เข้าสู่ระบบหัวคิ้วเข้มๆ ของหยางอี้คังขมวดเข้าหา กระนั้นเขาก็ผ่อนคลายลงมาก เมื่อซูกุ้ยฟางเริ่มเปลื้องเสื้อผ้าที่มีอยู่น้อยชิ้นของนางออกจากร่าง
“ผู้น้อย...อุ๊ย”
นางว่าแล้วหัวเราะด้วยจริตน่าชม ยามนั้นมีเพียงเอี๊ยมสีแดงลูกท้อปกปิดถันคู่งามเอาไว้ แต่เขาไม่อาจหยุดความคิดตัวเอง ผิวกายสาวและเสน่ห์ของสตรีนางนี้มัดใจเขาจนดิ้นไม่หลุด
“เจ้าจะสอนข้าว่ายน้ำในอ่างอย่างนั้นหรือ”
“หามิได้ มันเป็นการเคลื่อนย้ายร่างกายเจ้าค่ะ” นางว่าแล้วจึงขยับตัวเข้ามาแนบชิดกายแกร่ง แม้จะตื่นเต้น แต่จำเป็นต้องกระทำ โอกาสงามๆ เช่นนี้ซูกุ้ยฟางมิยอมให้หลุดมือไปแน่
แรกเริ่มนางพาเขาหมุนตัวในน้ำช้าๆ แล้วต่อด้วยการย่อตัวลง สลับยืดตัวขึ้นด้วยการเขย่งปลายเท้า หยางอี้คังอมยิ้มพึงใจแม้จะรู้สึกพิลึกพิลั่น แต่ก็กระทำตามโดยไม่คัดค้าน
“ท่านแม่ทัพ จับมือผู้น้อยสิเจ้าคะ” นางบอกเขา ในขณะที่หันมาเผชิญหน้ากัน จากนั้นจึงถอยหลังไปครึ่งก้าว สองมือเรียวเกาะแขนกำยำไว้แน่น ก่อนจะค่อยๆ หงายหลังลงสู่ผิวน้ำ พร้อมขอให้เขาดึงร่างบอบบางไปสู่อกแกร่ง
“เจ้าต้องการเช่นนี้อย่างนั้นรึ”
“ไม่ใช่แค่หนเดียว เราต้องทำหลายๆ หน เพื่อช่วยให้ผ่อนคลาย เป็นการยืดตัว ยืดแขน”
“ฮ่าๆๆ เจ้าต้องการร่ายรำในน้ำก็ไม่บอกข้า ได้...หากนิยมเช่นนี้ ข้าจักทำให้ถึงใจเจ้าอย่างที่สุด”
เมื่อชายหนุ่มกล่าวจบจึงหมุนร่างนางให้ไปอยู่ข้างหน้า แล้วจับเอวบางของซูกุ้ยฟางพาเคลื่อนไปทางซ้ายทีขวาที และร่างกายของเขากับนางที่มีเพียงอาภรณ์เนื้อบางเบาสวมใส่อยู่มันมิอาจปิดกั้นอารมณ์ของทั้งคู่
ซูกุ้ยฟางร้อนผะผ่าวไปทั้งร่าง เมื่อสัมผัสได้ว่าแก่นกายเขาผงาดขึ้นนางยิ่งชอบใจ คราแรกอยากเห็นให้เต็มตา เพราะในถ้วยน้ำชากับของว่างที่ยกไปให้ชายหนุ่ม นางผสมสมุนไพรชั้นยอดเพื่อเพิ่มกำหนัดเอาไว้ ซึ่งฝูบ่าวรับใช้ได้ปรุงมันขึ้นมาจากสูตรลับของตระกูลซู
“โอ้ มันได้ผล!”
