สามวันหลังแต่งงานจะมีธรรมเนียมคู่สามีภรรยากลับมาเยี่ยมบ้านเจ้าสาว ชินอ๋องกับชินหวางเฟยพระองค์ใหม่เองก็ไม่ได้ละเลยธรรมเนียมนี้
รถม้าประจำตำหนักชินอ๋องแล่นมาจอดอยู่หน้าจวนเสนาบดีช้ากว่าเวลาที่นัดไว้โข แต่การมาถึงของคนทั้งคู่ก็เรียกเสียงน่าตื่นเต้นว่า ‘มาแล้ว ชินอ๋องเสด็จแล้ว ชินหวางเฟยเสด็จแล้ว’ จากผู้คนโดยรอบได้เป็นอย่างดี
และยิ่งฮือฮาเข้าไปอีกเมื่อร่างสูงดูสุภาพสง่างามก้าวลงมาจากรถม้าแล้วโปรยยิ้มให้กับประชาชนที่มารับเสด็จ จากนั้นเขาก็หันไปให้ความสนใจพระชายาคนใหม่ของตน
“ชายารักระวังด้วย”
น้ำเสียงทุ้มติดอ่อนโยนเอ่ยขึ้นพร้อมยื่นมือขาวสะอาดไปให้ชายารักจับตอนก้าวลงจากรถม้า ความใส่ใจนี้ทำให้สาวงามในชุดพระชายาเต็มยศยิ้มจนแก้วปริ ทั้งสองประคองกันมายืนตรงหน้าเสนาบดีหลิวโดยที่แขนแกร่งของชินอ๋องไม่ได้ละไปจากร่างของชินหวางเฟยเลย
มองอย่างไรผู้คนก็คิดไปในทางเดียวกันว่าชินหวางเฟยผู้นี้เป็นที่โปรดปรานยิ่งแล้ว
การได้รับความโปรดปรานทั้งจากการกระทำ สายตา คำพูด ไหนจะเรื่องเครื่องแต่งกายของหลิวตันตันควรจะทำให้หลิวหงเถาอิจฉา
แต่ผิดคาด ใบหน้าของนางนิ่งมาก บางคนอาจคิดว่านางแค่เก็บความอิจฉาเอาไว้ในใจ แต่ใครเล่าจะรู้ดีไปกว่านาง
“พี่เถาเถ่าไหวหรือไม่ขอรับ”
ด้วยเพราะเสนาบดีหลิวอยากให้การรับเสด็จในครั้งนี้ออกมาได้น่าประทับใจชินอ๋องที่สุด จึงได้เกณฑ์บ่าวไพร่ทั้งจวนมารับเสด็จตั้งแต่ไก่โห่ จนตะวันขึ้นกลางศีรษะ แดดส่องจนแต่ละคนหน้าดำหน้าแดงกันเป็นแถบ ๆ ก็ยังไม่ยอมให้เข้าร่ม ไม่ให้กางร่ม อ้างว่า ‘เดี๋ยวไม่จริงใจพอ’
“ถ้าจะมาช้าก็ควรส่งคนมาบอกก่อนไหม ยืนรอจนขาแข็งหมดแล้ว”
“พี่เถาเถ่าประเดี๋ยวคนอื่นได้ยินนะขอรับ ใจเย็น ๆ ก่อนนะขอรับ”
ชิงหมินเห็นองครักษ์วังอ๋องยืนอยู่แถวนี้จึงกลัวว่าพวกเขาจะนำคำพูดของหลิวหงเถาไปฟ้องชินอ๋อง
“จะให้เย็นอย่างไรไหว ทีนี้เป็นไงเล่าประทับใจพอไหม แล้วตำหนักนั้นก็กระไร นัดเช้าแต่มาเที่ยง!”
คนที่เห็นท่าทางนี้ของหลิวหงเถานอกจากบ่าวไพร่แล้วก็ยังมีองครักษ์บางคนของชินอ๋อง แม้พวกเขาจะยืนอยู่ห่างแต่ก็ได้ยินคำพูดของหลิวหงเถาชัดเต็มสองหู คราแรกตั้งใจจะดุนางที่วาจาสาวหาว ไม่ยำเกรงต่อเชื้อพระวงศ์
“นี่คุณหนู…”
ทว่าเมื่อเห็นใบหน้าเล็กรูปผลท้อแดงก่ำในยามที่หันกลับมาจ้องทางพวกเขา ซึ่งดูก็รู้ว่ามาจากการตากแดดนานเกินไป ทำเอาพวกเขารู้สึกผิดจนเอ่ยตำหนิไม่ลง ในใจพากันคิดไปว่า
ขออภัยท่านอ๋องที่ข้าน้อยบกพร่องในหน้าที่
แม้หลิวหงเถาจะไม่อยากมานั่งทานอาหารร่วมโต๊ะกับพี่เขยเชื้อพระวงศ์ แต่ก็ไม่อาจหักหน้าพี่สาวได้ อาบน้ำแต่งตัวด้วยชุดใหม่ตามฉบับคุณหนูในห้องหอแล้วมานั่งแก้มป่องมองพี่เขยกับพี่สาวแสดงความรักต่อกัน
คำนี้พี่คีบให้น้องหญิง คำนี้น้องหญิงคีบให้เสด็จพี่ สลับกันไปมาแบบนี้ตลอดมื้ออาหาร สร้างความปลื้มใจให้แก่ผู้เป็นบิดามารดานัก
หนึ่งบุรุษหนุ่มมีรอยยิ้มอ่อนโยนประดับใบหน้าไว้ตลอดเวลากับสาวงามภาพลักษณ์อ่อนหวานแสนดีราวกับแม่พระ ทำให้คนที่มองอยู่ไม่ว่าจะเป็นเสนาบดีหลิว จูม่านหลิงหรือแม้แต่บรรดาบ่าวรับใช้ในห้องอาหารต่างรู้สึกตาพร่าไปตามๆ กัน เว้นอยู่แต่สองคนที่รู้สึกไม่เหมือนกับชาวบ้าน
“ตาข้าจะบอดเพราะพ่อพระแม่พระปล่อยแสงออกมาหรือไม่ ห้องนี้มืดไปหมดเลย สว่างวาบอยู่แค่จุดเดียว”
แฝดพี่หลิวหลี่เฟยแอบขมุบขมิบปากพูดคนเดียว แต่หลิวหงเถาที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กลับได้ยินมันชัดเต็มสองหูจึงพยักหน้าเห็นด้วย
“ใช่หรือไม่ อีกนิดข้าจะคิดว่าตัวเองอยู่วัดแล้วนะ จิตใจสงบได้โดยไม่ต้องเคาะเกราะไม้นับลูกประคำ”
“อุก แค่ก แค่ก”
แฝดพี่พยายามกลั้นขำเอาไว้อย่างสุดความสามารถ แต่เมื่อไม่ไหวแล้วจึงได้แสร้งเป็นสำลักอาหารแทน อย่างน้อยวิธีการนี้ก็ยังทำให้เขาถูกตำหนิจากบิดามารดาได้ไม่หนักเท่าการหัวเราะออกมาโดยไร้สาเหตุ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วก็เป็นสาเหตุที่บอกไม่ได้เสียด้วย
