ท่านอ๋องจิบชาและลอบมองนางที่ทำสีหน้าไม่ใครสู้ดีนักอย่างนึกสนใจพร้อมกับวางถ้วยชาลง
“ใช่ เยว่ซินของข้ากลับมาได้เดือนกว่าๆแล้ว น่าแปลกนะที่เจ้าไม่รู้ ทั้งๆที่ข้าพึ่งก้าวเข้าตำหนักไม่ถึงสองชั่วยาม แต่เจ้ากลับมาถึงหน้าตำหนักได้อย่างน่าแปลก”
ซ่งเหมยลี่ทำหน้าตาเลิกลักพร้อมกับยิ้มด้วยท่าทางที่ฝืนเต็มที “เยว่ซินของข้า” งั้นหรือ นี่เขาลืมไปหรืออย่างไรว่านางมิได้เป็นอะไรกับเขาเสียหน่อย แค่เด็กที่เก็บมาเลี้ยงจากเมืองเหลียงเท่านั้นเอง
“ต้องขอประทานอภัย ก่อนหน้านี้หม่อมฉันไปถือศีลที่วัดและภาวนาขอให้พระองค์ออกรบและนำชัยชนะกลับมา พึ่งกลับมาถึงจวนไม่นานนี่เอง จึง…ไม่ทราบข่าวเรื่องที่คุณหนูหลันเยว่ซินกลับมาจึงมิได้มาเยี่ยมเพคะ”
“ไม่จำเป็นหรอก เยว่ซินชอบอยู่อย่างสงบ ไม่ค่อยชอบรับแขกแปลกหน้าและไม่คุ้นเคย แต่ก็ต้องขอบใจเจ้าสำหรับน้ำแกงนี้ อ้อ อีกไม่กี่วันนี้ข้าจะจัดงานเลี้ยงเพื่อต้อนรับนาง เช่นไรแล้วข้าจะส่งเทียบเชิญไปที่จวนสกุลซ่งด้วย”
ซ่งเหมยลี่นั่งบิดผ้าเช็ดหน้าอย่างอดกลั้น ถึงกับจัดงานเลี้ยงเพื่อต้อนรับนางเชียวหรือ
“แต่ว่าเมื่อครู่ ท่านอ๋องพึ่งตรัสว่า…ไม่ควรจัดงานเลี้ยงที่เอิกเกริก นี่จะไม่เป็นการ…สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุหรือเพคะ แค่ต้อนรับคนคนเดียว”
“แม่นางซ่ง งานเลี้ยงที่จะจัดครั้งนี้หาใช่เพียงเพื่อต้อนรับเยว่ซินเท่านั้น แต่จัดเพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะให้เมืองเฉินโจว และปลอบขวัญเหล่าทหารในกองทัพที่ร่วมสู้รบกับข้า พวกเขาไม่ยิ่งใหญ่พอที่จะได้รับงานเลี้ยงที่ยิ่งใหญ่งั้นหรือ ถ้าเช่นนั้นเจ้าคิดว่าผู้ใดควรได้รับ คนที่นอนหลับอย่างสบายในเมืองใช้ชีวิตอย่างสุขสบายเช่นพวกเจ้างั้นหรือ”
“ท่าน…ท่านอ๋องเพคะ หม่อมฉันหาได้มีเจตนาเช่นนั้นไม่เพคะ เรื่องนี้หม่อมฉันมิอาจขัดพระบัญชาได้”