“เจ้าหมายถึงสิ่งใด กุ้ยฟาง”
เขาถามพร้อมหมุนร่างของนางให้มาเผชิญหน้ากัน และซูกุ้ยฟางเซเล็กน้อย ก่อนโผเข้าไปซุกซบที่อกแกร่ง
และอึดใจต่อมา สิ่งที่นางปรารถนาอยากให้เกิดขึ้นก็เป็นจริง
ใบหน้าหล่อเหลามีแต้มสีแดงเข้ม และแววตาก็ไม่ได้ดุดัน หากเจือด้วยความหวานเชื่อมอย่างที่ซูกุ้ยฟางไม่คาดว่าจะได้เห็น
“ท่านแม่ทัพ ร้อนหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่ ข้าเย็นสบายดี แต่เจ้านั่นแหละ เหตุใดถึงได้กอดข้าอยู่เช่นนี้”
ซูกุ้ยฟางไม่รู้จะตอบอย่างไรดี นางจำเป็นต้องเล่นบทสาวน้อยแสนซนและไม่ประสีประสาต่อไป
“ผู้น้อย...คิดว่าท่านไม่สบายเสียอีก”
“เหตุใดถึงกล่าวเช่นนั้น”
“ตัวท่านร้อน และบางอย่างของท่าน...”
เป็นยามนั้นที่ริมฝีปากบางสวยส่งจุมพิตแผ่วเบาที่หน้าผากซูกุ้ยฟาง มันทั้งอบอุ่นหอมหวาน ให้ความรู้สึกสุขล้นจับใจ
“ท่าน จูบผู้น้อยแบบนี้เรียกว่ารังแกได้หรือไม่!”
“เหตุใดข้าจะจูบไม่ได้ เมื่อเจ้าเอาแต่คิดอยากล่วงเกินข้า ทั้งสายตาและสองมือที่ซุกซนไม่หยุด”
“เปล่าเสียหน่อย ผู้น้อยจะบังอาจทำเยี่ยงนั้นได้อย่างไร”
“ฮ่าๆๆ สตรีเช่นเจ้าไม่ใช่คนโง่เขลา และหากยังไม่ยอมปล่อยข้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดต่อจากนี้”
ชายหนุ่มกล่าวเสียงขึงขังขึ้นอีกนิด และค่อยๆ ขยับตัวออกห่าง พร้อมหักห้ามความรู้สึกจากแรงปรารถนาของตนลงเสีย
“แค่นี้หรือเจ้าคะ”
“ใช่ ข้ามีธุระสำคัญต้องเข้าเมือง เจ้าอยู่ที่นี่ดูแลเรือนให้ข้าเป็นอย่างไร”
“แต่ผู้น้อยอยากติดตามท่านไปด้วย”
“เหลวไหล สตรีควรอยู่เฝ้าเรือน ดูแลบ่าวไพร่ หน้าที่นี้ยังให้ข้าต้องย้ำเตือนอีกหรืออย่างไร”
ซูกุ้ยฟางรู้สึกผิดปกติ ในยามนั้นรับรู้ได้ถึงไออุ่นที่ส่งต่อมาจากแก่นกายชายหนุ่ม สีหน้าเขาคล้ายคนกำลังอดกลั้นต่อบางสิ่งอย่างลำบาก แต่นางไม่ต้องการขัดใจหยางอี้คัง
“ท่านจะกลับมารับประทานอาหารเย็นหรือไม่”
หยางอี้คังถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่แรงๆ ก่อนตอบว่า
“สุราที่หอหญิงงามในเมืองถูกใจข้ายิ่ง และข้าไม่ได้ลิ้มรสมานานแล้ว”
ซูกุ้ยฟางได้ยินเช่นนั้นหัวใจพลันห่อเหี่ยว นางกระทำถึงเพียงนี้ ยอมเปิดเผยเนื้อตัวและอยากเอาใจเขา ไฉนหยางอี้คังยังพยายามผลักไส
“เช่นนั้น ผู้น้อยขอตัวไปทำตามหน้าที่ที่ท่านแม่ทัพสั่ง”
นางว่าแล้วจึงเตรียมออกจากถังไม้ ทว่าเสียงของหยางอี้คังดังขัดเสียก่อน