“แค่ก ๆ ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะชินอ๋อง ชินหวางเฟย”
อาการหน้าดำหน้าแดงของหลิวหลี่เฟยทำให้หลิวหงเถาอยากหัวเราะขึ้นมาด้วยเช่นกัน นางพยายามกลั้นขำอย่างเอาเป็นเอาตาย มือกำตะเกียบไว้แน่นจนนิ้วห้อเลือดไปหมด แต่คนเป็นพี่สาวที่เพิ่งหันมาให้ความสนใจกลับคิดว่าน้องสาวตนนั้นกำลัง ‘อิจฉา’ อีกแล้ว ในใจหลิวตันตันคิด…
เอาอีกแล้วแม่ตัวดีคนนี้
หลังมื้ออาหารค่ำจบลงชินอ๋อง เสนาบดีหลิว จูม่านหลิงและหลิวหลี่เฟยได้สนทนากันอยู่อีกห้องหนึ่งโดยมีหลิวหงเถาแยกมานั่งกับหลิวตันตันอีกห้องหนึ่ง เมื่ออยู่กันสองคนพี่น้องแล้วหลิวตันตันก็เอ่ยขึ้น
“น้องหญิงเล็ก รู้หรือไม่ว่าวันนี้เจ้าทำอะไรผิด”
เมื่อกลืนเนื้อแตงโมลงคอได้แล้วหลิวหงเถาก็ถามขึ้นมาอย่างงงงวย “หม่อมฉันทำอันใดผิดไปหรือเพคะหวางเฟย”
ความจริงแล้วนางเป็นคนความจำสั้นมาก เหตุการณ์ในชีวิตประจำวันถ้าไม่จดบันทึกเอาไว้ หรือไม่มีชิงหมินคอยเตือนความจำให้ นางไม่มีทางจำได้เลย ซึ่งข้อนี้คนในครอบครัวของนางรู้ดี
“งั้นเปิ่นหวางเฟยจะทวนความจำให้ดีหรือไม่"
หลิวตันตันไม่อยากใช้คำยกตนแบบเชื้อพระวงศ์มาข่มคนในครอบครัวโดยเร็วขนาดนี้นัก แต่ในเมื่อน้องสาวเป็นคนเอ่ยขึ้นมาก่อน นางจึงไม่คิดเกรงใจแล้วเช่นกัน
“กิริยาอิจฉาของเจ้าที่แสดงเมื่อมื้ออาหารที่ผ่านมา ไม่น่ารักเลยนะ”
หลิวหงเถานิ่งคิด เมื่อเค้นสมองคิดอย่างสุดความสามารถถึงจำได้ว่านางสร้างวีรกรรมอะไรเอาไว้ แต่เดี๋ยวนะ…
“หม่อมฉันเปล่านะเพคะ หม่อมฉันไม่ได้อิจฉาพระองค์เสียหน่อย”
“ผู้ร้ายที่ไหนจะยอมสารภาพความจริง แต่ก็เอาเถอะ เปิ่นหวางเฟยจะทำเหมือนว่าวันนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดีแค่ไหนแล้วที่ท่านอ๋องทรงไม่ถือสา แล้วจงสำเหนียกเอาไว้ด้วยว่านั่นเป็นเพราะพี่สาวของเจ้าได้รับความโปรดปรานเป็นล้นพ้น”
กรอบ!
เม็ดแตงโมที่อยู่ในปากหนึ่งเม็ดถูกฟันเล็กขบจนแหลกไม่เหลือชิ้นดี ปกติหลิวหงเถาเกลียดการกินเม็ดแตงโมมาก แต่เมื่ออยู่ในสถานการณ์แบบนี้ทำให้ของที่เคยเกลียดเข้าไส้ก็สามารถเคี้ยวจนเม็ดมันละเอียดไปกับลิ้นได้อย่างไม่นึกรังเกียจ เพราะอย่างน้อยมันก็เป็นวิธีการระบายอารมณ์ที่ดีที่สุดในตอนนี้
“หม่อมฉันจะจำเอาไว้เพคะหวางเฟย”
ในเมื่อยัดเยียดให้กันเช่นนี้แล้ว อิจฉาก็อิจฉา
สองสามีภรรยาอยู่สนทนากับคนตระกูลหลิวไม่นานก็ขอตัวกลับวังอ๋อง เมื่อเดินตัดผ่านสวนมายังหน้าตำหนักใหญ่ ชินอ๋องก็หันมาเอ่ยกับพระชายาคนใหม่
“วันนี้หวางเฟยเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ไปพักเถิด เปิ่นหวางยังมีงานรออยู่อีกมากมายให้ต้องสะสาง”
คำพูดของพระสวามีสูงศักดิ์ทำให้หลิวตันตันยิ้มค้าง เพราะนั่นหมายความว่า ‘เปิ่นหวางจะไม่มาค้างกับเจ้าแล้ว’ แม้เขาไม่พูดออกมาตามตรง แต่ใครที่ได้ยินก็ล้วนแปลเป็นคำพูดในทางเดียวกันหมด
“เพคะ ถนอมพระวรกายด้วย หม่อมฉันทูลลาตรงนี้”
กล่าวจบก็ย่อกายถวายความเคารพด้วยท่าทางงดงามไร้ที่ติ สมกับเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ที่ถูกอบรมมาอย่างดี ใบหน้าที่มีรอยยิ้มอ่อนหวานทำให้ผู้คนดูไม่ออกเลยสักนิดว่าหลิวตันตัน ‘ไม่พอใจ’ แต่ชินอ๋องกลับจับอาการไม่พอใจนั้นได้อย่างชัดเจน
ชินอ๋องเข้าใจความรู้สึกของหลิวตันตันเป็นอย่างดี ด้วยเพราะว่าทั้งตำหนักมีสตรีที่ถวายการรับใช้เขาอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้นก็คือพระชายาหลิวผู้นี้ ซึ่งขนาดมีอยู่เพียงแค่คนเดียวแต่ก็ยังไม่สามารถทำให้ชินอ๋องเสด็จมาหาในคืนที่สี่ได้ ความหมายในที่นี่ก็คือมัดใจสวามีได้เพราะมีธรรมเนียมมาบังคับให้อยู่ค้างสามคืนเท่านั้น เมื่อพ้นธรรมเนียมแล้วก็ไม่คิดที่จะกลับไปหาอีก
เรื่องนี้คงจะเป็นที่เล่าขานทั่วทั้งวังอ๋องเป็นแน่ ซึ่งเจ้าของวังเองก็พอจะเดาเอาไว้อยู่แล้ว ใบหน้าหล่อเหลาที่มองตามแม้จะยังมีรอยยิ้มอ่อนโยนประดับไว้ แต่แววตากลับแข็งกร้าวให้กับการลงเท้าหนักของพระชายา
