จูม่านหลิงมารดาของหลิวหงเถาแม้ไม่ได้ไปร่วมงานชมบุปผาที่ตระกูลจิน แต่นางก็ยังพอมีคนรู้จักที่ไปงานนั้นอยู่บ้าง หนึ่งในสหายของนางให้คนส่งข่าวมาบอกว่าเกิดเรื่องกับบุตรีคนเล็ก นางจึงร้อนใจรีบส่งคนขับรถม้าออกไปรับ แต่รอมานานแล้วก็ยังไม่เห็นแววว่าจะมีรถม้าตระกูลหลิวแล่นเข้ามาบริเวณหน้าเรือนเลย ในใจจึงยิ่งร้อนรนขึ้นเป็นเท่าตัว
“เข้าไปรอด้านในก่อนดีหรือไม่เจ้าคะฮูหยิน วันนี้ลมแรงมาก ประเดี๋ยวจะไม่สบายเอานะเจ้าคะ”
“รอมาตั้งนานแล้วให้รออีกหน่อยจะเป็นอะไรไป” ภายนอกจูม่านหลิงยังคงดูสงบนิ่งอยู่ก็จริง แต่ภายในหัวของนางนั้นคิดสะระตะไปหมด “เป็นความผิดข้าเองที่คะยั้นคะยอให้นางไปงานให้ได้ มันเป็นความผิดข้าเอง”
“โถ่ ฮูหยินอย่าโทษตัวเองเลยเจ้าค่ะ”
ใบหน้างามสมวัยหันมามองคนสนิท “ไม่โทษตัวเองแล้วเจ้าจะให้ข้าโทษหวางเฟยรึ!”
ในเรื่องการส่งเทียบเชิญ ความจริงแล้วหลิวตันตันเองก็เพิ่งให้คนมาส่งข่าวบอกนางที่จวนเมื่อไม่กี่ชั่วยามมานี้ ใครจะคิดว่าเทียบเชิญจากวังอ๋องจะส่งไปที่ตระกูลอื่นก่อนตระกูลหลิว ไม่ว่าจะเป็นความผิดพลาดหรือความตั้งใจก็ตาม ผลเสียได้ตกอยู่ที่บุตรีของนางทั้งคู่ จะโทษใครก็ไม่สู้โทษตัวเอง
“นั่น มากันแล้วเจ้าค่ะ”
เสียงของสาวใช้ทำให้จูม่านหลิงหันไปมองยังรถม้าที่แล่นเข้ามาใกล้ เสียงสองเสียงของสตรีกับบุรุษเถียงกันดังออกมาจากในรถม้า ทำให้นางขมวดคิ้วด้วยสงสัยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
“อย่าบอกว่าทะเลาะกันอีกแล้ว”
หันไปถามสาวใช้ข้างกายแต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือรอยยิ้มจืดเจื่อน นางจึงหันไปสนใจเสียงโต้เถียงของคนทั้งคู่แทน
“วันนี้มันวันซวยอะไรของข้าก็ไม่รู้ ถ้าเจ้าไม่ชวนกินบะหมี่ข้าก็คงไม่เสียหน้าเช่นนี้ หากเรื่องถึงหูหวางเฟยไม่แคล้วได้เรียกข้าไปตำหนิอีก”
“ก็ถ้าเจ้าไม่อยากกินตั้งแต่แรกแล้วยอมตกลงด้วยทำไม ไม่มีเงินก็เดินกลับจวนอย่างโง่ ๆ ไปสิ จะมาร่วมกินอาหารข้างทางแบบนี้กับข้าทำไม”
“เอ่อ คุณชายอย่าว่าพี่…”
“เงียบ!”
ฟังจากบทสนทนาแล้วจูม่านหลิงถึงกับส่ายศีรษะให้กับบุตรทั้งสอง จากสิ่งที่ได้ยินมาแล้ว
ผิดพอ ๆ กันนั่นแหละแต่ไม่ยอมรับทั้งคู่!
