เป็นอย่างที่จูม่านหลิงได้กล่าวไว้ วันต่อมาหลิวหวางเฟยก็เรียกหลิวหงเถาเข้าเฝ้าที่วังอ๋อง เมื่อไล่เหล่านางกำนัลของวังออกไปหมดแล้ว จนเหลือเพียงหวางเฟยกับสาวใช้คนสนิทจากตระกูลเดิม ใบหน้างดงามอ่อนหวานก็แปรเปลี่ยนไปเรียบตึง ให้อารมณ์ต่างจากก่อนหน้านี้ราวกับเป็นคนละคน
แต่สำหรับหลิวหงเถานั้น ใบหน้าแบบนี้ต่างหากคือสิ่งที่นางชินชา!
“งามหน้านัก ป่านนี้คนเขาคงหัวเราะเปิ่นหวางเฟยกันหมดแล้วว่ารังแกได้แม้แต่น้องสาวแท้ ๆ ของตัวเอง ก็เพราะเจ้าไม่หัดควบคุมสีหน้าตัวเองอย่างไรเล่า เปิ่นหวางเฟยถึงไม่อยากให้เจ้ามาร่วมงานด้วย”
หลิวหงเถาเม้มปากน้ำตาคลอเบ้า
“อ้อ ที่แท้ก็ทรงตั้งใจไม่เชิญหม่อมฉันจริง ๆ สินะเพคะ หากเป็นเช่นนั้นไยไม่ตรัสออกมาตามตรง หม่อมฉันจะได้ไม่ต้องทำให้พระองค์เสียหน้าตั้งแต่ตอนแรก”
“เถียง! เถียงเก่งจริง ๆ ไปหัดควบคุมสีหน้าของตัวเองให้ได้ก่อน แล้วเปิ่นหวางเฟยจะยอมให้เจ้าเข้างานด้วย”
“หม่อมฉันก็ไม่ได้อยากมาหรอกเพคะ แค่รู้สึกเสียหน้าที่โดนเมินเฉยเท่านั้น หวางเฟยคงไม่ได้มีเรื่องอยากตำหนิหม่อมฉันแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวกระมัง มีสิ่งใดอยากตรัสเชิญเถิดเพคะ”
หลิวหวางเฟยสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนที่จะพยายามปรับอารมณ์ของตนเองให้เป็นปกติ
“เราเป็นถึงหวางเฟยแล้ว คงไม่ต้องลงมือปักผ้าแข่งกับผู้ใด แต่เจ้าไม่ใช่ ทำความดีไถ่โทษโดยการปักผ้าให้ชนะคุณหนูทั้งหลายเสีย…อ้อ แล้วก็อย่าทำให้ฝีเข็มของเจ้าทาบทับฝีเข็มของเปิ่นหวางเฟยเด็ดขาด ไปหาวิธีมาใหม่!”
ฝีเข็มที่แท้จริงของหลิวหงเถาที่ปักผ้าแทนหลิวตันตันมาตลอด แน่นอนว่าย่อมงดงามประณีตเป็นเลิศ แต่เมื่อโดนสั่งห้ามไม่ให้ฝีเข็มคล้ายคลึงกัน แต่ก็ต้องห้ามแพ้อีกด้วย นั่นเท่ากับว่านางต้องไปหาวิธีสร้างเอกลักษณ์ของตนเองใหม่
“หม่อมฉันจะพยายามเพคะ”
หน้าตำหนักชินอ๋องมีชิงหมินยืนชะเง้อมองทางประตูรอคอยการออกมาของหลิวหงเถา ซึ่งเขารออยู่ไม่นานร่างบางก็เดินออกมาพร้อมกับสาวใช้ตระกูลเดิมที่ตอนนี้เปลี่ยนไปเป็นนางกำนัลส่วนพระองค์แล้ว ใบหน้าเล็กผลท้อบูดบึ้งมาแต่ไกล ไม่ต้องเดาชิงหมินก็รู้ว่านางโดนอดีตคุณหนูใหญ่ดุมาอีกแล้ว
“ส่งข้าตรงนี้แหละ”
“เจ้าค่ะ คุณหนูรองเดินทางระวังด้วย”
“อ้อ”
ตอบรับนางกำนัลเพียงสั้น ๆ หลิวหงเถาก็หันไปพยักหน้าให้กับชิงหมินเป็นเชิงบอกว่าเดินทางกันต่อ พอรถม้าเคลื่อนห่างจากวังอ๋องมาได้ระยะหนึ่งแล้วหลิวหงเถาก็ยกมือทุบขาตนเองในทันที
“พี่เถาเถ่า อย่าขอรับ…”
แต่ทุบได้เพียงไม่กี่ทีมือใหญ่ของชิงหมินก็รั้งมือบางเอาไว้ หลิวหงเถาตั้งใจจะเอ็ดเขาที่ขัดขวางการระบายอารมณ์ของนาง แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมาแล้วเห็นชิงหมินน้ำตาคลอเบ้า จากอารมณ์คุกรุ่นในใจที่กำลังลอยฟุ้งอยู่ในตอนแรกถึงได้ตกตะกอนลง
“ขอโทษที่พี่รักษาคำพูดของตัวเองไม่ได้นะหมินมิ่น” หลิวหงเถาเม้มปากแน่น สูดหายใจเข้าลึกแล้วอธิบายให้ชิงหมินฟังถึงความคิดในตอนนี้ “แต่ว่าพี่ไม่นิยมทำลายข้าวของหรือทำร้ายใครระบายอารมณ์ ถ้าจะให้เอามือไปทุบตีสิ่งของอื่นก็เจ็บมือเปล่า ๆ แต่การตีขาไม่เจ็บเท่าไรนะ”
ประโยคสุดท้ายนางพูดกับตนเอง ทำเอาชิงหมินนิ่งไปครู่หนึ่ง
“พี่เถาเถ่า...ฮ่า ๆ”
จากตอนแรกที่น้ำตากำลังจะร่วงเพราะความปวดใจ แต่พอหลิวหงเถาอธิบายแบบนี้เขาก็หัวเราะออกมาทั้งน้ำตา ทำเอาหลิวหงเถาหัวเราะตามไปด้วย
“อยู่กับท่าน ข้าหลายอารมณ์มากเลยขอรับ”
“ใช่หรือไม่ พี่ถึงได้บอกอย่างไรเล่าว่าลำบากหน่อยนะ”
มือบางเช็ดน้ำตาให้ชิงหมิน จากนั้นก็เล่าเรื่องที่ตนเองไปเผชิญมาให้ชิงหมินฟังทั้งหมดพร้อมบอกถึงปัญหาในตอนนี้ด้วย
“ปัญหาของพี่ตอนนี้คือจะสร้างเอกลักษณ์การปักผ้าแบบใดขึ้นมาดี”
ชิงหมินนิ่งคิดเพียงครู่ก่อนที่จะเสนอ “ลองไปเดินฝั่งตลาดกลางน้ำดีหรือไม่ขอรับ เผื่อจะได้แรงบันดาลใจใหม่”
“เข้าท่า!”
หลิวหงเถาพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของชิงหมิน จากนั้นก็สั่งให้คนบังคับรถม้าเปลี่ยนทิศทางไปยังตลาดกลางน้ำแทน ใช้เวลาไม่นานรถม้าประจำตระกูลหลิวก็แล่นมาจอดยังจุดพักรถม้าของตลาด
ชิงหมินเป็นคนลงจากรถม้าก่อนจากนั้นก็ส่งมือรอรับหลิวหงเถาประคองนางลงจากรถม้าอย่างทะนุถนอม
“พี่เถาเถ่าไม่ได้ลืมเอาเงินมาอีกใช่หรือไม่ขอรับ”
“ไม่ลืม ครั้งนี้พี่จะไม่ทำให้ตัวเองเสียหน้าอีก ไปกันเถอะ!”
หลิวหงเถาดึงแขนชิงหมินให้เดินเคียงคู่ไปกับนาง คุณหนูตระกูลอื่นอาจจะมีสาวใช้ประจำตัวไปไหนมาไหนด้วย แต่สำหรับหลิวหงเถาแล้วนั้นนางชอบให้ชิงหมินไปกับนางด้วยมากกว่า ส่วนสาวใช้ส่วนตัวจะได้ทำหน้าที่ของตัวเองก็ต่อเมื่อนางอยู่จวน ช่วยอาบน้ำสระผมให้จำพวกนี้
และอาจเพราะพวกเขาตัวติดกันเกินไปด้วย หลิวหลี่เฟยจึงไม่ชอบขี้หน้าชิงหมิน โทษฐานที่ทำให้แฝดพี่อย่างเขาหมดความสำคัญ
“พี่เถาเถ่านั่งร้านนี้ดีหรือไม่ขอรับ ให้บริการวาดภาพทั้งยังมีชากับขนมบริการด้วย”
ชิงหมินภายนอกอาจดูเซ่อซ่า แต่ในความเป็นจริงแล้วเขาแทบจะเป็นตัวนำทางชีวิตให้กับหลิวหงเถาหลายอย่าง ‘พี่เถาเถ่าอันนั้นดีหรือไม่ อันนี้ดีหรือไม่’ แต่ละอย่างที่แนะนำให้นางล้วนเป็นสิ่งที่ดีต่อหลิวหงเถาทั้งสิ้น
“ใช้ได้เลย แล้วเจ้าหิวหรือไม่ อยากทานอะไรก็สั่งมาได้เลย”
“ไม่ขอรับ ตอนนี้ยังอิ่มอยู่ พี่เถาเถ่าไม่ต้องสนใจหมินมิ่นก็ได้ขอรับ หมินมิ่นโตแล้ว”
หลิวหงเถาร้อง ‘จ้า’ ในใจ แต่ไม่ได้พูดอะไรนอกจากเอื้อมมือไปขยี้ศีรษะเขาด้วยความเอ็นดู นางขออุปกรณ์วาดภาพจากเถ้าแก่ร้าน สั่งขนมน้ำชามาให้ชิงหมิน จากนั้นก็นั่งมองวิวทิวทัศน์ของเมืองไปเรื่อย ๆ
ตลาดกลางน้ำเป็นตลาดที่ตั้งอยู่ริมน้ำขนาดเล็ก เรียกว่าเป็นคูน้ำก็ได้ เรือที่แล่นไปมามีทั้งเรือโดยสารและเรือสำหรับขายสินค้า บริเวณคูน้ำนอกจากจะมีร้านขายของขนาดเล็กแล้ว ยังมีโรงเตี๊ยม โรงงิ้ว โรงน้ำชาใหญ่เล็กตั้งอยู่เต็มไปหมด การตกแต่งของสิ่งก่อสร้างไม่ได้แตกต่างกันมาก ทั้งยังมีโคมสีแดงให้แสงสว่างในบรรยากาศคล้ายคลึงกัน
ใบหน้างามเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า วันนี้เมฆปกคลุมเยอะจนน้ำสีใสกลายเป็นสีขาวไปด้วย นิ้วเรียวยกพู่กันค้างไว้มุมหนึ่งที่สะพานทรงสูงโค้งเป็นวงจันทร์ซึ่งกำลังมีเรือใหญ่รอดผ่าน ในค่ำคืนที่พระจันทร์เต็มดวง หากมองจากจุดนี้ จะเห็นว่าพระจันทร์ลูกกลมโตอยู่ใต้สะพานห่างกันเพียงแค่เอื้อมมือ
ถ้าเป็นไปได้นางอยากขอมารดาออกจากเรือนมาวาดภาพเก็บไว้ยิ่ง แต่เสียดายที่ทำอย่างนั้นไม่ได้ เมื่อตะวันลับฟ้ามารดาไม่ยอมให้นางออกมาจากจวน ยกเว้นช่วงเทศกาลที่บิดาพาออกมาเที่ยวช่วงกลางคืน
เฮ้อ~การไม่มีพี่ชายมันแย่อย่างนี้สินะ หลิวหลี่เฟยก็พึ่งพาอะไรไม่ได้อีก
“ก่อนจะตายพี่ต้องมาวาดรูปพระจันทร์ใต้สะพานนี้ให้ได้ ฟังแต่คนเขาบอกเล่ามาไม่สู้เห็นด้วยตาตนเองแล้ววาดภาพเก็บไว้…เฮือก! พี่รู้ละว่าจะปักผ้ารูปใดดี”
ชิงหมินเพียงยิ้มให้หลิวหงเถาอย่างยินดีด้วยเท่านั้น ไม่ได้ถามว่านางจะทำอย่างไร การเฝ้ารอชมผลงานของนางคือสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นเสมอ ครั้งนี้เขาก็จะรอเช่นกัน
“ยินดีด้วยขอรับพี่เถาเถ่า”
“อือ”
หลิวหงเถายิ้มตอบ วาดรูปร่างคร่าว ๆ ของสิ่งที่จะปักลงในกระดาษ ในหัวก็คิดไว้แล้วว่าจะต้องปักให้หนาเท่าไรบางเท่าไรเพื่อที่จะให้ภาพสมจริงมีมิติ เมื่อได้ภาพแล้วนางก็ชวนชิงหมินไปหาด้ายที่จะใช้ปักต่อ
ทั้งสองเดินเข้าร้านขายอุปกรณ์เย็บปักผ้าแล้วถามถึงด้ายที่ต้องการ
“ตอบคุณหนูท่านนี้ ด้ายขาดตลาดหมดเลยเจ้าค่ะช่วงนี้ แอบกระซิบบอกท่านว่าตำหนักของชินอ๋อง หวางเฟยพระองค์ใหม่จะจัดการแข่งปักผ้าขึ้น คุณหนูในห้องหอจึงกว้านซื้อกันไปหมดเลยเจ้าค่ะ เหลือเพียงแค่สีขาวเท่านั้น”
