Accueil / วาย / ข้านี่แหละจอมมาร (yaoi) / บทที่ 7 ออกเดินทาง

Share

บทที่ 7 ออกเดินทาง

last update Dernière mise à jour: 2025-08-28 18:15:06

หลังจากวันที่จ้าวเสี่ยวหมิงเข้ามาสิงสู่อยู่ในร่างของหลิวมู่เหยียนนั้น ในวันนี้ก็ล่วงเลยเข้าสู่วันที่สี่ สภาพกายหยาบกับดวงวิญญาณในยามนี้จึงเริ่มเข้าที่เข้าทาง แม้จะไม่คล่องแคล่วเฉกเช่นเมื่อครั้งอดีตที่หอมหวานก็ตาม

แต่ส่วนต่างๆ ภายในร่างเริ่มตอบสนองความต้องการของตนได้มากขึ้นมาหลายส่วน การเดินเหินไปไหนมาไหนจึงสะดวกขึ้นมากกว่าเก่า อาการเจ็บปวดร้าวระบมเสียดแทงเข้าไปในกระดูกยามขยับกายก็ลดลงไปจนแทบจะไม่เหลือร่องรอยใดๆ ให้รำคาญใจ

แม้ว่าในยามนี้จะยังมิสามารถใช้ปราณได้อย่างที่ใจต้องการ แต่ถึงกระนั้นก็ยังถือว่าดีกว่าในวันแรกๆ ที่ตนได้เข้ามาสิงสู่ในร่างกายของคนผู้นี้ เขาจึงถือโอกาสและใช้ความคล่องแคล่วที่มีอยู่เพียงน้อยนิดของตน แอบลักลอบออกไปเล่นพนันที่บ่อนท้ายหมู่บ้านเพียงลำพัง

และในวันนี้ก็เป็นวันเดียวกับที่หลิวมู่เหยียนจำต้องเดินทางไปสำนักหยางเจียนหลินตามคำเชิญของเจ้าสำนักหยาง หยางซิวอวี่ ได้กล่าวว่าไว้ในคราวก่อน

บรรยากาศภายในสำนักหลิวสุ่ยบังเกิดความสับสนวุ่นวาย บ่าวรับใช้และบรรดาศิษย์ในสำนักต่างเดินสวนกันไปมาอย่างขวักไขว่ ส่วนหนึ่งนั้นคงเป็นเพราะว่าบรรดาศิษย์น้อยใหญ่ที่ตรากตรำฝึกฝนบำเพ็ญเพียรจนมีตบะฌานระดับสามในสำนักจักต้องเตรียมข้าวของเทียมรถม้าเพื่อเดินทางไปยังสำนักใหญ่หลิวสุ่ยที่อยู่ทางทิศตะวันออก ซึ่งไม่ไกลจากที่แห่งนี้เสียเท่าไร

ทั้งพวกเขาเหล่านั้นยังต้องฝึกปรือวิชาต่างๆ ที่ร่ำเรียนมาเพิ่มอีกเป็นทบทวี เพื่อเตรียมตัวเข้าสู่พิธีเปิดญาณทิพย์ที่จะมีขึ้นในอีกไม่นาน ความอลหม่านสับสนจึงบังเกิดขึ้นมาอยู่ทุกหัวระแหง

บุรุษหนุ่มร่างกายซูบผอมสวมแพรพรรณสีซีดผู้เป็นบ่าวรับใช้ข้างกายของหลิวมู่เหยียนกำลังวิ่งวุ่นหาผู้เป็นนายของตนอย่างจ้าละหวั่น เขาเข้าเรือนนี้ออกเรือนนั้นเยื้องย่างเสาะหาไปทั่วทั้งสำนัก จนเวลาล่วงเลยพ้นผ่านไปถึงหนึ่งชั่วยามก็ยังมิเห็นแม้เพียงเงา

ก่อนเจ้าตัวจะวิ่งเหยาะๆ เข้าไปหาไท่จู เด็กรับใช้ที่หลิวมู่เหยียนเพิ่งรับเข้ามารับใช้ข้างกายเพื่อให้ได้ติดสอยห้อยตามเดินทางไปยังสำนักหยางเจียนกับเฉกเช่นเดียวกันกับเขา

แรกเริ่มเดิมทีดรุณน้อยผู้นี้เป็นเพียงเด็กเก็บมูลเอาไปทิ้ง ได้แต่ก้มๆ เงยๆ อยู่ด้านหลังเรือนใหญ่ของสกุล แทบมิได้ออกมาเผชิญหน้าผู้คนเสียเท่าไร แต่ท้ายที่สุดแล้วหลิวมู่เหยียนผู้เป็นคุณชายสามของสกุลก็ไปดึงตัวเด็กชายเข้ามาเป็นบ่าวรับใช้ข้างกาย และกว่าจะได้มานั้นก็มิใช่เรื่องง่าย เพราะในยามนั้นนายของเขาก็ต้องถูกพ่อบ้านชูเอ่ยขัดแย้งกล่าวข่มขวัญเสียหลายหนและพยายามจะนำเด็กรับใช้ที่ตนเองหามาให้รับใช้แทน

ทว่าหลิวมู่เหยียนก็ยังคงพยายามต่อไปไม่ยอมแพ้ และยังยืนกรานอย่างหนักแน่น นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มจ้องมองพ่อบ้านและเหล่าบรรดาผู้คนมากมายด้วยแววตาที่แน่วแน่ จึงทำให้มิมีผู้ใดมาขัดความต้องการเหล่านั้นลงได้

รวมไปถึงหลิวซูหยวนหัวหน้าสกุลหลิวสายรองผู้เป็นนายใหญ่ของบ้านที่ยังไว้หน้าลูกชายของตนอยู่บ้าง เมื่อเห็นว่าภาพเหตุการณ์ความขัดแย้งในเรื่องการเลือกบ่าวรับใช้ยังอยู่ในสายตาของหยางหยุนเหลียง อาคันตุกะนอกสำนักผู้ที่ได้มาเยี่ยมเยียนและพักอาศัยเพียงชั่วคราว หลิวซูหยวนจึงไม่อาจเลี่ยงคำขอนี้ จำต้องปล่อยเลยตามเลยไป

ด้วยเหตุนี้ดรุณน้อยนามว่าไท่จูจึงได้เลื่อนขั้นจากเด็กทิ้งมูลสกปรกที่ท้ายเรือนใหญ่ มาอยู่รับใช้ในเรือนนอนของหลิวมู่เหยียนเพิ่มอีกคน

ยามเดินมาถึงเรือนหลังเก่า ฉืออ้ายจึงเอ่ยตะโกนเรียกไท่จูผู้ที่กำลังง่วนกับการเก็บสิ่งของต่างๆ อยู่ในเรือนนอนของผู้เป็นนายอย่างเร่งร้อน “ไท่จู เจ้าเห็นคุณสามหรือไม่”

“เห็นคุณชายสามพูดว่าจะไปที่เดิมน่ะขอรับ”

ยามได้ยินคำว่า ‘ที่เดิม’ จากปากของไท่จู ฉืออ้ายก็ถึงกับกุมขมับ ภายในหัวปวดตุบๆ ขึ้นมาเสียอย่างนั้น เพราะสถานที่ที่ไท่จูเอ่ยอ้างออกมามันมิใช่ที่ไหนอื่นไกล นอกเสียจากบ่อนพนันที่ตั้งอยู่ท้ายหมู่บ้านไม่ใกล้ไม่ไกลจากสำนักหลิวสุ่ยเสียเท่าไรและตั้งแต่ที่คุณชายสามแห่งสกุลหลิวเริ่มมีความจำเลอะเลือน และมีอาการแปลกประหลาดไป นี่เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วไม่อาจนับได้ที่เขาจักต้องไปตามผู้เป็นนายในบ่อนพนัน

