Masukจ้าวซินซินน้ำตาเอ่อคลอ ปากสั่นสะท้านราวกับโดนรังแก หวังใช้ความสงสารปิดบังความผิดที่ทำ
จ้าวเหลียนเฟยหัวเราะในลำคอ เสียงเย็นเยียบราวกับน้ำแข็งเกาะปลายมีด
“เข้าใจผิด? เข้าใจผิดจนเสื้อผ้าหลุดไปอยู่ใต้เตียงพี่สาวน่ะเหรอ…?”
ร่างบางระหงก้าวอย่างมั่นคงเดินเข้าไปใกล้จนอีกฝ่ายต้องถอยหลังหนึ่งก้าว
“ช่างเถอะ ยังไงฉันก็ต้องขอบใจเธอนะจ้าวซินซิน ที่ช่วยเอาขยะชิ้นนั้นไปจากชีวิตฉัน คนอย่างถังชุน...มันก็แค่เศษเนื้อเน่าๆ ที่ฉันยังไม่มีเวลาเอาไปทิ้ง ขอบใจที่เธอยอมเก็บเอาไปน่ะ”
จ้าวข่ายทนฟังลุกสาวคนโตด่าทอลุกสาวคนเล้กไม่ได้ก็เงื้อมือหวังจะตบเธอ แต่ยังไม่ทันลงมือ ข้อมือของเขาก็ถูกยึดไว้ด้วยมือแข็งกร้าว ก่อนร่างอ้วนพลุ้ยจะถูกเหวี่ยงกระเด็นไปกระแทกโต๊ะอย่างแรง
เสียงกรีดร้องจากเลขาหน้าห้องดังขึ้นเบา ๆ ก่อนจะเงียบลงทันทีเมื่อเห็นว่าเป็นใคร
"คุณจ้าว...โปรดสำรวมหน่อย" หลิวฮ่าวเอ่ยเสียงเรียบ
"หลานสาวผมไม่ใช่คนที่คุณจะมาแตะต้องได้"
“หึ! หลิวฮ่าว! นายเป็นคนยุยงให้นางเด็กนี่ทำแบบนี้ใช่ไหม อยากฮุบบริษัทไว้เองใช่ไหม!”
เธอก้าวเข้ามาขวางก่อนที่จะเกิดอะไรไปมากกว่านี้ สีหน้าสงบนิ่งแต่แววตาเด็ดขาด
"คุณพอเถอะค่ะ น้าของหนูไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ อีกอย่าง...กิจการนี้ก็เป็นของคุณแม่ หนูแค่รับช่วงต่อ สิ่งที่เป็นของสกุลหลิว ก็ควรกลับมาอยู่ในมือของสกุลหลิว คุณแซ่จ้าวไม่มีสิทธิ์อะไรตั้งแต่แรกอยู่แล้ว"
เธอหันไปมองหลิวฮ่าวแล้วยิ้มบาง ๆ
"นี่สินะที่เขาว่า มีแม่เลี้ยงก็เหมือนมีพ่อเลี้ยง คุณน้าคะ..เราไปกันเถอะค่ะ หนูว่าจะไปซื้อของขวัญไปเยี่ยมคุณยายด้วย อีกสามวันจะได้เจอกันแล้ว"
จ้าวข่ายไม่ยอมแพ้ เขายังเชิดหน้า เดินตามจ้าวเหลียนเฟยลงมาจากอาคารอย่างไม่ลดละ สีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว
จ้าวซินซินที่รู้ดีว่าพ่อของเธอต้องการอะไรจึงรีบเดินไปดักหน้าพี่สาวต่างแม่อย่างรวดเร็ว ส่วนเหลียนซวงซวงก็รีบตามมาขวางอีกคน
ไม่นานก็มีชายวัยกลางคน รูปร่างอ้วนพุงพลุ้ยที่เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ เขายื่นมือมาตบไหล่จ้าวข่ายเบา ๆ
“คุณจ้าว...ในที่สุดก็ได้เจอกันสักที”
ชายชราหันขวับไปมองทั้งสามหญิงที่กำลังยื้อยุดกันอยู่ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“เอ่อ...คุณจ้าวคนไหนหรือครับที่เป็นเจ้าสาวของผม?”
