“ข้าละเบื่อยาขมเหล่านี้นัก เจ้ามียาที่มันอร่อยชวนกินบ้างหรือไม่ตั่วเอ๋อ” ด้วยความที่มาจากภพที่มีวิวัฒนาการเกี่ยวกับยาและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมากมายที่อออกมาแข่งขันกันในท้องตลาด แต่ละเจ้าจึงแข่งกันพัฒนาทั้งคุณภาพ รูปลักษณ์ และรสชาติจนแทบจะไม่มีรสชาติหรือกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์หลงเหลืออีกเลยตัวจินเองยังเคยแซวจุ๋ยเพื่อนสาวคนหนึ่งที่ทำงานเป็นนางพยาบาลว่าอย่าได้เผลอหยิบวิตามินให้ผู้ป่วยรับประทานแทนยาเป็นอันขาด
“ข้าคิดมาเผื่อเจ้าแล้ว จริงๆ คือข้าเพิ่งพัฒนามันได้สำเร็จ สิ่งนี้เรียกว่า “ยาลูกกลอน” ข้าใช้น้ำผึ้งป่าเป็นตัวประสานช่วยให้ผงยาสามารถขึ้นรูปได้ ไม่ต้องมัวติดไฟต้มเคี่ยวให้เสียเวลา ซ้ำยังกลืนลงคอไปได้เลยทำให้ลดการขมติดคอ เพียงแต่ผู้ป่วยต้องมีสติและอาการต้องมิหนักหนา เพราะหากผู้ป่วยมิมีสติมิสามารถกลืนยาด้วยตนเอง หากฝืนป้อนลูกกลอนอาจติดคอจนหายใจไม่ออกได้” ฮัวตั่วเอ๋อภูมิใจนำเสนอยาลูกกลอนที่นางเพิ่งคิดค้นได้สำเร็จ เพราะก่อนหน้านี้หากตัวยามิเหลวจนไม่สามารถปั้นเป็นเม็ดได้ก็จะร่วนจนเป็นแตกผง มิอาจกลืนได้ในคราวเดียว หลังจากนางปรับปรุงสูตรและวิธีการอยู่พักใหญ่ก็ได้ตัวยาที่คงรูปจนไม่ละลายทันทีที่ใส่เข้าปาก
“โอ้ ที่นี่มียาลูกกลอนด้วยหรือ” จินดีใจจนลืมตัวเพราะเธอเบื่อยาน้ำขมๆ เหม็นๆ นั่นเต็มทนแล้ว แม้ตัวเองเพิ่งจะดื่มไปได้เพียงสองวัน แต่เธอได้รับความทรงจำของตู้จินจินมาด้วย จึงรู้สึกรังเกียจเกินว่าปกติ
“เจ้าก็รู้จักยาลูกกลอนด้วยรึอาจิน” ตั่วเอ๋อรู้สึกแปลกใจเพราะนางได้เคยสอบถามบิดานางมาก่อนแม้แต่แพทย์ที่เชี่ยวชาญอย่างท่านก็ยังไม่คยพบเห็น
“ที่บ้านเก่าของข้าก็มี” จินตอบคำถามเพื่อนแบบลืมตัว
“โอ้ว แคว้นสู่ของเจ้าพัฒนากว่าที่ข้ารู้นะเนี่ย” ตั่วเอ๋อเข้าใจไปอีกทาง แต่คำว่าแคว้นสู่ทำให้จินได้สติ
“อืม” เมื่อรู้สึกตัวจึงได้แต่ตอบแบบกำกวมไปเสียงเดียว
‘พระชายารอบรู้จริงๆ ขนาดเราโตมาในวังหลวงแท้ๆ กลับไม่เคยได้ยิน’ ปี้หรูชื่นชมในตัวพระชายาที่นางรับใช้มาตั้งแต่เล็กแต่น้อย