เมื่อรับรู้เป้าหมายที่แจ่มชัด ฉืออ้ายจึงรีบวิ่งเหยาะๆ ออกจากประตูใหญ่ของสกุลหลิวอย่างระมัดระวัง ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูปก็เดินทางมาถึงบ่อนพนันอีจี๋[1] ที่ตั้งอยู่ท้ายหมู่บ้านซึ่งเป็นร้านรวงเล็กๆ ที่มีการจัดที่ทางให้เหล่าบรรดาคุณชายน้อยใหญ่ผู้เป็นนักเล่นได้นั่งล้อมวงอยู่ภายใน เมื่อย่างเท้าเข้ามาใกล้ ฉืออ้ายก็ได้ยินเสียงอึกทึกของบรรดาบุรุษมากมายตะโกนเซ็งแซ่ไม่ได้ศัพท์ และสุ้มเสียงหนึ่งในนั้นก็มีเสียงของผู้เป็นนายของตนแว่วให้ได้ยินอย่างมิต้องคาดเดา เขาจึงเร่งฝีเท้าก้าวเข้าไปอย่างไม่รั้งรอ

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ข้าชนะอีกตาแล้วจ่ายมาเสียดีๆ เถ้าแก่ซาง อย่าเบี้ยวแม้แต่อีแปะเดียว”

“วันนี้คุณชายสามหลิวมือขึ้นยิ่งนัก แต่ไหนแต่ไรมาข้าไม่ยักจะเห็นท่านในบ่อนเลยสักหนข้าจึงไม่รู้ว่าท่านเก่งกาจการเล่นพนันได้ถึงเพียงนี้”

บุรุษที่ยืนไม่ไกลจากหลิวมู่เหยียนเอ่ยออกมาด้วยใบหน้ายิ้มเหมือนไม่ยิ้ม เขามองคู่สนทนาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าปลายเท้าขึ้นมายังศีรษะเสียหลายรอบอย่างไร้มารยาท ซ้ำไม่อาจปกปิดดูแคลน เพราะนี่เป็นตาที่เท่าไรแล้วที่ตัวเขานั้นต้องแพ้พ่ายให้กับคนรูปร่างไม่สมประกอบเช่นนี้ และเป็นหลายวันมาแล้วที่เขาไม่เคยจะชนะคนผู้นี้ได้เลยสักตา

แต่ไหนมากิตติศัพท์ความไม่เอาไหนของคุณชายสามแห่งสกุลหลิวก็ไม่สู้ดี เป็นผู้ไร้ความสามารถอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเรื่องไหนๆ ก็ล้วนเป็นเพียงความอัปยศอดสูในสกุล แล้วสิ่งที่บังเกิดอยู่ตรงหน้านี้เขาควรจะเอ่ยว่าอย่างไรดี

เมื่อบังเกิดความคิดเช่นนั้นเขาจึงปรายหางตามองจ้าวเสี่ยวหมิงแล้วผรุสวาทภายในใจ‘หรือคุณชายสกุลหลิวจะโกงการพนันเหล่านี้กัน’ก่อนจะมีสีหน้าหม่นคล้ำลงอยู่หลายส่วน

ถึงกระนั้นแม้จะเห็นความไม่พอใจในสายตา จ้าวเสี่ยวหมิงก็ยังคงเอ่ยออกมาอย่างอารมณ์ดี “คุณชายเอ่ยชมข้าเกินไปแล้ว” ก่อนจะกวาดเหรียญทองแดงราวยี่สิบเหรียญลงถุงเล็กๆ ที่เตรียมมา แล้วฉีกยิ้มกว้างจนตาหยีพลางวางเงินเดิมพันอีจี๋ตาต่อไป

พอได้เห็นท่าทีไม่ทุกข์ไม่ร้อนยิ่งเพิ่มเพลิงโทสะมากมายให้แก่บุรุษผู้นี้ เขาจึงมองหลิวมู่เหยียนด้วยตาไม่กะพริบเพื่อจับพิรุธ เพราะอาจจะได้เรียกเหรียญทองแดงที่เสียไปให้คืนกลับมา แต่ไม่ว่าจะมองยังไงก็มิเห็นความผิดแปลกใดๆ เกิดขึ้นเลยสักครา

ไม่ว่าจะสุรา นารี หรือแม้แต่การพนันเดิมข้านั้นล้วนเป็นอันดับหนึ่งไม่มีสอง บุรุษตัวกระจ้อยร่อยเช่นเจ้าไหนเลยจะสู้ข้าได้เล่า

จ้าวเสี่ยวหมิงเอ่ยในใจอย่างนึกขัน เมื่อได้เห็นใบหน้าเดี๋ยวซีดเดี๋ยวคล้ำ หรือแม้กระทั่งความไม่ไว้วางใจฉายชัดออกมาจากดวงตาหลายต่อหลายคู่ที่จ้องมองมา และการพยายามจับตามองการกระทำของเขาทุกท่วงท่าของเหล่าบุรุษในวงพนัน

แต่นั่นก็หาใช่สิ่งที่คนอย่างจ้าวเสี่ยวหมิงจะใส่ใจ ก่อนเจ้าตัวจะกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างพึงใจ จากนั้นจึงวางเงินเดิมพันตาต่อไปอย่างอารมณ์ดี

ส่วนทางด้านฉืออ้ายเมื่อได้เห็นท่าทีของผู้เป็นนายก็ถึงกับส่ายศีรษะไปมา ถอนหายใจออกมาอย่างปลงตกเสียพรืดใหญ่ แม้ตนเองจะดีใจอยู่ลึกๆ กับการเปลี่ยนแปลงที่แสนแปลกประหลาดในยามนี้ แต่ก็ใช่ว่าตัวเขานั้นจะไม่เกรงกลัวผู้ใด เพราะสิ่งที่หลิวมู่เหยียนกระทำลงไปแต่ละอย่างนั้นล้วนเป็นสิ่งที่อันตรายเหลือประมาณ ก่อนเจ้าตัวจะทำใจกล้าเดินเข้าไปกระซิบข้างๆ ผู้เป็นนาย “คุณชายสามขอรับอีกไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็จวนจะถึงเวลาต้องเดินทางไปยังสำนักหยางเจียนแล้วนะขอรับ”

“เจ้าว่ากระไรนะข้าไม่ได้ยิน”

“คุณชายสามอีกไม่ถึงครึ่งชั่วยามพวกเราจักต้องเดินทางไปสำนักหยางเจียนแล้วนะขอรับ รีบไปเตรียมตัวเถอะขอรับ”

สิ้นเสียงของบ่าวรับใช้ จ้าวเสี่ยวหมิงจึงผินใบหน้าหันไปสบมอง ก่อนจะเอ่ยตะโกนแข่งกับเสียงที่ค่อนข้างดังออกมาว่า “เจ้าไปเตรียมของต่อเถอะประเดี๋ยวข้าจะตามไป ขอเล่นอีกสองตา” กล่าวจบเขาก็ยกมือขึ้นมาตบบนบ่าของฉืออ้ายสองสามครั้ง แล้วหันหน้ากลับไปเล่นอีจี๋ดังเดิม ทิ้งให้บ่าวรับใช้ตัวจ้อยข้างกายมองดูเขาด้วยสายตาอ้อนวอน

“แต่…”

ฉืออ้ายเอ่ยได้เพียงแค่นั้นก็มีคนมาสะกิดเขาจากทางด้านหลัง เป็นเหตุให้ตนเองต้องชะงักคำพูดของไว้ ก่อนจะผินใบหน้าหันกลับไปมอง

ภาพที่เห็นในคลองจักษุเป็นเหตุให้ฉืออ้ายต้องเบิกตาโพลงอย่างตกใจ เพราะคนที่มาสะกิดเบื้องหลังเขามิใช่ใครที่ไหนนอกเสียจากอาคันตุกะผู้มาเยือนสกุลหลิวในยามนี้ และเป็นบุคคลเดียวที่พวกเขาจักต้องเดินทางติดสอยห้อยตามไป กำลังยืนเอานิ้วชี้ทาบทับริมฝีปากตนเองไว้ แต่ภายในแววตานั้นกลับเหลือบไปมองผู้เป็นนายของเขาด้วยสายตาไม่พึงใจ