“ถือสิทธิ์อันใดมาไม่พอใจข้า การแต่งงานครั้งนี้ก็เป็นแค่การแต่งงานการเมืองเท่านั้น อะไรที่ควรทำข้าก็ทำให้แล้ว ยังอยากหวังมากกว่านี้อีกสินะ งั้นก็ลองพยายามดูเถิด มีความสามารถมากพอหรือไม่”
ณ ตำหนักบูรพา
ชินอ๋องและไท่จื่อผู้เป็นรัชยาทของแคว้นชิงชิวอยู่ในวัยใกล้เคียงกัน ชินอ๋องศักดิ์คืออาของไท่จื่อ อายุ 30 พรรษา ส่วนไท่จื่อนั้น 28 พรรษา ทั้งคู่เติบโตด้วยกันมาตั้งแต่วัยเยาว์ จึงค่อนข้างสนิทกันและพูดคุยกันได้ทุกเรื่องไม่เว้นเรื่องอำนาจในการบริหารแว่นแคว้น
“ลำบากเสด็จอาแล้ว”
เมื่ออยู่เพียงลำพังในห้องทรงอักษรปราศจากหูตาจากนางกำนัลขันทีคนใด ไท่จื่อก็เอ่ยขึ้นมาด้วยท่าทางเป็นกันเอง
ซึ่งชินอ๋องเองก็ไม่ได้ถือว่าตนอาวุโสกว่าแต่อย่างใด มือเรียวบางราวกับหยกเนื้อดีตบเบา ๆ บนหลังมือหยาบกร้านแดดของไท่จื่อผู้ฝึกยุทธ์อย่างหนักหน่วงมาทั้งชีวิต
และใช่! ไท่จื่อก็คือต้นแบบของชายหนุ่มนักรบที่สาว ๆ ทั่วทั้งแคว้นต่างหมายปองนั่นเอง
“เพื่อแคว้นของเรา หากไม่ทำเช่นนี้เสนาบดีหลิวคงไม่แคล้วหาทางแปรพักตร์ไปฝั่งกบฏ เขามีอำนาจมากแค่ไหนในแถบทางใต้ พระองค์ก็ทรงรู้”
“เฮ้อ พรุ่งนี้ก็คงถึงตราข้าบ้างแล้วสินะ แต่ช่างเถิด ให้มันเป็นเรื่องของวันพรุ่งนี้ เล่าเรื่องวันนี้ของเสด็จอาให้ข้าฟังดีกว่า เป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ”
ไท่จื่อถามด้วยท่าทางกรุ้มกริ่ม ทั้งสองคนคุยกันทุกเรื่องจริง ๆ รวมถึงเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน
“วันนี้ไปช้ากว่ากำหนดเพราะพระชายามัวแต่แต่งองค์ทรงเครื่องอยู่…นางคงร้อนมากสินะ หน้าแดงก่ำเหมือนผลท้อเลย”
ชินอ๋องคงไม่รู้ว่าตนเองในยามนี้แววตาแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนจริงใจมากแค่ไหน ทำเอาคนที่มองดูอยู่ถึงกับยิ้มตามไปด้วย
“แล้วไหนจะแอบซุบซิบกันว่ากระหม่อมเป็นพ่อพระอีก กลั้นขำกันจนมือที่จับตะเกียบแดงก่ำไปหมดแล้ว”
ไท่จื่อไม่ได้สนใจว่าการเล่าเรื่องของชินอ๋องนั้นจะปะติดปะต่อกันหรือไม่ เพราะสิ่งที่เขาสนใจในยามนี้ก็คือ นางผู้นั้นทำให้เสด็จอาของเขายิ้มออกมาด้วยความจริงใจได้
ชักอยากทำความรู้จักกับนางเสียแล้วสิ
ตอนนี้หลิวหงเถากำลังอารมณ์ไม่ดีเอามาก ๆ เพราะถูกมารดาปลุกตั้งแต่เช้าเพื่อจับแต่งตัวไปร่วมงานชมบุปผาที่ตระกูลจิน ตระกูลของเสนาบดีฝ่ายซ้าย ตัวเด่นประจำงานในวันนี้แน่นอนย่อมเป็นจินเซียนเหม่ยที่ใครต่างก็รู้ว่านางคือ ‘ว่าที่ไท่จื่อเฟย’ซึ่งเพราะรู้เช่นนี้ หลิวหงเถาจึงไม่อยากไปร่วมงานชมบุปผาด้วย จินเซียนเหม่ยเป็นสหายที่เคยเล่นด้วยกันกับหลิวหงเถาตั้งแต่เด็ก ภายนอกอาจจะดูเป็นสหายที่รักกัน แต่ทั้งคู่ล้วนเข้าใจดีว่าเป็นเพื่อนกันทางการเมืองเท่านั้น บิดาของทั้งคู่เป็นข้าราชสำนักคนละฝ่ายกัน มีหรือที่บิดาค้านกันไปค้านกันมาในท้องพระโรงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันแล้วคนเป็นบุตรจะสามารถคบกันเป็นสหายได้ด้วยความจริงใจ“ท่านแม่ช่วยลูกโกหกไปว่าป่วยมิได้หรือเจ้าคะ เถาเอ๋อร์ไม่อยากไปเจ้าค่ะ”“แม่จะโกหกได้ยังไงกัน รับปากจินฮูหยินไว้เป็นมั่นเป็นเหมาะแล้ว งานไม่ใหญ่มากหรอกลูก นั่งเพียงครู่เดี๋ยวเวลาก็ผ่านไปแล้ว ทนเอาหน่อยนะ”หลิวหงเถาถอนหายใจยาว ปกติก็ไม่ใช่คนที่เก็บสีหน้าเก่ง แล้วยิ่งต้องไปงานที่รู้ทั้งรู้ว่าเจ้าภาพคิดอย่างไรอยู่ ยิ่งทำให้หลิวหงเถาไม่อยากไป นางอยากจะหายตัวไปอยู่ที่ไหนสักที่ ตายเฉพาะกิจไปเลยได้ยิ่งดี
