LOGINเช้านี้อากาศสดใส ภริตาเดินทางออกจากบ้านเช้ากว่าปกติเล็กน้อยด้วยไม่อยากตอกบัตรสาย วันนั้นที่ถูกเอเมอร์เล่นงานจนเกือบจะเป็นลม ทำให้อาการแพ้ท้องของเธอเหมือนจะหายไปโดยปริยาย ถึงมีก็เพียงเล็กน้อยเพราะเข้าสู่ไตรมาสที่สองแล้ว
หญิงสาวมีความสุขมาก ลูกน้อยในท้องยังเล็กเท่าผลเกรปฟรุตแล้วหากกระนั้นภริตาก็ใส่ใจดูแลตัวเองมากขึ้นกว่าแต่ก่อน โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกินที่คัดเน้นแต่ของมีประโยชน์บำรุงฟันและกระดูกลูกน้อย โดยเฉพาะวันนี้ เธอขนผลไม้และนมกล่องมาแช่ในตู้เย็นในห้องครัวเล็กๆ ที่เอเมอร์ใช้เอาไว้แช่ของสำหรับรับรองแขกจนแน่นตู้
“กินเหมือนเด็กห้าขวบ” คนตัวสูงเปรยหลังเดินมาเพื่อมาเอากาแฟเอง เพราะเลขาไม่อยู่ แต่กลับเห็นเธอโด๊ปนมอยู่จึงแดกดันมาเล็กๆ
“กินเหมือนเด็ก แต่อัดแน่นด้วยประโยชน์มากกว่าของมึนเมานะคะ” เธอเถียง
“ไหน ขอชิมหน่อยดิ สมราคาคุยหรือป่าว” เจ้าของยังไม่ทันอนุญาต นมอัลมอนด์ที่หญิงสาวดูดอยู่ก็ถูกมือหนาแย่งไปครองเฉย
“ในตู้เย็นมีเยอะแยะ ทำไมคุณต้องมาแย่งวาดด้วยคะ”
“ทำไมหวงเหรอ”
“ไม่ได้หวง แต่วาดกินแล้ว”
“อย่าห่วงเรื่องรังเกียจ เพราะขนาดจูบแลกลิ้น เอากันไปต้องหลายรอบ คุณกับผมก็เคยมาแล้ว” คนตอบพูดมากวนๆ ก่อนดูดนมกล่องจนแก้มตอบ
“นี่คุณ...” ดวงตากลมเบิกโพลงอย่างตกใจ ที่เขาพูดออกมาเสียงดัง เธอกลัวจะมีใครมาได้ยิน
“....”
“วาดไม่เถียงกับคุณแล้ว ไปทำงานดีกว่า”
“หึ หนีเก่งจริงนะ”
“จะคิดอย่างนั้นก็ได้ค่ะ เพราะวาดขี้เกียจเถียงกับคนอย่างคุณ”
เมื่อเถียงไม่เคยชนะ เธอก็ไม่อยากจะเสวนาให้มากความส่วนเรื่องที่เธออยากจะปรับความเข้าใจกับเขาคงต้องรอให้มีโอกาสเหมาะสมมากกว่านี้ ดูจากอารมณ์ขึ้นๆลงๆของชายตรงหน้าคงจะไม่เชื่อในสิ่งที่เธอจะบอกเขาในตอนนี้แน่
“สั่งข้าวให้ฉันด้วย” ท่านประธานหนุ่มพูดลอยๆ หวังให้แม่บ้านสาวได้ยิน แต่พอเห็นเธอทำเฉย เขาก็ท้วงขึ้นอีกครั้ง “ผมสั่งไม่ได้ยินเหรอ วาด!”
“ได้ยินค่ะ แต่ฉันไม่รู้ว่าคุณสั่งใคร” คนตัวเล็กที่หน้าท้องเริ่มนูนขึ้นหันมาตอบ
“นี่กวน?”