ในยามนั้นฉืออ้ายจึงได้แต่กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก จะเอ่ยก็ไม่ออก จะร้องก็ไม่ได้ ทำได้เพียงแค่อ้าปากพะงาบๆ อยู่เช่นนั้น แต่ทว่าเสียงกู่ร้องในใจนั้นกลับดังก้องออกมาว่าแย่แล้วเบาๆ

เมื่อเห็นท่าทีจะเอ่ยก็ไม่ได้จะร้องไห้ก็ไม่ออกของบ่าวรับใช้ข้างกายคุณชายสามแห่งสกุลหลิว หยางหยุนเหลียงจึงเอ่ยเสียงเรียบออกมา “ประเดี๋ยวเจ้าไปรวมกับคนของข้าที่หน้าประตูใหญ่ของสำนักแล้วขนข้าวของที่จำเป็นเทียมรถม้าออกเดินทางกันเลย อย่าชักช้าคนของข้ารออยู่ ประเดี๋ยวจะค่ำมืดเสียก่อนจะไปถึงหมู่บ้านข้างหน้า” กล่าวจบเขาก็เอามือไพล่หลังไว้ แต่ก็ยังไม่ลืมปรายหางตามองไปยังหลิวมู่เหยียนด้วยแววตาเอือมระอาเต็มทน 

“ขะ…ขอรับ” ฉืออ้ายเอ่ยออกมาเพียงเท่านั้น ก็ก้มศีรษะลงอย่างเก้ๆ กังๆ แล้วรีบเงยหน้าขึ้นมา แต่ก็เห็นใบหน้านิ่งๆ ของหยางหยุนเหลียงยังคงมองผู้เป็นนายของตนด้วยสายตามิพึงใจ เขาจึงรีบเอ่ยออกไป “ประเดี๋ยวข้าขอไปเรียกคุณชายสามก่อนนะขอรับ” กล่าวจบก็หมุนตัวกลับหลังหัน ก่อนตั้งใจจะเดินไปหาหลิวมู่เหยียนผู้เป็นนายเพื่อหมายจะกล่าวเรียกให้ไปด้วยกัน แต่ทว่าตัวเขานั้นย่างเท้าไม่ทันได้ถึงครึ่งก้าวก็ถูกฝ่ามือของหยางหยุนเหลียงรั้งหัวไหล่ไว้เป็นเหตุให้ฉืออ้ายต้องชะงักฝีเท้าของตนแล้วหันหน้าไปสบมองอาคันตุกะผู้มาเยือนอีกหน ภาพที่เห็นมีเพียงการส่ายศีรษะไปมาของหยางหยุนเหลียง ก่อนที่เจ้าตัวจะชักสายตาของตนเองไปทางประตูบ่อนเพื่อบอกเป็นนัยๆ ให้ฉืออ้ายต้องก้าวเท้าออกไปจากบ่อนพนันนี้เสียโดยดี

เมื่อเห็นเช่นนั้น บ่าวรับใช้ตัวน้อยอย่างฉืออ้ายจึงได้แต่เหลือบสายตาหันไปมองผู้เป็นนายอย่างห่วงๆ แต่ก็ถูกหยางหยุนเหลียงกระตุกหัวไหล่เร่งเร้าอีกหนเสียอย่างนั้นในเมื่อไม่อาจขัดความต้องการของอาคันตุกะผู้มาเยือนได้ ฉืออ้ายจึงจำต้องเดินออกไปทั้งๆ ที่ตนเองยังคงเป็นห่วงผู้เป็นนายอยู่กลายๆ

หลังจากเกลี้ยกล่อมฉืออ้ายให้ไปสมทบกับผู้ติดตามของตนเป็นที่เรียบร้อย หยางหยุนเหลียงจึงเยื้องย่างเข้าไปหาผู้ที่ขึ้นชื่อว่ากำลังจะมาฝึกวิชากับตน เมื่อเดินมาถึงด้านหลังเขาจึงเอื้อมมือไปสะกิดหัวไหล่ของหลิวมู่เหยียนเสียหนึ่งครั้งแล้วเอามือมาไพล่หลังตนไว้ดังเดิม

พอถูกสะกิดหัวไหล่ตอนจังหวะการนับกะแปะ จ้าวเสี่ยวหมิงจึงใช้เพียงมือข้างหนึ่งปัดป่ายหัวไหล่ของตนไปมาแล้วก็เอ่ยออกไปโดยไม่หันหน้าไปมองผู้ที่มาสะกิดหัวไหล่ของตนเลยสักนิดว่า “ข้าบอกเจ้าแล้วมิใช่หรือว่าขอเล่นอีกสองตาอย่างไรเล่าฉืออ้าย” ก่อนเจ้าตัวจะเพ่งสายตาจับจ้องมองภาชนะที่ครอบกะแปะไว้ โดยไม่สนใจคนที่ยืนอยู่เบื้องหลัง

เมื่อได้รับคำตอบที่ส่งกลับมาของหลิวมู่เหยียนเป็นมือไม้ที่ยื่นมาปัดป่ายมือของตนให้ออกไป หยางหยุนเหลียงถึงกับหางคิ้วกระตุกยิกอย่างเสียหน้า เขาจึงเอื้อมมือไปสะกิดหัวไหล่ของบุรุษรูปร่างผ่ายผอมอีกหน แล้วยืนนิ่งมองดูปฏิกิริยาที่กระทำออกมาอย่างอดทน

พอโดนสะกิดอีกครั้ง จ้าวเสี่ยวหมิงจึงเริ่มรู้สึกรำคาญเจ้าบ่าวจอมจุ้นตัวน้อยผู้นี้เสียนี่กระไร เขาจึงผินใบหน้าหันไปพร้อมกับตะโกนแข่งกับเสียงที่ค่อนข้างดังว่า “ข้าบอกเจ้าแล้วมิใช่หรือฉืออะ…อะ…อ้าย…” เอ่ยได้เพียงแค่นั้นก็ต้องกลืนคำพูดของตนลงคอไปอย่างลำบาก เมื่อสิ่งที่เห็นในคลองจักษุหาใช่บ่าวรับใช้ข้างกายของตนไม่ แต่ดันเป็นคุณชายสามของสกุลหยางกำลังยืนมองมาด้วยสายตาไม่พึงใจ

เมื่อเห็นเช่นนั้นจ้าวเสี่ยวหมิงจึงได้แต่ยิ้มฝืดแล้วหัวเราะแหะๆ ออกมา ก่อนจะเอ่ยเสียงอ่อยๆ ว่า “พี่สามหยางจะมาเล่นที่นี่ด้วยหรือขอรับ เชิญๆ” กล่าวเพียงแค่นั้นเขาก็ลุกขึ้นจากตั่งไม้ที่นั่งอยู่ แล้วผายมือให้หยางหยุนเหลียงได้เข้ามานั่งแทนตน จากนั้นจึงกล่าวออกมาว่า “ส่วนข้าพอดีนึกขึ้นมาได้ว่าท่านพ่อใช้ให้ข้ามาซื้อของที่ร้านนี้ ข้าต้องขอตัวก่อนนะขอรับ” จบคำก็ค่อยๆ เดินเลี่ยงออกมา  

เป็นเหตุให้หยางหยุนเหลียงต้องเอ่ยเสียงเข้มออกไป “ข้ามิได้มาเล่นพนันพวกนี้ แต่มาตามเจ้ากลับไปเตรียมตัวต่างหาก ในฐานะที่ข้าต้องช่วยเจ้าฝึกวิชา จำต้องตามดูความประพฤติของเจ้าไม่ให้ผิดทำนองคลองธรรม” ก่อนจะสบมองใบหน้าของหลิวมู่เหยียนด้วยความไม่พึงใจ แล้วกล่าวออกมาอย่างระอา “แต่สิ่งที่ข้าเห็นนั้น…ช่างเถอะข้าจะไปรออยู่ข้างนอกก็แล้วกันอย่าชักช้าเล่า”

