จมูกเขาแดงขึ้น ใบหน้าร้อนผ่าวซึ่งไม่น่าแปลกใจเพราะเขาแช่น้ำนานกว่าหนึ่งชั่วยาม ขึ้นๆลงๆอยู่ด้านหลังนั่นจนแน่ใจว่าไม่มีผู้ใดอยู่ด้านนอกแล้วจึงขึ้นมาและพบว่าจมูกเริ่มจะไม่ได้กลิ่นอะไรเพราะเขาสูดไอน้ำในห้องน้ำไปมากนั่นเอง
ห้องบรรทม
“เสด็จอาเพคะ นี่น้ำขิงเพคะ ดื่มเสียก่อนเถิดเพคะ”
“อืม ขอบใจเจ้ามาก เยว่ซิน มานั่งนี่สิ”
เยว่ซินเดินเข้าไปที่โต๊ะทรงอักษรของท่านอ๋องที่บัดนี้เขาสวมเพียงเสื้อนอนและมีชุดคลุมด้านนอกอยู่
“มีสิ่งใดหรือเพคะ”
“รายชื่อแขกที่จะเชิญมางานเลี้ยงอีกห้าวันข้างหน้า เจ้าอยากจะเชิญผู้ใดเพิ่มอีกหรือไม่”
“หม่อมฉันมีสหายในเมืองเฉินโจวนี้เพียงสองคนเพคะ สามารถเชิญพวกเขามาด้วยได้หรือไม่เพคะ”
“ย่อมได้อยู่แล้ว ผู้ใดกัน”
ท่านอ๋องถามพลางยกน้ำขิงที่นางต้มนั้นขึ้นมาจิบ
“ก็ลี่หลานเฟิน และศิษย์พี่ฟู่หย่งเล่อเพคะ”
“แค่ก แค่ก”
ท่านอ๋องสำลักน้ำขิงที่พึ่งดื่มเข้าไปในทันทีที่นางเอ่ยถึงบุรุษหนุ่มที่เรียนสำนักศึกษาเดียวกัน แต่บัดนี้เยว่ ซินตกใจและหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดปากให้เขา
“แย่จริง น้ำร้อนเกินไปหรือเพคะ หม่อมฉันคงไม่ได้เตือนเสด็จอา…ก่อน….เอ่อ…”
ใบหน้านางอยู่ใกล้เขาเพียงนิดเดียวเมื่อรีบพุ่งตัวไปเช็ดปากให้ท่านอ๋อง เขาคว้าที่มือนางและมองนางอยู่ ใบหน้าที่ขาวดุจไข่มุกไร้เครื่องประทินโฉมในยามนี้ของนางทำเอาท่านอ๋องเริ่มวางตาไม่ลง นางค่อยๆดึงมือออกแต่เขารั้งมือเอาไว้
“เช็ดให้ข้า…หมดแล้วหรือยัง เช็ดออกให้หมดสิเยว่ซิน”
“พะ….เพคะ”
เยว่ซินไม่อาจขัดบัญชาได้ นางจึงเช็ดปากเขาพร้อมกับเช็ดที่ปกเสื้อชุดนอนเขาด้วยก่อนจะรีบดันตัวเองออกมาอย่างเร่งร้อน
“สะ…เสร็จแล้วเพคะ”
“อ้อ เช่นนั้นแขกที่เจ้าให้เพิ่ม เจ้าก็เขียนเพิ่มเอาเถิด”
“เพคะ”
นางคว้าพู่กันและน้ำหมึกมาเขียนรายชื่อต่อจากแขกของท่านอ๋อง เขามองนางสลับกับดื่มน้ำขิงจนหมด เมื่อนางเขียนเสร็จแล้วจึงวางลง
“หากว่าเสด็จอาดื่มน้ำขิงหมดแล้ว หม่อมฉันขอตัวก่อนนะเพคะ”
“ข้า….รู้สึก…เวียนหัวเสียจริง เจ้า..มาพยุงข้าที”
“หม่อมฉันคิดว่าเสด็จอาคงจะจับไข้แล้วเป็นแน่ อย่างไรให้ท่านหมอมาดูอาการเสียหน่อย…”
“ไม่ต้อง…เจ้า…เช็ดตัวเป็นหรือไม่”
“เพคะ??”
“อยู่ที่สำนักศึกษา เขาไม่ได้สอนการเช็ดตัวให้หรือ”
“คือว่า…ก็มิใช่ว่าจะไม่สอน แต่ว่า…”
“เช่นนั้นเจ้าก็ทำ คงไม่มากไปหรอกใช่หรือไม่”
“แต่ว่า ให้พี่จงลี่มาทำจะสะดวกกว่าหรือไม่เพคะ”
“จงลี่ไปทำงานให้ข้า คืนนี้ไม่มาแล้ว คนอื่นก็คงนอนหมดแล้ว เจ้านั่นแหละทำ”
คำพูดที่ฟังดูเรียบๆแต่แฝงด้วยความนัยมากมายอย่างไม่อาจคิดได้นั้นทำให้เยว่ซินปฏิเสธไม่ได้ แม้ว่านางจะเคยเช็ดตัวให้หลานเฟิน แต่นางก็เป็นสตรีเช่นเดียวกับนาง ไม่เหมือนจวินอ๋อง ที่เป็นบุรุษแต่กลับให้นางเช็ดตัวให้
“เสด็จอาเพคะ พระองค์ต้อง….ถอดชุดนอนก่อนเพคะ”
“อ่อ ได้สิเจ้า..จัดการได้เลย ข้าเหมือนจะหมดแรงแล้ว”
“….ก็ได้เพคะ”
ท่านอ๋องปล่อยให้นางถอดเชือกผูกชุดนอนของเขาออกเผยให้เห็นอกกว้างที่มีกล้ามเนื้อกำยำด้านใน เยว่ซินหายใจไม่ทั่วท้องเมื่อเห็นเข้า
นางไม่เคยเห็นกล้ามเนื้อที่งดงามเช่นนี้มาก่อน แม้ว่าจะเคยเห็นพวกศิษย์พี่ที่เคยถอดเมื่อตอนที่เรียนวิชากลางแจ้ง แต่ก็มิได้น่าดูเช่นของท่านอ๋องตรงหน้า
“เจ้า…เคยเห็นด้วยหรือ เหตุใดดูเจ้าไม่นึกแปลกใจ”
จวินลู่หานถามด้วยความนึกแปลกใจเพราะเขาภาคภูมิใจกับกล้ามเนื้อในส่วนนี้มาก เชื่อว่าสตรีใดได้พบเห็นย่อมทนไม่ไหวแต่หลันเยว่ซินกลับมองด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“หม่อมฉัน…เคยเห็นพวกศิษย์พี่…”