“ปี้หรู นี่เป็นสมุนไพรลูกกลอนสำหรับขจัดสารพิษที่ไม่ดีต่อร่างกาย เพื่อให้พระชายาของเจ้าได้ฟื้นฟูร่างกาย จงจัดให้นางกินห้าเม็ดก่อนอาหารทั้งสามมื้อ และต้องกินก่อนอาหารครึ่งชั่วยามเพื่อที่จะได้ผลดีที่สุด” พูดพร้อมส่งตะกร้าที่สานด้วยไผ่ ภายในมีขวดกระเบื้องเคลือบสีขาวขนาดเท่ากำปั้นใส่ไว้สิบใบ
“ขอบคุณท่านหมอเสี่ยวฮัวเจ้าค่ะ” ปี้หรูรับยามาแล้วนำไปวางไว้ที่โต๊ะข้างเตียงทันที
“กว่าจะได้ลูกกลอนเหล่านี้ไม่ง่ายเลย ข้าต้องทำสมุนไพรเป็นผง โดยสมุนไพรที่จะนำมาบดเป็นผงต้องเป็นสมุนไพรที่ถูกทำให้แห้งสนิทดี แล้วบดให้ละเอียดเป็นผงด้วยการตำหรือใช้เครื่องบดยา
จากนั้นเคี่ยวน้ำผึ้งให้น้ำระเหยออกจนหมด กรองผ่านผ้าขาวบางแล้วกวนต่อจนน้ำผึ้งเย็น เทผงสมุนไพรในชามกระเบื้องปากกว้าง ค่อยๆ เทน้ำผึ้งลงไปผสมทีละน้อย คลุกเคล้าจนเหนียวเป็นก้อนปั้นได้ แล้วค่อยใช้มือปั้นเป็นเม็ดขนาดเท่าที่ต้องการ ผึ่งแดดให้แห้ง แล้วจึงเก็บใส่ขวดปิดฝาให้สนิทเก็บไว้ใช้ ยาเหล่านี้มีอายุการเก็บรักษาเพียงสามเดือน ที่ข้านำมานี้เพิ่งบรรจุเมื่อวาน ข้าเขียนวันที่หมดอายุไว้ใต้ขวดแล้วและจัดมาให้เจ้าครบสามเดือนพอดี เจ้ามิต้องกังวล” ด้วยความภูมิใจในยาลูกกลอน ฮัวตั่วเอ๋อจึงร่ายยาวถึงวิธีการทำให้สหายฟังอย่างไม่หวงวิชา
“เจ้ามิกลัวข้าจะเลียนแบบยาของเจ้าแล้วนำไปขายในราคาถูกกว่าหรอกหรือ” ตู้จินจินหยอกเย้าสหายที่ทำสีหน้าปลื้มปริ่มกับผลงานอยู่ตรงหน้า
ดีสิ หากเจ้ารับการขาดทุนได้แบบข้า ข้าก็ดีใจนะที่ชาวบ้านจะมียาถูกๆ ใช้มากขึ้น แต่กำยานน่ะถ้าไม่จำเป็นก็เลิกจุดเสียเถิด เจ้ามิได้ปรุงเองจึงไม่สามารถรู้ว่าคนปรุงใส่สิ่งใดลงไปบ้าง” ฮัวตั่วเอ๋อไม่สนใจเรื่องที่เพื่อนเย้านักจึงกล่าวไปตามที่คิดและมิวายเอ่ยเตือนด้วยความห่วงใย