“ขอรับ”

สิ้นคำของจ้าวเสี่ยวหมิง หยางหยุนเหลียงก็พลันสะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไป เมื่อเห็นว่าอาคันตุกะผู้มาเยือนหายลับไปจากสายตา เขาจึงรีบโกยเศษเหรียญทองแดงตรงหน้าราวสามสิบเหรียญลงถุงเงินเล็กๆ ของตนอย่างคล่องแคล่ว แล้วค่อยๆ เบี่ยงกายเดินออกมา

แต่ทว่ายามเมื่อจ้าวเสี่ยวหมิงก้าวเท้าได้เพียงแค่ครึ่งก้าวก็ถูกฝ่ามือของบุรุษผู้หนึ่งรั้งบ่าของตนเอาไว้ เป็นเหตุให้เขาต้องผินหน้าหันไปมองอย่างมิชอบใจ ภาพที่เห็นคือคุณชายนักเล่นผู้หนึ่งที่เพิ่งเอ่ยกับเขาเมื่อครู่นี้ กำลังยกมือข้างหนึ่งยื่นมาเหนี่ยวรั้งบ่าของเขาเอาไว้แล้วมองมาด้วยสายตามิพึงใจอยู่ภายในจนคนถูกมองเช่นจ้าวเสี่ยวหมิงมองเห็นจากทางสายตา

“เจ้าเล่นเก่งกาจจนผู้เล่นคนอื่นๆ หมดตัวเช่นนี้ ไยคิดจะเอาเงินหนีไปเช่นนั้นเล่าคุณชายสาม มาเล่นต่ออีกสักสี่ห้าตาดีกว่ากระมัง”

ได้ยินเช่นนั้นจ้าวเสี่ยวหมิงพึงตระหนักได้ทันทีว่าคนผู้นี้หาใช่เข้ามาพูดคุยอย่างเดียวไม่ แต่มาหาเพราะความไม่พึงใจที่ตัวเขานั้นชนะพนันแล้วกวาดเหรียญเสียเรียบโต๊ะ

เมื่อเป็นเช่นนั้นเขาจึงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเริงร่าว่า “พอดีตัวข้านั้นมีธุระจักต้องไปจัดการน่ะขอรับ เชิญคุณชายทั้งหลายเล่นกันตามสบายเถิด” กล่าวจบก็หันหน้ากลับไปแล้วพยายามเดินเลี่ยงเหล่านักพนันทั้งหลายไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว

แต่ทว่ายังไม่ทันจะได้ก้าวขาไปถึงไหนก็ถูกเหล่าบรรดาคุณชายน้อยใหญ่ที่เสียพนันให้แก่เขาก้าวเข้ามาล้อมหน้าล้อมหลังตนเองเอาไว้จ้าวเสี่ยวหมิงจึงได้แต่กวาดสายตามองผู้คนเหล่านั้นอย่างระอา ก่อนจะเอ่ยออกมาว่า “วันนี้ข้าน้อยหลิวมู่เหยียนต้องรีบออกเดินทางแล้วรบกวนพี่ชายช่วยเปิดทางให้ข้าด้วย” กล่าวจบก็ผินใบหน้าหันไปมองเถ้าแก่ซางเพื่อขอความช่วยเหลืออีกที

เมื่อเห็นท่าไม่ดีเถ้าแก่ซางเจ้าของบ่อนพนันก็พยายามเดินเข้าไปหมายจะช่วยห้ามปรามเรื่องราวต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในไม่ช้า แต่ทว่ากลับถูกคุณชายผู้หนึ่งรั้งตัวเขาเอาไว้ ก่อนจะพาออกไปที่อื่นอย่างทันท่วงที

พอไร้หนทางที่จะหลบเลี่ยงถอยหนี จ้าวเสี่ยวหมิงจึงเอ่ยออกมาพร้อมกับฉีกยิ้มจนตาหยี “เหตุใดพวกพี่ชายต้องมาขวางทางข้าเอาไว้เช่นนี้ด้วยเล่าขอรับ” กล่าวจบก็พยายามเดินฝ่าวงล้อมออกไป

แต่ก็ถูกฝ่ามือของบุรุษผู้หนึ่งยื่นมือมารั้งบ่าของตนเอาไว้ แล้วเอ่ยเสียงเย็นออกมา “ประเดี๋ยวสิขอรับคุณชายสาม ท่านจะเร่งฝีเท้าไปที่ใด เล่นกันอีกสักตาจะเป็นไรเล่าขอรับ”

“ต้องขอโทษด้วยพี่ชาย พอดีข้ารีบจริงๆ ขอตัว” กล่าวจบจ้าวเสี่ยวหมิงยกมือประสานกันไว้ตรงหน้าเพื่อขออภัยพอเป็นพิธี ก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งขึ้นมาจับมือของบุรุษที่อยู่บนบ่าตนเอาไว้ แล้วใช้กำลังยกมือข้างดังกล่าวให้ห่างออกจากตัว

ส่วนทางด้านหยางหยุนเหลียงนั้น หลังจากยืนรออยู่ชั่วครู่ ก็ยังไม่เห็นของคุณชายสามแห่งสกุลหลิวเดินออกมา เขาจึงได้แต่ส่ายศีรษะไปมาอย่างระอา แล้วเอ่ยพึมพำออกมาว่า “ความไม่เอาไหนคงไม่ใช่มีเพียงแค่ชื่อเสียงที่เขาเล่าลือหรอกกระมัง” ก่อนจะเยื้องย่างเข้าไปในบ่อนพนันนั่นอีกหน

ทว่าเมื่อย่างเท้าเข้ามาภายใน ภาพที่เห็นในคลองจักษุเป็นเหตุให้หยางหยุนเหลียงต้องชะงักคำพูดของตนเอาไว้ แล้วมองไปยังกลุ่มผู้คนมากมายกำลังรุมล้อมหลิวมู่เหยียนอยู่เบื้องหน้าตน

มีเรื่องจนได้ คนเช่นเจ้าไปทางไหนก็มีแต่ปัญหาเสียจริง

หยางหยุนเหลียงสบถภายในใจอย่างมิพึงใจ ก่อนจะทอดถอนลมหายใจออกมาอย่างระอา จากนั้นจึงย่างเท้าเข้าไปยังวงล้อมของบุรุษร่างกายกำยำใหญ่โตเหล่านั้นอย่างทันท่วงที

เมื่อย่างเท่ามาถึง เขาจึงเอ่ยด้วยวาจาสุภาพออกไป “เกิดเหตุอันใดขึ้นหรือขอรับ ไยพวกท่านต้องล้อมหน้าล้อมหลังคุณชายหลิวเช่นนั้น”

“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่านโปรดถอยห่างออกไปด้วยคุณชาย”

“คงไม่ได้หรอกกระมังขอรับ พอดีเขาต้องเดินทางไปทำธุระกับข้า”

กล่าวจบหยางหยุนเหลียงก็ใช้กำลังแหวกฝูงชนให้ออกห่าง แล้วเอื้อมมือไปวางบนบ่าของหลิวมู่เหยียน ก่อนจะออกแรงบีบเคล้นเสียเต็มกำลัง