“เจ้าเห็นของชายอื่นงั้นหรือ…”
ท่านอ๋องลุกพรวดพราดขึ้นมาจากเตียงพร้อมกับดึงแขนที่ถือผ้าชุบน้ำเพื่อจะเช็ดตัวให้เขา เยว่ซินตกใจไม่น้อยเมื่อเห็นว่าเขาลุกขึ้นมาได้ ท่านอ๋องเองก็ดูเหมือนจะลืมว่าแกล้งป่วยอยู่ เขาจึงเริ่มทำท่าหมดเรี่ยวแรงและค่อยๆล้มตัวลงไป
“เอ่อ…เสด็จอา…เป็นอย่างไรบ้างเพคะ”
“ข้าลุกขึ้นกะทันหัน ตอนนี้...เหมือนจะเวียนหัว”
“เช่นนั้นหม่อมฉันจะรีบเช็ดตัวให้นะเพคะ”
“ลำบากเจ้าแล้ว ว่าแต่...เหตุใดเจ้าจึงต้องแอบดูชายหนุ่มฝึกวิชาด้วยเล่า”
“หม่อมฉันเปล่านะเพคะ ปกติแล้วชายหญิงจะแยกกันฝึกอยู่แล้ว แต่ว่ามีหลายครั้งที่พวกเขาจะวิ่งไปรอบๆสำนัก และพวกหม่อมฉันก็ทำอย่างอื่นอยู่จึงได้เห็น บางทีพี่หย่งเล่อก็วิ่งมาแวะทักทายก่อนจะไปรวมแถวเพคะ”
เขาได้ยินชื่อนี้มาไม่ต่ำกว่าสามครั้งแล้วตั้งแต่นางกลับมา และเขาก็เริ่มรู้สึกไม่พอใจขึ้นมามากขึ้นทุกครั้งที่ได้ยิน แม้ว่าจะนานแล้วที่ไม่พบนาง แต่เหตุใดเมื่อพบอีกครั้งในรอบนี้ เขากลับอยากครอบครองนางเอาไว้เพียงคนเดียว ไม่อยากให้ผู้อื่นมายุ่งเกี่ยวกับนาง
“เจ้า สนิทกับคนผู้นั้นมากหรือ”
“หมายถึงหลานเฟินหรือเพคะ”
“กับ…”
“พี่หย่งเล่อหรือเพคะ พวกเรามักจะไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดเพคะ เพราะอยู่เมืองเดียวกัน คนอื่นๆที่มาจากเมืองเดียวกันก็สนิทกันเช่นนี้เหมือนกัน พี่หย่งเล่อยังมอบเข็มกลัดให้พวกเราด้วยในพิธีปักปิ่นและจบการศึกษา”
“พิธีปักปิ่นงั้นหรือ”
ใช่ เขานึกออกแล้ว ช่วงเวลาอายุสิบเจ็ดปีเต็มของสตรีจะต้องผ่านพิธีนี้ เขาเคยเข้าร่วมอยู่สองครั้งในพิธีนี้ในเมืองเฉินโจวกับบุตรตรีขุนนาง
หนึ่งในนั้นก็มีซ่งเหมยลี่ด้วย ซึ่งเขาพอนึกออกว่าเป็นพิธีที่สำคัญมาก แต่ตอนที่เยว่ซินครบสิบเจ็ดปี ในตอนนั้นเขาคงอยู่ท่ามกลางสนามรบและไม่ทันได้เตรียมปิ่นสวยๆส่งไปให้นาง
“เจ้าบอกว่า เขามอบเข็มกลัดให้งั้นหรือ”
“เพคะ มอบให้หม่อมฉันกับหลานเฟินคนละอันเพคะ”
“โอ๊ย…เหตุใดข้า....จึงปวดหัวเช่นนี้นะ แย่จริง”
“เสด็จอาเพคะ หม่อมฉันให้คนไปต้มยาแก้ไข้มาให้ดีกว่านะเพคะ”
“ไม่ต้องหรอก นอนพักสักพักก็คงหาย เจ้าน่ะหากไม่ลำบากก็ช่วยอยู่เป็นเพื่อนข้าที หากไข้ขึ้นตอนดึกอีก อาจจะต้องรบกวนเจ้าเช็ดตัวให้อีกที”
“แต่ว่า นี่ห้องบรรทม…”
“ทำไมละ เจ้าจำไม่ได้หรือว่าตอนที่เจ้ามาอยู่ที่นี่ใหม่ๆ เจ้าก็ขอมานอนด้วยกับข้าทุกคืนร่วมเดือน ตอนนั้นไม่เห็นเจ้าจะนึกกลัว”
“แต่ว่านั่น หม่อมฉัน…พระองค์จะนำมาตรัสรวมกันหาได้ไม่นะเพคะ”
“ตอนนี้กับตอนนั้นต่างกันตรงไหน เจ้าก็ยังเป็นเจ้า ข้าก็ยังเป็นข้า หรือว่าเจ้าในตอนนี้ มองข้า…เป็นคนอื่นไปเสียแล้ว”
“เสด็จอาเพคะ เหตุใดจึงตรัสเช่นนั้น”
“เจ้าจากที่นี่ไปตั้งสี่ปี แน่นอนว่าจะเหมือนเดิมได้เช่นไร เจ้ามีทั้งสังคมใหม่ สหายใหม่ คนรู้จักมากมาย เจ้าคงไม่ต้องมาสนใจท่านอ๋องที่บ้าศึกสงครามเช่นข้าแล้วกระมัง”
“ไม่ใช่นะเพคะเสด็จอา หม่อมฉันไม่ได้คิดเช่นนั้น เพียงแต่ว่า…เสด็จอาเองก็ถึงวัยที่…สมควร…”
“แล้วอย่างไร ข้ารู้ตัวว่าข้ากำลังทำสิ่งใดอยู่ หากว่าเจ้าคิดว่าลำบากมาก เจ้าก็ออกไปเถิด ไม่ต้องทำแล้ว”
ท่านอ๋องหันหลังให้กับนาง หลันเยว่ซินไม่เคยเห็นเขาเป็นแบบนี้มาก่อน ไม่ว่าจะเมื่อเป็นก่อนนี้หรือในตอนนี้ที่เขาน่าจะโตขึ้นจากครั้งที่นางจากไปก่อนหน้านั้น
แต่ดูแล้วเหตุใดเหมือนว่าเขาจะไม่พอใจที่นางเมินเขาเช่นนี้เสียงหมอนวางดังจนจวินลู่หานต้องหันมาดูเล็กน้อยแต่เขาก็ไม่ได้หันมาทั้งตัว