“ได้สิ ปกติข้าก็มิได้ชอบนักดอก เพียงแต่อนุเจียวเคยแนะนำกำยานสงบใจที่ท่านหมอเฉียนปรุงให้ตอนที่ข้าเข้ามาอยู่ในเรือนใหม่ๆ อากาศที่นี่มันร้อนมากจริงๆ อีกทั้ง เอ่อ ปี้หรู เจ้าไปเตรียมอาหารแห้งที่ยังมีทุกแบบให้ท่านหมอเสี่ยวฮัว” จินมีเรื่องที่อยากปรึกษาตั่วเอ๋อเป็นการส่วนตัวแต่ไม่อยากให้ปี้หรูสงสัยและท้วงติงขึ้นมาระหว่างที่นางสนทนา จึงได้ให้นางรีบไปจัดเตรียมของฝากให้ตั่วเอ๋อ โดยนางให้สาวใช้เตรียมกล่องไม้ใส่ส่วนประกอบทุกอย่างในถ้วยร้อนให้เอากลับไปต้มเองในหม้อปรุงอาหาร เพื่อหลีกเลี่ยงการตอบคำถามเกี่ยวกับถุงร้อนที่นางมี
“เจ้ามีปัญหาใดก็บอกมาเถิด ข้าจะปิดไว้เป็นความลับให้เจ้า” หลังจากปี้หรูนำเสี่ยวม่านออกไป ฮัวตั่วเอ๋อก็เอ่ยปากถามเพราะสงสัยที่สหายกล่าวคำอ้ำอึ้งมิทันจบประโยคก็ส่งสาวใช้ทั้งสองออกจากห้องไป
“มิใช่อันใดใหญ่โต เพียงแต่สะ ส้วมน่ะ ข้าไม่คุ้นชินเอาเสียเลย ที่แคว้นต้าจินมีถังส้วมที่นั่งสบายกายกว่านี้บ้างหรือไม่ หากมิใช่ถังไม้กลมๆ ที่เอาไม้พาดก็เป็นห้องส้วมหลุมที่ใช้ไม้วางพาด ข้ากลัวจะตกลงไปเหลือเกิน” พูดยังไม่จบก็หน้าแดงด้วยความเขินอาย จินไม่กล้าปรึกษาใครเลยเพราะทุกคนก็ใช้เหมือนกันหมด แต่นางผู้ที่เคยผ่านชักโครกอัจฉริยะมาแล้วจะรับได้ง่ายๆ หรือ
“โอ้ ข้ารู้จักคนที่จะแก้ปัญหาให้เจ้าได้ เจ้าไปที่ร้านโรงไม้สกุลมู่สิ รู้สึกว่าสกุลมู่จะมีลูกสาวเป็นอนุอยู่ในจวนนี้ด้วยนี่นา เจ้าได้พบนางหรือยัง” ฮัวตั่วเอ๋อเกือบยกมือตบเข่าฉาด เป็นคำถามที่ถูกใจนางมาก เพราะนางเองก็เคยประสบปัญหาเดียวกัน
“ข้าเพิ่งได้พูดคุยกับนางเมื่อวานนี้เอง ไว้มีเวลาข้าจะลองเรียกนางมาสอบถามดู” มู่มู่เป็นอนุนางหนึ่งที่จินให้ความสนใจ ด้วยมีบุคลิคอ่อนโยนขัดกับชื่อและแซ่
“พี่สาวพระชายาเพคะ ท่านทำอันใดอยู่เพคะ” เสียงใสนำหน้ามาก่อน ไม่ต้องเห็นตัวจินก็รู้ว่าเป็นอนุน้อยกงซุน
เมื่อนางเข้ามาถวายพระพรแล้วตู้จินจินจึงแนะนำท่านหม เสี่ยวฮัวให้นางรู้จัก กงซุนเสี่ยวเม่ยทำความเคารพด้วยความนับถือ
“เจ้ามาหาพี่มีธุระอะไรหรืออาเม่ย ต่อไปเรียกพี่ว่าพี่จินก็พอ” นางอนุญาตให้อนุกงซุนเรียกตัวเองว่าพี่ด้วยความเอ็นดูนางแบบพี่สาวที่มีแก่น้องสาว
“ฮี่ๆ ข้าแค่อยากกินอาหารของพี่จินเจ้าค่ะ” อาเม่ยตอบด้วยสีหน้าทะเล้น
“เจ้านี่ห่วงกินจริงๆ ให้สาวใช้ของเจ้าไปหาปี้หรูในครัวเถิด นางกำลังจัดของให้ท่านหมอเสี่ยวฮัวอยู่” ตู้จินจินตอบอนุน้อยด้วยความเอ็นดู