“อีกห้าวัน ข้าจัดรถม้าเอาไว้ให้เจ้าเดินทาง เตรียมเก็บข้าวของให้พร้อม เจ้าจะได้ไปถือศีลกินเจที่สำนักนางชีบนป่าไผ่ เรื่องนี้ไม่ต้องกลัวลำบาก ข้าไหว้วานให้ซือไท่และแม่ชีในสำนักคอยดูแลเจ้าเป็นอย่างดีแล้ว”
“หะ เหตุใดกุ้ยฟางต้องไปที่สำนักนางชี”
“ทั้งนี้ก็เพื่อตัวเจ้า บำเพ็ญตนและขัดเกลาจิตใจให้สะอาด เพื่อจะได้มีสติมากกว่านี้ เมื่อนั้นเจ้าคงรู้จักตัวเองมากขึ้น อีกอย่างเคราะห์กรรมที่ติดตามตัวเจ้าจะได้หมดไป”
หญิงสาวได้ยินสิ่งที่เขาบอกเต็มสองหูใจก็เดือดปุด แต่จะทำอย่างไรได้ เมื่อหยางอี้คังเป็นผู้ชายปากหนัก เวลากล่าวสิ่งใดแล้ว คำพูดที่หลุดจากปากเขาย่อมห้ามให้ผู้ใดขัดขืน
หลายวันผ่านไป
การเดินทางไปสำนักป่าไผ่เพื่อถือศีลเพื่อปัดเป่าความอัปมงคลในชีวิตสร้างความโศกเศร้าอย่างหนักให้แก่ซูกุ้ยฟาง นางกำลังเตรียมสิ่งของต่างๆ ที่จำเป็นในตอนบ่าย แต่เรือนพำนักนอกเมืองนี้เงียบเหงามากในยามที่ไม่มีหยางอี้คังอยู่ และตัวเขารักสันโดษ มีบ่าวไพร่รับใช้ไม่กี่คน ส่วนนางเล็กๆ นั้นก็ไม่ได้มารับใช้นานแล้ว
ระหว่างที่หญิงสาวก้าวไปยังเรือนด้านหลัง เพื่อตรวจสอบผ้าที่สั่งให้ฝูเตรียมไว้ ล้วนเป็นสีชุดขาวทั้งหมด เนื้อผ้าไหมอย่างที่หยางอี้คังสั่งให้นางสวมใส่ โดยห้ามเป็นสีแดง ม่วง หรือชมพู และยกเลิกการสวมใส่ชุดคล้ายเจ้าสาวเด็ดขาด!
“สีดอกบัวบริสุทธิ์เช่นนี้ย่อมเหมาะกับเจ้า ยามนี้ต้องไปถือศีล ก็ควรทำให้ใจและกายผุดผ่อง”
“เจ้าค่ะ ผู้น้อยจะทำตามที่ท่านแม่ทัพสั่ง”
“เฮ้อ ตีความผิด ข้าเพียงแนะนำกุ้ยฟาง อย่าคิดอคติเช่นนั้น”
หญิงสาวมองใบหน้าหล่อเหลาที่นานๆ ครั้งจะเผยรอยยิ้มให้เห็น และวันนี้ดูเขาจะแปลกกว่าเดิม เพราะเมื่อรู้ว่านางยินยอมพร้อมใจไปสำนักป่าไผ่ก็รื่นเริงขึ้น และยังสั่งให้เลี้ยงสุราทั้งข้าวปลาบ่าวทั้งเรือน
“หากเป็นความประสงค์ของท่านแม่ทัพ คนที่ถูกซื้อหามาไยจะไม่กระทำตาม”
“แล้วเจ้าเต็มใจสวมอาภรณ์เหล่านี้หรือไม่”
“อย่างน้อยมันก็งดงามกว่าผ้าดิบที่ใช้ห่อศพคนตาย!” ซูกุ้ยฟางอดกล่าวแรงๆ ออกมามิได้ นางน้อยใจหยางอี้คังซึ่งทำทีเหมือนเอ็นดูนาง แต่ชมเชยเพียงสายตา มิหนำซ้ำยังพูดจาเหน็บแนม และพอจะเข้าด้ายเข้าเข็มกัน หยางอี้คังก็หาเรื่องบ่ายเบี่ยง
“ฮ่าๆๆ พูดจาเหลวไหล เจ้ายังมีชีวิตอยู่อีกนาน จำคำข้าไว้ เอาละ วันนี้ข้าคงไม่กลับเรือน เจ้าอยู่ดูแลทุกอย่างเถิด”
ซูกุ้ยฟางอยากเอ่ยทัดทานเขา แต่นางจำต้องสงบปากสงบคำ และได้แต่มองตามแผ่นหลังกว้างที่จากไป โดยไม่คิดจะทิ้งความอาลัยอาวรณ์แก่สตรีผู้นี้