“นั่นเจ้าจะทำสิ่งใดกัน”
“จัดที่นอนเพคะ”
ท่านอ๋องรีบขยับตัวเพื่อให้นางได้จัดที่นอนของตัวเอง เขารีบหันไปมองหลันเยว่ซินที่เดินเอาหมอนและผ้าห่มในหีบที่ตั้งวางไว้เดินมา แต่ช่วงที่นางหันมา ท่านอ๋องเจ้าเล่ห์ก็พยายามทำสีหน้าเหมือนป่วยและไอถี่ๆพอเป็นพิธี“เสด็จอาแน่ใจนะเพคะว่าไม่ต้องการดื่มยาลดไข้ก่อนจะบรรทม”“ไม่ละ คงเพราะเดินทางมาไกลและอากาศเปลี่ยนกะทันหัน ก็เลยปรับตัวไม่ทัน เจ้าคงไม่รังเกียจคนแก่อย่างข้าหรอกกระมังเยว่ซิน”“เสด็จกล่าวเกินไปแล้วเพคะ อายุเพียงเท่านี้จะเรียกว่าแก่ได้เช่นไรเพคะ”“นั่นสิๆ ใช่ๆ ข้ากับเจ้าอายุห่างกันเพียงแค่แปดปีเอง เจ้าว่าหรือไม่ว่านี่มันช่าง….”“หม่อมฉันจะดับไฟแล้วนะเพคะ”“อ้อ….เช่นนั้นข้าจะนอนแล้ว”หลันเยว่ซินลุกขึ้นไปดับไฟพร้อมกับใช้ฝาครอบเพื่อมิให้มีควันออกมารบกวนท่านอ๋อง นางถอดชุดคลุมด้านนอกออกแล้วเดินมาที่เตียงก่อนจะล้มตัวลงนอนข้างๆเขาโดยมีหมอนข้างกั้นเอาไว้ระหว่างทั้งสอง ในตอนเด็กที่นางมาที่นี่ใหม่ๆ นางก็มักจะขอมานอนกับเขาเพราะฝันร้าย แม่นมเถียนจะพานางมาก่อนที่ท่านอ๋องจะบรรทม เขาก็จะอนุญาตให้นางนอนด้วยเพราะเห็นว่านางเป็นน้องสาว แต่ตอนนี้เขาเริ่มรู้ตัวแล้วว่าเขา…ไม่ได้คิดกับนางแค่น้องสาวเหมือนเมื
“น้องเล็ก เจ้าอย่าพูดเหลวไหล ข้าก็แค่…”“เอาล่ะๆไม่พูดแล้ว เราไปคุยกันที่สวนเถอะ พี่ใหญ่ท่านจะไปที่ใดก็รีบไปเถิดเจ้าค่ะ”“ข้า…วันนี้ข้าว่างแล้ว หากว่าคุณหนูหลันไม่รังเกียจ ให้พวกข้ารับรองท่านด้วยชาและของว่างดีๆกว่านี้เถิด”“ขอบคุณคุณชายลี่เจ้าค่ะ”“เช่นนั้นเชิญคุณหนูทางนี้เลย”เยว่ซินเดินตามพวกเขาไปที่สวนด้านหลังพร้อมกับหลานเฟินที่กระทุ้งเอวพี่ใหญ่ของตัวเอง“พี่ใหญ่ ข้ารู้นะว่าท่านคิดสิ่งใดอยู่”“น้องเล็กอย่าพูดเหลวไหล เจ้ารู้หรือไม่ว่าสหายเจ้าผู้นี้คือใคร หากรับรองไม่ดีจะเกิดข้อครหากับจวนมหาบัณฑิต ชื่อเสียงของท่านพ่อคงฝากเอาไว้ที่เจ้าไม่ได้”“พี่ใหญ่ อย่าทำเป็นเอาชื่อเสียงท่านพ่อมาอ้าง ข้ารู้ว่าท่านแอบมองสหายข้าอยู่ แต่ท่านรู้หรือไม่ว่านางน่ะ เป็นที่สนใจของบุรุษอื่นๆมากมาย คู่แข่งของท่าน ท้ายแถวคงอยู่ประตูเมืองเฉินโจวโน่นเลยล่ะ”“เพราะข้ามีเจ้าอย่างไรเล่า จึงไม่จำเป็นต้องไปต่อแถว”“ท่านมันร้ายกาจเกินไปแล้ว”“รีบพานางไปนั่งเถอะ ข้าจะไปบอกเด็กให้นำชาหลงจิ่งและทำของว่างมาให้”“ข้าคิดค่าลัดแถวของท่านแพงแน่ๆ”“ข้าจะจ่ายค่าชุดใหม่ให้เจ้าพร้อมเครื่องประดับสี่ชุด ว่าอย่างไร”“เจ้าค่ะ ได้เลยแ
จวินลู่หานเงยหน้าขึ้นมามองผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าพร้อมกับลุกขึ้นยืนด้วยความดีใจ แต่ก็รีบนั่งลงทันทีพร้อมกับปรับสีหน้าและเริ่มไอขึ้นมา“พระองค์ยังไม่หายดี เหตุใดยังมาประทับอยู่ที่นี่เพคะ เหตุใดจึงไม่ไปนอนพักเสียหน่อย”“เจ้า…กลับมาแล้วงั้นหรือ ออกไปเที่ยวมา สนุกหรือไม่เล่า”“หม่อมฉัน..เพียงแค่ไปส่งเทียบเชิญเท่านั้นเพคะ นั่งคุยกับหลานเฟินนานไปหน่อยก็เลยกลับมาช้าเพคะ”“แน่ใจว่ามีเพียงนางแค่คนเดียว”“ว่าอย่างไรนะเพคะ เสด็จอาหมายถึงอะไรเพคะ”“แค่ก แค่ก”“เสด็จอาเพคะ”“ข้าคอแห้ง รินชาให้ข้าที”“เพคะ”เยว่ซินหันมายิ้มและรินชาให้ท่านอ๋องและยกไปให้เขาพร้อมกับยกให้ เขารับขึ้นมาดื่มพร้อมกับลอบยิ้ม อย่างไรนางก็กลับมาแล้ว ความหงุดหงิดนั้นก็เริ่มเบาบางลง“เจ้า….เหตุใดไม่รีบเตรียมตัว อีกไม่กี่วันก็จะถึงงานเลี้ยงแล้ว”“หม่อมฉันต้องเตรียมตัวอย่างไรเพคะ หม่อมฉันก็สั่งบ่าวไพร่ให้จัดแจงงานแล้ว อาหารและเสบียงที่เสด็จอาสั่งก็ตระเตรียมแล้ว และยุ้งฉางที่สั่งเปิดเพื่อแจกจ่ายเสบียงหม่อมฉันก็ไปตรวจนับจำนวนไว้แล้ว”“ข้ามิได้หมายถึงเรื่องพวกนั้น เอาเช่นนี้ พรุ่งนี้ข้าจะพาเจ้าไปเอง”“แต่ว่าพรุ่งนี้…”“เจ้ามีธุระอะไรก็