“ข้าจะเข้าไปรออยู่ข้างในจวน รีบเชิญคุณหนูคุณชายลงมาจากรถม้าเถอะก่อนที่จะหยุมหัวกันขึ้นมา”
“เจ้าค่ะฮูหยิน”
จูม่านหลิงเดินเข้ามาในจวนแล้วมานั่งรอที่ศาลาไม่ไกลจากประตูใหญ่มากนัก ดวงตาคู่งามทอดมองสามร่างของคนอายุน้อยด้วยดวงตาฉายความขบขัน ทางเดินไม้ยาวมาที่ศาลาแม้จะดูสั้น แต่สำหรับชิงหมินคงยาวมากเป็นพันลี้ เพราะตัวเขาเดินอยู่ระหว่างกลางหลิวหงเถาและหลิวหลี่เฟย เวลาที่บุตรแฝดของนางยื่นหน้ามาเถียงกันคนตรงกลางก็จะสะดุ้งทุกครั้ง
“เอาล่ะหยุดเถียงกันได้แล้ว ไม่เหนื่อยหรือทะเลาะกันได้ทุกวี่ทุกวัน”
หลิวหงเถาถอนหายใจอย่างหนักหน่วง ร่างบางเดินเข้าไปนั่งในศาลาแล้วกอดแขนมารดาไว้แน่น
“ท่านแม่เถาเอ๋อร์เกลียดเขา จูจิ่วลี่กับหลิวหลี่เฟยคือกบเหมือนกันไม่มีผิด คอยแต่จะงับแมลงอยู่ได้”
“โอะ! เช่นนั้นเจ้าก็ว่าตัวเองเป็นแมลงงั้นสิ แมลงหลิวหงเถา!”
จูม่านหลิงถลึงตาใส่บุตรชายให้หยุดพูด จากนั้นก็หันไปเค้นความจากบุตรีต่อ ในใจสงสัยยิ่งว่าทายาทตระกูลจูสายหลักของนางทำอะไรให้กับบุตรสาวนางกัน
“ท่านแม่รู้หรือไม่ วันนี้จูจิ่วลี่เอาแต่ฉีกหน้าเถาเอ๋อร์ ท่านแม่เป็นคนของตระกูลจูสายรองแล้วอย่างไรเจ้าคะ คิดว่านางจะทำอะไรลูกก็ได้เช่นนั้นหรือ ข้าเกลียดนางเจ้าค่ะ”
เป็นความจริงที่มารดาของหลิวหงเถาเป็นคนของตระกูลจูสายรอง แต่กลับได้ดิบได้ดีมีสามีตำแหน่งสูงกว่าใครในบรรดาสตรีตระกูลจูด้วยกัน จูจิ่วลี่ที่มีความสามารถพื้น ๆ จึงเห็นหลิวหงเถาเป็นศัตรูที่ต้องคอยชิงดีชิงเด่นกันให้ได้ และการที่หลิวหงเถามีมารดาเป็นคนตระกูลจูสายรอง จุดนี้คือจุดเดียวที่จูจิ่วลี่คิดว่าตัวเองอยู่เหนือหลิวหงเถา
“เถาเอ๋อร์ของแม่ลำบากแล้ว” มือบางยกขึ้นลูบศีรษะบุตรีก่อนที่จะจับบริเวณผ้าพันแผลสีขาว “แม่รู้เรื่องนี้แล้ว เจ็บมากหรือไม่ลูก”
หลิวหงเถาเข้าใจว่ามารดาไม่ได้หมายถึงเฉพาะเรื่องแผล แต่คงหมายถึงเรื่องสาเหตุที่ทำให้เกิดแผลนี้ด้วย
“ช่างมันเถิดเจ้าค่ะ เป็นเถาเอ๋อร์ที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ แกล้งทำเป็นว่ารู้เรื่องงานที่หวางเฟยจะทรงจัดขึ้นก็จบแล้ว ไปเผยจุดอ่อนให้คนอื่นเห็นก็สมควรที่เขาจะหัวเราะเถาเอ๋อร์แบบนี้”
“โถ่ ยายหนูของแม่…”
จูม่านหลิงยิ้มอย่างอ่อนโยนให้บุตรสาว ส่วนหลิวหลี่เฟยกับชิงหมินแม้จะยังจับประเด็นไม่ได้ทั้งหมดแต่ก็ยกยิ้มให้กับมุมนี้ของหลิวหงเถา
…ถึงได้บอกว่านางมีข้อดีเยอะมาก แต่มีข้อเสียคือขี้อิจฉา!