ร้านขายอุปกรณ์ปักผ้าในเมืองหลวงค่อนข้างผูกขาด ร้านที่หลิวหงเถามากับชิงหมินถือเป็นร้านใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงแล้ว หากร้านนี้ไม่มี ร้านอื่นก็ไม่ต้องหวัง
“เรื่องด้ายสีหมดก็ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ แต่ข้าอยากได้ด้ายที่ออกสีน้ำตาล สีดำ สีขาวขุ่นอะไรแบบนี้มากกว่า ไม่มีเลยหรือเจ้าคะ”
“ของจะนำเข้ามาอีกทีก็อีกสองวันเลยเจ้าค่ะ คุณหนูรอได้หรือไม่ หากรอไม่ได้ ข้าน้อยแนะนำแหล่งให้ดีหรือไม่เจ้าคะ”
หลิวหงเถาช่างใจว่าจะรอหรือว่าจะไปเลือกดูเส้นด้ายด้วยตัวเองดี แต่เมื่อตรองดูแล้ว ระยะเวลาที่นางจะใช้ปักผ้าอาจต้องใช้เวลามากกว่าห้าวัน การที่จะรอถึงสองวันนางไม่สามารถรอได้ถึงเพียงนั้น มีแต่นางจะต้องไปถึงแหล่งแล้วลงมือปักผ้าที่นั่นเลย
“ว่ามาสิ ขอบคุณ”
ระหว่างนั่งรถม้ากลับจวน หลิวหงเถาคิดไม่ตกว่าทำอย่างไรถึงจะทำให้มารดาอนุญาตออกจากจวนไปหาแหล่งที่ตั้งของหมู่บ้านด้าย แม้ความจริงนางสามารถซื้อเส้นด้ายขาวมาย้อมสีเองได้ แต่ว่าคุณภาพที่ได้ก็ยังไม่เท่ากับต้นตำรับที่เขาทำขายกันหลายทศวรรษเดินทางไปครั้งนี้ข้าจะแอบจำสูตรมาให้ได้เลย!แต่ก่อนที่นางจะแอบไปจำสูตรของผู้อื่นมาใช้ นางจำต้องผ่านด่านนี้ก่อนนั่นคือ ‘พูดอย่างไร’ ให้ท่านแม่อนุญาต“เอาอย่างไรดีหมินมิ่น ท่านแม่ไม่ยอมแน่เลย เป็นสตรีนี่เหนื่อยจริง ๆ กว่าจะไปค้างอ้างแรมที่ใดได้ช่างยากเย็นนัก ข้าชักจะอิจฉาบุรุษแล้วนะ”ตอนนี้ทั้งสองคนกำลังแอบอยู่หน้าประตูเรือนของฮูหยินใหญ่ ยืนละล้าละลังไม่กล้าเดินเข้าไปด้านในสักที“พี่เถาเถ่าเป็นสตรีดีแล้วขอรับ อย่าเป็นบุรุษเลย”“เจ้าพูดอีกก็ถูกอีก ดีแค่ไหนแล้วที่พี่เป็นสตรี ไม่เช่นนั้นหลิวหลี่เฟยโดนกดไปอยู่ท้ายจวนแล้ว ไม่ได้เกิดหรอก”ชิงหมินปิดปากหัวเราะพร้อมพยักหน้าเห็นด้วย ในใจคิด…พี่เถาเถ่าของข้าหากเกิดเป็นบุรุษแล้ว ท่านเสนาบดีหลิวย่อมมอบทุกอย่างให้นางเป็นแน่เพราะพี่เถาเถ่าของข้านะ เก่งกาจที่สุด“เอาอย่างไรดี พี่ยังไม่เครียดเรื่องการปักผ้าเท่ากับเครียดเรื่อ
เรื่องทุกอย่างในตระกูลหลิว ขอเพียงผ่านด่านมารดาได้บิดาก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะว่ามารดาจะช่วยขอบิดาให้อีกทีหนึ่ง แต่ว่ามารดาข้าจะใช้วิธีไหนในการขอบิดานั้น อันนี้ข้าไม่ขอออกความเห็นก็แล้วกันรถม้าตระกูลหลิวแล่นออกจากจวนตั้งแต่เช้ามุ่งหน้าสู่วัดนอกเมืองหลวงไม่ห่างจากหมู่บ้านที่ขายด้ายมากนัก ความเจริญเหมือนถูกหยุดไว้ที่เมืองหลวง เพราะออกนอกกำแพงมาได้ก็เจอแต่บ้านหลังเล็ก ๆ ที่ไม่ได้แข็งแรงทนทานต่อการอยู่อาศัยนัก“นาน ๆ ออกจากนอกเมืองที ฝุ่นคลุ้งดีนะขอรับท่านแม่”หลิวหลี่เฟยย่นจมูกให้กับฝุ่นในอากาศพร้อมใช้มือปัดมันไปมา ท่าทางคุณชายเจ้าสำอางของเขาทำให้หลิวหงเถาอดส่ายหน้าให้ไม่ได้ ปากเอ่ยออกไปอย่างที่ใจคิด“ถ้าทนความลำบากไม่ได้จะมาทำไมให้เกะกะพื้นที่รถม้า”หลิวหลี่เฟยกอดอกพร้อมกับเดาะลิ้นจ้องหน้าหลิวหงเถานิ่ง “พี่ไม่เชื่อว่าท่านแม่จะมาขอพรให้หวางเฟย เป็นน้องหญิงเล็กที่คิดจะทำอะไรสนุก ๆ แน่ แล้วเช่นนี้พี่ชายเจ้าจะพลาดได้อย่างไร หากไม่มาด้วยก็ถือว่าผิดต่อเจ้าแล้ว”“ข้ายอมให้เจ้าทำผิดต่อข้าได้หรือไม่”จูม่านหลิงหัวเราะให้กับการทุ้มเถียงกันของบุตรชายหญิง ครั้งนี้นางไม่ได้ห้ามปราม เพราะการนั่งอยู