เมื่อโดนฝ่ามือของคนที่อยู่เบื้องหลัง จ้าวเสี่ยวหมิงก็เผยสีหน้าเหยเกอย่างเจ็บปวดออกมาวูบเดียว ก่อนจะกลบเกลื่อนสีหน้าเหล่านั้นเอาไว้ด้วยการยิ้มฝืนแล้วหัวเราะแหะๆ จากนั้นจึงเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มเหมือนไม่ยิ้มว่า “ก็อย่างที่พวกท่านเห็นมีคนมาตามข้ากลับแล้วล่ะขอรับ... ข้าต้องขอตัวก่อน” กล่าวจบจ้าวเสี่ยวหมิงก็พยายามเดินฝ่าวงล้อมออกไปอย่างรวดเร็ว

แต่รู้เสียที่ไหนว่าการฝ่าวงล้อมออกไปนั้นหาใช่เรื่องง่ายไม่ บุรุษที่รายล้อมพวกเขาอยู่นั้นล้วนมีรูปร่างสูงใหญ่ร่างกายกำยำไม่ต่างจากปีศาจจำแลงกาย พละกำลังมากมายเหลือล้น ต่างดาหน้าย่างเท้าเข้ามาล้อมหน้าล้อมหลังจนมิอาจหลบหนีไปทางใด

หยางหยุนเหลียงจึงกวาดตามองผู้คนเหล่านั้นที่กำลังก้าวขาเข้ามาหมายจะทำร้ายอย่างระวังพร้อมกับใช้มือข้างหนึ่งจับคอเสื้อของหลิวมู่เหยียนเอาไว้เพื่อจะใช้กำลังลากออกมา จากนั้นจึงฉวยจังหวะที่ผู้คนมากมายกำลังเบียดเสียดพุ่งเข้ามาใกล้ ใช้วิชาตัวเบากระโดดขึ้นหลังคาปีนหนีอย่างรวดเร็วเป็นเหตุให้คนที่ถูกลากคอเสื้อแบบมิทันได้ตั้งท่าอย่างจ้าวเสี่ยวหมิงถึงกับสำลักลมหายใจเนื่องจากคอเสื้อที่ถูกรั้งดึงขึ้นไปรัดเข้ากับต้นคอของตนเองเสียอย่างนั้น ก่อนเจ้าตัวจะรีบยกมือขึ้นมาคว้าคอเสื้อด้านหน้าเพื่อเหนี่ยวรั้งอากาศอย่างทันควัน แต่ก็ไม่ลืมที่จะส่งสายตาปะหลับปะเหลือกไปให้คนที่หิ้วคอเสื้ออย่างไม่ชอบใจ แล้วจึงปล่อยให้หยางหยุนเหลียงที่กำลังใช้วิชาตัวเบากระโดดไปมาตามหลังคาหิ้วคอเสื้อแบบตามอำเภอใจต่อไปไม่ดิ้นรนหรือขัดขืนใดๆ เพียงพึมพำด้วยน้ำเสียงกล้ำกลืนว่า

“ดี...ข้าจะได้ไม่ต้องเดินให้เสียกำลัง”

เพียงไม่นานหยางหยุนเหลียงก็ใช้วิชาตัวเบากระโจนไปตามหลังคาบ้านเรือนจนมาถึงหน้าประตูใหญ่ของสกุลหลิว เขาปรายหางตามองดูเบื้องหลัง เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดติดตามมาจึงกระโดดลงไปยังผืนดินที่ว่างเปล่า ก่อนจะปล่อยคอเสื้อของหลิวมู่เหยียนลงฉับพลันอย่างไร้ปรานี

เป็นเหตุให้คนที่เพิ่งถูกปล่อยคอเสื้อแบบไม่ทันได้ตั้งตัวดีอย่างจ้าวเสี่ยวหมิงจำต้องแสร้งไอโครกๆ ออกมาอย่างอ่อนกำลังเสียไม่ได้ ก่อนจะหันหน้าที่มีน้ำตาปริ่มๆ บนขอบตาไปมองบุรุษหนุ่มผู้สวมแพรพรรณสีขาวเนื้อดี แล้วกล่าวอย่างตัดพ้อต่อว่า “แค่กๆ แม้ท่านจะพาข้าหนีคนเหล่านั้นมาได้ แต่ข้าคงต้องตายเพราะเสื้อรัดคอเสียแล้วกระมัง” กล่าวจบก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นถูต้นคอของตนไปมา

เมื่อเห็นเช่นนั้นหยางหยุนเหลียงจึงกล่าวเสียงเรียบ “หากข้ามิทำเช่นนี้ เจ้าก็คงโดนคนพวกนั้นทำร้ายไปเสียแล้วกระมัง” ก่อนจะเบี่ยงใบหน้าหันไปมองยังมุมอื่นเสีย แต่ก็ไม่ลืมที่จะปรายหางตามองบุรุษร่างกายผ่ายผอมอย่างระอา แล้วเอ่ยออกมาว่า “ถ้าหายใจคล่องแล้ว ก็ลุกขึ้นเสียอย่าได้ชักช้า ข้าจะไปลาท่านอาหลิวซูหยวนเสียหน่อย เจ้าก็มาด้วยกันกับข้าสิ”

“ขอรับ”

จ้าวเสี่ยวหมิงเอ่ยออกมาเพียงแค่นั้น ก็หยัดกายลุกขึ้นยืนอย่างลำบาก ก่อนจะเดินนำหยางหยุนเหลียงไปยังห้องทำงานของรองเจ้าสำนักหลิวสุ่ยผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นบิดาเจ้าของร่างนี้ เพื่อจะได้กล่าวคำร่ำลาตามมารยาทที่พึงกระทำ

เมื่อร่ำลาหลิวซูหยวนเป็นที่เรียบร้อย บิดาของเขาก็ได้มอบแพรพรรณเนื้อดีสีเทาดำขลิบด้วยดิ้นสีฟ้าเข้มสีประจำสกุลมาให้เปลี่ยนใส่ ด้วยเห็นว่าชุดที่เขาสวมใส่นั้นเก่าบางและหาใช่ของดีไม่ เหตุนี้จึงทำให้เขาได้รู้ว่ามีแพรพรรณเนื้อเดียวกันบางส่วนที่ได้มาใหม่ถูกจัดไปพร้อมกับขบวนเดินทาง

หลังจากนั้นราวสองก้านธูป ทั้งสองก็เยื้องย่างมาถึงหน้าประตูใหญ่ของสกุล หยางหยุนเหลียงชักกระบี่ของตนออกมาจากฝักแล้วร่ายปราณท่องกระบี่ เพื่อเรียกจิตวิญญาณที่หลับใหลอยู่ภายในให้ตื่นขึ้นมา เพียงครู่เดียวกระบี่เล่มดังกล่าวก็ลอยเคว้งอยู่เหนือพื้นดิน 

“รีบๆ ขึ้นไปเสียอย่าได้ชักช้าประเดี๋ยวจะไปถึงหมู่บ้านข้างหน้ามิทันค่ำมืด”

“ขอรับ” เอ่ยเพียงแค่นั้นจ้าวเสี่ยวหมิงก็ก้าวขาขึ้นไป ทว่าเพียงแค่ปลายเท้าสัมผัสกับพื้นผิวของกระบี่ ความสั่นไหวแปลกๆ จึงบังเกิดขึ้นมาเมื่อเป็นเช่นนั้นจ้าวเสี่ยวหมิงจึงรีบชักเท้าของตนกลับเข้ามาอย่างรวดเร็ว นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มเพ่งมองไปยังกระบี่ด้ามขาวอย่างพินิจ แล้วสบถพึมพำออกมา “กระบี่เล่มนี้เหมือนข้าเคยเห็นที่ใดกัน”

เป็นเหตุให้หยางหยุนเหลียงผู้เป็นเจ้าของกระบี่เอ่ยเสียงเข้มออกมาอย่างมิพึงใจ “เหตุใดเจ้ายังไม่ขึ้นไป” ยามเมื่อเห็นท่าทีของบุรุษร่างกายซูบผอมไม่สมประกอบเอาแต่ทำท่าทางยื้อๆ ย่องๆ จะขึ้นก็ไม่ขึ้นเสียอย่างนั้น