“เปล่าค่ะ” เธอส่ายหน้าปฏิเสธทันควัน “ไม่ได้กวนค่ะ วาดไม่รู้จริงๆ นึกว่าเลขาของคุณเอเมอร์จัดการให้แล้ว”
“คุณตาลไปติดต่องานข้างนอก” เอเมอร์หมายถึงเลขาสาวของตัวเองที่เขาสั่งให้เจ้าตัวไปติดต่องานข้างนอกแทนเขาเพราะขี้เกียจออกไป และอยากจะจับผิดใครบางคนแถวนี้
“งั้นท่านประธานอยากกินอะไรคะ”
“อะไรก็ได้”
“งั้นเป็นข้าวกระเพราไก่ไข่ดาวร้านเพิงหมาแหงนหน้าบริษัทนะคะ” ภริตาเสนอ แต่ท่านประธานหนุ่มย้อนมาเสียงสูงว่า
“ไม่กิน! ร้านข้างทางสะอาดรึเปล่า กินแล้วท้องเสียทำไง?”
“ก็พาไปโรงบาล”
“นี่เธอวางแผนจะฆ่าฉันอีกแล้วเหรอวาด อย่าลืมคดีเก่าของเธอยังไม่เคลียร์เลยนะ รึว่าอยากงอกคดีใหม่แล้ว ฉันจะได้จัดให้” ประโยคยาวเหยียดดังขึ้นพร้อมๆ กับสีหน้าเอาเรื่องของเอเมอร์ แต่มีเหรอที่ภริตาจะกลัว งอกก็งอกไปสิ ตอนนี้เธอไม่มีอะไรต้องกลัวอยู่แล้ว
“แล้วนั่นจะไปไหน ฉันยังพูดไม่จบ”
ภริตากลอกตาขึ้นเพดาน อยากจะกัดลิ้นตายให้รู้แล้วรู้รอด เธอเป็นแค่แม่บ้าน แต่ทำไมต้องมาปวดหัวกับผู้บริหารที่ดูจะยังไม่โต
“ฉันถาม! ทำไมไม่ตอบ ไม่มีปากเหรอ” คนตัวสูงตามมาคาดคั้น
“มีค่ะ”
“มีแล้วทำไมไม่ตอบ”
“ก็กำลังจะไปสั่งข้าวให้ไงคะ นี่วาดยืนเถียงกับคุณสิบนาทีแล้วนะคะ ไหนว่าหิวไง”
“ก็หิว แต่ไม่เอาข้าวร้านเพิงหมาแหงนอย่างที่เธอบอกนะ สกปรก!”
“คุณเอเมอร์คะ” ภริตาเรียกคนอนามัยจัดเอือมๆ ก่อนเอ่ยเชิงสอน “อาหารถูกๆ ใช่ว่าจะไม่ถูกสุขอนามัยเสมอไปหรอกค่ะ ทุกที่บนโลกใบนี้ล้วนมีแต่เชื้อโรคทั้งนั้น คุณอย่าเหมาว่าร้านเพิงหมาแหงนสกปรก ไม่สะอาดเลยค่ะ อาหารแพงๆ ขึ้นภัตตาคารหรู บทมันจะป่วยก็ป่วยได้ทุกคนหล่ะค่ะ”
“เหนื่อยมั้ย” เห็นคนตัวเล็กอ้าปากพูดเป็นต่อยหอยแล้วอดที่จะย้อนไม่ได้ แต่ภริตาก็พยักหน้ารับ
“เหนื่อยค่ะ”
“เหนื่อยก็หยุดพูด แล้วไปสั่งอาหารให้ฉันได้แล้ว!”