“ข้ายัง..ไม่ได้บัญชาสิ่งใด เพียงแค่ถามเจ้าด้วยคำถามปกติเท่านั้น เหตุใดแม่นางซ่งจึงได้ทำท่าตื่นกลัวและร้อนตัวเช่นนั้น เจ้ามิได้พึ่งบอกว่าเจ้าไปสวดมนต์ถือศีลภาวนาที่วัดมาหรอกงั้นหรือ หรือว่าเจ้ามิได้พูดเรื่องจริง”
“ท่านอ๋องเพคะ…หม่อมฉันมิกล้าพูดปดต่อหน้าพระพักตร์เพคะ หม่อมฉัน…”
“เอาล่ะ ข้าเหนื่อยแล้ว เช่นนั้นเจ้าก็กลับไปเถิด ขอบใจที่มา อ้อ …อย่าลืมเอาน้ำแกงนี่กลับไปด้วย คงเคี่ยวมานานอย่าเอาทิ้งไว้เลย เสียดายของ อย่างไรวันนี้ข้าคงกินอะไรไม่ได้แล้วล่ะ”
“พะ…เพคะ หม่อมฉัน….ทูลลาเพคะ”
“กลับดีๆเล่าแม่นางซ่ง”
ซ่งเหมยลี่ไม่มีคำใดกล่าวอีกต่อจากนั้น จึงได้สั่งคนเก็บแกงตุ๋นนั้นกลับทันที แม้ว่านางจะเคยถูกปฏิเสธบ่อยๆ แต่ครั้งนี้ดูจะรุนแรงกว่าทุกครั้ง เหตุเพราะมีชื่อใครบางคนผุดขึ้นมาให้ได้ยินก็เป็นได้
“หาคนไปสืบมาให้ข้าที ข้าอยากรู้ว่านางกลับมาเมื่อใด และให้คนติดตามนางให้ข้า ข้าจะต้องรู้ทุกความเคลื่อนไหวในตำหนักนี้”
“เจ้าค่ะคุณหนู”
ซ่งเหมยลี่เดินออกจากตำหนักอ๋องอย่างหงุดหงิดและขึ้นรถม้ากลับไปทันที ส่วนท่านอ๋องนั้นเมื่อส่งแขกที่ไม่ใคร่อยากจะรับรองออกไปได้แล้วนั้นก็หันกลับเข้าด้านใน
“จงลี่ วันนี้ข้าไม่รับแขกแล้ว”
“พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องจะเสด็จไปที่ใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าอยากจะแช่น้ำหน่อย อย่าให้ผู้ใดมารบกวนข้า”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ท่านอ๋องเดินเข้าไปยังห้องบรรทมเพื่อเปลี่ยนชุดอาบน้ำและเดินเข้าไปยังห้องอาบน้ำที่โอ่อ่า ห้องอาบน้ำแยกเป็นสองฝั่งใหญ่ๆ นานแล้วที่ไม่ได้แช่น้ำแบบสบายๆแบบนี้
หากไม่นับช่วงที่เขาอยู่ในวังหลวงที่มีคนคอยปรนนิบัติและอาบน้ำให้เพราะเป็นคำสั่งของฝ่าบาท เมื่อได้แช่น้ำและคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยก็รู้สึกสบายขึ้น จนได้ยินเสียงพูดคุยด้านนอกดังขึ้น เขาลืมไปเลยว่าที่นี่….ยังมีหลันเยว่ซินอยู่ด้วย นางคงกำลังจะเข้ามาอาบน้ำเช่นกัน แต่ว่า….