ได้ยินเช่นนั้นจ้าวเสี่ยวหมิงจึงผินใบหน้าหันมาสบมองคู่สนทนา เขายกมือขึ้นแล้วเกาศีรษะแก้เก้อไปมา ก่อนจะหัวเราะแหะๆ พลางกล่าวออกมาว่า “กระบี่ท่านเป็นอันใดมิรู้ขอรับ ยามข้าจะขึ้นกลับสั่นไหวอย่างรุนแรงราวกับไม่อยากให้ข้าขึ้นไปน่ะขอรับ”

ด้วยเหตุนี้หยางหยุนเหลียงจึงย่างเท้าเข้ามาใกล้แล้วกล่าวออกมา “ไท่หยางของข้าเป็นอันใดรึ เหตุใดเจ้าจึงขึ้นไปขี่ไม่ได้”

ของเจ้าหยางลี่นี่เองมิน่าเล่า

จ้าวเสี่ยวหมิงสบถขึ้นมาภายในใจ หลังจากได้ยินชื่อกระบี่จากปากของหยางหยุนเหลียงเต็มสองรูหู เขาก็ตระหนักได้ทันทีว่าต่อให้เขาอยากขึ้นไปเหยียบมากเพียงใดก็คงมิอาจทำได้อย่างใจต้องการ เพราะกระบี่เล่มนี้ที่มีนามว่าไท่หยางเป็นกระบี่หยางที่ผู้ใช้คนก่อนหาใช่ใครที่ไหน นอกเสียจากหยางหมิงเซ่อผู้เป็นไม้เบื่อไม้เมาต่อกรกับเขามาไม่รู้กี่หน หากเหยียบขึ้นไปยืนอยู่มิได้ก็คงไม่ใช่เรื่องน่ากังวลสักเพียงใด

บุรุษร่างกายซูบผอมสบมองกระบี่ด้ามขาวแบบชิดใกล้ ก่อนเจ้าตัวจะบ่นพึมพำเสียงเบาออกมา “ลองดูสักครั้งจะเป็นไร เจ้ามิยอมรับข้าเพราะนายเก่าเจ้าสินะ” กล่าวจบจ้าวเสี่ยวหมิงจึงค่อยๆ หลับตาลง

เพียงไม่นานภาพที่เห็นเบื้องหน้าก็แปรเปลี่ยนไป แสงสีขาวนวลสาดส่องสว่างไสวไม่ต่างจากแสงตะวันในยามเช้าตรู่ แรงจนต้องยกมือขึ้นบังสายตาของตนเอาไว้

เมื่อเข้ามาภายในห้องจิตวิญญาณของกระบี่ได้ จ้าวเสี่ยวหมิงจึงกวาดสายตาไปมา ก็พบกับบุรุษหนุ่มนายหนึ่ง ผู้สวมแพรพรรณสีขาวบริสุทธิ์ กำลังยืนกอดอกจ้องมองหน้าเขาเขม็งอย่างไม่ชอบใจ

จ้าวเสี่ยวหมิงจึงเอ่ยออกไป “เหตุใดเจ้าถึงไม่ให้ข้าขี่เล่าไท่หยาง ไอ้อาการหวงเจ้านายมิให้ข้าเข้าใกล้เมื่อใดจะเลิกเสียที” 

“หึ คนเช่นท่านไม่ว่าจะรุ่นพ่อรุ่นลูกก็ล่อลวงเขาจนไม่เป็นผู้เป็นคน”

“ล่อลวง…ข้าเนี่ยนะล่อลวง เจ้าเอาสิ่งใดมาเอ่ย คนอย่างข้าแม้จะมีชื่อเสียงเลวทรามต่ำช้าเพียงไหนก็มิเคยล่อลวงผู้ใด เจ้าเข้าใจผิดเสียแล้วล่ะไท่หยาง” จ้าวเสี่ยวหมิงเอ่ยออกมาก่อนเจ้าตัวจะหัวเราะงอหายอย่างมิอาจกลั้น แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ “และทั้งข้าทั้งเจ้าหยางลี่ก็เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาช้านานจนเจ้าหยางลี่ถูกกระบี่ปักอกตายไปเสียด้วยซ้ำ แล้วข้าจักไปล่อลวงเขาตอนไหน”

“ล่อลวงโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัวอย่างไรเล่า” ไท่หยางสบถพึมพำเสียงเบาราวกับเสียงกระซิบอย่างไม่พอใจ ก่อนจะเมินใบหน้าหนีไปอีกทางไม่ยอมหันมาสบตาโดยตรง

เป็นเหตุให้คนที่ไม่ได้ยินคำเอ่ยของไท่หยางมองท่าทางประหลาดนั้นอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะกล่าวออกไป “นี่ให้ข้าขึ้นกระบี่เจ้าเถิด เจ้าไม่มีตาหรือว่านายเจ้าผู้นี้มิได้ชอบข้าเสียเท่าไร ใกล้นิดใกล้หน่อยมิเห็นเป็นไร”

“ไม่ก็คือไม่ออกไปจากห้องจิตวิญญาณของข้าได้แล้ว”

ไท่หยางกล่าวเพียงแค่นั้นภาพเบื้องหน้าก็แปรเปลี่ยนไป จ้าวเสี่ยวหมิงจึงค่อยๆ เปิดเปลือกตาอย่างช้าๆ แล้วมองที่กระบี่ด้ามขาวก็เกิดอาการหางตากระตุกยิกอย่างมิชอบใจ

เขาจึงสบถพึมพำออกมาเบาๆ “มารดาเถอะ มันน่าหักครึ่งนัก” ก่อนจะตัดสินใจยื่นเท้าของตนไปสัมผัสกับตัวกระบี่อีกเพียงครั้ง แล้วกระโดดขึ้นไปยืนอย่างรวดเร็ว 

ยืนอยู่ได้เพียงอึดใจเดียวแรงสั่นไหวบางอย่างพลันบังเกิดขึ้นมา กระบี่ด้ามขาวส่ายสะบัดไปมา เป็นเหตุให้ร่างของหลิวมู่เหยียนที่ยืนอยู่ด้านบนถึงกับกระเด็นตกลงมาก้นกระแทกกับผืนดิน

“อะตะตะตะ...เจ็บนะเจ้ากระบี่บ้า” จ้าวเสี่ยวหมิงสบถพึมพำอย่างมิพึงใจ เขาเอามือกุมสะโพกตนเองเอาไว้แล้วหยัดกายลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก ก่อนจะเดินกะเผลกเข้าไปหาหยางหยุนเหลียงที่ยืนมองมาที่ตนอย่างระอา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงตัดพ้อว่า “ท่านเห็นหรือไม่เล่าว่าข้าขึ้นกระบี่ของท่านมิได้”

ได้ยินเช่นนั้นหยางหยุนเหลียงก็แค่นหัวเราะออกมาดัง ‘เหอะ’ก่อนจะร่ายปราณท่องกระบี่เพื่อเรียกกระบี่คู่กายตนให้กลับมา จากนั้นจึงจับด้ามกระบี่สอดเก็บเข้าไปในฝักแล้วเยื้องย่างออกไป แต่ก็ยังมิลืมปรายหางตากลับมามองหลิวมู่เหยียนจากนั้นจึงเอ่ยออกมาว่า “เจ้าจะมิไปรึ”

“ปะ…ไปสิขอรับ รอข้าด้วย”