เมื่อพายุแห่งความรักผ่านพ้นไป หยวนหยวนก็สะดุ้งตื่นในเวลาใกล้รุ่งสาง ซึ่งนางยังอยู่ในชุดเจ้าสาวสีแดงงดงาม หากยามนี้ข้างกันไม่ได้มีร่างของเส้าเฟิง ข้างนอกเกิดเสียงเอะอะ พร้อมเสียงม้า และการร้องตะโกนว่าพวกล่าหัวมนุษย์กำลังจะบุกเข้าเมืองจิง ความวุ่นวายต่างๆ สร้างความตกใจแก่หยวนหยวน และทั้งที่นางไม่อยากจากไปไหน แต่หลี่ซางก็พาหยวนหยวนฝ่ากองกำลังนักรบล่ามนุษย์ออกมาจากพื้นที่ซึ่งนองไปด้วยเลือดสำเร็จ เวลาผ่านไปเกือบสามวันสามคืน ซึ่งนอกจากหยวนหยวนยังมีสตรีนางอื่น และคนฝาแฝดวัย...อีกสองคนซึ่งเป็นลูกของพี่ชายที่ล่วงลับของเส้าเฟิง รวมถึงสตรีตั้งครรภ์อีกหนึ่งซึ่งนางดูเหมือนจะเดินทางต่อไม่ไหว “เราจะไปที่ใดกัน!” หยวนหยวนถาม เสียงนางสั่นเครือ ใจพะวงถึงเส้าเฟิง และครอบครัวนางที่ต้องแยกกันก่อนหน้านี้ อีกทั้งกลุ่มชายหนุ่มที่มาพร้อมกับพวกนาง เสียชีวิตไปหมดแล้ว ดังนั้นจึงเหลือเพียงหลี่ซางที่พอจะเป็นเรี่ยวแรงสำคัญพาทุกคนหลบหนี การหลบซ่อนตัวในป่าหลายคืนทำให้เหนื่อยล้า ท้องก็ร้องหิวอยู่ตลอด ชีวิตนับแต่มาอยู่ที่เมืองจิง นางไม่เคยต้องลำบากถึงเพียงนี้ หลี่ซางมองหยวนหยวน นางเป็
ฝ่ายเส้าเฟิง เขาเป็นผู้นำรุ่นที่สามของหน่วยนักรบของคนเถื่อน รับจ้างทำงานทั้งทุกชนิดเน้นพวกคุ้มกันสินค้า มีหอกระจายข่าว และการค้าที่สร้างผลกำไรมหาศาลก็คือ ม้าศึกและม้าใช้ในการแข่งขัน รวมถึงสุนัขป่า สุนัขใช้งาน และมีไว้เพื่อการสงคราม ซึ่งได้รับความนิยมไปทั่วทั้งใต้หล้า นอกเหนือจากนั้น เขายังได้รับความไว้วางใจให้ป้องกันกำแพงจากข้าศึก จากเผ่านอกด้านอันประกอบด้วยห้าเผ่าใหญ่ ซึ่งหมายตายึดพื้นที่เมืองจิง ใช้เป็นฐานสำคัญในการตีเข้าเมืองหลวง ดังนั้นภาพที่ทุกคนเห็นคือ ชายหนุ่มผู้สง่างามนั่งอยู่บนหลังม้า ทั้งยังมีฝีมือในการรบยอดเยี่ยมหาตัวจับยาก แต่เดิมเขารับเลี้ยง--คนฝาแฝดไว้ ซึ่งเป็นลูกของพี่ชายต่างมารดา อีกฝ่ายจากไปก่อนวัยอันควร และพวกเขาสองคน-เป็นผู้ชายทั้งคู่ อยู่ในวัยซุกซน ทั้งมักจะคอยจับคู่ให้เขากับสตรีไปทั่ว กระทั่งพวกเขาได้พบหยวนหยวน จึงชอบนางเป็นพิเศษ จนกลายเป็นพ่อสื่อ และถึงหยวนหยวนจะเป็นหญิงสาวบ้านป่า ใช้ชีวิตในทุ่งหญ้า แต่นางอ่านออกเขียนได้ นั่นเป็นเพราะเมืองจิงมีนักโทษชั้นดีจากเมืองหลวง ถูกเนรเทศให้มาอยู่ที่นี่เนืองๆ นางเลยได้เรียนรู้หลายสิ่งจากคนพวกนี้ อ่านได้ ใช้พู่กั