“ข้าจะแช่คนเดียวเจ้าไม่ต้องรอหรอก รีบไปดูสำรับเย็นนี้ให้เสด็จอาเถอะ”
“เจ้าค่ะคุณหนู”
เขาฟังไม่ผิดแน่ นางกำลังจะเดินเข้ามาอาบน้ำ แล้วเขา…จะทำเช่นไรดี หันไปเห็นโขดหินใหญ่ตรงหน้า ตอนนี้ไม่มีเวลาที่จะคิดเขารีบว่ายไปที่โขดหินนั่นทันที ไอน้ำที่กระจายไปทั่วคงจะพอที่จะปิดบังร่างเขาเอาไว้ได้บ้างกระมัง
เสียงของเยว่ซินเดินเข้ามาแล้ว ตอนนี้นางถอดชุดคลุมแล้วเมื่อเขาเผลอตัวหันไปมองและต้องตกตะลึงกับร่างที่เห็นตรงหน้า
ร่างผอมแต่ไม่บอบบาง หน้าอกนั่นไม่ได้เล็กอย่างที่เขาคิดเลยสักนิด แต่กลมกลึงน่าสัมผัส สะโพกผายพอดีกับเรือนร่างนั้นทำเอาผู้ที่ลอบมองอยู่ถึงกับกลืนน้ำลายเหนียวลงคออย่างยากลำบาก
ผมที่บัดนี้ถูกเกล้าขึ้นสูงเผยให้เห็นคอระหงนั่นช่างน่าสัมผัส ท่านอ๋องไม่เคยรู้สึกนึกอยากสัมผัสสตรีใดเท่านี้มาก่อนเลย…
“แย่แล้ว แย่แน่ๆ นี่ข้าเป็นอะไรไป”
เยว่ซินค่อยๆเดินลงมาในสระพร้อมกับแช่น้ำอุ่นด้วยความสบายใจหลังจากที่เหนื่อยล้ากับการทำอาหารและออกไปเดินข้างนอกมา ส่วนผู้ที่ลอบมองนางจากโขดหินด้านหลังนั่นถึงกับข่มใจเอาไว้ไม่น้อยเมื่อเห็นท่าอาบน้ำที่เย้ายวนตรงหน้า
“ไม่นะ หยุดเสียที เจ้าคิดบ้าอะไรอยู่จวินลู่หาน นางเป็น…..”
ใช่ นางไม่ได้เป็นอะไรกับเขา นางเรียกเขาว่าเสด็จอา แต่เขามิได้เป็นอาของนางจริงๆนี่ และอายุเขากับนางก็ไม่ได้ห่างกันมากเกินกว่าที่จะแต่งงานกันได้เสียหน่อย หากคิดดีๆแล้ว....
เหตุใดจะเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อเหล่าขุนนางที่น่ารำคาญนั่นมัวแต่กดดันให้เขาคัดเลือกและแต่งตั้งพระชายาเสียที ไหนจะเจ้ากรมซ่งที่คอยส่งบุตรสาวมาให้เขาอยู่ตลอดนั่นอีกเล่า บางทีนี่อาจจะเป็นทางออกที่ดี
“เหตุใดข้าจึงคิดไม่ได้นะ”
เขายังคงหลบซ่อนตัวอยู่สระอีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งมีโขดหินกั้นอยู่ เยว่ซินเริ่มแหวกว่ายไปตามขอบสระอย่างอารมณ์ดี นี่คงเป็นเพียงเรื่องเดียวที่ทำให้นางยังดูเป็นเด็กอยู่กระมัง
เขาลอบมองอย่างเงียบๆเกือบสองเค่อเมื่อนางแช่พอแล้วและกำลังจะเดินขึ้นไป ภาพนางเดินขึ้นจากสระ แม้ว่านางจะหันหลังให้เขา แต่ภาพนั้นยังงดงามติดตราตรึงใจทำเอาหัวใจที่ไม่ได้เต้นแรงและรัวเร็วเช่นนี้มานานแล้วกลับมาเต้นระทึกอีกครั้ง
“แย่แล้ว…นี่ข้า….คิดบ้าๆอะไรกับนางกันนี่”
เย่วซินเดินออกจากห้องอาบน้ำไปแล้ว เขาถึงกับหายใจหอบอยู่ด้านหลังโขดหิน ก่อนจะค่อยๆเดินไปนั่งแช่น้ำให้ทุกอย่างกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ยากเหลือเกินที่จะหยุดจินตนาการถึงเรือนร่างที่พึ่งได้เห็นเมื่อครู่นี้ได้
โต๊ะอาหารเย็น
“เสด็จอา เหตุใดพระองค์จึงพระพักตร์แดงก่ำเช่นนั้นเพคะ หรือว่าพระองค์จะต้องลมแรงจนจับไข้เพคะ”
“เอ่อ ข้า…ไม่เป็นไร นี่เจ้า ทำอะไรงั้นหรือ”
“ผัดเต้าหู้ทรงเครื่องเพคะ นำเต้าหู้มาทอดจนกรอบด้านนอกและนำผักเหล่านี้เพียงนาบกับน้ำมันและผัดซุบเห็ดน้ำมันหอยและนำมาราด พระองค์ลองชิมดูสิเพคะ”
จวินอ๋องรู้สึกว่าเขามักจะลอบมองไปที่ริมฝีปากนางอยู่เสมอ หลันเยว่ซินในอดีตที่ยิ้มยากผู้นั้นเหมือนจะไม่อยู่ตรงนี้
ตอนนี้ตรงหน้าเขานางเริ่มยิ้มให้เขาบ้างแล้ว เมื่ออาหารนั้นเข้าปากเขา จึงรู้สึกได้ว่าอร่อยราวกับไม่เคยได้กินที่ใดมาก่อน ท่านอ๋องเติมข้าวถึงสองครั้งทั้งๆที่ตอนบ่ายปฏิเสธน้ำแกงจากซ่งเหมยลี่ไป
“เสด็จอาดูเหมือนจะไม่สบายนะเพคะ หม่อมฉันจะไปต้มน้ำขิงมาให้ดื่มก่อนบรรทมนะเพคะ”
เมี่ยวเข่ออ้ายนิ่งไป นางรู้สึกตกใจราวกับว่าไม่ใช่เรื่องจริง ลี่หยางจินผู้นั้น คนที่เอาแต่พูดหลักการมากมาย บัณฑิตที่พูดแต่สิ่งที่นางไม่เข้าใจ บอกรักนางงั้นหรือ นางตกใจอีกครั้งเมื่อเขากระชับกอดเข้ามาพร้อมกับใบหน้าที่วางที่ไหล่ของนาง“เข่ออ้าย ข้ารักท่านจริงๆ เรื่องนี้มิได้โกหก แม้ว่าสิ่งที่ข้าพูดกับท่านก่อนหน้านี้จะร้ายกาจ แต่ที่พูดเรื่องเจ้ากับหย่งเล่อ เพราะว่าข้า…หึงเจ้า ไม่อยากให้เจ้าอยู่ใกล้กับบุรุษอื่น”เข่ออ้ายทำตัวไม่ถูก ลี่หยางจินผู้นั้น บัณฑิตน่ารำคาญนั่นบอกว่ากำลังหึงนางงั้นหรือ นี่เขาป่วยจนเพี้ยนไปแล้วใช่หรือไม่“นี่ท่าน เพ้อเพราะพิษไข้งั้นหรือ”“เรื่องที่ข้าป่วยเป็นเรื่องโกหก แต่เรื่องความรู้สึกของข้าเป็นความจริง เจ้าอย่าผลักใสข้าอีกเลยนะเข่ออ้าย”“นี่พวกท่าน…รวมหัวกันหลอกข้างั้นหรือ”“มันจำเป็น