“โอเค วาดจะไม่พูดแล้ว เพราะรู้ว่าพูดไปคนอย่างคุณก็คงไม่ฉลาดขึ้นหรอกค่ะ”
“นี่” สายตาคมตวัดฉับ
ภริตายิ้มประเหลาะรีบถามก่อนเรื่องจะเข้าตัว “ตกลงจะกินไหมคะ”
“กิน”
“ร้านป้าหน้าออฟฟิตนะคะ” เธอย้ำ พอเห็นชายหนุ่มพยักหน้า ภริตาก็จัดการโทรสั่งให้พร้อมกับโก้โก้เย็นหวานร้อยหนึ่งแก้ว
แม้จะรบกันไปหลายยก หากทว่าเมื่อถึงเวลากินข้าวหนุ่มสาวทั้งคู่ก็เหมือนจะพร้อมกับพักรบไปโดยปริยาย ภริตาจัดการเปิดกล่องจัดข้าวใส่ในจานให้เอเมอร์ อีกจานจัดเรียงผลไม้ที่ซื้อมาจากรถเข็นด้านล่างไว้อย่างสวยงาม มีเพียงสิ่งเดียวที่หญิงสาวไม่แบ่งให้คือ โกโก้เย็นหวานร้อยที่เธอหวงวางไว้ใกล้ตัว
“ขอกินด้วย” เอเมอร์เดินมาที่ครัวเห็นภริตากำลังดูดน้ำโกโก้อย่างอร่อยก็ขอบ้าง แต่มือเล็กกลับกอดแก้วโกโก้เย็นไว้แน่น
“ไม่ให้ค่ะ” พูดจบเรียวปากสีสดก็งับหลอดเข้าปาก แต่แทนที่ผู้บริหารหนุ่มจะโกรธที่ถูกคนหวงของหันหลังใส่กลับยิ้มเอ็นดู กระทั่งหญิงสาวลุกขึ้น ความผิดปกติก็ปรากฏ
“เดี๋ยว!” เอเมอร์เรียกหญิงสาวไว้
“อะไรคะ” ดวงตากลมใสกระจ่างเบิกกว้าง รอคอยว่าเขาจะพูดอะไร เพราะเธอกำลังจะทำความสะอาดโต๊ะอาหาร
“ทำไมท้องเธอมัน...”
แค่ชายหนุ่มเอ่ยทัก ภริตาก็พาลมือไม้อ่อน โกโก้แก้วโปรดร่วงลงพื้น สมองก็รีบหาคำตอบให้เขา
“วาดอิ่มค่ะ ท้องเลยป่อง”
เอเมอร์หรี่ตาแคบลง นึกสงสัยว่าท้องของคนเราสามารถขยายใหญ่ได้ขนาดนั้นเชียวเหรอ ทว่าก็ยอมปล่อยผ่านไป แต่เห็นสีหน้าและสายตาหลุกหลิกของหญิงสาวเขาก็จับได้ทันทีว่าเธอโกหก
“ให้เวลาสำนึก”
ภริตาเย็นสันหลังวาบ เมื่อจู่ๆ เอเมอร์ก็พูดขึ้นคล้ายรู้ว่าสิ่งที่เธอพูดคือเรื่องโกหก เธอยึกยักอยู่ชั่วครู่ หันซ้ายแลขวาว่าไม่มีคนอื่น เธอจึงตัดสินใจเผยความจริงในที่สุด
“เออ...วาดท้อง”
“กี่เดือนแล้ว” ท่านประธานหนุ่มถาม แต่ไม่มีทีท่าว่าจะตกใจสักนิด
“สี่เดือนกว่าแล้วค่ะ”ภริตาพ่นลมออกจากปากเฮือกหนึ่งเรียกสติ
“อย่าบอกนะว่าเป็นลูกของฉัน” เมื่อได้ฟังคำตอบ สมองก็ประมวลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด น้ำเสียงทุ้มคาดเดา แต่คนฟังเริ่มคอแข็ง ตาเปล่งแสง
“ถามแบบนี้ คิดว่าวาดเป็นคนใจง่ายเอาไม่เลือกหรือไงคะ“
“ใครจะไปรู้” รอยยิ้มหยันปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลาก่อนพ่นคำเจ็บแสบให้ภริตา “มีอะไรแค่คืนเดียวจะท้องลูกฉันได้ไง ไม่ใช่ท้องกับคนอื่นแล้วมาให้ฉันสวมรอยเป็นพ่อหรอกนะ”
เจ็บ!