“แล้วหวางเฟยจะทรงจัดงานปักผ้าวันไหนหรือเจ้าคะ แล้วลูกต้องทำอย่างไรบ้าง”
“จัดอาทิตย์หน้า ประเดี๋ยวก็คงให้คนมาตามเถาเอ๋อร์ไปเข้าเฝ้าแล้ว ถ้าพี่เขาตำหนิก็อย่าโกรธเคืองไปเลยนะลูก อย่างไรเราก็มีกันอยู่แค่นี้ ช่วยเหลือค้ำจุนกันไป”
หลิวหงเถาพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย “เจ้าค่ะ เช่นนั้นเถาเอ๋อร์ไปเตรียมออกแบบลวดลายที่จะปักผ้าก่อนนะเจ้าคะ”
“ไปเถอะ”
เมื่อหลิวหงเถาและชายหนุ่มอีกสองคนเดินออกไปจากศาลาแล้ว จูม่านหลิงก็น้ำตารื้นขึ้นมาในทันที
“นางก็เป็นเสียแบบนี้ ยอมให้พี่สาวนางตลอด”
“อาจเพราะคุณหนูสามเป็นคนมีความสามารถและพยายามมาก นางจึงไม่ได้มองว่าการที่ฮูหยินให้นางช่วยเรื่องปักผ้าหรือช่วยเรื่องสร้างชื่อเสียงให้หวางเฟยเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่อะไร”
“อือ ข้ารักนางมากก็เพราะอย่างนี้”
ณ ศาลาเล็กหน้าเรือนส่วนตัวของหลิวหงเถา
“เฮ้อ วันนี้ช่างยาวนานนัก ร่างพี่เถาเถ่ากรอบหมดแล้วหมินมิ่น”
หลังจากแยกกันที่ศาลาทุกคนก็ตรงกลับเรือนส่วนตัว เว้นแต่ชิงหมินที่รั้นอยากจะมาดูแผลของหลิวหงเถา ทั้งสองจึงได้มานั่งพักเหนื่อยตรงศาลาเล็กกันก่อน ด้วยจากหน้าประตูใหญ่มาเรือนของหลิวหงเถานั้นระยะทางไกลมาก
“พี่เถาเถ่าเจ็บมากหรือไม่ขอรับ”
หลิวหงเถายื่นมือบางให้ชิงหมินไปดูเอง มือใหญ่กว่าประคองมือเล็กคู่นี้อย่างทะนุถนอมราวกับมันเป็นของล้ำค่า พอเปิดผ้าพันแผลสีขาวออก เขาก็น้ำตาไหลอาบหน้าในทันที
“พี่เถาเถ่า…”
หลิวหงเถาตกใจที่ชิงหมินร้องไห้ออกมา มือบางข้างที่ว่างอยู่ยกขึ้นเช็ดน้ำตาให้เขา
“หมิ่นมิ่นร้องไห้ทำไม พี่ไม่ได้มิได้ไกลตายเสียหน่อย เจ้าทำแบบนี้ทำให้พี่อยากร้องไห้ตามนะ”
“หมิ่นมิ่นปวดใจขอรับ พี่เถาเถ่าอย่าทำให้ตัวเองเจ็บตัวแบบนี้อีกได้หรือไม่ขอรับ”
“โถ่ แผลมันไม่ลึกมาก”
พอหลิวหงเถาไม่รับปากว่าจะไม่เจ็บตัวอีก ริมฝีปากของชิงหมินก็เบะออกเป็นสัญญาณว่าน้ำตาดั่งห่าฝนกำลังจะตามมา
“ได้ ๆ พี่รับปากว่าจะไม่ทำให้ตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์นี้อีก ดูสิเนี่ย ตัวสูงชะลูดจนพี่ต้องเงยหน้าขึ้นมองแล้วยังร้องไห้เป็นเด็ก ๆ ไปได้ อีกปีเดียวก็แต่งภรรยาได้แล้ว อย่างอแงแบบนี้ให้สตรีที่ใดเห็นอีกนะ”
ชิงหมินหน้าตึงพร้อมกับรีบเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้า “หมินมิ่นไม่แต่งกับใครทั้งนั้นขอรับ จะอยู่กับพี่เถาเถ่าจนวันตายเลย”
หลิวหงเถาหัวเราะให้กับสายตาจริงจังของเขา พอพูดเรื่องนี้ขึ้นมาทีไร เขามักจะตีหน้าตึงใส่นาง สายตาดูดุดันขึ้นมาทันที ซึ่งหลิวหงเถาก็เออออไปอย่างนั้น ทั้ง ๆ ที่นางไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะทำได้อย่างที่พูด
“เอาเถอะ ๆ ถึงเวลาเดี๋ยวก็รู้เอง”