เส้าเฟิงพบหยวนหยวนในอีกครั้งเมื่อนางออกมาเล่นน้ำในลำธารกลับกลุ่มเพื่อน ๆ ก่อนต้องหนีแตกกระเจิง ด้วยมีบุรุษต่างเมืองเข้ามาเกี้ยว ฝ่ายนั้นวางแผนชั่วลักพาตัวนางเหล่านี้ไปเป็นสะใภ้ไว้ใช้งาน ด้วยคิดว่าคนเมืองจิง คือชาวเขา เป็นกลุ่มคนด้อยค่ากว่าคนในเมืองอื่น ด้วยเมืองจิงมีนักโทษถูกเกณฑ์มาใช้แรงงาน รวมถึงเหล่าขุนนางที่ทำความผิด ก็ถูกเนรเทศมาไว้ที่นี่ เมื่อถูกไล่ต้อนจากคุณชายผู้ต่ำช้า หยวนหยวนวิ่งหนีตายอย่างไม่คิดชีวิต นางอยู่ในป่าตั้งแต่จำความได้ ได้รับการดูแล โดยนายพราน จึงคล่องแคล่วว่องไว ทว่าคนชั่ว มากันนับสิบคน ต่างไล่ต้อนนางประหนึ่งหากจับเป็นไม่ได้ ก็ขอเอาศพไปกระทำเรื่องน่าขยะแขยง “แม่นาง เลือกเอาเถิด จะเป็นของคุณชาย หรือ อยากถูก ตัด แขน ตัด ขา แล้วดองเอาไว้ดูเล่นในอ่างดินเผา!” คนผู้หนึ่งเอ่ย พร้อมเล็งธนูไปหานาง แต่อีกคนยกมือห้าม ด้วยการทำตุ๊กตา -มนุษย์ โหดร้ายกับนาง-เนื้อบางแสนน่ารัก “ใบหน้านี้งดงาม ดวงตากลมโต เอาไว้ใช้อุ่นเตียงดีกว่า” คุณชายเสื้อน้ำเงินท่าทางมีฐานะกล่าว “เหตุใดต้องรอให้นาน เท่านี้ยิ่งดี เนื้อ หวาน ไร้จริตมารยา เมียคนก่อนข้าก็แต่งเข้าเ
“ข้าไม่ใช่คนฉลาด แต่ไม่ได้โง่เขลา ในเมื่อลูกของข้า ก็เป็นท่านที่ประสงค์อยากทำให้เขาเกิด หากกล่าวว่า ในภายภาคหน้าเขาจะเป็นโอรสสวรรค์ เรื่องนี้ไม่เท่ากับลบหลู่เบื้องสูงหรือ โทษนี้ถึงขั้นประหารชีวิต” หยวนหยวนกล่าวตรงๆ ไม่อ้อมค้อม และรู้สึกกระดากอาย นางตกเป็นของชายผู้นี้ คนที่กำลังบงการให้นางกระทำเรื่องชั่วช้า “ไม่ใช่ข้าที่ประสงค์ให้เขาเกิด แต่เป็นฟ้าลิขิตไว้ อี๋เหนียงผู้หนึ่ง ที่สามารถพลิกประวัติศาสตร์ของแคว้นหัวหยาง เจ้าไม่ต้องดิ้นรนทำสิ่งใด เพียงแค่เดินตามแผนที่มีคนวางให้ และทำให้ข้าพึงพอใจ สิ่งง่ายดายเพียงเท่านี้ คงไม่ยากเกินความสามารถ ที่สำคัญคุณหนูมั่นใจได้อย่างไรว่า... ผู้ที่จะขึ้นนั่งบัลลังก์ต่อจากฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน มีเพียงแต่เหล่าอ๋องในเมืองหลวง!” หยวนหยวนไม่ได้รู้เรื่องราวใดเกี่ยวกับองค์ชายในสมัยฮองเต้องค์ปัจจุบันของแคว้นหัวหยาง นอกจากคนที่นางเคยหน้าเมื่อวันก่อน ก็เห็นมีเพียงรัชทายาท และเหลียงเซียนซี ส่วนองค์ชายห้า เหลียงหูเกอก็ออกบวช “ดูเหมือนสิ่งที่เจ้ากล่าว ไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับข้าสักนิด” “คุณหนูโชคร้ายไปหน่อย ที่พลัดตำทะเลสาบดำ ในช่วงเวลา