“เจ้าเรียกข้าว่าพี่ตั่วเอ๋อก็ได้นะ ข้าก็อยากจะเรียกเจ้าว่าอาเม่ยเช่นพี่จินของเจ้า เจ้าจะว่าอย่างไร” ฮัวตั่วเอ๋อหยอกเย้านางเช่นกัน
“ได้สิเจ้าคะพี่ตั่วเอ๋อ อาเม่ยมีพี่สาวเพิ่มอีกคนแล้ว ดีใจยิ่งนัก” พร้อมกับกล่าวนางกระโดดไปนั่งตักฮัวตั่วเอ๋อทันทีจนฮัวตั่วเอ๋อหงายหลังและตัวอาเม่ยเองก็หล่นลงจากตัก
“โอ๊ย เจ้านี่ซนนักอาเม่ย ล้มลงไปเจ็บไหมเล่านั่น” เมื่อขยับตัวจนเข้าที่ก็มิวายขบขันกับท่าทางเค้เก้ของน้องสาวคนใหม่
“ไม่เจ็บเจ้าค่ะ แต่ข้าจุกท้อง โอย ลุกไม่ขึ้นแล้ว พวกพี่สาวไม่ช่วยข้าหน่อยหรือเจ้าคะ” อาเม่ยนอนกุมท้องหน้าตาบิดเบี้ยวจนเกินเหตุ จนสองสหายคิดว่านางแกล้งทำ
“เอ้า ลุกขึ้นยืนขยับแข้งขาเสียก่อน ขัดยอกตรงไหนหรือไม่” ทั้งสองช่วยกันพยุงน้องสาวให้ลุกขึ้นยืน
“อาเม่ยเจ้ามีแผลตรงไหนหรือไม่ เหตุใดมีเลือดที่ขา” ตู้จินจินถามไถ่ด้วยความตกใจ เกรงว่าอาเม่ยจะล้มไปชนเอาสิ่งใดทำให้เกิดบาดแผลจนมีเลือดออก
เพื่อนร่วมรุ่นม.ต้นที่สนิทสนมและรักกันมาก จำนวน 4 คนพร้อมทั้งน้องสาวของเพื่อนอีกหนึ่งคนในกลุ่มที่อายุไล่เลี่ยกันทำให้พลอยสนิมสนมกับเพื่อนๆ ของพี่สาวไปด้วย ทั้ง 5 คนมีจุดร่วมกันอีกอย่างที่คนภายนอกไม่ทราบนั่นก็คือความความเคารพนับถือในท่านเทพไฉ่ซิงเอี๊ยะเทพเจ้าแห่งโชคลาภนั่นเองวันนี้ห้าสาวนัดรวมกันไปกินข้าวกลางวันที่ห้างดังแห่งหนึ่งในอำเภอเมือง หนุงหนิงที่พาอุ๊งอิ๊งลูกสาวจินไปประชุมผู้ปกครองที่โรงเรียนประจำจังหวัดแทนจินที่ติดประชุมผู้ถือหุ้นก่อนจะมารวมตัวกับทุกคน เป็นเหตุให้ได้เห็นนายเจนภพสามีจอมเจ้าชู้ของจินที่อ้างว่าป่วยต้องไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลพากิ๊กและลูกติดไปประชุม บังเอิญว่าลูกติดของผู้หญิงคนนั้นเป็นเพื่อนห้องเดียวกับน้องอุ๊งอิ๊งลูกสาวของจิน เธอเลยให้อุ๊งอิ๊งทำทีถามทางไปบ้านของเด็กคนนั้นและเอามาบอกให้จินฟังหลังทานข้าวเสร็จ เพราะกลัวเพื่อนจะไม่ได้กินข้าวกินปลา แต่กระนั้นจินก็รีบร้อนออกไปหาเจนภพตามที่อยู่นั้นทันทีที่หนุงหนิงเล่าจบเนื่องจากเธออนุญาตให้เจนภพสามีจอมเจ้าชู้มีภรรยาน้อยได้ตลอดขอเพียงให้บอกเธอ เธอจะได้พาเจ้าหล่อนไปตรวจร่างกายเพื่อหลีกเลี่ยงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และได้จ