จ้าวข่ายยิ้มกริ่ม ก่อนจะสาวเท้าเข้าไปคว้าข้อมือของจ้าวเหลียนเฟยแน่น
“คนนี้ครับ เธอชื่อจ้าวเหลียนเฟย ลูกสาวคนโตของผมเอง คุณจาง...ไม่ทราบว่าจะส่งสินสอดเมื่อไหร่ดีครับ?”
ชายอ้วนหัวเราะพึงพอใจ ดวงตาโลมเลียร่างของหญิงสาวอย่างเปิดเผย
“สวยมาก! ผมให้ค่าสินสอดคุณสิบล้าน พรุ่งนี้ทุกอย่างจะส่งไปบ้านจ้าวทันที!”
เสียงพูดนั้นยังไม่ทันจบ จ้าวเหลียนเฟยก็สะบัดข้อมือออก ก่อนจะฟาดฝ่ามือเข้าหน้าจ้าวข่ายเต็มแรง
เพี๊ยะ!!
พนักงานของหลินเทียนกรุปที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ถึงกับตาค้าง
“แต่งงาน? สินสอดสิบล้าน? จ้าวข่าย แกยังกล้าเรียกตัวเองว่า ‘พ่อ’ อีกเหรอ! แกคิดว่าฉันจะยอมให้คนอย่างแกขายฉันเหมือนสินค้าหรือ?”
จ้าวซินซินรีบเข้ามาเสริมทันควัน
“พี่คะ...การแต่งงานเป็นเรื่องของพ่อแม่ กฎนี้มีมาตั้งแต่โบราณ ถ้าพี่ขัดขืนก็เท่ากับอกตัญญูแล้วล่ะ”
“ถ้าเธอกตัญญูนัก งานแต่งนี้เธอก็แต่งแทนฉันเถอะ!”
เธอหันไปสบตาน้องสาวต่างแม่ สีหน้าเหยียดเย้ย จ้าวข่ายคำรามด้วยความเดือดดาล
“แกต้องแต่งนางเด็กเลว!”
ผัวะ! พลั่ก!
กำปั้นของหลิวฮ่าวฟาดเข้าปลายคางจ้าวข่ายเต็มแรงจนเซถลา ก่อนจะหันไปซัดจางเหยียนอีกหมัด ฟันหลุดกระเด็นออกจากปากชายอ้วนอย่างหมดท่า
หลิวฮ่าวชี้หน้าจ้าวข่าย เสียงของเขาเต็มไปด้วยโทสะ
“แกกล้าแตะหลานสาวฉันแม้แต่นิดเดียว ฉันไม่ปล่อยแกไว้แน่! เด็ก ๆ ลากพวกมันออกไป!”