“ให้เด็กๆ ทาน้ำมันหอมอีกหน่อยเจ้าค่ะ” หลัวฟูบอกหยวนหยวน แต่ยามนี้ใจคอนางไม่สู้ดี กระทั่งสวมเสื้อผ้างามเรียบร้อย และประดับปิ่นกับดอกไม้ที่ผมเสร็จ เหลียงเซียนซีก็มาหยุดที่หน้าเรือน ก่อนเข้าไปรอนางที่เรือนส่วนตัว หยวนหยวนรีบตามไป ทว่าเมื่ออยู่เงียบๆ ในห้องโถงโถงรับรอง นางเห็นว่าคนที่นั่งหันหลังให้ มองอย่างไรก็ไม่อาจเป็นองค์ชายสาม “รังเกียจข้าเช่นนั้นหรือ” “ทะ ท่านมาที่นี่ได้อย่างไรอินปั๋ว!” นางเรียกเขาเสียงดังเช่นนั้น ยามนี้ทั้งตกใจ และหวาดกลัว หากมีผู้อื่นจับได้ ทั้งนางและคนผู้นี้ยังจะมีชีวิตรอดหรอกหรือ! “ข้าย่อมต้องมาหาคุณหนูแปด เพื่อตรวจสอบว่า สิ่งที่ฝากฝังไว้ให้เรือนกายเจ้า ยามนี้มันก่อกำเนิดชีวิตน้อยๆ หรือยัง” หยวนหยวนไฉนจะรู้สึกสนุกไปกับเขา นางตั้งใจถอยหนี ทว่าสองขากลับไม่เชื่อฟังคำสั่ง จากนั้นเขาก็ลุกขึ้น แล้วเข้ามารั้งร่างบางแนบชิดกายแกร่ง อีกฝ่ายกระชากเสื้อนางออกเพียงครั้งเดียว สองเต้าอวบอัดก็เผยความงาม ต่อสายตาคมกริบ! หยวนหยวนพยายามเหลือเกินที่จะรวบรวมสติ แต่นางกำลังคลั่งในรสสิเน่หาอินปั๋ว นั่นคือสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ และเขาก็เหมือนอยาก
มือหนึ่งนั้นนวดเฟ้นหน้าอกทรงสวย ริมฝีปากบางที่อุ่นซ่านจูบไล้ไปตามซอกคอและแผ่นหลัง ส่วนอีกไล้ผิวกายลงไปช้าๆ กระทั่งแปะอยู่บนกลีบสีชมพูสวย “คนเถื่อน เจ้าข่มเหงผู้อื่นเช่นนี้หรือ” “โถ คุณหนู ข้าเพียงแค่อยากให้เราแนบสนิทกัน” เขาเอ่ยแล้วก็จูบแรงๆ ตามส่วนที่ไวต่อสัมผัส เมื่อนางครางเสียงหวานจัด นิ้วใหญ่ๆ ก็ทำหน้าที่ต่อ ด้วยการแทรกผ่านเข้าไปด้านในแอ่งเนื้องาม หยวนหยวนสั่นสะท้านไปทั้งร่าง นางอยากร้องประท้วง แต่ร่างกายกับตอบสนอง และพร้อมให้เขาเปลี่ยนจากนิ้วมือ แล้วใช้ความเป็นชายเข้าอันใหญ่โตเคลื่อนเข้าไปสู่ความคับแน่นนั้นแทน หยวนหยวนตื่นขึ้นมาในรุ่งเช้าอีกวัน และต้องแปลกใจเมื่อเห็นเซี่ยงอี่ คอยรับใช้อยู่ใกล้ๆ “ขะ ข้ามาที่นี่ได้อย่างไร” นางตื่นตระหนก เรื่องเมื่อคืนแน่นอนไม่ใช่ความฝัน หยวนหยวนร่วมรักอย่างโลดโผนกับคนเถื่อนที่อ้างตนว่าชื่ออินปั๋ว ซึ่งสามหน้ากากสีดำ “ไฟไหม้เมื่อคืนน่ากลัวมากเจ้าค่ะ คนในจวนราชครู จึงต้องย้ายไปข้างนอกก่อน และเมื่อคืน คุณหนูได้รับการช่วยเหลือจากองค์ชายสาม!” “เป็นไปได้อย่างไร!” หยวนหยวนส่งเสียงดังทีเดียว