“แล้วพรุ่งนี้เสด็จอาจะพาหม่อมฉันไปที่ใดหรือเจ้าคะ”“พรุ่งนี้…เจ้าก็จะรู้เอง รีบทำเถอะ อีกไม่มากแล้ว”“เพคะ”หลันเยว่ซินไม่สอบถามอะไรเขาอีก พวกเขานั่งทำงานไปเงียบๆและมีพูดคุยซักถามกันบ้างเป็นบางครั้งเท่านั้น ซึ่งเยว่ซินออกมาจากห้องทรงงานนั้นช่วงเย็นแล้ว นางเห็นว่าเวลายังพอเหลือจึงตัดสินใจไปแช่น้ำที่ห้องอาบน้ำ“เมื่อยแขนเสียจริง”นางวาดแขนไปมาในสระน้ำอุ่นนั้น นางชอบสระน้ำอุ่นที่ตำหนักที่สุดเพราะทั้งกว้างและสบายแล้วยังมีโขดหินใหญ่ริมสุดที่ทำเป็นน้ำตกปลอมเอาไว้ทำให้รู้สึกราวกับอาบน้ำอยู่กลางน้ำตกในป่า ขาเรียวนั้นตีน้ำไปมาอย่างอิสระ ไม่นานนางก็ได้ยินเสียงด้านนอก ราวกับว่าจะมีคนกำลังเข้ามา นางสั่งให้ชุนถงกลับไปแล้วจึงไม่มีผู้ใดเฝ้าอยู่ มิใช่ว่าท่านอ๋องจะมาอาบน้ำเอาเวลานี้หรอกใช่หรือไม่ นางรีบว่ายไปซ่อนที่โขดหินด้านหลังเมื่อร่างหนึ่งที่สวมเพียงผ้าพันรอบเอวและเดินเข้ามาในห้องอาบน้ำ ใจของเยว่ซินเต้นระทึกมากกว่าเดิมเพราะนางพึ่งจะเคยเห็นแผงอกนั่นเต็มๆ“แย่แล้ว เสด็จอาจริงๆด้วย ทำเช่นไรดีเล่า”บัดนี้โขดหินนี้คือที่ซ่อนที่เดียวที่สามารถกำบังกายนางเอาไว้เพื่อไม่ให้เขาเห็นได้เมื่อท่านอ๋องเริ่มถอด
ใบหน้าของเยว่ซินร้อนผ่าวขึ้นอีกครั้ง นี่นางทำเรื่องน่าอายเช่นนั้นไปได้จริงหรือนี่ เลือดกำเดาไหลต่อหน้าเขาแล้วยัง….“แย่จริง เสด็จอาต้องจับได้แน่ๆว่าข้า….”“เยว่ซิน เจ้าเป็นอะไร ยังปวดที่ใดอีกหรือไม่”“ไม่เพคะ คือว่าหม่อมฉัน”“เช่นนั้นก็นั่งลง สำรับกำลังจะมาแล้ว”“เสด็จอาเพคะ คือว่า…ท่านหมอบอกว่าหม่อมฉัน ติดไข้จากเสด็จงั้นหรือเพคะ”“ใช่สิ เจ้าสงสัยอะไรงั้นหรือ”“เปล่าเพคะ”“เช่นนั้นก็กินข้าวเถอะ วันนี้เจ้าคงเหนื่อยแล้ว ทั้งออกไปข้างนอกมาและยังมาช่วยงานข้าอีก เอานี่ กินเยอะๆ”จวินลู่หานพยายามจะไม่พูดถึงเรื่องที่นางป่วยอีก เขาเกรงว่านางจะอายจนไม่กล้ากินข้าว แต่อย่างน้อยเขาก็รู้สึกว่านางในตอนนี้มีบางอย่างที่เปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเป็นท่าทีที่อ่อนโยนลง หรือแม้แต่บางครั้งที่ไม่ค่อยกล้าสบตาเขา“หม่อมฉันอิ่มแล้วเพคะ”“เช่นนั้นก็ดื่มยานี่แล้วนอนพักเสีย”“เพคะ”หลันเยว่ซินรับยาจากท่านอ๋องมาโดยง่าย แต่นางไม่ชอบดื่มยาเอาเสียเลย ทุกครั้งที่ีดื่มยาจะต้องกลั้นหายใจและพยายามดื่มรวดเดียวจนหมด เมื่อนางวางถ้วยยาลงจึงหันมามองหน้าเสด็จอา เขายื่นลูกบ๊วยมาให้นางพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มักมีให้นางอยู่เสมอ“เอานี่
“เสด็จอา!!”“ชู่ว เจ้าอย่าลืมสิ ข้างนอกนี่เรามิใช่ท่านอ๋องกับคุณหนู หลันนะ”“แต่ว่าข้า…”“ทำไม เจ้าไม่ชอบคำเรียกนี้งั้นหรือ”“คือว่า..”“รีบสั่งสิ เจ้าไม่หิวหรือ เดินมาทั้งวันแล้ว”“เจ้าค่ะ”“ดีมาก”เยว่ซินสั่งอาหารสองสามอย่างมาพร้อมกับน้ำชา พวกเขากินเสร็จแล้วจึงเดินซื้อของในตลาดอีกหลายร้านก่อนจะกลับไปที่ตำหนัก ขากลับจากตลาด ความอ่อนล้าเพราะเดินมาก เยว่ซินจึงเผลอหลับ ท่านอ๋องจึงเอาไหล่ให้นางพิงพร้อมกับแอบโอบกอดนางเพื่อไม่ให้นางตก วันนี้ทั้งวันเขากับนางเล่นเป็นสามีภรรยากันอยู่ข้างนอกนั่นทำให้เขาอารมณ์ดี มือนั้นหยิบบางอย่างที่แอบซื้อออกมาและติดไปที่ผมของนาง เป็นที่ใส่ผมผีเสื้ออันเล็กๆที่มีมุกประดับห้อยลงมา เขาเห็นว่ามันดูเหมาะกับนางจึงแอบซื้อมาให้ ตอนนี้เมื่อใส่ที่ผมของนางแล้วก็รู้สึกว่าเหมาะกว่าที่เขาคิด“อืม..