย่อน พอเข้าใกล้ตัวทีไร หยางหยุนเหลียงก็จะเตลิดหนีหายไปเสียทุกครั้ง ราวกับหลอกล่อให้วิ่งไล่จับ แต่พอใกล้ถึงตัวกลับหนีหายไปจ้าวเสี่ยวหมิงควบม้าพ่วงพีตัวใหญ่ เข้ามาในเขตป่าอั้นฉิง ตามหนทางราบเรียบราวกับมีคนมาถอนหญ้าคอยท่าไว้ ตามผืนดินเต็มไปด้วยเศษดินแห้งๆ แต่ทว่ากลับละเอียดราวกับเม็ดทราย แวดล้อมไปด้วยไม้ใหญ่นานาพรรณเขาควบม้าไล่ตามหยางหยุนเหลียงเข้ามาได้เพียงครู่เดียว ก็พบกับม้าสีขาวปลอดตัวหนึ่งถูกล่ามขวางหนทางไว้ จ้าวเสี่ยวหมิงจึงชะลอฝีเท้าม้าลง ก่อนจะกระโดดลงมาจากหลังม้าแต่รู้เสียที่ไหนว่าหยางหยุนเหลียงที่คอยจังหวะนี้ ใช้ดัชนีวายุร่อนระบำ ดีดลูกหินใส่หลังม้าของจ้

  • ข้านี่แหละจอมมาร (yaoi)   บทที่ 30 วิญญาณดวงสุดท้าย

    กล่าวมาถึงชิงเสี่ยวหม่าเมื่อต้องล่าถอยกลับมายังวังมาร ก็เจ็บหนักอยู่มิใช่น้อย จำต้องใช้เวลานอนพักรักษากายอยู่ราวสามวัน อาการจึงทุเลาลง และในวันนี้เมื่อร่างกายกลับมาเป็นปกติ เขาจึงนั่งมองคนโทเก็บวิญญาณที่ได้ไปรวบรวมวิญญาณของผู้บำเพ็ญตนในพิธีไล่ล่า ที่ตั้งอยู่อย่างสงบนิ่ง ภายในห้องสูบวิญญาณมาหลายวัน ด้วยแววตาเรียบเฉยทว่ากลับมีความพลุ่งพล่านร้อนรนอยู่ภายในด้วยเหตุที่ว่าชิงเสี่ยวหม่า มิอาจสูบวิญญาณเหล่านี้เข้าไปกายตนได้ เพราะต้องรอให้ได้ดวงวิญญาณดวงสุดท้ายที่ตนจักต้องไปไล่ล่ามาให้ครบเสียก่อนดวงวิญญาณที่มีเพียงสายเลือดบริสุทธิ์ของสกุลในตำนานเท่านั้นที่จะต้องเฟ้นหามา สายเลือดของสกุลหยางผู้มีสายปราณหยางวิ่งวนอยู่ภายในร่างกาย ดวงวิญญาณดวงสุดท้ายที่ตนจักต้องช่วงชิงมา และเวลาที่จักต้องดึงดวงวิญญาณนี้ออกมา คือในคืนวันเพ็ญเดือนแปดที่กำลังจะย่างกรายเข้ามาในอีกไม่ถึงหนึ่งขวบปีอีกทั้งยังมียังมีสิ่งที่ตนต้องตามหา นั่นคือหน้าสุดท้ายของคัมภีร์เดียรถีย์วิชาที่ขาดหายไป ไม่ว่าจะพลิกแผ่นดินหาเพียงใดก็ยังมิอาจพบเจอ เป็นสิ่งเดียวที่เขาจะต้องสืบเสาะให้ได้เสียก่อนพิธีกรรมการสูบดวงวิญญาณครั้งสุดท้ายจะเริ่มต