[1]อีจี๋ คือเกมการพนันที่คิดขึ้นในแผ่นดินพระเจ้าสูนฮ่องเต้ ราวพ.ศ. ๖๖๙ จน พ.ศ. ๖๘๘ นั้น ขุนนางจีนคนหนึ่งชื่อเลียงกี คิดเล่นการพนันขึ้นอย่าง ๑ เดิมเรียกว่า อีจี๋ แปลว่ากะแปะคิด วิธีเล่นใช้นับ ๔ เป็นเกณฑ์ คือ เอากะแปะหลายๆ สิบกะแปะมากองเข้า แล้วเอาภาชนะอันหนึ่งครอบกองกะแปะนั้นไว้ ให้คนทั้งหลายที่เล่นด้วยกันทายว่าจะเป็นเศษ ๑ หรือ ๒ หรือ ๓ หรือครบ ๔ เมื่อทายกันแล้วจึงเปิดภาชนะที่ครอบออกแล้วนับกะแปะ ปัดไปทีละ ๔ กะแปะๆ ปัดไปจนกะแปะในกองนั้นเหลือเป็นเศษ ๑ หรือ ๒ หรือ ๓ หรือ ๔ ตรงกับที่ผู้ใดทายผู้นั้นถูก ใครวางเงินแทงเท่าใดถ้าเจ้าถูก เจ้ามือก็ต้องใช้ให้ ใครแทงไม่ถูกเจ้ามือก็ริบเงินที่แทงเสีย

Continuez à lire ce livre gratuitement
Scanner le code pour télécharger l'application

Latest chapter

  • ข้านี่แหละจอมมาร (yaoi)   บทที่ 33 สงบสุขหวนคืน

    “คุณชายใหญ่มาทางนี้”เสียงสะท้อนในอกดังก้องในมโนสำนึกตน นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มเพ่งมองไปยังเบื้องหน้า ก็เห็นเป็นภาพในอดีตเมื่อครั้งยังเยาว์วัย กำลังวิ่งเล่นรอบแปลงดอกโบตั๋นกับดรุณีน้อยนางหนึ่ง เพราะมีเพียงสิ่งนี้เท่านั้นที่ชวนให้คิดถึงมารดาผู้ถูกเหล่าเซียนทั้งหลายรังแกจนจากไปเหม๋ยตงหม่าคือนามของเขา ผู้ที่เกิดจากฮูหยินใหญ่ตระกูลเหม๋ย ส่วนเหม๋ยยี่เถียนนั้นเกิดจากอนุภรรยาผู้ที่เคยเป็นบ่าวรับใช้ ที่แสนจะต่ำต้อยแต่ทว่าเหม๋ยยี่เถียนนั้นกลับมีร่างกายแข็งแรงกว่าดรุณีทั่วไป ด้วยพละกำลังอันมหาศาลนี้ จึงต้องวิ่งร่ามาปกป้องตนเองเสมอมา ส่วนตนเองนั้นที่อ่อนแอกว่า จึงต้องอยู่ภายใต้การคุ้มครองของน้องสาวผู้นี้อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ทั้งๆ ที่เป็นคุณชายใหญ่ของสกุลกลับถูกดูแคลนว่าไร้ซึ่งความสามารถไม่หยุดหย่อน ทั้งจากบิดา ถูกติฉินนินทาแม้กระทั่งบ่าวรับใช้ภายในเรือน แต่กระนั้นเขากลับได้รับความรักจากน้องสาวต่างมารดาผู้นี้เสมอมา มีเพียงเขาเท่านั้นที่คิดว่าเหม๋ยยี่เถียนเสแสร้งมาเอาใจและแล้วภาพเบื้องหน้าจะแปรเปลี่ยนไป เป็นภาพของเหม๋ยยี่เถียนผู้เป็นน้องสาวต่างมารดา กำลังกางมือเข้าปกป้องตนเองจากเหล่า

  • ข้านี่แหละจอมมาร (yaoi)   บทที่ 32 ศึกสุดท้าย

    “ไม่ได้ขอรับ ต่อให้เป็นอาจารย์ ต่อให้ข้าขึ้นชื่อว่าอกตัญญู ข้าก็มิอาจปลดตรวนให้ท่านได้”เสียงของหลิวห้าวเหลียงยังคงดังก้องในมโนสำนึกของตนไม่จางหาย หลังจากที่กลับออกมาเขาก็ได้แต่นั่งนิ่งอยู่บนฟูกนอนในเรือนตน ตรวนสองสายยังคงพันวนอยู่รอบกายมิได้ถูกปลดออกไป ด้วยเหตุที่ว่าราวหนึ่งชั่วยามที่ผ่านมา เมื่อตนเองเดินทางกลับมาถึงสำนักหลิวสุ่ย ก็เร่งฝีเท้าเดินทางมุ่งหน้ามาหาหลิวห้าวเหลียงโดยมิได้กระทำสิ่งอื่นใด เพื่อให้ช่วยปลดโซ่ตรวนที่พันอยู่รอบกาย ทว่ากลับถูกลูกศิษย์ของตนปฏิเสธเสียอย่างนั้น ซ้ำยังถูกห้ามมิให้ออกไปไหน ถูกบ่าวไพร่คอยจับตามองในเมื่อร้องขอก็แล้ว อ้อนวอนก็ทำไปแล้ว หรือแม้แต่ออกคำสั่ง สุดท้ายหลิวห้าวเหลียงก็มิยอมปลดปล่อยตนออกไป จ้าวเสี่ยวหมิงจึงนั่งนิ่งคิดอย่างใคร่ครวญอยู่หลายตลบ แล้วเอ่ยพึมพำออกมา “เจ้าเด็กเหลือขอพวกนี้เล่นพิเรนทร์อะไร มิรู้หรืออย่างไรว่าผลที่ตามมามันจะเป็นเช่นไร” เอ่ยเพียงแค่นั้นก็คว้าเอาเยวี่ยกวงขึ้นมาไว้ในมือ จากนั้นจึงหยัดกายลุกขึ้นยืนแล้วลอบออกไป ไปหาหลิวซูหยวน ผู้เป็นบิดาเจ้าของร่างนี้แทนเมื่อเข้าไปถึงเรือนของหลิวซูหยวน จ้าวเสี่ยวหมิงก็ไม่รอช้าที่เ

  • ข้านี่แหละจอมมาร (yaoi)   บทที่ 31 ตามติด

    รัชศกเสวียนหลีที่ 77 ปีวอกธาตุทอง ไป๋ลู่[1]กลางป่าอั้นฉิงรอยต่อระหว่างเขาหัวซานและที่ตั้งของสำนักหานเสียงเกือกม้ากระทบกับผืนดิน จ้าวเสี่ยวหมิงกุมบังเหียนม้าพ่วงพีตัวใหญ่ควบตะบึงติดตาม หยางหยุนเหลียง ที่ยังคงควบม้าอยู่ไม่ไกล แล้วร้องตะโกนออกมา “พี่หยางท่านหยุดบัดเดี๋ยวนี้รู้หรือไม่ว่าข้าตามหาท่านมานานเพียงใดแล้ว” ก่อนจะใช้ขาหนีบท้องม้า แล้วควบทะยานเข้าไปอย่างรวดเร็วหลายเดือนมานี้จ้าวเสี่ยวหมิงไล่ตามติดหยางหยุนเหลียงไม่หยุดหย่อน พอเข้าใกล้ตัวทีไร หยางหยุนเหลียงก็จะเตลิดหนีหายไปเสียทุกครั้ง ราวกับหลอกล่อให้วิ่งไล่จับ แต่พอใกล้ถึงตัวกลับหนีหายไปจ้าวเสี่ยวหมิงควบม้าพ่วงพีตัวใหญ่ เข้ามาในเขตป่าอั้นฉิง ตามหนทางราบเรียบราวกับมีคนมาถอนหญ้าคอยท่าไว้ ตามผืนดินเต็มไปด้วยเศษดินแห้งๆ แต่ทว่ากลับละเอียดราวกับเม็ดทราย แวดล้อมไปด้วยไม้ใหญ่นานาพรรณเขาควบม้าไล่ตามหยางหยุนเหลียงเข้ามาได้เพียงครู่เดียว ก็พบกับม้าสีขาวปลอดตัวหนึ่งถูกล่ามขวางหนทางไว้ จ้าวเสี่ยวหมิงจึงชะลอฝีเท้าม้าลง ก่อนจะกระโดดลงมาจากหลังม้าแต่รู้เสียที่ไหนว่าหยางหยุนเหลียงที่คอยจังหวะนี้ ใช้ดัชนีวายุร่อนระบำ ดีดลูกหินใส่หลังม้าของจ้