ตอนนี้ไท่จื่อเป็นจุดรวมสายตาของทุกคน เพียงแค่เขาเผลอมองใครนานเกินไป จุดที่เขามองอยู่ก็จะเป็นที่สนใจตามไปด้้วย “ไท่จื่อเตี้ยนเซี่ย มีอันใดหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีจินเห็นว่าไท่จื่อมองไปยังหลิวหงเถานานจนเกินไปจึงได้ทักขึ้นเสียงเบา ในใจรู้สึกไม่ดีด้วยสตรีที่ไท่จื่อเผลอมองเป็นบุตรสาวของคนที่ตนไม่ใคร่ชอบหน้า“อ้อ” ไท่จื่อไม่อยากให้ตัวเองดูเสียอาการมากไปกว่านี้จึงได้บอกเหตุผลออกมาตามตรง “เปิ่นไท่จื่อเห็นคุณหนูผู้นั้นก้มหน้าอยู่ จึงสงสัยว่านางเป็นอะไรไปหรือไม่”เสนาบดีจินส่งสายตาให้บุตรสาวจัดการต่อ จินเซียนเหม่ยจึงเดินเข้าไปจับมือหลิวหงเถา ในตอนนั้นเองคนที่ตกเป็นเป็นเป้าความสนใจถึงได้สติขึ้นมาซ้ำยังสะดุ้ง ‘เฮือก’ จนคนที่อยู่ใกล้พลอยตกใจตามไปด้วย“มีเรื่องอันใดหรือ” หลิวหงเถาทำหน้าเหรอหรา เมื่อเงยหน้าขึ้นมาถึงเห็นว่าทุกคนล้วนจ้องมองมาที่ตนเป็นตาเดียวกันนี่ข้าสติหลุดไปถึงไหนแล้วเนี่ย!คนที่มองด้วยใจริษยาก็จะคิดว่านางแสร้งดึงดูดความสนใจจากไท่จื่อ แต่ตัวไท่จื่อเองนั้นกลับมองหลิวหงเถาด้วยสายตาเอ็นดู “ไท่จื่อเตี้ยนเซี่ยเห็นเจ้าก้มหน้าบีบมือตนเองอยู่นาน…ตายจริง เลือด!”จินเซียนเหม่ยยกมือเรียวบ
๕สุดท้ายสิ่งที่หลิวหงเถาตั้งใจไว้ก็ไม่สำเร็จ นางไม่สามารถอยู่ร่วมงานจนจบได้ เข้าไปส่งภาพวาดกับสาวใช้เสร็จนางก็เอ่ยขอตัวกับจินเซียนเหม่ยตามมารยาท อ้างว่าเจ็บแผล อยากกลับไปพักผ่อนที่บ้านแล้ว จินเซียนเหม่ยจึงให้สาวใช้ออกมาส่งหลิวหงเถาที่หน้าจวน“ส่งข้าแค่นี้พอ ไปทำหน้าที่ของเจ้าต่อเถอะ”“แต่ว่าคุณหนู…”สาวใช้เห็นว่ารถม้าประจำตระกูลหลิวยังมาไม่ถึง อีกทั้งหลิวหงเถาก็ไม่ได้พาสาวใช้ประจำตัวมาด้วย นางจึงไม่กล้าทิ้งคุณหนูตระกูลดังให้ยืนรอแต่เพียงผู้เดียว“ไปเถอะ ข้ารอคนเดียวได้”หลิวหงเถาเอ่ยเสียงเข้มฟังดูดุกว่าเดิมจนสาวใช้ต้องยอมล่าถอยออกไปทำงานของตนเองต่อ หลิวหงเถาจึงได้ยืนแกร่วอยู่คนเดียวที่หน้าประตูใหญ่นานพอควรถึงได้ตัดสินใจว่าจะเดินกลับจวนเอง“ไม่น่าบอกให้รถม้ากลับไปก่อนเลย”นางถอนหายใจยาวแล้วเดินออกมาจากจวนท่ามกลางสายตาของคนที่เดินผ่านไปผ่านมา หลิวหงเถาเป็นสตรีที่มีใบหน้าสะดุดตามาก กอปรกับวันนี้แต่งตัวจัดเต็มมาตั้งแต่หัวจรดเท้า ยิ่งเรียกสายตาใครหลาย ๆ คนให้มองไปยังนางได้ไม่ยากแต่เจ้าตัวก็ไม่ได้สนใจ กายหยาบอยู่นี่ก็จริงแต่วิญญาณลอยไปอยู่ที่เตียงนอนนานแล้ว ตอนนั่งรถม้าไปยังจวนเสนาบดีจินก
ภาพการทะเลาะกันของทั้งสามคนตกอยู่ในสายตาคมกริบของชินอ๋องตั้งแต่ต้นจนจบ เขายิ้มเต็มใบหน้าเมื่อสุดท้ายหลิวหงเถาก็เป็นผู้ชนะ “เจ้าจะรู้ตัวไหมนะว่าใคร ๆ ต่างก็ยอมให้เจ้าไปเสียหมด”วันนี้ชินอ๋องเพิ่งกลับมาจากการทำภารกิจที่ต่างเมือง เขาปลอมตัวจนไม่เหลือเค้าของชายสูงศักดิ์ให้ใครได้สงสัย ขนาดมานั่งจิบชาอยู่ข้าง ๆ ร้านขายต้นไม้ตรงข้ามร้านบะหมี่ หลิวหงเถายังดูไม่ออกเลยแต่เป็นแบบนี้ก็ดีเช่นกัน ก่อนที่จะต้องกลับวังอ๋องไปพบกับเส้นทางที่จำต้องเลือก การได้ทำอะไรตามใจตนเองสักครู่หนึ่งมันเป็นช่วงเวลาที่มีค่ามากจริง ๆระหว่างที่เขากำลังมองแก้มป่อง ๆ คีบเส้นเข้าปากตุ้ย ๆอยู่นั้น องครักษ์คนสนิทก็เดินเข้ามารายงานเหตุการณ์ที่เขาพลาดไป“งานชมบุปผาวันนี้เกิดเรื่องชุลมุนอยู่สองเรื่องพ่ะย่ะค่ะ เรื่องแรกเป็นเจ้ากรมการคลังจูมีปากเสียงกับเสนาบดีจินต่อหน้าพระพักตร์ไท่จื่อเตี้ยนเซี่ย เรื่องจบลงได้ดีเพราะว่าเสนาบดีจินยอมให้ก่อน”“มีปากเสียงกันเรื่อง”“เสนาบดีจินเอ่ยถึงเรื่องงบการสร้างกำแพงทางตะวันตกพ่ะย่ะค่ะ”ชินอ๋องร้อง ‘อ้อ’ ในใจ เอ่ยมาเพียงเท่านี้เขาก็รู้แล้วว่าเหตุใดถึงขั้นมีปากมีเสียงกันทางตอนกลางกับตอนตะวัน
จูม่านหลิงมารดาของหลิวหงเถาแม้ไม่ได้ไปร่วมงานชมบุปผาที่ตระกูลจิน แต่นางก็ยังพอมีคนรู้จักที่ไปงานนั้นอยู่บ้าง หนึ่งในสหายของนางให้คนส่งข่าวมาบอกว่าเกิดเรื่องกับบุตรีคนเล็ก นางจึงร้อนใจรีบส่งคนขับรถม้าออกไปรับ แต่รอมานานแล้วก็ยังไม่เห็นแววว่าจะมีรถม้าตระกูลหลิวแล่นเข้ามาบริเวณหน้าเรือนเลย ในใจจึงยิ่งร้อนรนขึ้นเป็นเท่าตัว“เข้าไปรอด้านในก่อนดีหรือไม่เจ้าคะฮูหยิน วันนี้ลมแรงมาก ประเดี๋ยวจะไม่สบายเอานะเจ้าคะ”“รอมาตั้งนานแล้วให้รออีกหน่อยจะเป็นอะไรไป” ภายนอกจูม่านหลิงยังคงดูสงบนิ่งอยู่ก็จริง แต่ภายในหัวของนางนั้นคิดสะระตะไปหมด “เป็นความผิดข้าเองที่คะยั้นคะยอให้นางไปงานให้ได้ มันเป็นความผิดข้าเอง”“โถ่ ฮูหยินอย่าโทษตัวเองเลยเจ้าค่ะ”ใบหน้างามสมวัยหันมามองคนสนิท “ไม่โทษตัวเองแล้วเจ้าจะให้ข้าโทษหวางเฟยรึ!”ในเรื่องการส่งเทียบเชิญ ความจริงแล้วหลิวตันตันเองก็เพิ่งให้คนมาส่งข่าวบอกนางที่จวนเมื่อไม่กี่ชั่วยามมานี้ ใครจะคิดว่าเทียบเชิญจากวังอ๋องจะส่งไปที่ตระกูลอื่นก่อนตระกูลหลิว ไม่ว่าจะเป็นความผิดพลาดหรือความตั้งใจก็ตาม ผลเสียได้ตกอยู่ที่บุตรีของนางทั้งคู่ จะโทษใครก็ไม่สู้โทษตัวเอง“นั่น มากันแล้