เช้าวันต่อมาหลิวหงเถาเป็นคนแรกในบรรดาเจ้านายที่ตื่นขึ้นมาก่อนใคร สิ่งแรกที่นางทำหลังจากนอนเพียงแค่หนึ่งชั่วยามคือการวิ่งไปซื้อผ้าฝ้ายกับด้ายสีน้ำตาลอ่อนมาเพิ่มสำหรับปักในส่วนที่ต้องใช้ความละเอียดเป็นพิเศษ เพราะภาพมันใหญ่มาก นางจึงต้องปักแยกชิ้นส่วนกันแล้วหาทางเพิ่มชิ้นส่วนนี้เข้าไปในภาพใหญ่ในภายหลัง หวังว่าจะไม่เละนะ!เมื่อเข้ามาในห้องโถงสถานที่ที่ใช้ในการปักผ้า นางก็นั่งแหมะลงบนพื้นแล้วปักซอยเพิ่มโครงภาพอีกนิดหน่อย นางตั้งใจปักภาพทิวทัศน์ก็จริง แต่เป็นทิวทัศน์ของเมืองซึ่งมันจะขาดคนไปไม่ได้เลย ใช้เวลาอยู่นานพอสมควรภาพโครงร่างถึงเสร็จ ที่เหลือก็คือลงด้ายซึ่งส่วนนี้นางจะขอความช่วยเหลือจากช่างมีฝีมือมาทำ ด้านการเลือกสีเข้มมากหรือน้อย นางได้วาดภาพแม่แบบไว้ให้อยู่แล้ว ช่างปักในหมู่บ้านที่ได้เห็นต่างก็เอ่ยปากชื่นชมและเฝ้ารอกับผลงานชิ้นนี้“เสร็จ! งามแน่ ๆ อยากกรี๊ด”หลิวหงเถากรีดร้องอยู่ในลำคอเบา ๆ แต่เพราะว่าเรือนที่ทุกคนอยู่มันเล็กมาก เสียงของนางจึงค่อนข้างดังรบกวนการนอนของผู้อื่น“พี่เถาเถ่า”“เฮือก! น้องหญิงเล็ก เกิดอะไรขึ้น!”ชิงหมินเป็นคนแรกที่สะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะเสียงร้องของหลิวหง
หลังจากที่จูม่านหลิงกลับไป สามคนจากจวนตระกูลหลิวก็มาดูการสาธิตวิธีการย้อมผ้าจากช่างปักที่ช่วยปักภาพทิวทัศน์ ซึ่งวิธีการที่หลิวหงเถารู้กับเคล็ดลับของชาวบ้านต่างกันตรงที่ตอนต้ม หลิวหงเถาไม่ได้ใส่เกลือลงไปด้วยในตอนที่น้ำเดือด นั่นจึงทำให้สีหลุดง่ายและอีกขั้นตอนหนึ่งตอนที่ล้างน้ำหลังย้อม เมื่อผ้าแห้งแล้วให้ลองแช่ด้วยน้ำอีกครั้งหนึ่ง หากพบว่าสีตกต้องใส่เกลือบดละเอียดลงไปด้วย แช่ทิ้งไปประมาณ 3 ชั่วยาม วิธีนี้จะช่วยทำให้ผ้าดูสดใหม่ได้ในระยะหนึ่ง“ที่จริงเรื่องการย้อมผ้าโดยการใส่เกลือก็ไม่ใช่ความลับอะไร เพียงแค่ไม่ได้ป่าวประกาศออกไปเท่านั้น อีกอย่างด้ายไหมก็เป็นตัวทำเงินให้กับหมู่บ้านของเราอยู่แล้ว คุณหนูจะเอาวิธีการนี้ไปบอกต่อก็ได้นะเจ้าคะ เราไม่ได้หวง”“ขอบคุณแทนทุกคนด้วยนะเจ้าคะ” แต่ข้าไม่บอกใครหรอกหลิวหงเถาย่อกายลงขอบคุณสตรีวัยกลางคนตรงหน้าอย่างนอบน้อม จะว่าไปฝีเข็มของช่างผู้นี้นับว่าเป็นเลิศไม่แพ้ใคร ดูละเอียดประณีตกว่าช่างหลวงที่ปักชุดอภิเษกให้ชินอ๋องกับหวางเฟยเสียอีก“เรื่องเล็กเจ้าค่ะ ว่าแต่คุณหนูคุณชายอยากไปดูตัวหนอนไหมหรือไม่” ช่างปักถามด้วยสีหน้าลุ้น ๆ ซึ่งคนที่ดูจะตื่นเต้นกว่าใ
ทางด้านหมู่บ้านด้าย หลังจากที่หลิวหงเถา หลิวหลี่เฟยและชิงหมินไปเก็บใบหม่อนทางอีกฝากฝั่งหนึ่งของหมู่บ้านได้ไม่นาน สิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้นวันนี้ก็เกิดขึ้นชายฉกรรจ์กว่าห้าสิบคน รูปร่างสูงใหญ่ แต่งกายชุดดำทั้งตัวพร้อมมีผ้าคาดปิดใบหน้าเอาไว้เดินถืออาวุธครบมือกันเข้ามาในหมู่บ้าน สตรีชาวบ้านที่เห็นต่างกรีดร้องพร้อมกับวิ่งหนีความไม่ปลอดภัยที่กำลังคืบคลานเข้ามา“โจรบุก! เตรียมการสู้เร็วเข้า” ส่วนชาวบ้านฝั่งบุรุษนั้นก็เร่งไปให้หาอาวุธเพื่อใช้ในการต่อสู้กับผู้บุกรุก บุรุษในหมู่บ้านเองแม้จะมีฝีมือไม่มาก แต่จำนวนคนที่มีเยอะกว่าทำให้พวกเขาคิดว่าอย่างไรก็พอสู้ได้“ใจเย็นๆ ใจเย็น ๆ” ในกลุ่มโจรมีบุรุษคนหนึ่งนั่งอยู่บนหลังม้า ควบม้าเยาะเบา ๆ เข้ามาตามหลังลูกน้อง “จะเรียกโจรได้เพราะมาจากการปล้น ฉกชิง วิ่งราว แต่วันนี้พวกเราไม่ได้มาปล้น แต่มาขอเงินใช้ต่างหาก”“เจ้าของเขาไม่เต็มใจให้ ความหมายก็คือการปล้นอยู่ดี”ชายชาวบ้านคนหนึ่งตะโกนขึ้นมา ซึ่งสิ่งที่เขาได้รับจากการโต้ตอบกลับไปในครั้งนี้คือการที่บ่าไม่มีศีรษะให้ตั้งไว้อีกต่อไป เป็นการขู่ขวัญที่ทำให้ชาวบ้านกลัว ไม่กล้าขัดขืนอีกเหล่าโจรทำเวลาไ