ถึงแล้วหรือเพคะ”“ใกล้แล้ว นอนอีกหน่อยเถอะ”เขาดึงเธอมาซบที่ไหล่เขาอีกครั้ง เยว่ซินเองก็ไม่ได้ขัดคำสั่งนี้ นางพิงไปที่ไหล่เขาทันทีเช่นกันพร้อมกับลอบยิ้มด้วยความพอใจไม่น้อย วันนี้นางมีความสุขมากเหลือเกิน ตั้งแต่มาอยู่เฉินโจว ไม่สิต้องบอกว่าตั้งแต่นางสูญเสียครอบครัวที่เมือง เหล
หลันเยว่ซินทำท่าตกใจอย่างมาก เหตุใดเขาจึงสั่งให้นางนำเครื่องประดับที่เขาซื้อให้เองออก ชุนถงเองก็ต้องรีบนำผีเสื้อคู่นั้นออกตามคำสั่งทันทีด้วยเกรงว่าผมที่นางอุตส่าห์ทำให้คุณหนูของนางจะพัง “เสด็จอาเพคะ เหตุใดจึง…”“พวกเจ้าออกไปก่อน”ชุนถงและจงลี่ออกไปตามคำสั่ง ก่อนออกไปเขาส่งกล่องไม้หรูหรานั้นให้ท่านอ๋องและเดินออกไปพร้อมกับชุนถงทันที เขาเดินเข้าไปหานางที่นั่งอยู่ สายตาของเยว่ซินมองกล่องในนั้นอย่างนึกสงสัย“นี่คือสิ่งใดเพคะ”“ของขวัญสำหรับเจ้า เปิดดูสิ คืนนี้ข้าอยากให้เจ้าสวมเครื่องประดับชุดนี้”เยว่ซินรับกล่องใบนั้นมาพร้อมกับวางที่บนโต๊ะและเปิดออก ในนั้นคือกำไลหยกขาว เครื่องประดับสีเงินประดับทับทิมสีแดงและมุกประดับสลับกันมีมาลาสำหรับใส่ผม ต่างหูหนึ่งคู่ สร้อยคอและปิ่นปักผมที่งดงามหรูหราเป็นรูปหงส์คาบมุกพร้อมกับพลอยสีชมพูอ่อนยาวที่เป็นเส้นประดับลงมาเข้าชุดกันกับเครื่องประดับที่เหลือ“ชอบหรือไม่”“มันงดงามมากเลยเพคะ แต่เครื่องประดับหรูหราเช่นนี้ หม่อมฉัน…”“เป็นของขวัญสำหรับพิธีปักปิ่นที่ข้ามิได้ส่งให้เจ้า มิใช่ว่าข้าลืม แต่ในเวลานั้น ข้าทำศึกอยู่นองเมืองเฉินโจว จนปัญญาจะสรรหาของขวัญดี ๆ
ซ่งเหมยลี่รู้สึกอับอายยิ่งนักเมื่อถูกปฏิเสธอย่างแรงกลางงานเลี้ยงเช่นนี้ แม้ว่าเหล่าขุนนางจะรู้ว่านางเหมาะสมกับตำแหน่งพระชายาอ๋องแต่ขุนนางบางส่วนก็ไม่ได้ชอบใจวิธีการของนางและบิดามากนักที่พยายามอยากจะขึ้นสู่ตำแหน่งนี้ หากว่ามีสตรีอื่นที่ดูเหมาะสมกว่านางสักนิดให้พวกเขาได้สนับสนุนแล้วละก็….“คุณหนูขอรับ”เยว่ซินหันไปมองจงลี่ที่เดินมาหานางด้วยหน้าตาแตกตื่นเล็กน้อย"“พี่จงลี่ เกิดสิ่งใดขึ้นเจ้าคะ”“รีบไปเถิดขอรับ ท่านอ๋องเริ่มกริ้วแล้ว”“แต่ที่นั่นมันที่สำหรับขุนนางนะเจ้าคะ”“รีบไปเถิดขอรับข้าน้อยขอร้อง”เยว่ซินหันมามองหลานเฟินและนางก็ตบแขน ลี่ หยางจินและฟู่หย่งเล่อก็รู้ดีว่านางคือผู้ใด จึงไม่มีใครคัดค้านนาง“เจ้ารีบไปเถอะ งานนี้ส่วนหนึ่งท่านอ๋องก็ตั้งใจจัดให้เจ้าเช่นกัน หากไม่ไปคงไม่ดีแน่”“เช่นนั้นข้าขอตัวก่อนนะ”เยว่ซินเดินตามจงลี่ไปและไปนั่งที่โต๊ะข้างๆท่านอ๋อง ในตอนนี้เองที่เหล่าบรรดาขุนนางทั้งหลายต่างมองไปยังที่หลันเยว่ซินด้วยความตกตะลึงในรูปโฉมที่งดงาม ซึ่งพวกเขาไม่เคยพบนางมาก่อนและไม่ทราบว่านางคือผู้ใด แต่ขุนนางบางส่วนเริ่มยิ้มออกมาด้วยความพอใจ“ในที่สุดบุตรีเจ้ากรมซ่งก็พบคู่แข่งที
เมี่ยวเข่ออ้ายนิ่งไป นางรู้สึกตกใจราวกับว่าไม่ใช่เรื่องจริง ลี่หยางจินผู้นั้น คนที่เอาแต่พูดหลักการมากมาย บัณฑิตที่พูดแต่สิ่งที่นางไม่เข้าใจ บอกรักนางงั้นหรือ นางตกใจอีกครั้งเมื่อเขากระชับกอดเข้ามาพร้อมกับใบหน้าที่วางที่ไหล่ของนาง“เข่ออ้าย ข้ารักท่านจริงๆ เรื่องนี้มิได้โกหก แม้ว่าสิ่งที่ข้าพูดกับท่านก่อนหน้านี้จะร้ายกาจ แต่ที่พูดเรื่องเจ้ากับหย่งเล่อ เพราะว่าข้า…หึงเจ้า ไม่อยากให้เจ้าอยู่ใกล้กับบุรุษอื่น”เข่ออ้ายทำตัวไม่ถูก