เป็นอย่างที่จูม่านหลิงได้กล่าวไว้ วันต่อมาหลิวหวางเฟยก็เรียกหลิวหงเถาเข้าเฝ้าที่วังอ๋อง เมื่อไล่เหล่านางกำนัลของวังออกไปหมดแล้ว จนเหลือเพียงหวางเฟยกับสาวใช้คนสนิทจากตระกูลเดิม ใบหน้างดงามอ่อนหวานก็แปรเปลี่ยนไปเรียบตึง ให้อารมณ์ต่างจากก่อนหน้านี้ราวกับเป็นคนละคนแต่สำหรับหลิวหงเถานั้น ใบหน้าแบบนี้ต่างหากคือสิ่งที่นางชินชา!“งามหน้านัก ป่านนี้คนเขาคงหัวเราะเปิ่นหวางเฟยกันหมดแล้วว่ารังแกได้แม้แต่น้องสาวแท้ ๆ ของตัวเอง ก็เพราะเจ้าไม่หัดควบคุมสีหน้าตัวเองอย่างไรเล่า เปิ่นหวางเฟยถึงไม่อยากให้เจ้ามาร่วมงานด้วย”หลิวหงเถาเม้มปากน้ำตาคลอเบ้า “อ้อ ที่แท้ก็ทรงตั้งใจไม่เชิญหม่อมฉันจริง ๆ สินะเพคะ หากเป็นเช่นนั้นไยไม่ตรัสออกมาตามตรง หม่อมฉันจะได้ไม่ต้องทำให้พระองค์เสียหน้าตั้งแต่ตอนแรก”“เถียง! เถียงเก่งจริง ๆ ไปหัดควบคุมสีหน้าของตัวเองให้ได้ก่อน แล้วเปิ่นหวางเฟยจะยอมให้เจ้าเข้างานด้วย”“หม่อมฉันก็ไม่ได้อยากมาหรอกเพคะ แค่รู้สึกเสียหน้าที่โดนเมินเฉยเท่านั้น หวางเฟยคงไม่ได้มีเรื่องอยากตำหนิหม่อมฉันแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวกระมัง มีสิ่งใดอยากตรัสเชิญเถิดเพคะ”หลิวหวางเฟยสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนที่จะพยายา
ระหว่างนั่งรถม้ากลับจวน หลิวหงเถาคิดไม่ตกว่าทำอย่างไรถึงจะทำให้มารดาอนุญาตออกจากจวนไปหาแหล่งที่ตั้งของหมู่บ้านด้าย แม้ความจริงนางสามารถซื้อเส้นด้ายขาวมาย้อมสีเองได้ แต่ว่าคุณภาพที่ได้ก็ยังไม่เท่ากับต้นตำรับที่เขาทำขายกันหลายทศวรรษเดินทางไปครั้งนี้ข้าจะแอบจำสูตรมาให้ได้เลย!แต่ก่อนที่นางจะแอบไปจำสูตรของผู้อื่นมาใช้ นางจำต้องผ่านด่านนี้ก่อนนั่นคือ ‘พูดอย่างไร’ ให้ท่านแม่อนุญาต“เอาอย่างไรดีหมินมิ่น ท่านแม่ไม่ยอมแน่เลย เป็นสตรีนี่เหนื่อยจริง ๆ กว่าจะไปค้างอ้างแรมที่ใดได้ช่างยากเย็นนัก ข้าชักจะอิจฉาบุรุษแล้วนะ”ตอนนี้ทั้งสองคนกำลังแอบอยู่หน้าประตูเรือนของฮูหยินใหญ่ ยืนละล้าละลังไม่กล้าเดินเข้าไปด้านในสักที“พี่เถาเถ่าเป็นสตรีดีแล้วขอรับ อย่าเป็นบุรุษเลย”“เจ้าพูดอีกก็ถูกอีก ดีแค่ไหนแล้วที่พี่เป็นสตรี ไม่เช่นนั้นหลิวหลี่เฟยโดนกดไปอยู่ท้ายจวนแล้ว ไม่ได้เกิดหรอก”ชิงหมินปิดปากหัวเราะพร้อมพยักหน้าเห็นด้วย ในใจคิด…พี่เถาเถ่าของข้าหากเกิดเป็นบุรุษแล้ว ท่านเสนาบดีหลิวย่อมมอบทุกอย่างให้นางเป็นแน่เพราะพี่เถาเถ่าของข้านะ เก่งกาจที่สุด“เอาอย่างไรดี พี่ยังไม่เครียดเรื่องการปักผ้าเท่ากับเครียดเรื่อ
เรื่องทุกอย่างในตระกูลหลิว ขอเพียงผ่านด่านมารดาได้บิดาก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะว่ามารดาจะช่วยขอบิดาให้อีกทีหนึ่ง แต่ว่ามารดาข้าจะใช้วิธีไหนในการขอบิดานั้น อันนี้ข้าไม่ขอออกความเห็นก็แล้วกันรถม้าตระกูลหลิวแล่นออกจากจวนตั้งแต่เช้ามุ่งหน้าสู่วัดนอกเมืองหลวงไม่ห่างจากหมู่บ้านที่ขายด้ายมากนัก ความเจริญเหมือนถูกหยุดไว้ที่เมืองหลวง เพราะออกนอกกำแพงมาได้ก็เจอแต่บ้านหลังเล็ก ๆ ที่ไม่ได้แข็งแรงทนทานต่อการอยู่อาศัยนัก“นาน ๆ ออกจากนอกเมืองที ฝุ่นคลุ้งดีนะขอรับท่านแม่”หลิวหลี่เฟยย่นจมูกให้กับฝุ่นในอากาศพร้อมใช้มือปัดมันไปมา ท่าทางคุณชายเจ้าสำอางของเขาทำให้หลิวหงเถาอดส่ายหน้าให้ไม่ได้ ปากเอ่ยออกไปอย่างที่ใจคิด“ถ้าทนความลำบากไม่ได้จะมาทำไมให้เกะกะพื้นที่รถม้า”หลิวหลี่เฟยกอดอกพร้อมกับเดาะลิ้นจ้องหน้าหลิวหงเถานิ่ง “พี่ไม่เชื่อว่าท่านแม่จะมาขอพรให้หวางเฟย เป็นน้องหญิงเล็กที่คิดจะทำอะไรสนุก ๆ แน่ แล้วเช่นนี้พี่ชายเจ้าจะพลาดได้อย่างไร หากไม่มาด้วยก็ถือว่าผิดต่อเจ้าแล้ว”“ข้ายอมให้เจ้าทำผิดต่อข้าได้หรือไม่”จูม่านหลิงหัวเราะให้กับการทุ้มเถียงกันของบุตรชายหญิง ครั้งนี้นางไม่ได้ห้ามปราม เพราะการนั่งอยู