หลิวหงเถาใจกระตุก นางยังคงนอนราบไม่ยันกายขึ้นมานั่ง ลอบกระซิบถามผู้คุ้มกันของตนเอง “ดูจากรูปพรรณสัณฐานแล้ว เจ้าโจรพวกผู้นี้เก่งหรือไม่”ผู้คุ้มกันพยักหน้ารับ “คนที่ขี่ม้าข้อน้อยไม่มั่นในว่าสู้ได้แค่ไหน แต่พวกลูกน้องของมันคนของเราสู้ได้แน่นอนขอรับ”“ข้าเชื่อใจพวกท่านนะ แต่ข้ามีอยู่แผนหนึ่ง…” หลิวหงเถาไม่มั่นใจว่าแผนการณ์นี้ของตนจะได้ผลหรือไม่ แต่นางก็จะลองเสี่ยงดูผู้คุ้มกันเลิกคิ้วขึ้น ยังไม่ทันจะซักถามอะไร มือบางก็คว้าเอามีดสั้นที่พกมาตัดใบหม่อนขว้างมันไปที่ต้นขาของม้าจนมันเจ็บแล้วล้มขาพับไป เป็นเหตุให้ตัวของหัวหน้าโจรล้มลงมาด้วยในจังหวะที่เขายังไม่ทันตั้งตัว หลิวหงเถาที่รออยู่แล้วก็เป่าเข็มอาบยาสลบพุ่งเป้าไปยังทางหัวหน้าโจร เข็มหลายสิบเล่มกระจายไปโดนทั้งม้าและหลุดออกนอกทิศทางไปด้วย แต่หลิวหงเถาก็มั่นใจว่ามันต้องปักอยู่บนร่างกายของหัวหน้าโจรเข้าสักอันหนึ่ง“จัดการต่อ!”ผู้คุ้มกันอีกสามคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเข้าจัดการลูกน้องของโจรก่อน เพราะฝีมือที่มีมากกว่าทำให้จัดการพวกมันได้โดยง่าย แต่คนที่จัดการยากเห็นทีจะเป็นหัวหน้าโจรที่ลุกขึ้นมาตั้งหลักได้อย่างรวดเร็ว“ข้าประมาทพวกเจ้าเกินไปสิน
ชินอ๋องเล่าว่าตนเองวางแผนจับโจรภูเขากลุ่มนี้มานานเป็นปีแล้ว เมื่อได้รับรายงานว่าพวกมันจะออกปล้นเมื่อใด เขาจะเป็นผู้นำในการกวาดล้างกลุ่มโจรด้วยทุกครั้งรวมถึงครั้งนี้ด้วยเช่นกัน น่าเศร้าที่สายข่าวของเขาทำงานช้าไป ผลของมันจึงทำให้ชาวบ้านเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต“เปิ่นหวางขอเป็นตัวแทนของทุกคนขอบคุณคุณหนูหลิวแล้ว มิเช่นนั้น เราคงจับหัวหน้าโจรกลุ่มนี้ไม่ได้สักที”หลิวหงเถาส่ายหน้าไปมาด้วยไม่กล้ารับคำชม“ท่านอ๋องตรัสเกินไปแล้วเพคะ นี่เป็นเพียงการเอาตัวรอดเท่านั้น อย่าได้ให้ค่าการกระทำของหม่อมฉันถึงเพียงนั้นเลย”ตอนนี้หลิวหงเถาและทุกคนกลับมาที่หมู่บ้านแล้ว ภาพความเสียหายทั้งหมดปรากฏเข้าสู่สายตา กลิ่นคาวเลือด เสียงร่ำไห้ของชาวบ้านทำให้นางรู้สึกหดหู่และอยากร้องไห้ตามไปด้วย“ฮึก ฮือ…”ตอนนี้ผ่านมาหลายชั่วยามแล้ว ชาวบ้านที่เป็นสตรีถูกช่วยไว้ได้ทัน ความสูญเสียจึงหยุดอยู่เพียงเท่านี้ แต่บางคนที่สูญเสียคนในครอบครัวไปก็ยังคงส่งเสียงร้องไห้ออกมาให้ได้ยินอยู่เหตุการณ์เหล่านี้หากมันเกิดขึ้นกับข้าโดยตรง ข้าขอตายตามไปด้วยเลยเสียยังดีกว่า“คุณหนูหลิว”หลิวหงเถาดึงตัวเองออกจากภวังค์พร้อมหันหน้ามายังชินอ๋อง “
เพียงชั่วข้ามคืนข่าวอันน่าสลดใจที่เกิดขึ้นกับหมู่บ้านด้ายถูกลือว่อนไปทั่วทั้งเมืองหลวง ชาวเมืองแคว้นชิงชิวที่ทราบข่าวต่างรู้สึกเห็นอกเห็นใจผู้ที่ต้องสูญเสียครอบครัวไปชินอ๋องในฐานะเป็นผู้นำในการจับกุมครั้งนี้ได้รับคำชมจากฮ่องแต้แคว้นชิงชิวต่อหน้าขุนนางทั้งท้องพระโรง ทำให้เสนาบดีหลิวซึ่งมีศักดิ์เป็นพ่อตาพลอยได้หน้าไปด้วย ไม่เพียงแค่นั้น หวางเฟยพระองค์ใหม่ยังช่วยพระสวามีทำคุณงามความดีเพิ่มโดยการเปลี่ยนรูปแบบการจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ในวันนี้ให้เป็นในแบบการกุศลแทน ภาพวาดที่คุณหนูทั้งหลายปักจะถูกยกขึ้นมาประมูล โดยรายได้ทั้งหมดจะถูกส่งมอบให้ชาวบ้านผู้ประสบภัยทั้งหมดตามความเสียหายที่ได้รับหลิวหงเถาไม่ได้เข้าร่วมในงานนี้ เพราะว่านางบาดเจ็บที่คอ หากเข้างานโดยที่มีผ้าพันแผลพันรอบคออยู่จะยิ่งเป็นการสร้างความสงสัยให้ผู้อื่นที่สำคัญตั้งแต่กลับมาถึงจวนตระกูลหลิวนางไข้ขึ้นสูงมาก ความอ่อนล้าของร่างกายที่สะสมมาหลายวันกอปรกับการเดินทาง ทำเอานางนอนเป็นผักให้ชิงหมินหยอดน้ำข้าวต้มมาสองมื้อแล้ว“ชินอ๋องทรงพระปรีชายิ่ง ไม่มีใครรู้ข่าวเรื่องที่ลูกประสบเหตุที่นั่นเลย เป็นเพราะพระองค์ทรงปิดข่าวให้เป็นแน่”จูม