หากว่าครั้งนี้ไม่อาจคุยกับเจ้า ข้าก็ไม่มีโอกาสแล้ว ดังนั้น…”“ดังนั้นพวกท่านจึงใช้เรื่องนี้มาล้อเล่นกับความรู้สึกข้า มาหลอกข้า ท่านมัน…อุ๊บ…อื้มมม”ลี่หยางจินผลักนางลงที่เตียงและจูบนางทันทีเพื่อให้นางหยุดโมโห หากว่าเขาปล่อยนางไป ให้พบนางอีกครั้งคงยากแล้ว แผนแรกพูดไปแล้ว เหลือแค่แผนที
วังหลวงแคว้นฮั่วซู“องค์หญิง เอ่อ…กระหม่อม…”ลี่หยางจินเดินตามเมี่ยวเข่ออ้ายเมื่อเขาเดินออกมาจากห้องทรงงานของฝ่าบาทและจะเดินกลับไปยังตำหนัก ตั้งแต่ที่ทุ่งหญ้าเมื่อวานนี้พอกลับมาที่วังหลวง พวกเขาก็ไม่พบนางอีกเลย….“ท่านทูตเจ้าคะ องค์หญิงให้ข้าน้อยเรียนว่าวันนี้นางไม่ค่อยสบาย จึงไม่อยากรับแขกเจ้าค่ะ ขอเชิญท่านทูตกลับไปก่อนเถิดเจ้าค่ะ”“แต่ว่า…”“พี่ใหญ่ ท่านไปหาเข่ออ้ายมาอีกแล้วงั้นหรือ เหตุใดจึงไม่รอทำตามแผนการของข้าก่อนเล่าเจ้าคะ”“แต่เวลาอีกแค่สองวัน ข้าเกรงว่านางจะไม่ให้โอกาสข้าอีกแล้ว”“เฮ้อ….เช่นนี้แผนของพวกข้าก็ล่มหมดสิเจ้าคะ”“แผน แผนอันใดกัน”“เช่นนี้นะเพคะ…..”ตำหนักองค์หญิง“พี่เยว่ซิน พี่หลานเฟิน พวกท่านมาแล้ว”“เข่ออ้าย เหตุใดเจ้าดูซูบเช่นนี้เล่า เจ้า…อดอาหารงั้นหรือ”“เปล่าเจ้าค่ะพี่เยว่ซิน ข้าเพียงแต่….”“อดนอน…นี่เข่ออ้าย เจ้าจะป่วยอีกคนไม่ได้นะ ให้พี่จอมอ่อนแอของข้าป่วยแค่คนเดียวก็พอ อุ่ย…”“หลานเฟิน ไหนเจ้ารับปากพี่ลี่แล้วอย่างไรว่าจะไม่…”เข่ออ้ายตกใจเมื่อได้ยินว่าลี่หยางจินล้มป่วย“เกิดสิ่งใดขึ้น พี่หยางจินป่วยงั้นหรือ เหตุใดไม่เห็นมีผู้ใดมาแจ้งข้าเลย”"เข่ออ้ายเจ้าใ
ลี่หยางจินยืนเฝ้ามองที่ทุ่งหญ้าว่างเปล่านั้นเป็นเวลาเกือบสองเค่อ เมื่อมองออกไปอีกทีก็เห็นว่าองค์หญิงขี่ม้ากลับมาพร้อมกับม้าอีกตัว น่าจะเป็นม้าของฟู่หย่งเล่อ แต่ไม่เห็นอีกสองคน “องค์หญิง แล้ว…”“ไม่พบ แต่ไม่ต้องห่วง พี่ฟู่ไม่หลงทางหรอก”“แต่ว่าหย่งเล่อไม่เคยมาที่นี่”“ข้าพาเขามาขี่ม้าสำรวจเมื่อวันก่อน เขาบอกว่าจะมาหาที่ให้พี่หลานเฟินหัดขี่ม้า”“องค์หญิงเสด็จมากับเขาตามลำพังงั้นหรือ!!”เข่ออ้ายหันไปมองเขาอย่างนึกตกใจ เมื่อนางลงจากม้าและดื่มน้ำพักเหนื่อย เขาเดินตรงมาถามนางอย่างใคร่รู้จนนางเริ่มตกใจ“ท่านเป็นอะไรไป ข้าก็แค่พาเขามาสำรวจทุ่งหญ้าเท่านั้น”“แต่ชายหญิงห้ามอยู่ด้วยกันตามลำพัง เหตุใดท่าน…อย่าว่าแต่อยู่ด้วยกันเลย นี่ท่านกล้าพาเขาออกมาสองต่อสองในที่เช่นนี้ เหตุใดท่านจึงไม่ทำตัวเหมือนสตรี….”“พอที!!”“เลิกเอาข้าไปเปรียบเทียบกับสตรีในดวงใจของท่าน ข้าก็เป็นคนเช่นนี้อยู่แล้ว และเรื่องที่ข้าจะไปไหนกับผู้ใดก็มิใช่กงการอะไรของท่าน ขอตัวก่อน”“เดี๋ยว องค์หญิง เหตุใดท่านออกมากับคุณชายฟู่ กระหม่อมจึงไม่ทราบเรื่องนี้”เขาเอื้อมมือไปจับนางไว้พร้อมกับดึงเข้ามาถาม เมี่ยวเข่ออ้ายตกใจเมื่อเขาดึง
ฟู่หย่งเล่อและหลานเฟินกลับมายังที่พักม้า เข่ออ้ายและหยางจินรอพวกเขาอยู่ที่นั่น องค์หญิงนั้นนั่งอยู่ห่างจากหยางจินคนละทางเมื่อสาวใช้ตะโกนบอกว่าพวกเขามาถึงแล้ว“องค์หญิงเพคะ แม่นางกับท่านรองแม่ทัพมาถึงแล้วเพคะ”เข่ออ้ายรีบวิ่งไปที่ม้าของหย่งเล่อเพื่อรอพวกเขา หยางจินที่ยืนมองนางอยู่กำลังจะพูด แต่เข่ออ้ายหันมามองเขาและเดินเลี่ยงไปอีกฝั่งของม้าเมื่อหลานเฟินถูกอุ้มลงมาจากหลังม้าแต่นางเหมือนกับเดินไม่ไหวจนหย่งเล่อตัดสินใจอุ้มนางเดินมาหาพวกเขา“พี่หลานเฟิน เหตุใดเป็นเช่นนี้เกิดอะไรขึ้น!!”“เข่ออ้าย คือว่าข้า…”หลานเฟินนั้นไม่กล้าตอบ ใครจะกล้าพูดว่าฟู่หย่งเล่อรังแกนางจนนางเดินไม่ไหวจนเขาต้องอุ้มนางนั่งม้ามาด้วยกันเช่นนี้ แต่ฟู่หย่งเล่อนั้นเก็บอาการได้ดีกว่านางมากนัก เขาเป็นผู้เอ่ยขึ้นมา“นางตกม้าน่ะ ข้าไปช่วยเอาไว้ทันแต่ขานางยังเจ็บอยู่ ช้าไปมากเพราะมัวแต่เรียกและตามหาม้าอยู่” (ม้าบอกโบ้ยความผิดมาที่ตรูเฉยเลย พวกเอ็งนั่นแหละ)“เช่นนั้น ท่านไปนั่งรถม้าดีหรือไม่”“ดีเหมือนกัน”“ไม่เป็นไรพ่ะย่ะค่ะองค์หญิง หลานเฟินอยากจะขี่ม้า ให้กระหม่อมนั่งไปกับนางจะได้ช่วยสอนไปด้วย ไม่ต้องห่วงนะพี่ลี่”“เอ่อ น้