“ตั้งแต่วันที่ข้าฟื้นขึ้นมาก็พบว่ารอบๆ ตัวของข้าเปลี่ยนไป ข้าต้องใช้ชีวิตในร่างของใครอีกคนหนึ่ง ดีที่ได้รับการช่วยเหลือจากท่านเทพไฉ่ซิงเอี๊ยะที่ข้านับถือ และยังได้พบเจอสหายดีๆ ที่ช่วยฟื้นฟูสุขภาพกายและใจให้ข้าเช่นฮัวตั่วเอ๋อ และไป๋เหลียนฮวาที่ปรึกษาในการใช้ชีวิต รวมถึงหวงเฟิ่งและจินหลิงหลิง ทั้งสี่นางทำให้ข้าคิดถึงสหายสนิททั้งสี่ในภพเดิม และต้องไม่ลืมกล่าวถึงอาเม่ยที่ทำให้ข้าหายคิดถึงอุ๊งอิ๊งลูกสาวข้าที่มีวัยใกล้เคียงกับนาง ท่านตาบอกข้าว่าคำอธิฐานของข้าทำให้ข้าได้ย้อนกลับมาแก้ไขชะตาของตนเอง ข้าจึงมิได้เสียใจนักที่ตู้จินจินคนเดิมตายไปเพราะนางก็คือข้าและข้าก็คือนาง เพียงแต่นี่คงจะเรียกว่าว่า ‘อดีตชาติ’ คงมิได้ แต่มันน่าจะเรียกว่า มัลติเวิร์ส1 ที่มีตัวตนของเราอีกคนหนึ่ง ในโลกอีกใบหนึ่ง ซึ่งมีจุดกำเนิด แนวคิด วีถีชีวิต และจุดจบแต่งต่างกันไป และมิจำเป็นว่าต้องมีแค่หนึ่งหรือสองตัวตนเท่านั้น และแม้ว่าแต่ละตัวตนในแต่ละโลกจะต่างฝ่ายต่างดำรงชีวิตกันไปโดยไร้ซึ่งความเกี่ยวข้องซึ่งกันและกัน แต่หากมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นในภพใดภพหนึ่งอาจส่งกระทบถึงภพอื่นๆ ไปด้วยได้เช่นกัน” หลังจากที่เล่าเรื่องราวโดยละเ
“นังหนู นังหนูจิน อย่ามัวแต่นอนอยู่เลย สงสารสวามีเจ้าบ้างเถิด เคราะห์ครั้งสุดท้ายของเจ้าผ่านไปแล้ว” เสียงอ่อนโยนของเทพชราปลุกให้จินมีสติขึ้นมาในความฝัน “ท่านตาเจ้าขา ท่านตาช่วยหลานไว้ใช่ไหมเจ้าคะ หลานกราบขอบคุณเจ้าค่ะ” พร้อมคำพูดร่างแน่งน้อยกุลีกุจอลุกขึ้นยอบกายลงกราบแทบเท้าท่านเทพที่นางเคารพยิ่ง “คราวนี้นับว่าเป็นกุศลที่เจ้าช่วยหลีกเลี่ยงสงครามครั้งใหญ่ทำให้ผู้คนมากมายรักษาชีวิตไว้ได้ เรียกว่าเป็น ‘บุญรักษา’ อย่างแท้จริงก็ว่าได้” “เป็นเช่นนี้เอง ว่าแต่นี่หลานเข้ามาในมิติได้แถมยังพาสวามีมาได้อีกด้วย เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้เจ้าคะ ท่านตาเคยบอกหลานว่ามีเพียงหลานเองที่สามารถเข้าออกมิติแห่งนี้ได้” แม้ว่าจะดีใจที่พาสวามีหลบภัยเข้ามามิติได้แต่ก็ยังไม่วายสงสัยจนต้องตั้งคำถาม “ในภพเดิมของเจ้าก็มีคำกล่าวว่า ‘สามี-ภรรยา เหมือนดั่งคนคนเดียวกัน’ มิใช่รึ” เสียงตอบเรียบๆจากท่านเทพชราพาให้จินคิดตามและเมื่อคิดได้ว่า นางและเขาได้ผ่านการเข้าหอซึ่งถือว่าเป็นสามี-ภรรยากันแล้ว ใบหน้าเรียวพลันขึ้นสีแดงด้วยความขวยเขิน “ข้ามิได้หมายถึงเรื่องนั้น แต่หมายถึงการที่
หลังสรุปผลการชิงธง และรับประทานมื้อเช้าอันอุดมสมบูรณ์ที่พระชายาตู้สั่งมาจากภัตตาคารชิมเมฆา แม้กับข้าวจะมีเพียงต้มจืดซี่โครงหมูกับผักกาดดองไว้ซดให้คล่องคอ และผัดกะเพราหมูสับไข่ดาวที่เติมได้ไม่อั้นครานี้การพรางตัวเป็นไปอย่างง่ายดายเพราะองครักษ์เงานั้นมีการฝึกแปลงโฉมกันอยู่ก่อนแล้ว ตู้จินจินให้ช่างแต่งหน้าจากคณะละครของไป๋เหลียนฮวามาสอนเพิ่มเติมอีกนิดหน่อยก็เรียกได้ว่าไร้ที่ติ เป้สัมภาระถูกซุกซ่อนในหีบเสื้อผ้า อาหารแห้งปะปนกันทั้งจริงและหลอก อาหารทะเลตากแห้งและเกลือในปริมาณตามที่ได้รับอนุญาตถูกบรรจุไว้ในถังไม้ หรือแม้กระทั่งห่อกระดาษน้ำมันที่ตีตราว่าเป็นใบชา ด้านในกลับเป็นเกาเฟยคั่วบดในซองผ้ากับน้ำตาลอ้อยชนิดผงกองกำลังถูกแบ่งกลุ่มและพรางตัวเพื่อออกเดินทางแล้วแยกย้ายกันไปในรูปลักษณ์ต่างๆ โดยแบ่งกำลังออกเป็น 5 กลุ่ม ทำทีเป็นพ่อค้าบ้าง เป็นคณะละครที่กลับจากแคว้นต้าจินบ้าง ทุกกลุ่มเดินทางทั้งกลางวันกลางคืน เมื่อถึงเมืองชายแดนหลังออกเดินทาง 3 วัน จึงตั้งค่ายพักผ่อนให้เต็มที่ 2 วัน จากนั้นจึงเดินทางเข้าประชิดเป้าหมายคือค่ายโจรเผ่าปาสู่แผนการรบถูกวางและซักซ้อมกันไปแล้วในการฝึกพิเศษ ตู้จินจินถ
เมื่อทุกคนตื่นมารับประทานอาหารเย็นในยามโหย่ว เหตุการณ์ที่พวกเขารับรู้ได้ก็ยังไร้วี่แววการบุกหรือถูกบุกจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดยสิ้นเชิง ดีที่มื้อเย็นวันนี้เป็นอาหารปิ้งย่างที่ตู้จินจินให้ทางภัตตาคารชิมเมฆาส่งเนื้อสัตว์เสียบไม้สลับกับผักและผลไม้และมีน้ำหมักที่เอาไว้ทาไปย่างไปมาอีก 