ตอนพิเศษที่ : 3เริ่มต้นชีวิตคู่ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยณ ห้องหอของบ่าวสาวคู่ใหม่ในวังปีศาจ สองบ่าวสาวคล้องแขนกันดื่มสุรามงคลที่เถาฮวาเฉินเป็นผู้ทำขึ้นมาเอง แน่นอนว่ารสชาติที่ได้ย่อมต่างจากสุราทั่วไปที่นางให้ผู้อื่น“รู้หรือไม่ว่าสุราที่เราให้ฉางฉ่างดื่มจะทำให้ฉางฉ่างไม่สามารถไปดื่มสุราที่ใดได้อีก”“ข้ารู้”เถาฮวาเฉินเลิกคิ้วขึ้นสงสัย “เหตุใดถึงไม่แปลกใจหรือไม่สงสัยอันใดเลย ไม่คิดบ้างหรือว่าเราอาจจะวางยาอะไรใส่ให้ฉางฉ่างดื่มกินก็ได้”หยิ่นฉางยกยิ้ม ทั้งยังเทสุราใส่จอกแล้วยกดื่มให้นางดูอีกสามครั้ง เป็นการบอกว่าเขาไม่ได้สงสัยในสิ่งนี้ ช่างขยันในการพิสูจน์ด้านการกระทำสำคัญกว่าคำพูดจริง ๆ“ท่านรู้สึกแย่หรือไม่ ที่ข้าไม่ได้บอกท่านก่อนเรื่องที่ให้ท่านพ่อเตรียมงานแต่งงานของเราไว้”ท่าทางของเถาฮวาเฉินไม่แสดงออกว่าโกรธหรือไม่ แต่เขาก็ยังอยากรู้ความรู้สึกลึก ๆ ของนาง“อือ” นางทำท่าคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่คนที่เฝ้ารอคำตอบกลับแอบกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว “อาจจะตกใจไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้รู้สึกแย่อะไรนะ ฉางฉ่างก็อย่าคิดมาก เราเป็นคนตรง ๆ อยู่แล้ว คิดอย่างไรรู้สึกอย่างไรไม่เก็บมาคิดคนเดียวหรอก”“จริงหรือ”“จริงสิ
ตอนพิเศษที่ : 2องค์ชายเล็กของแดนปีศาจ“ว้าว~นี่เป็นครั้งแรกเลยกระมังที่เราได้มาเยือนพระราชวังของแดนปีศาจ ใหญ่โตดูมีเสน่ห์ไปอีกแบบเหมือนกันนะฉางฉ่าง”หลังจากที่ผ่านช่วงเวลาแนบชิดกันมาสามวัน คำเรียกของทั้งคู่ก็เปลี่ยนไปแล้ว จาก ‘หยิ่นฉาง’ ก็เป็น ‘ฉางฉ่าง’ และจากเถาฮวาก็เป็น ‘เถาเถ่า’“ต่อไปที่นี่ก็คือบ้านของเถาเถ่า ท่านพ่อต้องชอบท่านแน่ ไม่ต้องกังวลนะ เขาจะดีต่อท่าน”เถาฮวาเฉินพยักหน้ารับพร้อมสูดหายใจเข้าลึก ในใจคิดเหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าเพิ่งผ่านช่วงแต่งงานแล้วก็กลับมาเยี่ยมบ้านเจ้าสาวกันนะ ว่าแต่…“จอมปีศาจจะชอบสุราของเราหรือไม่ สุราหมื่นปีแบบนี้แม้จะเป็นของหายาก แต่ไม่ได้มีใครที่จะได้ดื่มกินบ่อย ๆ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะไม่คุ้นลิ้น อย่างช่วงงานฉลองราชย์ขององค์เง็กเซียนฮ่องเต้ เราเคยเอาสุราหมื่นปีถวายเช่นกัน แต่พระองค์มิใคร่พอใจนัก ช่างเอาใจยากจริง ๆ”หยิ่นฉางหัวเราะในลำคอเบา ๆ หากบิดาของเขาได้ยินคำบ่นนี้ของนางไม่วายหัวเราะชอบใจที่นางเอ่ยนินทาประมุขของเผ่าสรรค์เช่นนี้“ทุกคนรอเราอยู่ที่ท้องพระโรงใหญ่”“หือ ท้องพระโรงหรือ”เถาฮวาเฉินรู้สึกเอะใจกับคำพูดนี้ของเขามาก จนกระทั่งเขาพานางเดินมาถึงจ
ตอนพิเศษที่: 1กิจกรรมที่คนคบกันเขาทำกัน ณ พระราชวังแคว้นชิงชิว “ท่านว่าเรามองนางอยู่เช่นนี้มานานแค่ไหนแล้ว”“ไม่รู้สิ หนึ่งชั่วยามได้แล้วหรือไม่ ถ้าท่านรู้สึกว่าเสียเวลาก็ไปทำงานที่คั่งค้างไว้ก่อนได้เลย ข้าขอดูนางต่ออีกหน่อย”หยิ่นฉางส่ายหน้าเบาๆ “ได้ใช้เวลาอยู่กับท่าน เช่นนี้ไม่เรียกว่าเสียเวลาหรอก แล้วอีกอย่างข้าก็ว่างมากด้วย”ตอนนี้เถาฮวาเฉินและหยิ่นฉางได้ลงมาโลกมนุษย์อีกครั้งเพื่อทำกิจกรรมที่คู่รักเขาทำกัน นั่นคือการทำอะไรก็ได้ให้ใช้เวลาร่วมกันมากที่สุด ซึ่งสิ่งที่เถาฮวาเฉินเสนอมาก็คือการนั่งมององค์หญิงสาม บุตรสาวของหลิวหงเถาที่กำลังนั่งอ่านตำราอยู่เถาฮวาเฉินละสายตาจากองค์หญิงสามเพื่อหันกลับมาจ้องมองหยิ่นฉาง “ใช้คำพูดรุกเราให้ใจเต้นรัวอีกแล้วนะ” จากนั้นก็จูงมือเขาออกจากศาลาที่องค์หญิงสามนั่งอยู่ ทั้งคู่พรางกายเอาไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้มีมนุษย์ผู้ใดสามารถมองเห็นได้“ช่วงข้าวใหม่ปลามันจะให้แผ่วได้อย่างไร”ไม่เพียงแต่พูดเท่านั้น แขนยาวยังเอื้อมไปโอบไหล่นางพร้อมซบหน้าลงหัวไหล่ด้วย เถาฮวาเฉินไม่ได้ขัดขืนทั้งยังยกมือขึ้นลูบศีรษะเขาตอบ ทั้งคู่จับมือกันเดินผ่านสวนงดงามของวังหลวงและพูด