รปภ.รีบเข้ามาจับจ้าวข่าย จ้าวซินซิน และเหลียนซวงซวงลากออกไปจากหน้าอาคาร
เสียงกรีดร้องของซินซินดังก้องจนลับสายตา จ้าวเหลียนเฟยเดินกลับเข้าสู่สำนักงาน ใจยังเต้นแรง แต่เธอไม่แสดงออกให้ใครเห็นเธอรู้ตั้งแต่เปิดพินัยกรรมและเข้ารับตำแหน่งผู้บริหารกิจการของแม่ เรื่องแปลก ๆ ก็เกิดขึ้นแทบไม่หยุด ทั้งอุบัติเหตุในโรงงาน รถเบรกแตก และเอกสารสำคัญหายไปอย่างลึกลับ ทุกครั้งเธอรอดมาได้...แต่ไม่มีอะไรบอกได้ว่าเธอจะรอดไปได้ตลอด
คืนนั้นเธอเซ็นเอกสารฉบับหนึ่ง ฝากไว้กับหลิวฮ่าว เป็นเอกสารที่ระบุชัดว่า หากเธอเสียชีวิตกระทันหัน ทรัพย์สินทุกอย่างจะถูกโอนเข้าสู่มูลนิธิเพื่อช่วยเหลือสตรีและเด็ก ไม่ให้ตกไปอยู่ในมือของพ่อแม่และลูกสาวชั่วเด็ดขาด
สามวันต่อมาจ้าวเหลียนเฟยก็ขับรถเพื่อกลับยังฟาร์มของคุณน้าเพื่อไปหาคุณยาย น้าชายคนที่สามอยู่กับยายที่ชนบทสืบทอดกิจการของคุณตา เขามีฟาร์มหมู ฟาร์มไก่เป็นของตัวเอง และยังส่งออกข้าวรายใหญ่ในภูมิภาคอีกด้วย จ้าวเหลียนเฟยไม่เข้าใจแม่แต่งงานกับคนอย่างจ้าวข่ายได้อย่างไรกัน
รถเก๋งขับมาตามเส้นทางหลักขณะที่กำลังจะกลับรถก็มีรถบรรทุกคันใหญ่ขับมาด้วยความเร็วชนเข้ากลางคันรถเก๋งทันที จ้าวเหลียนเฟยรู้สึกว่ารถของเธอหมุนกลิ้งหลายตลบ มือบางกำสร้อยคอแน่น นี่เป็นของดูต่างหน้าของคุณแม่ของเธอ ดวงตาพร่ามองไม่เห็นอะไรอีก เลือดไหลออกมาจนท่วมร่างเปื้อนจี้หยกที่เธอกำเอาไว้ก่อนที่มันส่องแสงสีเขียวออกมาพร้อมกับสติที่ดับลงของจ้าวเหลียนเฟย
หมู่บ้านอวี๋หยางจ้าวเฟยเฟยหยิบจดหมายของสามีมาอ่านอีกรอบเขาส่งมาเดือนก่อน("เสี่ยวเฟย..พี่คิดถึงเจ้ากับลูกๆ ยิ่งนัก เดือนหน้าจะครบรอบวันจากไปของท่านพ่อและท่านแม่ เจ้าบอกว่าจะไปเซ่นไหว้พวกท่านแทนพี่เรื่องนี้ต้องขอบใจเจ้ามากนัก เจ้ากำลังตั้งครรภ์จงดูแลตัวเองดีๆ เงินทองพี่มีมากพอที่จะเลี้ยงดูเจ้ากับลูกให้อดอยากยากจน จงอย่าหักโหมทำงานมากเกินไปนัก ขาดเหลือสิ่งใด กลับไปพี่จะชดเชยให้เจ้าทุกอย่าง พี่อยากกลับไปอยู่เคียงข้างเจ้ายามที่คลอดลูกของเรา แต่ชายแดนยังต้องจัดการกับกลุ่มก้อนที่ไม่ยอมสวามิภักดิ์ ให้สัญญากับเจ้าเมื่อสงครามจบจะรีบกลับไปหาเจ้ากับลูกของเราโดยไว รักเจ้าเสมอคนดี