ลี่หยางจินผู้นั้น บัณฑิตน่ารำคาญนั่นบอกว่ากำลังหึงนางงั้นหรือ นี่เขาป่วยจนเพี้ยนไปแล้วใช่หรือไม่“นี่ท่าน เพ้อเพราะพิษไข้งั้นหรือ”“เรื่องที่ข้าป่วยเป็นเรื่องโกหก แต่เรื่องความรู้สึกของข้าเป็นความจริง เจ้าอย่าผลักใสข้าอีกเลยนะเข่ออ้าย”“นี่พวกท่าน…รวมหัวกันหลอกข้างั้นหรือ”“มันจำเป็น หากว่าครั้งนี้ไม่อาจคุยกับเจ้า ข้าก็ไม่มีโอกาสแล้ว ดังนั้น…”“ดังนั้นพวกท่านจึงใช้เรื่องนี้มาล้อเล่นกับความรู้สึกข้า มาหลอกข้า ท่านมัน…อุ๊บ…อื้มมม”ลี่หยางจินผลักนางลงที่เตียงและจูบนางทันทีเพื่อให้นางหยุดโมโห หากว่าเขาปล่อยนางไป ให้พบนางอีกครั้งคงยากแล้ว แผนแรกพูดไปแล้ว เหลือแค่แผนที
วังหลวงแคว้นฮั่วซู“องค์หญิง เอ่อ…กระหม่อม…”ลี่หยางจินเดินตามเมี่ยวเข่ออ้ายเมื่อเขาเดินออกมาจากห้องทรงงานของฝ่าบาทและจะเดินกลับไปยังตำหนัก ตั้งแต่ที่ทุ่งหญ้าเมื่อวานนี้พอกลับมาที่วังหลวง พวกเขาก็ไม่พบนางอีกเลย….“ท่านทูตเจ้าคะ องค์หญิงให้ข้าน้อยเรียนว่าวันนี้นางไม่ค่อยสบาย จึงไม่อยากรับแขกเจ้าค่ะ ขอเชิญท่านทูตกลับไปก่อนเถิดเจ้าค่ะ”“แต่ว่า…”“พี่ใหญ่ ท่านไปหาเข่ออ้ายมาอีกแล้วงั้นหรือ เหตุใดจึงไม่รอทำตามแผนการของข้าก่อนเล่าเจ้าคะ”“แต่เวลาอีกแค่สองวัน ข้าเกรงว่านางจะไม่ให้โอกาสข้าอีกแล้ว”“เฮ้อ….เช่นนี้แผนของพวกข้าก็ล่มหมดสิเจ้าคะ”“แผน แผนอันใดกัน”“เช่นนี้นะเพคะ…..”ตำหนักองค์หญิง“พี่เยว่ซิน พี่หลานเฟิน พวกท่านมาแล้ว”“เข่ออ้าย เหตุใดเจ้าดูซูบเช่นนี้เล่า เจ้า…อดอาหารงั้นหรือ”“เปล่าเจ้าค่ะพี่เยว่ซิน ข้าเพียงแต่….”“อดนอน…นี่เข่ออ้าย เจ้าจะป่วยอีกคนไม่ได้นะ ให้พี่จอมอ่อนแอของข้าป่วยแค่คนเดียวก็พอ อุ่ย…”“หลานเฟิน ไหนเจ้ารับปากพี่ลี่แล้วอย่างไรว่าจะไม่…”เข่ออ้ายตกใจเมื่อได้ยินว่าลี่หยางจินล้มป่วย“เกิดสิ่งใดขึ้น พี่หยางจินป่วยงั้นหรือ เหตุใดไม่เห็นมีผู้ใดมาแจ้งข้าเลย”"เข่ออ้ายเจ้าใ
ลี่หยางจินยืนเฝ้ามองที่ทุ่งหญ้าว่างเปล่านั้นเป็นเวลาเกือบสองเค่อ เมื่อมองออกไปอีกทีก็เห็นว่าองค์หญิงขี่ม้ากลับมาพร้อมกับม้าอีกตัว น่าจะเป็นม้าของฟู่หย่งเล่อ แต่ไม่เห็นอีกสองคน “องค์หญิง แล้ว…”“ไม่พบ แต่ไม่ต้องห่วง พี่ฟู่ไม่หลงทางหรอก”“แต่ว่าหย่งเล่อไม่เคยมาที่นี่”“ข้าพาเขามาขี่ม้าสำรวจเมื่อวันก่อน เขาบอกว่าจะมาหาที่ให้พี่หลานเฟินหัดขี่ม้า”“องค์หญิงเสด็จมากับเขาตามลำพังงั้นหรือ!!”เข่ออ้ายหันไปมองเขาอย่างนึกตกใจ เมื่อนางลงจากม้าและดื่มน้ำพักเหนื่อย เขาเดินตรงมาถามนางอย่างใคร่รู้จนนางเริ่มตกใจ“ท่านเป็นอะไรไป ข้าก็แค่พาเขามาสำรวจทุ่งหญ้าเท่านั้น”“แต่ชายหญิงห้ามอยู่ด้วยกันตามลำพัง เหตุใดท่าน…อย่าว่าแต่อยู่ด้วยกันเลย นี่ท่านกล้าพาเขาออกมาสองต่อสองในที่เช่นนี้ เหตุใดท่านจึงไม่ทำตัวเหมือนสตรี….”“พอที!!”“เลิกเอาข้าไปเปรียบเทียบกับสตรีในดวงใจของท่าน ข้าก็เป็นคนเช่นนี้อยู่แล้ว และเรื่องที่ข้าจะไปไหนกับผู้ใดก็มิใช่กงการอะไรของท่าน ขอตัวก่อน”“เดี๋ยว องค์หญิง เหตุใดท่านออกมากับคุณชายฟู่ กระหม่อมจึงไม่ทราบเรื่องนี้”เขาเอื้อมมือไปจับนางไว้พร้อมกับดึงเข้ามาถาม เมี่ยวเข่ออ้ายตกใจเมื่อเขาดึง