  • ข้านี่แหละจอมมาร (yaoi)   บทที่ 30 วิญญาณดวงสุดท้าย

    กล่าวมาถึงชิงเสี่ยวหม่าเมื่อต้องล่าถอยกลับมายังวังมาร ก็เจ็บหนักอยู่มิใช่น้อย จำต้องใช้เวลานอนพักรักษากายอยู่ราวสามวัน อาการจึงทุเลาลง และในวันนี้เมื่อร่างกายกลับมาเป็นปกติ เขาจึงนั่งมองคนโทเก็บวิญญาณที่ได้ไปรวบรวมวิญญาณของผู้บำเพ็ญตนในพิธีไล่ล่า ที่ตั้งอยู่อย่างสงบนิ่ง ภายในห้องสูบวิญญาณมาหลายวัน ด้วยแววตาเรียบเฉยทว่ากลับมีความพลุ่งพล่านร้อนรนอยู่ภายในด้วยเหตุที่ว่าชิงเสี่ยวหม่า มิอาจสูบวิญญาณเหล่านี้เข้าไปกายตนได้ เพราะต้องรอให้ได้ดวงวิญญาณดวงสุดท้ายที่ตนจักต้องไปไล่ล่ามาให้ครบเสียก่อนดวงวิญญาณที่มีเพียงสายเลือดบริสุทธิ์ของสกุลในตำนานเท่านั้นที่จะต้องเฟ้นหามา สายเลือดของสกุลหยางผู้มีสายปราณหยางวิ่งวนอยู่ภายในร่างกาย ดวงวิญญาณดวงสุดท้ายที่ตนจักต้องช่วงชิงมา และเวลาที่จักต้องดึงดวงวิญญาณนี้ออกมา คือในคืนวันเพ็ญเดือนแปดที่กำลังจะย่างกรายเข้ามาในอีกไม่ถึงหนึ่งขวบปีอีกทั้งยังมียังมีสิ่งที่ตนต้องตามหา นั่นคือหน้าสุดท้ายของคัมภีร์เดียรถีย์วิชาที่ขาดหายไป ไม่ว่าจะพลิกแผ่นดินหาเพียงใดก็ยังมิอาจพบเจอ เป็นสิ่งเดียวที่เขาจะต้องสืบเสาะให้ได้เสียก่อนพิธีกรรมการสูบดวงวิญญาณครั้งสุดท้ายจะเริ่มต

  • ข้านี่แหละจอมมาร (yaoi)   บทที่ 29 หยินหยางประสานกาย

    หยางหยุนเหลียงเหยียบเวหาก้าวทะยานไปยังทิศทางที่จ้าวเสี่ยวหมิงหนีไป นัยน์ตาสีดำสนิทกวาดมองไปมาจนทั่ว ภาพที่สะท้อนให้เห็นมีเพียงยอดไม้นานาพรรณ แผ่กิ่งก้านออกมาปกคลุมทั่วทั้งผืนป่าทว่าหากได้เพ่งมองดูอย่างถ้วนถี่ลึกลงไปถึงผืนแผ่นดิน ก็จะเห็นซากศพของนักพรตที่เพิ่งจะฝึกฝนระดับขั้นต้น ต้องมาสังเวยชีวิตให้กับเหล่าปีศาจจากวังมาร ทุกๆ ร่างต่างนอนแน่นิ่งไม่ไหวติ่งอย่างเดียวดาย มีเพียงผู้เหลือรอดค่อยๆ ออกตามหาร่างไร้ชีวิตของสหายตนเมื่อพบหนึ่งศพหยางหยุนเหลียงก็จุดพลุไฟบอกตำแหน่งเสียหนึ่งลูก ก่อนจะก้าวทะยานตามหาหลิวมู่เหยียนต่อไป เขาค้นหาทั้งผืนป่ากว้างใหญ่จนทั่ว แต่ก็ยังไม่เจอแม้เพียงเศษเส้นผมผ่านนานจนดวงตะวันคล้ายจะลาลับขอบฟ้า หิมะจึงค่อยๆ โปรยปรายลงมาอย่างบางเบา ในครานั้นเองสายตาของหยางหยุนเหลียงก็ไปสะดุดอยู่ตรงผาน้ำตก ที่มีไอเย็นแผ่ปกคลุมออกมา ด้วยเหตุที่เขาจำได้ว่าในยามเช้าตอนตนผ่านหนทางเส้นนี้มา น้ำตกสายนี้ยังไหลอย่างเอื่อยเฉื่อย มีไอความอบอุ่นคุกรุ่นอยู่ตลอดเวลา แม้จะเป็นยามช่วงต้นเหมันต์ฤดู ที่มีหิมะโปรยปรายลงมาปกคลุม ยังมิอาจแช่แข็งน้ำตกสายนี้ได้ทว่าในยามนี้กลับมีไอเย็นจัดแผ่ปกคลุมอยู่

  • ข้านี่แหละจอมมาร (yaoi)   บทที่ 28 ปะทะ

    หลังจากวันนั้นผ่านไปเพียงแค่สองวันหลิวเยี่ยเฟยก็มาขอเดินทางกลับไปยังสำนักหลิว เมื่อเห็นว่ามิมีส่วนใดเสียหาย หยางซิวอวี่ที่เพิ่งเดินทางกลับมา จึงอนุญาตให้กลับไปอย่างไร้ข้อกังขาใดๆ ด้วยความที่ว่าการบุกเข้ามาช่วงชิงกระบี่เยวี่ยกวงในวันนั้น มิมีผู้ใดปริปากบอกเจ้าสำนักหยางสักครึ่งคำ เมื่อหลิวเยี่ยเฟยเดินทางกลับไป วันเวลาก็ยังดำเนินต่อไปไม่มีหยุดพัก จากวันคือเปลี่ยนผันเป็นเดือน จากเดือนล่วงเลยเป็นแรมปี จ้าวเสี่ยวหมิงยังคงพำนักอยู่ที่สำนักหยางเจียนแห่งนี้ แม้จะมีผู้คนลอบเข้ามาแย่งชิงกระบี่ ก็จะถูกหยางซิวอวี่หรือหยางหยุนเหลียงไล่กลับไป โดยที่จ้าวเสี่ยวหมิงมิได้ออกแรงเสียเท่าไรจนกระทั่งสามปีพ้นผ่านไป ไร้ซึ่งผู้รุกรานใดๆ ย่างกรายเข้ามา แม้กระทั่งจอมมารฝูหมิงก็ยังมิยื่นมือเข้ามาช่วงชิงกระบี่คืนกลับไป ความสัมพันธ์ฉันท์สหายของหลิวมู่เหยียนและหยางหยุนเหลียงนั้นก็ยังคงดำเนินไปอย่างมิเป็นระเบียบ ดูคลายลิ้นกับฟันที่จะบังเอิญกระทบกันยามใด ย่อมมิอาจเลี่ยงการปะทะคารมเป็นครั้งคราวผ่านมาสามขวบปี ตบะฌานของหยางหยุนเหลียงก็ก้าวกระโดดไปไกลถึงระดับเจ็ด ไร้ซึ่งผู้ใดยากจะต่อกร ส่วนทางด้านจ้าวเสี่ยวหมิงนั้น ด

Plus de chapitres
Découvrez et lisez de bons romans gratuitement
Accédez gratuitement à un grand nombre de bons romans sur GoodNovel. Téléchargez les livres que vous aimez et lisez où et quand vous voulez.
Lisez des livres gratuitement sur l'APP
Scanner le code pour lire sur l'application
DMCA.com Protection Status