เฉินมู่หยาง")นางจะเป็นตัวแทนของเขาไปไหว้สุสานของบิดามารดาของเขาแทน ซึ่งนางกำลังเตรียมข้าวของอยู่ จ้าวเฟยเฟยเปิดร้านใบชาเพิ่มอีกหนึ่งร้าน นางกำลังได้คู่ค้ารายใหม่เฉินโม่หวายเขียนใบรายการสินค้าให้มารดา ส่วนเฉินเหว่ยออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้พี่สะใภ้ ทั้งสองคนมีค่าแรงเป็นเงินเดือนๆละสองตำลึง เฉินผิงผิงเองก็มีหน้าที่ต้อนรับลูกค้าที่มาซื้อของ เพราะท่านแม่เปิดร้านขนมอบเจ้าตัวน้อยชอบกินขนมและไป้เหฟยียนเองก้มักจะทำบ่อยๆ จ้าวเฟยเฟยเลย
หุบเขาไป๋ฮวาเฉินมู่หยางกำลังเดินทางกลับหมู่บ้านกับไป่เซิง ทั้งสองคนแยกตัวจากกลุ่มของสำนักคุ้มภัย พวกเขาหยุดงานแต่ว่าเฉินมู่หยางได้ยินว่าท่านพ่อป่วยจำต้องใช้เงินตำลึง เขาแค่แปลกใจเงินทองที่ให้บิดามารดาก็ไม่น้อยเหตุใดกลับไม่มีรักษาตัวสักอีแปะ หรือว่าท่านย่ากับท่านปู่นจะรีดไถไปจนหมดอีกแล้วทั้งสองคนเดินมาเรื่อยๆ ค่ำก็นอนบนคบไม้เพื่อกันถูกสัตว์ป่าที่ออกหากินกลางคืนทำร้ายเอาได้ ขณะกำลังเดินมาเพื่อจะผ่านทางหุบเขาก็ได้ยินเสียงโลหะกระทบกัน เป็นเสียงกระบี่กระทบกันมีคนกำลังสู้รบ ทั้งสองคนไม่อยากจะเอาปัญหามาให้ตัวเองจึงจะเดินเลี่ยงไปทางอื่น แต่เฉินมู่หยางต้องหยุดเพราะมีมือยื่นออกมาจากพงหญ้าคว้าเท้าเขาเอาไว้ เมื่อเขามองลงมาก็เห็นเป็นมือขาวซีดของสตรี นางเอ่ยอย่างอ่อนแรง"ได้โปรด...ช่วยข้าด้วยเถอะ"เสียงสู้รบเงียบไปแล้วได้ยินแต่เสียงตะโกนดังมา"พี่ใหญ่ นายจ้างต้องการหัวของสตรีคนนั้นพร้อมกับร่างที่มีเด็กอยู่ในท้อง""ไปตามหานางให้เจอ ต้องเอาตัวมาให้ได้ แค่หญิงท้องแก่คนหนึ่งไปไหนได้ไม่ไกลหรอก ฆ่านางแล้วเอาศพไปรับเงิน""เฮๆๆๆๆ ฆ่านาง ฆ่านาง ฆ่านาง"เสียงกลุ่มนักฆ่าร้องโห่เรียกกำลังใจก่อนจะพากันออกตามห
ค่ายทหารในแคว้นเหลียวไป่เซิ'มาหาเฉินมู่หยางเพราะท่านแม่ทัพใหญ่มีเรื่องจะคุยกับเขา"ท่านแม่ทัพ แม่ทัพใหญ่ต้องการคุยบางอย่างกับท่านน่ะขอรับ""น่าจะเป็นเรื่องเหยื่อตัวโตที่ถูกขังเอาไว้ ป่านนี้คงผอมแล้วกระมัง รองแม่ทัพไป๋ท่านช่วยส่งจดหมายให้ข้าสักหน่อย ส่งไปจวนเจ้าเมืองหาใต้เท้าจิน""ขอรับ"ไป๋เซิงรับคำสั่ง ยามนี้เขาเป็นรองแม่ทัพตะวันออกติดตามแม่ทัพเฉินและเฝ้ารักษาปกครองเมืองเหลียว พรุ่งนี้จะเข้าไปอยู่ในวังหลวง