หลานเฟินมองเขาที่ถูกนางนอนทับอยู่จึงได้จะลุกขึ้นแต่เขาดึงนางเข้ามาพร้อมกับประกบปากจูบอย่างรวดเร็วและผลักนางลงไปอยู่ด้านล่างแทนสายคาดเอวถูกปลดออกไปจนได้ด้วยมือเขาที่ดึงออกมา มือหนาเริ่มรุกล้ำไปที่ด้านในปกเสื้อผ่านชั้นในเข้าไป นางรู้ว่ามือเขาสั่นน้อยๆเมื่อสัมผัสถูกยอดปทุมด้านในนั้น“พี่หย่งเล่อ ท่าน…ตื่นเต้นหรือเจ้าคะ”“ข้า…อยากเห็นข้างใน เจ้า..จะอนุญาตหรือไม่”“เจ้าค่ะ ตัวข้า ใจข้าเป็นของท่านทั้งหมด ในเมื่อตกลงแล้วข้าย่อมยินยอม”“หลานเฟินเจ้าพูดเช่นนี้รู้หรือไม่ว่ามันหมายความว่าเช่นไร”“ข้าเองก็อยากเห็นเช่นกันว่าในตอนนี้แผงอกกว้างของท่านยังเหมือนเดิมเหมือนครั้งที่อยู่ที่สำนักศึกษาหรือไม่”มือเรียวบางนั้นเอื้อมไปปลดเข็มขัดของเขาออกเช่นกัน ฟู่หย่งเล่อรู้งานทันที เขาถอดชุดคลุมด้านนอกออกและปูรองเอาไว้ที่พื้นและพาหลานเฟินไปนอนที่ชุดคลุมของเขาลิ้นที่ยังพัวพันกันไม่หยุดและเริ่มถอดชุดของนางออก เขาเริ่มเห็นเนินอกขาวเนียนนั้นแต่เขาอยากเห็นมากกว่านั้นเมื่อหลานเฟินเริ่มครางอย่างพอใจ“หลานเฟิน เจ้างามจริงๆ”ปากของเข้าเปลี่ยนมาครอบครองหน้าอกขาวตรงหน้าทันที ช่างพอเหมาะพอดีมือของเขาเสียยิ่งนัก เสียง
ทุ่งหญ้าแคว้นฮั่วซู“เบาๆหน่อย เจ้าอย่าดึงบังเหียนแรงเกินไปหลานเฟิน หากมันเจ็บมันจะดีดเจ้าเอา”“ข้ารู้ๆ อย่าพูดมากนัก ข้าตื่นเต้นจนลนลานไปหมดแล้ว”“เจ้าอย่าเกร็งจนหลังตรงเช่นนั้นปล่อยตัวตามสบาย”“หากท่านพูดอีกอีกคำเดียวนะฟู่หย่งเล่อ ข้าจะ ว๊าย…”“หลานเฟิน!! จับให้แน่นๆ”ม้าที่นางขี่เกิดตกใจเมื่อลี่หลานเฟินเผลอใช้เท้ากระแทกไปที่ลำตัวมันเพราะโมโหฟู่หย่งเล่อ มันจึงพานางวิ่งไปยังทุ่งหญ้ากว้างด้านล่าง ตัวนางเอนไปมาเพราะยังทรงตัวไม่ได้ ฟู่หย่งเล่อเร่งความเร็วม้าของเขาตามนางไป“ช่วยด้วย! ช่วยด้วย!!”“ข้ามาแล้ว เจ้าอยู่นิ่งๆ จับให้แน่นๆนะ”“พี่หย่งเล่อ ช่วยข้าด้วย มัน…มันวิ่งไม่หยุดเลยข้ากลัว”“เจ้าอย่าตะโกนมันจะตกใจข้ามาแล้ว”ฟู่หย่งเล่อเร่งความเร็วม้าและขี่เข้าไปใกล้ม้าพร้อมกับกระโดดไปที่ม้าตัวที่นางนั่งอยู่ เขาซ้อนตัวอยู่ด้านหลังของนางและเริ่มคุมบังเหียนม้าให้นิ่ง ใช้เวลาไม่นานมันก็ค่อยๆสงบลงและลดความเร็วลง “จับดีๆ ค่อยๆลุกขึ้นมาสิเจ้าปลอดภัยแล้ว”“ข้า…ข้าอยากลง”“หากเจ้ากลัวมัน เจ้าก็จะขี่มันไม่ได้ เจ้าลองลืมตาดูสิ”“ข้ากลัว ไม่เอา”นางลุกขึ้นได้ก็หันเข้าซบอกของเขาทันที ฟู่หย่งเล่อนั้นเร