  • ข้านี่แหละจอมมาร (yaoi)   บทที่ 29 หยินหยางประสานกาย

    หยางหยุนเหลียงเหยียบเวหาก้าวทะยานไปยังทิศทางที่จ้าวเสี่ยวหมิงหนีไป นัยน์ตาสีดำสนิทกวาดมองไปมาจนทั่ว ภาพที่สะท้อนให้เห็นมีเพียงยอดไม้นานาพรรณ แผ่กิ่งก้านออกมาปกคลุมทั่วทั้งผืนป่าทว่าหากได้เพ่งมองดูอย่างถ้วนถี่ลึกลงไปถึงผืนแผ่นดิน ก็จะเห็นซากศพของนักพรตที่เพิ่งจะฝึกฝนระดับขั้นต้น ต้องมาสังเวยชีวิตให้กับเหล่าปีศาจจากวังมาร ทุกๆ ร่างต่างนอนแน่นิ่งไม่ไหวติ่งอย่างเดียวดาย มีเพียงผู้เหลือรอดค่อยๆ ออกตามหาร่างไร้ชีวิตของสหายตนเมื่อพบหนึ่งศพหยางหยุนเหลียงก็จุดพลุไฟบอกตำแหน่งเสียหนึ่งลูก ก่อนจะก้าวทะยานตามหาหลิวมู่เหยียนต่อไป เขาค้นหาทั้งผืนป่ากว้างใหญ่จนทั่ว แต่ก็ยังไม่เจอแม้เพียงเศษเส้นผมผ่านนานจนดวงตะวันคล้ายจะลาลับขอบฟ้า หิมะจึงค่อยๆ โปรยปรายลงมาอย่างบางเบา ในครานั้นเองสายตาของหยางหยุนเหลียงก็ไปสะดุดอยู่ตรงผาน้ำตก ที่มีไอเย็นแผ่ปกคลุมออกมา ด้วยเหตุที่เขาจำได้ว่าในยามเช้าตอนตนผ่านหนทางเส้นนี้มา น้ำตกสายนี้ยังไหลอย่างเอื่อยเฉื่อย มีไอความอบอุ่นคุกรุ่นอยู่ตลอดเวลา แม้จะเป็นยามช่วงต้นเหมันต์ฤดู ที่มีหิมะโปรยปรายลงมาปกคลุม ยังมิอาจแช่แข็งน้ำตกสายนี้ได้ทว่าในยามนี้กลับมีไอเย็นจัดแผ่ปกคลุมอยู่

  • ข้านี่แหละจอมมาร (yaoi)   บทที่ 28 ปะทะ

    หลังจากวันนั้นผ่านไปเพียงแค่สองวันหลิวเยี่ยเฟยก็มาขอเดินทางกลับไปยังสำนักหลิว เมื่อเห็นว่ามิมีส่วนใดเสียหาย หยางซิวอวี่ที่เพิ่งเดินทางกลับมา จึงอนุญาตให้กลับไปอย่างไร้ข้อกังขาใดๆ ด้วยความที่ว่าการบุกเข้ามาช่วงชิงกระบี่เยวี่ยกวงในวันนั้น มิมีผู้ใดปริปากบอกเจ้าสำนักหยางสักครึ่งคำ เมื่อหลิวเยี่ยเฟยเดินทางกลับไป วันเวลาก็ยังดำเนินต่อไปไม่มีหยุดพัก จากวันคือเปลี่ยนผันเป็นเดือน จากเดือนล่วงเลยเป็นแรมปี จ้าวเสี่ยวหมิงยังคงพำนักอยู่ที่สำนักหยางเจียนแห่งนี้ แม้จะมีผู้คนลอบเข้ามาแย่งชิงกระบี่ ก็จะถูกหยางซิวอวี่หรือหยางหยุนเหลียงไล่กลับไป โดยที่จ้าวเสี่ยวหมิงมิได้ออกแรงเสียเท่าไรจนกระทั่งสามปีพ้นผ่านไป ไร้ซึ่งผู้รุกรานใดๆ ย่างกรายเข้ามา แม้กระทั่งจอมมารฝูหมิงก็ยังมิยื่นมือเข้ามาช่วงชิงกระบี่คืนกลับไป ความสัมพันธ์ฉันท์สหายของหลิวมู่เหยียนและหยางหยุนเหลียงนั้นก็ยังคงดำเนินไปอย่างมิเป็นระเบียบ ดูคลายลิ้นกับฟันที่จะบังเอิญกระทบกันยามใด ย่อมมิอาจเลี่ยงการปะทะคารมเป็นครั้งคราวผ่านมาสามขวบปี ตบะฌานของหยางหยุนเหลียงก็ก้าวกระโดดไปไกลถึงระดับเจ็ด ไร้ซึ่งผู้ใดยากจะต่อกร ส่วนทางด้านจ้าวเสี่ยวหมิงนั้น ด

Plus de chapitres
Découvrez et lisez de bons romans gratuitement
Accédez gratuitement à un grand nombre de bons romans sur GoodNovel. Téléchargez les livres que vous aimez et lisez où et quand vous voulez.
Lisez des livres gratuitement sur l'APP
Scanner le code pour lire sur l'application
DMCA.com Protection Status