ตอนพิเศษที่ : 3เริ่มต้นชีวิตคู่ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยณ ห้องหอของบ่าวสาวคู่ใหม่ในวังปีศาจ สองบ่าวสาวคล้องแขนกันดื่มสุรามงคลที่เถาฮวาเฉินเป็นผู้ทำขึ้นมาเอง แน่นอนว่ารสชาติที่ได้ย่อมต่างจากสุราทั่วไปที่นางให้ผู้อื่น“รู้หรือไม่ว่าสุราที่เราให้ฉางฉ่างดื่มจะทำให้ฉางฉ่างไม่สามารถไปดื่มสุราที่ใดได้อีก”“ข้ารู้”เถาฮวาเฉินเลิกคิ้วขึ้นสงสัย “เหตุใดถึงไม่แปลกใจหรือไม่สงสัยอันใดเลย ไม่คิดบ้างหรือว่าเราอาจจะวางยาอะไรใส่ให้ฉางฉ่างดื่มกินก็ได้”หยิ่นฉางยกยิ้ม ทั้งยังเทสุราใส่จอกแล้วยกดื่มให้นางดูอีกสามครั้ง เป็นการบอกว่าเขาไม่ได้สงสัยในสิ่งนี้ ช่างขยันในการพิสูจน์ด้านการกระทำสำคัญกว่าคำพูดจริง ๆ“ท่านรู้สึกแย่หรือไม่ ที่ข้าไม่ได้บอกท่านก่อนเรื่องที่ให้ท่านพ่อเตรียมงานแต่งงานของเราไว้”ท่าทางของเถาฮวาเฉินไม่แสดงออกว่าโกรธหรือไม่ แต่เขาก็ยังอยากรู้ความรู้สึกลึก ๆ ของนาง“อือ” นางทำท่าคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่คนที่เฝ้ารอคำตอบกลับแอบกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว “อาจจะตกใจไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้รู้สึกแย่อะไรนะ ฉางฉ่างก็อย่าคิดมาก เราเป็นคนตรง ๆ อยู่แล้ว คิดอย่างไรรู้สึกอย่างไรไม่เก็บมาคิดคนเดียวหรอก”“จริงหรือ”“จริงสิ
ตอนพิเศษที่ : 2องค์ชายเล็กของแดนปีศาจ“ว้าว~นี่เป็นครั้งแรกเลยกระมังที่เราได้มาเยือนพระราชวังของแดนปีศาจ ใหญ่โตดูมีเสน่ห์ไปอีกแบบเหมือนกันนะฉางฉ่าง”หลังจากที่ผ่านช่วงเวลาแนบชิดกันมาสามวัน คำเรียกของทั้งคู่ก็เปลี่ยนไปแล้ว จาก ‘หยิ่นฉาง’ ก็เป็น ‘ฉางฉ่าง’ และจากเถาฮวาก็เป็น ‘เถาเถ่า’“ต่อไปที่นี่ก็คือบ้านของเถาเถ่า ท่านพ่อต้องชอบท่านแน่ ไม่ต้องกังวลนะ เขาจะดีต่อท่าน”เถาฮวาเฉินพยักหน้ารับพร้อมสูดหายใจเข้าลึก ในใจคิดเหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าเพิ่งผ่านช่วงแต่งงานแล้วก็กลับมาเยี่ยมบ้านเจ้าสาวกันนะ ว่าแต่…“จอมปีศาจจะชอบสุราของเราหรือไม่ สุราหมื่นปีแบบนี้แม้จะเป็นของหายาก แต่ไม่ได้มีใครที่จะได้ดื่มกินบ่อย ๆ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะไม่คุ้นลิ้น อย่างช่วงงานฉลองราชย์ขององค์เง็กเซียนฮ่องเต้ เราเคยเอาสุราหมื่นปีถวายเช่นกัน แต่พระองค์มิใคร่พอใจนัก ช่างเอาใจยากจริง ๆ”หยิ่นฉางหัวเราะในลำคอเบา ๆ หากบิดาของเขาได้ยินคำบ่นนี้ของนางไม่วายหัวเราะชอบใจที่นางเอ่ยนินทาประมุขของเผ่าสรรค์เช่นนี้“ทุกคนรอเราอยู่ที่ท้องพระโรงใหญ่”“หือ ท้องพระโรงหรือ”เถาฮวาเฉินรู้สึกเอะใจกับคำพูดนี้ของเขามาก จนกระทั่งเขาพานางเดินมาถึงจ
ตอนพิเศษที่: 1กิจกรรมที่คนคบกันเขาทำกัน ณ พระราชวังแคว้นชิงชิว “ท่านว่าเรามองนางอยู่เช่นนี้มานานแค่ไหนแล้ว”“ไม่รู้สิ หนึ่งชั่วยามได้แล้วหรือไม่ ถ้าท่านรู้สึกว่าเสียเวลาก็ไปทำงานที่คั่งค้างไว้ก่อนได้เลย ข้าขอดูนางต่ออีกหน่อย”หยิ่นฉางส่ายหน้าเบาๆ “ได้ใช้เวลาอยู่กับท่าน เช่นนี้ไม่เรียกว่าเสียเวลาหรอก แล้วอีกอย่างข้าก็ว่างมากด้วย”ตอนนี้เถาฮวาเฉินและหยิ่นฉางได้ลงมาโลกมนุษย์อีกครั้งเพื่อทำกิจกรรมที่คู่รักเขาทำกัน นั่นคือการทำอะไรก็ได้ให้ใช้เวลาร่วมกันมากที่สุด ซึ่งสิ่งที่เถาฮวาเฉินเสนอมาก็คือการนั่งมององค์หญิงสาม บุตรสาวของหลิวหงเถาที่กำลังนั่งอ่านตำราอยู่เถาฮวาเฉินละสายตาจากองค์หญิงสามเพื่อหันกลับมาจ้องมองหยิ่นฉาง “ใช้คำพูดรุกเราให้ใจเต้นรัวอีกแล้วนะ” จากนั้นก็จูงมือเขาออกจากศาลาที่องค์หญิงสามนั่งอยู่ ทั้งคู่พรางกายเอาไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้มีมนุษย์ผู้ใดสามารถมองเห็นได้“ช่วงข้าวใหม่ปลามันจะให้แผ่วได้อย่างไร”ไม่เพียงแต่พูดเท่านั้น แขนยาวยังเอื้อมไปโอบไหล่นางพร้อมซบหน้าลงหัวไหล่ด้วย เถาฮวาเฉินไม่ได้ขัดขืนทั้งยังยกมือขึ้นลูบศีรษะเขาตอบ ทั้งคู่จับมือกันเดินผ่านสวนงดงามของวังหลวงและพูด