ฟู่หย่งเล่อและหลานเฟินกลับมายังที่พักม้า เข่ออ้ายและหยางจินรอพวกเขาอยู่ที่นั่น องค์หญิงนั้นนั่งอยู่ห่างจากหยางจินคนละทางเมื่อสาวใช้ตะโกนบอกว่าพวกเขามาถึงแล้ว“องค์หญิงเพคะ แม่นางกับท่านรองแม่ทัพมาถึงแล้วเพคะ”เข่ออ้ายรีบวิ่งไปที่ม้าของหย่งเล่อเพื่อรอพวกเขา หยางจินที่ยืนมองนางอยู่กำลังจะพูด แต่เข่ออ้ายหันมามองเขาและเดินเลี่ยงไปอีกฝั่งของม้าเมื่อหลานเฟินถูกอุ้มลงมาจากหลังม้าแต่นางเหมือนกับเดินไม่ไหวจนหย่งเล่อตัดสินใจอุ้มนางเดินมาหาพวกเขา“พี่หลานเฟิน เหตุใดเป็นเช่นนี้เกิดอะไรขึ้น!!”“เข่ออ้าย คือว่าข้า…”หลานเฟินนั้นไม่กล้าตอบ ใครจะกล้าพูดว่าฟู่หย่งเล่อรังแกนางจนนางเดินไม่ไหวจนเขาต้องอุ้มนางนั่งม้ามาด้วยกันเช่นนี้ แต่ฟู่หย่งเล่อนั้นเก็บอาการได้ดีกว่านางมากนัก เขาเป็นผู้เอ่ยขึ้นมา“นางตกม้าน่ะ ข้าไปช่วยเอาไว้ทันแต่ขานางยังเจ็บอยู่ ช้าไปมากเพราะมัวแต่เรียกและตามหาม้าอยู่” (ม้าบอกโบ้ยความผิดมาที่ตรูเฉยเลย พวกเอ็งนั่นแหละ)“เช่นนั้น ท่านไปนั่งรถม้าดีหรือไม่”“ดีเหมือนกัน”“ไม่เป็นไรพ่ะย่ะค่ะองค์หญิง หลานเฟินอยากจะขี่ม้า ให้กระหม่อมนั่งไปกับนางจะได้ช่วยสอนไปด้วย ไม่ต้องห่วงนะพี่ลี่”“เอ่อ น้
หลานเฟินมองเขาที่ถูกนางนอนทับอยู่จึงได้จะลุกขึ้นแต่เขาดึงนางเข้ามาพร้อมกับประกบปากจูบอย่างรวดเร็วและผลักนางลงไปอยู่ด้านล่างแทนสายคาดเอวถูกปลดออกไปจนได้ด้วยมือเขาที่ดึงออกมา มือหนาเริ่มรุกล้ำไปที่ด้านในปกเสื้อผ่านชั้นในเข้าไป นางรู้ว่ามือเขาสั่นน้อยๆเมื่อสัมผัสถูกยอดปทุมด้านในนั้น“พี่หย่งเล่อ ท่าน…ตื่นเต้นหรือเจ้าคะ”“ข้า…อยากเห็นข้างใน เจ้า..จะอนุญาตหรือไม่”“เจ้าค่ะ ตัวข้า ใจข้าเป็นของท่านทั้งหมด ในเมื่อตกลงแล้วข้าย่อมยินยอม”“หลานเฟินเจ้าพูดเช่นนี้รู้หรือไม่ว่ามันหมายความว่าเช่นไร”“ข้าเองก็อยากเห็นเช่นกันว่าในตอนนี้แผงอกกว้างของท่านยังเหมือนเดิมเหมือนครั้งที่อยู่ที่สำนักศึกษาหรือไม่”มือเรียวบางนั้นเอื้อมไปปลดเข็มขัดของเขาออกเช่นกัน ฟู่หย่งเล่อรู้งานทันที เขาถอดชุดคลุมด้านนอกออกและปูรองเอาไว้ที่พื้นและพาหลานเฟินไปนอนที่ชุดคลุมของเขาลิ้นที่ยังพัวพันกันไม่หยุดและเริ่มถอดชุดของนางออก เขาเริ่มเห็นเนินอกขาวเนียนนั้นแต่เขาอยากเห็นมากกว่านั้นเมื่อหลานเฟินเริ่มครางอย่างพอใจ“หลานเฟิน เจ้างามจริงๆ”ปากของเข้าเปลี่ยนมาครอบครองหน้าอกขาวตรงหน้าทันที ช่างพอเหมาะพอดีมือของเขาเสียยิ่งนัก เสียง
ทุ่งหญ้าแคว้นฮั่วซู“เบาๆหน่อย เจ้าอย่าดึงบังเหียนแรงเกินไปหลานเฟิน หากมันเจ็บมันจะดีดเจ้าเอา”“ข้ารู้ๆ อย่าพูดมากนัก ข้าตื่นเต้นจนลนลานไปหมดแล้ว”“เจ้าอย่าเกร็งจนหลังตรงเช่นนั้นปล่อยตัวตามสบาย”“หากท่านพูดอีกอีกคำเดียวนะฟู่หย่งเล่อ ข้าจะ ว๊าย…”“หลานเฟิน!! จับให้แน่นๆ”ม้าที่นางขี่เกิดตกใจเมื่อลี่หลานเฟินเผลอใช้เท้ากระแทกไปที่ลำตัวมันเพราะโมโหฟู่หย่งเล่อ มันจึงพานางวิ่งไปยังทุ่งหญ้ากว้างด้านล่าง ตัวนางเอนไปมาเพราะยังทรงตัวไม่ได้ ฟู่หย่งเล่อเร่งความเร็วม้าของเขาตามนางไป“ช่วยด้วย! ช่วยด้วย!!”“ข้ามาแล้ว เจ้าอยู่นิ่งๆ จับให้แน่นๆนะ”“พี่หย่งเล่อ ช่วยข้าด้วย มัน…มันวิ่งไม่หยุดเลยข้ากลัว”“เจ้าอย่าตะโกนมันจะตกใจข้ามาแล้ว”ฟู่หย่งเล่อเร่งความเร็วม้าและขี่เข้าไปใกล้ม้าพร้อมกับกระโดดไปที่ม้าตัวที่นางนั่งอยู่ เขาซ้อนตัวอยู่ด้านหลังของนางและเริ่มคุมบังเหียนม้าให้นิ่ง ใช้เวลาไม่นานมันก็ค่อยๆสงบลงและลดความเร็วลง “จับดีๆ ค่อยๆลุกขึ้นมาสิเจ้าปลอดภัยแล้ว”“ข้า…ข้าอยากลง”“หากเจ้ากลัวมัน เจ้าก็จะขี่มันไม่ได้ เจ้าลองลืมตาดูสิ”“ข้ากลัว ไม่เอา”นางลุกขึ้นได้ก็หันเข้าซบอกของเขาทันที ฟู่หย่งเล่อนั้นเร