2 แบบ คือแบบเผ็ดมากและเผ็ดน้อย ส่วนคนที่ไม่เผ็ดนั้นคือเนื้อสัตว์แต่ละชนิดก่อนจะนำมาเสียบสลับกับผักผลไม้ที่ถูกหมักกับน้ำมันงาและเหล้าอย่างดีมาก่อนแล้ว “เจ้าว่าพวกเขาจะเริ่มบุกกันเมื่อใดหรือ” ฮัวตั่วเอ๋อที่ไม่ได้พักผ่อนยามบ่ายเอ่ยถามขึ้น และอีกหลายคนก็ยังจัดการงานในมือมิแล้วเสร็จ “หลังกลางยามโฉ่วไปแล้วกระมัง หากให้คำนวณตามหลักการของคนปกติ ช่วงนี้จะเป็นเวลาที่กำลังหลับลึกที่สุด แต่ว่าข้าก็มิอาจยืนยันได้เพราะพวกเขาผ่านการฝึกให้ต่างจากคนทั่วไป หากใครต้องการพักผ่อนก็ตามสบาย หากมีความเคลื่อนไหวข้าจะให้คนไปปลุกพวกท่านเอง” ตู้จินจินเองก็เพิ่งพักสายตาไปไม่นานเพราะมัวแต่ถูกก่อกวนจากพระสวามีก็รู้สึกง่วงอยู่ไม่น้อย แม้ว่าจะไม่ได้มีอะไรเกินเลยเพราะต่างก็เกรงใจดวงตะวันที่ยังไม่ตกดิน ทั้งยังมิได้พักอยู่ในจวน
“กลุ่มเลขคี่ประชุมด่วน” เสียงเรียกประชุมดังขึ้นกลางสวนผลไม้ในชมเมฆา แต่กลับไร้วี่แววของกำลังพลกลุ่มเลขคี่ที่ควรจะมารวมตัวกันเพื่อรับฟังการประชุม องค์ชายรองและพระชายามองหน้ากัน ในสายตามีรอยยิ้มน้อยๆ จนเมื่อหยางต้าซานหยิบนกหวีดทองเหลืองออกมาเป่าเป็นจังหวะสั้นยาวสลับกันสามครั้งจึงเริ่มมีกำลังพลทยอยกันมารวมกลุ่มจนครบทุกนายภายในเวลาเพียงชั่วอึดใจ แสดงให้เห็นได้ชัดถึงระเบียบวินัยและความมั่นคงในจิตใจของกำลังพลที่มิเชื่อคำสั่งของผู้ใดโดยง่าย “ทุกคนพรางตัวได้ดีมาก เรื่องบทลงโทษจึงละเว้นให้ แต่อย่าลืมว่าในยามศึกการลงโทษคือชีวิต คืนนี้ฝ่ายเลขคี่เลือกเป็นฝ่ายบุก ดังนั้นภารกิจที่พวกเจ้าได้รับคือ บุกไปชิงธงสัญลักษณ์ของฝ่ายเลขคู่มาให้ได้ก่อนฟ้าสาง โดยที่ต้องรักษาธงสัญลักษณ์ของฝ่ายตนเองเอาไว้ให้ได้ด้วย โดยทั้งสองฝ่ายต้องสร้างหอธงขึ้นมาในส่วนใดก็ได้ของค่ายพัก และภารกิจจะเริ่มเมื่อตะวันตกดิน นี่คือพลุสีเหลือง พวกเจ้าติดตัวไว้คนละ 1 ดอก หากชิงธงมาได้แล้วให้จุดพลุขึ้นทันทีแล้วภารกิจจะเป็นอันเสร็จสิ้น ส่วนแผนการทั้งหมดให้พวกเจ้าหารือกันเอง ครูฝึกและพวกข้าจะคอยสังเกตการณ์ ห้ามมิให้ถึงแก่ชีวิตและห