เถาฮวาเฉินพูด :“อื้อ~สบายจัง”ข้าบิดขี้เกียจพร้อมกล่าวเสียงอู้อี้ออกมาขณะที่ดวงตายังคงปิดสนิทอยู่ ข้ารู้สึกที่นอนนั้นช่างหนานุ่ม สามารถดูดวิญญาณของข้าให้อยู่บนนี้ได้ทั้งวัน แต่เดี๋ยวก่อนนะ…“ข้ามีเตียงแบบนี้ด้วยหรือ”“...จากที่ข้าลอบเข้าไปดูที่แดนดอกท้อ ไม่มีนะท่าน”เฮือก!เพียงแค่ได้ยินเสียงของเขาเท่านั้นข้าก็เด้งตัวขึ้นมานั่ง จากที่ไม่อยากลืมตาสู้แสง ดวงตากลับแจ่มชัดไร้ความพร่ามัว“นี่ท่าน…”กำลังจะตั้งคำถามว่า ‘นี่ท่านมาอยู่ห้องของเราได้อย่างไร’ แต่สุดท้ายก็เงียบไป เพราะคิดได้ว่าตนเองต่างหากที่มาอยู่ในดินแดนของผู้อื่น“ว่าต่อสิ หรือกำลังคิดอยู่ว่าข้าได้ทำอะไรท่านหรือไม่”หยิ่นฉางถามขึ้นยิ้ม ๆ ทั้งยังถอยห่างออกจากข้าดั่งกับว่าเขาอยากให้ข้ารู้สึกปลอดภัย ไม่โดนคุกคามอยู่ นั่นจึงทำให้ข้ารู้สึกดีต่อการกระทำนี้ของเขามาก“เราเปล่าคิดเช่นนั้นสักหน่อย ว่าแต่ท่าน…”ข้าไล่สำรวจเขาทั้งร่าง ตอนแรกก็แค่รู้สึกว่าเขามีอะไรเปลี่ยนไปสักอย่าง พอสำรวจอย่างละเอียดอีกที ที่แท้เป็นเพราะชุดสีขาว“ข้าดูแปลกตาไปใช่หรือไม่ ท่านจึงได้จ้องตาไม่กะพริบถึงเพียงนี้”หยิ่นฉางถามด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ ก่อนที่จะยื่นมือม
สิ้นคำที่หยิ่นฉางปฏิเสธว่าตนไม่ใช่ ‘สุภาพชน’ เขาก็แสดงอาการตรงข้ามกับคำพูดนี้ทันทีโดยการอุ้มร่างบางเข้าสู่อ้อมแขนแล้วหายวับกลับถิ่น ณ ดินแดนปีศาจในทันทีตุบ!“โอ๊ย!”หยิ่นฉางวางเถาฮวาเฉินลงบนเตียงอย่างแรงจนร่างบางรู้สึกเจ็บจนต้องร้องออกมา ใบหน้างามชักสีหน้าใส่เขา แต่หยิ่นฉางหรือจะสน ร่ายมนตร์สร้างอาณาเขตไว้เพื่อไม่ให้เถาฮวาเฉินใช้พลังหนีออกจากที่นี่ไปได้จนกว่าจะสนทนากันให้รู้เรื่อง“ท่านรู้หรือไม่ว่าตอนนี้ ข้าก็นับว่าเป็นปีศาจที่แข็งแกร่งที่สุดตนหนึ่งในแดนปีศาจ มีทั้งประสบการณ์ด้านการต่อสู้ ไม่ว่าจะทั้งสัตว์อสูรร้ายหรือแม้กระทั่งเทพเซียนที่แข็งแกร่ง ข้าก็ผ่านมาแล้ว สำหรับท่านที่วัน ๆ หมักแต่สุรา...”พูดเพียงเท่านี้ก็เงียบไป อีกทั้งยังส่ายหน้าน้อย ๆ สองครั้ง ทำเอาคนถูกสบประมาทเดาคำว่า ‘สำหรับข้าไม่นับว่าเป็นอะไร จะบีบก็ตายจะคลายก็รอด’ จากท่าทางของหยิ่นฉางได้แล้ว“เมื่อก่อนท่านไม่ได้เป็นแบบนี้ แต่เหตุใดถึงได้เปลี่ยนมาเป็นเช่นนี้”หยิ่นฉางเลิกคิ้ว “ก็ไม่ใช่ว่าท่านบอกให้ข้าลืมเลือนเรื่องในอดีตหรอกหรือ นี่อย่างไร ข้าก็ลืมความอ่อนโยนที่เคยมีให้แล้วแสดงตัวตนที่แท้จริงออกมาแล้ว ตกลงจะเอาอย่าง
“หึ! โดนเสด็จพ่อของพวกเจ้าลงโทษเรื่องใดมาเล่า ถึงได้มากวาดลานวัดเช่นนี้”“ท่านน้า”องค์ชายแฝดทั้งสองทิ้งไม้กวาดแล้ววิ่งเข้าไปหา ‘ท่านน้าหยิ่นฉาง’ ผู้ที่เวลาไม่สามารถทำอะไรเขาได้เลย เมื่อก่อนมีรูปลักษณ์เช่นไรตอนนี้ก็ยังเป็นเช่นเดิมไม่แปรเปลี่ยน“พวกเจ้านี่นะ โตจนป่านนี้แล้วยังทำตัวเหมือนกับลูกลิงอยู่ได้ รักษาภาพลักษณ์องค์ชายแห่งแคว้นบ้างเถิด”องค์ชายใหญ่พ่นลมหายใจออกจากจมูกอย่างแรง ก่อนที่จะเอ่ยด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด“ท่านน้า ภาพลักษณ์ของพวกเราไม่เหลือตั้งแต่ที่เสด็จพ่อให้มากวาดลานวัดเช่นนี้แล้วขอรับ”“แต่ข้าว่าไม่เหลือตั้งแต่ไปก๊งเหล้าที่ร้านนั้นแล้วละ”อ๋องน้อยกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนที่จะเดินเข้ามารวมกลุ่มด้วย ที่จริงเขาไม่ได้โดนลงโทษให้มากวาดลานวัดเช่นนี้ แต่มีหรือที่องค์ชายแฝดจะปล่อยให้เขารอดไปได้ ทั้งยังกล่าวว่า…‘มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ก็ต้องร่วมฝ่าฝันไปด้วยกัน’“หือ” หยิ่นฉางเลิกคิ้วถาม “ร้านใดกันที่ทำให้ท่านอ๋องน้อยแห่งตำหนักชินอ๋องถึงขั้นไปลิ้มลองได้”องค์ชายรองเป็นคนอธิบายคำถามนี้ “เป็นร้านสุราดอกท้อข้างทางเล็ก ๆ ร้านหนึ่งขอรับท่านน้า คนขายเป็นพ่อค้าหน้าหยก รสชาติสุราเป็นร