สิบวันถัดมาพิธีอภิเษกท่านอ๋องและหลันเยว่ซินถูกจัดขึ้นหลังจากที่จัดการเรื่องกบฏซ่งเสวียนและลงโทษขุนนางที่เป็นผู้ร่วมมือซึ่งถูกจับมาได้หมด ทั้งหมดให้การรับสารภาพ แต่ก็ถูกปลดยศขุนนางและลงโทษเนรเทศออกจากเฉินโจว“พระชายาช่างงดงามยิ่งนัก”“ข้าเคยพบนางครั้งที่มาเดินตลาด ครั้งนั้นยังจ้องมองอยู่เลยแต่มิกล้าถามว่าเป็นบุตรสาวจวนใด ทั้งหน้าตาและผิวพรรณช่างแตกต่างกับชาวบ้านธรรมดาเหลือเกิน”“ช่างเหมาะสมกับท่านอ๋องยิ่งนัก”หลังพิธีอภิเษกที่ถูกจัดขึ้นที่ท้องพระโรงแล้ว ท่านอ๋องและพระชายาก็เดินออกมาพบปะกับประชาชนที่ระเบียงชั้นสามของวังหน้า ทั้งคู่ในชุดอภิเษกสีแดงสดยืนโบกมือให้กับประชาชนด้านล่าง“พระชายา วันนี้เจ้าเหนื่อยหรือไม่”“ไม่เพคะ เพียงแค่รอยยิ้มของทุกคนด้านล่างนั้นก็คุ้มค่าเพียงพอแล้วเพคะ”“ไปกันเถอะ เราต้องไปไหว้บรรพบุรุษและทำพิธีจารึกนามของพระชายาอีก”“เพคะ”ภารกิจหลายอย่างทั้งพิธีกราบไหว้ฟ้าดิน แต่งตั้งพระชายาและจารึกชื่อในศาลบรรพชนสกุลจวินอ๋องผ่านไปด้วยดี จนเมื่อถึงเวลาส่งตัวเข้าห้องส่งตัวห้องส่งตัว“หลันเยว่ซิน ในที่สุดข้าก็ทิ้งฐานะเสด็จอาได้อย่างหมดสิ้นในวันนี้เอง”“ไม่คิดว่าพระองค์จะอย
จวินลู่หานถามชุนถง สาวใช้คนสนิทของเยว่ซินเมื่อเห็นนางเดินออกมาจากห้องของเยว่ซิน“ทูลท่านอ๋อง คุณหนูไปอาบน้ำเพคะ”“อ่อ งั้นหรือ เข้าใจแล้วเจ้าไปเถอะ”“เพคะ”เขาเดินตามเยว่ซินเข้าไปในห้องอาบน้ำทันที เมื่อเข้ามาก็เห็นว่านางนั่งพิงของสระอยู่ เขาจึงได้ค่อยๆเดินลงไปแช่น้ำกับนางทันที เมื่อลงไปแล้ว นางกลับไม่มีท่าทีตกใจหรือกล่าวว่าเขา อันที่จริง นางไม่พูดเลยต่างหาก“เยว่ซิน …เจ้ามาอาบน้ำนานแล้วงั้นหรือ”“…..”เยว่ซินมิได้ตอบเขานางหันข้างให้ท่านอ๋องเล็กน้อยแต่มิได้หนีไปที่ใด เขาจึงเดินไปอีกทางเพื่อดักนางเอาไว้“เยว่ซิน เหตุใดไม่ตอบข้า เจ้ายังโกรธข้าอยู่งั้นหรือ”นางเดินและเตรียมจะขึ้นเมื่อเขาดึงแขนนางเอาไว้ได้ทัน“เดี๋ยวสิอย่าพึ่งไป เจ้า….หากว่าเจ้าโกรธข้าจะด่าข้าก็ได้ หรือตีข้าก็ได้ แต่อย่าเดินหนีแล้วไม่คุยกับข้าเช่นนี้”หลันเยว่ซินหันไปมองท่านอ๋องแวบนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นมาด้วยเสียงที่เรียบไร้ความรู้สึก“รีบอาบแล้วตามขึ้นมา”“เยว่ซิน…”นางสลัดมือเขาออกและเดินขึ้นไปสวมเสื้อคลุมและเดินออกไปทันที ทิ้งให้ท่านอ๋องที่เริ่มทำตัวไม่ถูกกับท่าทีที่เย็นชานั้น เขาไม่เคยง้อสตรีที่มีอาการเช่นนี้ เขาไม่รู้ว่าต
มีดปลายแหลมซึ่งเป็นอาวุธลับของแคว้นอวิ๋น ทำจากทองคำขาวบริสุทธิ์ ซึ่งอาวุธนี้มีเพียงคนของแคว้นอวิ๋นเท่านั้นที่มีใช้เพราะพวกเขาทำขึ้นมาเอง ทั้งร้ายแรงและคมดุจกระบี่และยังอาบยาพิษร้ายแรงอีกด้วย ซ่งเหมยลี่พุ่งตัวเข้าไปบังท่านอ๋องไว้ พร้อมกับมีดสั้นสีเงินด้านหลังที่พึ่งปักไปที่กลางหลังของซ่งเสวียน“เยว่ซิน!!”“แม่นางซ่ง!!”ซ่งเหมยลี่ใช้ตัวบังท่านอ๋องไว้ ครานี้นางได้ปกป้องชีวิตของเขาเอาไว้ตามแผนการที่บิดานางวางไว้เสียทีในที่สุด แต่อาวุธที่ปักที่อกของนางกลับเป็นมีดที่พ่อนางซัดใส่เองกับมือ“เหมย…เหมยลี่ ทำไม!!”ร่างของนางล้มลงพร้อมกับบาดแผลจากเลือดสีแดงสด เปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำเพราะยาพิษที่อาบเอาไว้ที่มีด ท่านอ๋องรับซ่งเหมยลี่เอาไว้ในอ้อมแขน ซ่งเสวียนถูกฟู่หย่งเล่อจับตัวเอาไว้ แต่เขาเองก็กำลังหายใจรวยรินอยู่เช่นกันเพราะมีดของหลันเยว่ซินที่พุ่งมาปักกลางหลังของเขา“ท่านฆ่าพ่อข้าสินะ ข้าจะไม่กลายเป็นคนบ้านแตก หากมิใช่การกระทำของท่านในครั้งนั้น วันนี้ยังกล้าลอบสังหารท่านอ๋อง ท่านคิดว่าข้าจะยอมปล่อยให้ท่านทำเช่นนั้นหรือ!!”“ฮ่าๆ ฮ่าๆๆ นึกไม่ถึง….ว่าข้าจะถูกบุตรของศัตรูฆ่าเอาได้ เดิมทีคิดว่าจะตายเพร