เถาฮวาเฉินพูด :“อื้อ~สบายจัง”ข้าบิดขี้เกียจพร้อมกล่าวเสียงอู้อี้ออกมาขณะที่ดวงตายังคงปิดสนิทอยู่ ข้ารู้สึกที่นอนนั้นช่างหนานุ่ม สามารถดูดวิญญาณของข้าให้อยู่บนนี้ได้ทั้งวัน แต่เดี๋ยวก่อนนะ…“ข้ามีเตียงแบบนี้ด้วยหรือ”“...จากที่ข้าลอบเข้าไปดูที่แดนดอกท้อ ไม่มีนะท่าน”เฮือก!เพียงแค่ได้ยินเสียงของเขาเท่านั้นข้าก็เด้งตัวขึ้นมานั่ง จากที่ไม่อยากลืมตาสู้แสง ดวงตากลับแจ่มชัดไร้ความพร่ามัว“นี่ท่าน…”กำลังจะตั้งคำถามว่า ‘นี่ท่านมาอยู่ห้องของเราได้อย่างไร’ แต่สุดท้ายก็เงียบไป เพราะคิดได้ว่าตนเองต่างหากที่มาอยู่ในดินแดนของผู้อื่น“ว่าต่อสิ หรือกำลังคิดอยู่ว่าข้าได้ทำอะไรท่านหรือไม่”หยิ่นฉางถามขึ้นยิ้ม ๆ ทั้งยังถอยห่างออกจากข้าดั่งกับว่าเขาอยากให้ข้ารู้สึกปลอดภัย ไม่โดนคุกคามอยู่ นั่นจึงทำให้ข้ารู้สึกดีต่อการกระทำนี้ของเขามาก“เราเปล่าคิดเช่นนั้นสักหน่อย ว่าแต่ท่าน…”ข้าไล่สำรวจเขาทั้งร่าง ตอนแรกก็แค่รู้สึกว่าเขามีอะไรเปลี่ยนไปสักอย่าง พอสำรวจอย่างละเอียดอีกที ที่แท้เป็นเพราะชุดสีขาว“ข้าดูแปลกตาไปใช่หรือไม่ ท่านจึงได้จ้องตาไม่กะพริบถึงเพียงนี้”หยิ่นฉางถามด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ ก่อนที่จะยื่นมือม
สิ้นคำที่หยิ่นฉางปฏิเสธว่าตนไม่ใช่ ‘สุภาพชน’ เขาก็แสดงอาการตรงข้ามกับคำพูดนี้ทันทีโดยการอุ้มร่างบางเข้าสู่อ้อมแขนแล้วหายวับกลับถิ่น ณ ดินแดนปีศาจในทันทีตุบ!“โอ๊ย!”หยิ่นฉางวางเถาฮวาเฉินลงบนเตียงอย่างแรงจนร่างบางรู้สึกเจ็บจนต้องร้องออกมา ใบหน้างามชักสีหน้าใส่เขา แต่หยิ่นฉางหรือจะสน ร่ายมนตร์สร้างอาณาเขตไว้เพื่อไม่ให้เถาฮวาเฉินใช้พลังหนีออกจากที่นี่ไปได้จนกว่าจะสนทนากันให้รู้เรื่อง“ท่านรู้หรือไม่ว่าตอนนี้ ข้าก็นับว่าเป็นปีศาจที่แข็งแกร่งที่สุดตนหนึ่งในแดนปีศาจ มีทั้งประสบการณ์ด้านการต่อสู้ ไม่ว่าจะทั้งสัตว์อสูรร้ายหรือแม้กระทั่งเทพเซียนที่แข็งแกร่ง ข้าก็ผ่านมาแล้ว สำหรับท่านที่วัน ๆ หมักแต่สุรา...”พูดเพียงเท่านี้ก็เงียบไป อีกทั้งยังส่ายหน้าน้อย ๆ สองครั้ง ทำเอาคนถูกสบประมาทเดาคำว่า ‘สำหรับข้าไม่นับว่าเป็นอะไร จะบีบก็ตายจะคลายก็รอด’ จากท่าทางของหยิ่นฉางได้แล้ว“เมื่อก่อนท่านไม่ได้เป็นแบบนี้ แต่เหตุใดถึงได้เปลี่ยนมาเป็นเช่นนี้”หยิ่นฉางเลิกคิ้ว “ก็ไม่ใช่ว่าท่านบอกให้ข้าลืมเลือนเรื่องในอดีตหรอกหรือ นี่อย่างไร ข้าก็ลืมความอ่อนโยนที่เคยมีให้แล้วแสดงตัวตนที่แท้จริงออกมาแล้ว ตกลงจะเอาอย่าง
“หึ! โดนเสด็จพ่อของพวกเจ้าลงโทษเรื่องใดมาเล่า ถึงได้มากวาดลานวัดเช่นนี้”“ท่านน้า”องค์ชายแฝดทั้งสองทิ้งไม้กวาดแล้ววิ่งเข้าไปหา ‘ท่านน้าหยิ่นฉาง’ ผู้ที่เวลาไม่สามารถทำอะไรเขาได้เลย เมื่อก่อนมีรูปลักษณ์เช่นไรตอนนี้ก็ยังเป็นเช่นเดิมไม่แปรเปลี่ยน“พวกเจ้านี่นะ โตจนป่านนี้แล้วยังทำตัวเหมือนกับลูกลิงอยู่ได้ รักษาภาพลักษณ์องค์ชายแห่งแคว้นบ้างเถิด”องค์ชายใหญ่พ่นลมหายใจออกจากจมูกอย่างแรง ก่อนที่จะเอ่ยด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด“ท่านน้า ภาพลักษณ์ของพวกเราไม่เหลือตั้งแต่ที่เสด็จพ่อให้มากวาดลานวัดเช่นนี้แล้วขอรับ”“แต่ข้าว่าไม่เหลือตั้งแต่ไปก๊งเหล้าที่ร้านนั้นแล้วละ”อ๋องน้อยกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนที่จะเดินเข้ามารวมกลุ่มด้วย ที่จริงเขาไม่ได้โดนลงโทษให้มากวาดลานวัดเช่นนี้ แต่มีหรือที่องค์ชายแฝดจะปล่อยให้เขารอดไปได้ ทั้งยังกล่าวว่า…‘มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ก็ต้องร่วมฝ่าฝันไปด้วยกัน’“หือ” หยิ่นฉางเลิกคิ้วถาม “ร้านใดกันที่ทำให้ท่านอ๋องน้อยแห่งตำหนักชินอ๋องถึงขั้นไปลิ้มลองได้”องค์ชายรองเป็นคนอธิบายคำถามนี้ “เป็นร้านสุราดอกท้อข้างทางเล็ก ๆ ร้านหนึ่งขอรับท่านน้า คนขายเป็นพ่อค้าหน้าหยก รสชาติสุราเป็นร