“ต้าเกอ วันนี้กระบวนท่าไม่เลวเลย ฝีมือท่านพัฒนาขึ้นมาก”“เป็นเอ้อร์ตี้ออมมือให้ต่างหาก มิเช่นนั้นเราคงไม่เสมอกันเช่นนี้ เอาเป็นว่าขอบคุณที่ทำให้ต้าเกอไม่เสียหน้าก็แล้วกัน ไม่สิ! ต่อให้แพ้ แต่แพ้เอ้อร์ตี้ ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกอายอะไร”“ต้าเกอก็ชมข้าเกินไปแล้ว มา! เอ้อร์ตี้คารวะให้ท่านหนึ่งจอก”“ได้เลย”สองบุรุษหน้าตาคล้ายกันเกือบสิบส่วนเอื้อนวาจาเยินยอกันเองก่อนที่จะยกจอกสุราชนกัน ทั้งสองคนที่ว่าก็คือองค์ชายใหญ่และองค์ชายรองของแคว้นชิงชิวนั่นเอง ก่อนทั้งสองกลับวังตนเองทั้งคู่ได้ชวนกันมาร่ำสุราที่ร้านข้างทางเล็ก ๆ ร้านหนึ่ง“อือ สุราดี”รสชาติของสุราทำให้ทั้งสองพอใจเป็นอย่างมาก ขนาดที่ทั้งคู่หันไปชมเถ้าแก่ร้านหน้าละอ่อนไม่หยุด“เถ้าแก่ สุราดอกท้อของท่านรสชาติดียิ่ง ท่านทำเองหรือว่ารับมาขาย”เถ้าแก่ร่างบางตัวเล็กเงยหน้าขึ้นมาก่อนที่จะแย้มยิ้มรับคำชมนั้นอย่างภูมิใจ“แน่นอนว่าข้าย่อมหมักเอง คุณชายทั้งสองสนใจซื้อในปริมาณมากหรือไม่ ข้าน้อยจะคิดราคาให้เป็นพิเศษเลย”“โอ้ เช่นนั้นข้าขอสั่งสักสิบไหได้หรือไม่ เถ้าแก่เชิญคิดราคามาได้เลย”“สิบไหเป็นห้าตำลึงเงินก็แล้วกัน ราคากันเอง”ไม่เพียงองค์ชายทั้
หลิวหงเถาพูด:เวลาของโลกมนุษย์และดินเแดนเบื้องบนต่างกัน หนึ่งวันของแดนสวรรค์เท่ากับหนึ่งปีของโลกมนุษย์ ระยะเวลารวมที่ข้าเซียนจากแดนแห่งการชำระล้างจากไปเป็น 40 วัน ของแดนสวรรค์ ในเมืองมนุษย์ก็เท่ากับ 40 ปีใช่! ตอนนี้ข้าตายจากการเป็นมนุษย์และได้กลับมายังดินแดนชำระล้างแล้ว พลังบริสุทธิ์ที่คุ้นเคยทำให้ข้ารู้สึกร่างกายคล้ายกับได้รับการเยียวยา พลังวิญญาณแข็งแกร่งขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก …ที่แท้ความรู้สึกของการเลื่อนขั้นเป็นเช่นนี้ข้าเดินเข้าไปที่ห้องโถงใหญ่อันมีดอกไม้นานาชนิดประดับตกแต่งไว้ ทั้งการจัดโต๊ะ ทั้งบรรยากาศโดยรอบให้ความรู้สึกถึงงานเลี้ยงฉลองไม่มีผิด ทันใดนั้นข้าก็ได้ยินเสียงของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้น“ยินดีต้อนรับเซียนเถาฮวา ไม่ใช่สิ! ยินดีต้อนรับเทพเถาฮวากลับสู่แดนชำระล้าง ทั้งหมดนี้คืองานฉลองการต้อนรับกลับบ้าน”คนแรกที่ข้าเห็นยามเดินเข้ามาในห้องโถงคือท่านหัวหน้าดินแดน สิ้นประโยคของนางก็เกิดคลื่นพลังมากมายหลากสีขึ้นมาในห้องโถง พร้อมกับการปรากฏตัวของเทพเซียนองค์อื่น ๆ“ยินดีต้อนรับเถาฮวาเฉิน” พวกนางกล่าวต้อนรับข้าด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ข้าจึงมอบรอยยิ้มจริงใจส่งกลับไปให้ทุกคนเช่นกัน“ขอบคุณ
เมื่อยามที่ก้าวเท้าเดินเข้าไปในตำหนักแล้วได้ยินเสียงอ้อแอ้ของเด็กหญิง เสียงพูดไม่ชัดของเด็กชาย เสียงใสของสตรีอันเป็นที่รัก มันทำให้ข้ารู้สึกถึงคำว่า ‘ครอบครัว’นึกอยากขอบคุณเสด็จอาในวันนั้นที่บอกให้เขาอย่าได้สัญญาว่าจะไม่แตะต้องนาง มิเช่นนั้นคืนวันเหล่านี้ก็คงไม่เกิดขึ้นในชีวิตเขา“เสด็จพ่อ”‘อีเกอ’ พระโอรสองค์แรกของเขาวิ่งเข้ามาเกาะขา ร่างสูงก้มตัวลงแล้วอุ้มบุตรชายขึ้นแนบอก กดจมูกหอมแก้มซาลาเปาอย่างหมั่นเขี้ยว การที่มีคนหน้าตาคลายคลึงนางเพิ่มมาถึงสามช่างดีจริง ๆ“ฝ่าบาท…”ฮองเฮาคู่บัลลังก์ของเขาเพียงแค่ส่งยิ้มมอบให้เท่านั้น ไม่ได้ลุกขึ้นทำความเคารพ เพราะเขาเคยห้ามไว้ไม่ให้นางทำในเวลาส่วนตัวเช่นนี้“เป็นอย่างไรบ้าง ตำหนักใหม่ถูกใจฮองเฮาหรือไม่”ฮ่องเต้หนุ่มถามนางขึ้นมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำแฝงความนุ่มนวลไว้หลายส่วน นางพยักหน้ารับเบา ๆ แล้วส่งบุตรีคนที่สามมาให้เขาอุ้ม ใบหน้าหล่อเหลาปรากฏรอยยิ้มเมื่อเห็นเหงือกสีชมพูอ่อนไร้ฟันแย้มยิ้มดีใจที่เขาจะอุ้มนาง“เสี่ยวเม่ยของพ่อ”ไทเฮาโปรดหลานสาวคนนี้มากกว่าใคร ฮ่องเต้หนุ่มทราบว่าพระมารดาอยากมีองค์หญิงน้อยมาตลอด แต่ว่าสภาพร่างกายไม่เอื้อต่อการมีบุต