องค์หญิงและเชื้อพระวงศ์แคว้นเหลียวต่างเสนอตนเองเป็นบรรณาการให้กับเขาและแม่ทัพใหญ่ แต่ทว่าเฉินมู่หยางมิได้สนใจร่างสูงเดินออกมาจากเรือนพัก ทหารที่ยึดเมืองเข้าพักยังอาคารและตำหนักต่างๆ เกณฑ์เชื้อพระวงศ์ไปอยู่ที่ตำหนักเย็นทั้งหมด เฉินมู่หยางเดินมากำลังจะถึงก็มีสตรีนางหนึ่งพรวดพราดออกมา เพื่อต้องการล้มในอ้อมกอดของเขา แต่กลับถูกซ่งเทียนอี้สะบัดมือใส่จนนางล้มลง"ไม่เจียมตัว ข้าเกลียดที่สุดก็คือสตรีที่เสแสร้งทำตัวอ่อนแอให้บุรุษปกป้อง""ไอ้เด็กบ้า...อย่างไรข้าก็เป็นถึงองค์หญิงนะเจ้ากล้าทำเช่นนี้กับข้าหรือ""องค์หญิง เหอะจะถูกส่งไปขุดเหมืองอีกไม่กี่วันยังจะปากดี จะบอกให้นะ แม่ทัพของพวกเราม
ยามนี้จ้าวเฟยเฟยนั่งพิงเก้าอี้ไม้เพื่อรอฟังคนตรงหน้าอธิบาย มู่หยวนเดินมาหาจับมือบางขึ้นมาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่น"เฟยเอ๋อร์ หลานคือหลานของตา มีบางอย่างที่ทำให้พวกเราต้องพัดพรากจากกัน""เถ้าแก่มู่ ท่านช่วยบอกข้าสักหน่อยว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่"นางชักมือออกก่อนจะเสียงแข็งใส่ชายสูงวัยตรงหน้า มู่หยวนนั่งลงและเริ่มเล่าเรื่องราวทั้งหมด เมื่อเอ่ยจบเขาก็รอฟังว่าหลานสาวจะเอ่ยอะไร ส่วนจ้าวเฟยเฟยนั้นได้แต่สงสารร่างเดิม หากพวกเขาตามหานางเร็วกว่านี้ร่างเดิมคงไม่ต้องตายอย่างน่าสงสาร จ้าวเฟยเฟยพยักหน้าให้ก่อนจะเอ่ยกับพวกเขา"พวกท่านรอจนเกือบสี่สิบปีถึงมาตามหา ช่างเถอะข้าไม่อยากถือสาเรื่องที่ผ่านไปแล้ว แต่ว่าที่ข้าอยากรู้คนเหล่านั้นเป็นใครทำไมพุ่งเป้ามาที่ข้ากัน"มู่หย่งอันถอนหายใจเอ่ยกับเหลนสาวของตัวเอง"สี่สิบปีก่อนยังมีอีกคนที่หายสาบสูญ""มีอีกคนหรือ...ใคร?"จ้าวเฟยเฟยเอ่ยถามด้วยความอยากรู้ คนโบราณนี่พลัดพรากเก่งจริงๆ เหมือนนางกำลังอยู่ในซีรีส์สักเรื่องที่พล็อตละครน้ำเน่า มูหย่งอันสบตาหลานสาวก่อนจะเอ่ยปากเล่า"ครั้งนั้นไหวอ๋องปราบปรามกบฏ ที่แย่งชิงบัลลังก์จากอดีตฮ่องเต้ เมื่อเสร็จสิ้นยังไม่ทันได้