“ต้าเกอ วันนี้กระบวนท่าไม่เลวเลย ฝีมือท่านพัฒนาขึ้นมาก”“เป็นเอ้อร์ตี้ออมมือให้ต่างหาก มิเช่นนั้นเราคงไม่เสมอกันเช่นนี้ เอาเป็นว่าขอบคุณที่ทำให้ต้าเกอไม่เสียหน้าก็แล้วกัน ไม่สิ! ต่อให้แพ้ แต่แพ้เอ้อร์ตี้ ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกอายอะไร”“ต้าเกอก็ชมข้าเกินไปแล้ว มา! เอ้อร์ตี้คารวะให้ท่านหนึ่งจอก”“ได้เลย”สองบุรุษหน้าตาคล้ายกันเกือบสิบส่วนเอื้อนวาจาเยินยอกันเองก่อนที่จะยกจอกสุราชนกัน ทั้งสองคนที่ว่าก็คือองค์ชายใหญ่และองค์ชายรองของแคว้นชิงชิวนั่นเอง ก่อนทั้งสองกลับวังตนเองทั้งคู่ได้ชวนกันมาร่ำสุราที่ร้านข้างทางเล็ก ๆ ร้านหนึ่ง“อือ สุราดี”รสชาติของสุราทำให้ทั้งสองพอใจเป็นอย่างมาก ขนาดที่ทั้งคู่หันไปชมเถ้าแก่ร้านหน้าละอ่อนไม่หยุด“เถ้าแก่ สุราดอกท้อของท่านรสชาติดียิ่ง ท่านทำเองหรือว่ารับมาขาย”เถ้าแก่ร่างบางตัวเล็กเงยหน้าขึ้นมาก่อนที่จะแย้มยิ้มรับคำชมนั้นอย่างภูมิใจ“แน่นอนว่าข้าย่อมหมักเอง คุณชายทั้งสองสนใจซื้อในปริมาณมากหรือไม่ ข้าน้อยจะคิดราคาให้เป็นพิเศษเลย”“โอ้ เช่นนั้นข้าขอสั่งสักสิบไหได้หรือไม่ เถ้าแก่เชิญคิดราคามาได้เลย”“สิบไหเป็นห้าตำลึงเงินก็แล้วกัน ราคากันเอง”ไม่เพียงองค์ชายทั้
หลิวหงเถาพูด:เวลาของโลกมนุษย์และดินเแดนเบื้องบนต่างกัน หนึ่งวันของแดนสวรรค์เท่ากับหนึ่งปีของโลกมนุษย์ ระยะเวลารวมที่ข้าเซียนจากแดนแห่งการชำระล้างจากไปเป็น 40 วัน ของแดนสวรรค์ ในเมืองมนุษย์ก็เท่ากับ 40 ปีใช่! ตอนนี้ข้าตายจากการเป็นมนุษย์และได้กลับมายังดินแดนชำระล้างแล้ว พลังบริสุทธิ์ที่คุ้นเคยทำให้ข้ารู้สึกร่างกายคล้ายกับได้รับการเยียวยา พลังวิญญาณแข็งแกร่งขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก …ที่แท้ความรู้สึกของการเลื่อนขั้นเป็นเช่นนี้ข้าเดินเข้าไปที่ห้องโถงใหญ่อันมีดอกไม้นานาชนิดประดับตกแต่งไว้ ทั้งการจัดโต๊ะ ทั้งบรรยากาศโดยรอบให้ความรู้สึกถึงงานเลี้ยงฉลองไม่มีผิด ทันใดนั้นข้าก็ได้ยินเสียงของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้น“ยินดีต้อนรับเซียนเถาฮวา ไม่ใช่สิ! ยินดีต้อนรับเทพเถาฮวากลับสู่แดนชำระล้าง ทั้งหมดนี้คืองานฉลองการต้อนรับกลับบ้าน”คนแรกที่ข้าเห็นยามเดินเข้ามาในห้องโถงคือท่านหัวหน้าดินแดน สิ้นประโยคของนางก็เกิดคลื่นพลังมากมายหลากสีขึ้นมาในห้องโถง พร้อมกับการปรากฏตัวของเทพเซียนองค์อื่น ๆ“ยินดีต้อนรับเถาฮวาเฉิน” พวกนางกล่าวต้อนรับข้าด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ข้าจึงมอบรอยยิ้มจริงใจส่งกลับไปให้ทุกคนเช่นกัน“ขอบคุณ
เมื่อยามที่ก้าวเท้าเดินเข้าไปในตำหนักแล้วได้ยินเสียงอ้อแอ้ของเด็กหญิง เสียงพูดไม่ชัดของเด็กชาย เสียงใสของสตรีอันเป็นที่รัก มันทำให้ข้ารู้สึกถึงคำว่า ‘ครอบครัว’นึกอยากขอบคุณเสด็จอาในวันนั้นที่บอกให้เขาอย่าได้สัญญาว่าจะไม่แตะต้องนาง มิเช่นนั้นคืนวันเหล่านี้ก็คงไม่เกิดขึ้นในชีวิตเขา“เสด็จพ่อ”‘อีเกอ’ พระโอรสองค์แรกของเขาวิ่งเข้ามาเกาะขา ร่างสูงก้มตัวลงแล้วอุ้มบุตรชายขึ้นแนบอก กดจมูกหอมแก้มซาลาเปาอย่างหมั่นเขี้ยว การที่มีคนหน้าตาคลายคลึงนางเพิ่มมาถึงสามช่างดีจริง ๆ“ฝ่าบาท…”ฮองเฮาคู่บัลลังก์ของเขาเพียงแค่ส่งยิ้มมอบให้เท่านั้น ไม่ได้ลุกขึ้นทำความเคารพ เพราะเขาเคยห้ามไว้ไม่ให้นางทำในเวลาส่วนตัวเช่นนี้“เป็นอย่างไรบ้าง ตำหนักใหม่ถูกใจฮองเฮาหรือไม่”ฮ่องเต้หนุ่มถามนางขึ้นมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำแฝงความนุ่มนวลไว้หลายส่วน นางพยักหน้ารับเบา ๆ แล้วส่งบุตรีคนที่สามมาให้เขาอุ้ม ใบหน้าหล่อเหลาปรากฏรอยยิ้มเมื่อเห็นเหงือกสีชมพูอ่อนไร้ฟันแย้มยิ้มดีใจที่เขาจะอุ้มนาง“เสี่ยวเม่ยของพ่อ”ไทเฮาโปรดหลานสาวคนนี้มากกว่าใคร ฮ่องเต้หนุ่มทราบว่าพระมารดาอยากมีองค์หญิงน้อยมาตลอด แต่ว่าสภาพร่างกายไม่เอื้อต่อการมีบุต