นางกำลังทำงานคนงานก็มาบอกว่ามีคนงานมาหานางบอกว่ามีคนมาจากต่างเมืองพูดคุยเรื่องใบชา จึงลุกออกไปคนงานจากร้านมาหานางบอกว่ามีลูกค้าต้องการติดต่อค้าขายใบชา จ้าวเฟยเฟยพยักหน้าก่อนจะบอกหลินเซียงเหมยดูแลทางนี้ นางค่อยๆลุกขึ้นเพื่อจะไปหาคู่ค้าใหม่ที่จะมาติดต่อ ก่อนจะนึกได้ว่าหากมาติดต่อนาง ต้องนัดหมายมาทางด้านหลินอ้าวก่อน อยู่ๆมาหานางโดยตรงนั้นมันผิดปกตินึกถึงคำของมู่หยวนเมื่อก่อนเดินทางไปนางยิ่งวิเคราะห์ความไม่สมเหตุสมผล นางจึงหยุดเดิน ก่อนที่คนงานจะหันกลับมาแล้วเอ่ยถามนางว่าเหตุใดถึงหยุดเดิน"เถ้าแก่ ...ท่านหยุดเดินทำไมลูกค้าคนนั้นรอท่านอยู่ ที่สำคัญเงินมากขนาดนั้นท่านไม่ต้องการหรือ""วาจาก้าวร้าว ท่าทางข่มขู่คุกคาม สายตาล่อกแล่ก รีบร้อนจนดูผิดปกติ ที่ง่ามมือมีรอยด้านหากเป็นกรรมกรจะไม่ด้านแค่ตรงนั้นเป็นพิเศษ มือนี้ปกติจับอาวุธ ไม่ใช่คนงานที่จ้างมาทำงานแน่นอน ทุกคนข้ารู้จักหมด เจ้าเป็นใครมาจากไหนกันแน่ เอาเถอะข้าเองก็อยากรู้"จ้าวเฟยเฟยคิดในใจจากนั้นก็เอ่ยกับคนงานชายที่เดินนำหน้า"พอดีข้าลืมหนังสือสัญญาน่ะ ข้ากลับไปเอาก่อนเจ้ารอที่นี่""ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวข้าไปเอาให้ท่านเองท่านวางไว้ที่ใด"จ้
ยามนี้จ้าวเฟยเฟยตั้งครรภ์ได้แปดเดือนแล้วนางได้ยินว่าชายแดนยึดต้าเหลียวได้ถึงเจ็ดเมือง อีกไม่นานก็จะเข้ายึดเมืองหลวงข่าวดีกว่านั้นคือเฉินมู่หยางสังหารแม่ทัพศัตรูไปสามคนยามนี้เขาได้ตำแหน่งแม่ทัพตะวันออกเรียบร้อยแล้ว ส่วนฮั่วป๋ายจะกลับเมืองหลวงเป็นรองเจ้ากรมกลาโหมคนต่อไปทางด้านจ้าวเฟยเฟยอยู่ทางนี้นางสร้างอาชีพใหม่ให้กับชาวบ้านโดยการให้พวกเขาปรับปรุงบ้านเป็นที่พัก ถนนจากท่าเรือมายังท้ายหมู่บ้านนั้นยาวเพียงสองลี้ ใช้เวลาไม่นานก็มาถึง อีกทั้งนางยังให้ทำที่จอดรถม้าอีกด้วยยามนี้ร่างอุ้ยอ้ายกำลังนั่งคิดเงินค่าแรงคนงานอยู่ แม้ว่าร้านปิ้งย่างของนางจะมีลูกค้ามากมายมาจากทุกทิศแต่ว่าสิ่งที่ทำเงินให้นางมากที่สุดก็ยังเป็นชาอยู่ดี นางได้ชาอู่หลงมาจากในมิติครั้งละหนึ่งร้อยห่อ ห่อละหนึ่งร้อยกรัม จ้าวเฟยเฟยขายมันห่อละสามสิบตำลึง คนในยุคนี้อวดรวยกันที่ว่าใครมีใบชาชั้นดีไว้ในครอบครองชาดอกกุหลาบและชาดอกเก๊กฮวยนางขายห่อละสามตำลึงแต่ทว่าหากร้านรับซื้อในราคาส่งนางขายพ่อค้าคนกลางห่อละสองตำลึง นางให้กำไรพวกเขามากหน่อยเพราะการขนส่งในยุคนี้แม้ว่าไม่มีต้นทุนน้ำมันแต่กลับเสียเวลาและใช้กำลังคนเฉินโม่หวายถือถาดไม