ภริตากลั้นลมหายใจระงับความโกรธ แต่แล้วก็เลือกที่ไม่กักเก็บมันไว้
“ถึงเราจะมีอะไรกันแค่คืนเดียว แต่คืนนั่นคุณจับวาดกดครั้งเดียวที่ไหน แถมยังปล่อยในอีกไม่รู้กี่ครั้ง แล้วบอกไว้ก่อน ถ้าคลอดเมื่อไหร่ เด็กคนนี้คือลูกของวาดแต่เพียงผู้เดียว คุณไม่มีสิทธิ์” นิ้วเล็กๆ ชี้ตรงหน้าท้องของตัวเอง แม้จะวูบโหวงในอก แต่เมื่อพูดไปแล้ว เธอไม่ยอมให้น้ำลายที่ถ่มออกไปใส่หน้าเด็ดขาด
“รู้ว่าฉันปล่อยใน ทำไมไม่กินยาหรือเธอตั้งใจจะจับฉัน”
“ฉันวางยาพิษคุณ แล้วคิดว่าฉันจะอยากอุ้มท้องลูกคุณไปทำไม มีสมองก็ใช้บ้างซิ” ภริตาสุดจะทนอีกต่อไปเธอด่าทอเขากลับไปอย่างเจ็บแสบ ทำเอาอีกฝ่ายถึงกับพูดไม่ออก
3เดือนต่อมาภริตากำลังนั่งถักหมวกเพื่อให้เจ้าตัวเล็กได้สวมใส่ในช่วงหน้าหนาว หรือเวลาที่เอเมอร์พาเธอกับลูกไปเที่ยวที่ต่างประเทศในอนาคต ตอนนี้ลูกน้อยของภริตาได้มีอายุครบหกเดือนเต็มแล้ว แถมยังชอบส่งยิ้มให้ป๊ากับมี๊อีกด้วยเอเมอร์เมื่อเห็นลูกเริ่มเล่นได้ก็เห่อซื้อของขวัญชิ้นโตๆ ให้ลูกมาเป็นโขยง ทั้งที่ของทุกชิ้นลูกก็ยังเล่นไม่เป็นเลยด้วยซ้ำ ดูท่าคุณพ่อป้ายแดงคงจะเห่อลูกไปอีกนานปรี๊น!ปรี๊น!เสียงแตรรถบีบเรียกให้ภริตารีบออกไปต้อนรับการกลับมาของสามี ร่างบางวางเครื่องมือการถักผ้าลงก่อนที่จะลุกขึ้นเดินไปหาเอเมอร์ที่บริเวรหน้าประตูใหญ่ร่างสูงสวมชุดสูทราคาแพงขึ้นบันไดตรงเข้ามากอดภรรยาคนสวยพร้อมกับหอมอีกสองฟอดภริตาถึงกับต้องตีที่แขนเอเมอร์เป็นเชิงเอ็ดเพราะกลัวว่าคนใช้ในบ้านจะมาเห็นเข้า“เดี๋ยวคนอื่นก็เห็นหรอกค่ะ”“อายทำไม ผัวเมียกอดหอมกันมันเป็นเรื่องธรรมชาตินะวาด”“คุณก็!”“เรารีบเข้าบ้านเถอะ ฉันคิดถึงเธอกับลูกจะแย่แล้วรู้มั้ย”ร่างสูงโอบไหล่ภรรยาสาวและพ
หลังจากที่ผู้หลักผู้ใหญ่ตกลงกันเสร็จสิ้นนัยนาก็รับหน้าที่ไปจัดการเรื่องการ์ดเชิญแขกที่จะมาร่วมงาน ส่วนภาพวาดและเอเมอร์จึงมานั่งคุยกันถึงเรื่องวันงาน“วาดขอจัดงานไม่ต้องใหญ่โตมากนะคะ เราเชิญเฉพาะแค่แขกที่สนิทจริงๆ ก็พอค่ะ”เสียงใสพูดกับสามีด้วยรอยยิ้มบางๆ แต่เอเมอร์กลับเลิกคิ้วเข้มขึ้นอย่างตั้งคำถาม ฐานะของเขาก็ออกจะใหญ่โตขนาดนี้ทำไมภรรยาถึงอยากให้จัดงานแค่เพียงงานเล็กๆ“ทำไมล่ะ เธอไม่อยากจัดงานใหญ่ๆ ให้ตัวเองมีหน้ามีตาในสังคมงั้นเหรอ”“ไม่หรอกค่ะ วาดอยากจัดแบบอบอุ่นมีแค่คนกันเอง วาดว่ามันดูเรียบง่ายและไม่วุ่นวายดีค่ะ”“งั้นเหรอ”“ค่ะ แล้วอีกอย่างลูกเราก็ยังอายุไม่ถึงหนึ่งขวบเลย ไว้ให้ลูกครบหนึ่งขวบเมื่อไหร่วาดอยากจะจัดงานอีกรอบ และอยากให้เราสองคนพาลูกเข้าประตูวิวาห์ด้วยค่ะ เพื่อเป็นพยานรักให้กับเราสองคน คุณว่าไงคะ?”ภาพวาดร่ายยาวถึงความตั้งใจของเธอที่อยากมีลูกมาร่วมพิธีด้วย ทำให้เอเมอร์มองหน้าสวยพร้อมกับยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู“รู้ตัวมั้ยว่าเธอน่ารักมาก”มือห
“ทำไมต้องเป็นคุณด้วยนา”เสียงทุ้มเอ่ยถามอดีตคนรักเก่าอย่างที่ไม่อยากจะเชื่อสายตาว่าสามีของภาพวาดจะเป็นลูกชายของเธอจริงๆ“ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะคะว่าหนูวาดเป็นลูกสาวของคุณ” นัยนาตอบชายหนุ่มไปด้วยความสัตย์จริง เธอเองก็ไม่เคยคิดว่าโลกมันจะกลมขนาดนี้“ผม…”เกริกถึงกับพูดอะไรไม่ออก หลายปีมานี้เขาไม่เคยลืมเธอได้เลย แต่โชคชะตากลับเล่นตลกทำให้สองคนวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ทุกอย่างมันสายเกินไปเสียแล้ว เพราะเขาทั้งคู่ต่างคนก็ต่างเริ่มต้นใหม่เรื่องทั้งหมดเป็นเพียงแค่เรื่องในอดีตเท่านั้น!“ฉันดีใจนะคะที่คุณเลี้ยงลูกสาวเติบโตมาได้เป็นอย่างดีเลย หนูวาดน่ารักมากๆ ส่วนเรื่องของเรามันจบไปนานแล้ว”นัยนาส่งยิ้มจริงใจให้เกริกในขณะที่ลูกๆ กำลังพากันงงกับเหตุการณ์เบื้องหน้า แต่ทั้งภาพวาดและเอเมอร์ต่างก็หันมาสบตากันโดยที่ไม่มีใครพูดอะไร เพราะไม่อยากขัดบทสนทนาของผู้ใหญ่ทั้งสอง เขาทั้งสองฟังอยู่เงียบๆ และปะติดปะต่อเรื่องราวเอาเอง“ลูกชายคุณก็หล่อ…น่าจะได้พ่อมาเยอะนะ”เก
หนึ่งเดือนผ่านมาบิดาของภริตาก็ลงมาเยี่ยมหลาน ภริตาดีใจมากที่ได้เจอหน้าพ่อเป็นครั้งแรกในรอบปี ตอนแรกเธอคิดว่าจัดงานเลี้ยงเล็กๆ แต่เอเมอร์กลับเห็นว่าไหนๆ พ่อตาก็ลงมาเจอหน้าหลานทั้งที จึงคิดใช้โอกาสนี้ให้สองครอบครัวมาทำความรู้จักกัน เพราะส่วนหนึ่งเขาก็อยากคุยเรื่องแต่งงานด้วยและแล้วงานเซอร์ไพรส์ก็เกิดขึ้นในเย็นวันหนึ่ง จากที่จะเลี้ยงกันเล็กๆ ภายในครอบครัวก็กลายเป็นงานเลี้ยงแบบมีพิธีการย่อมๆ“คุณ” ภริตาสะกิดเรียกสามี เมื่อเห็นอาการของสองพ่อที่มาเจอกันในงาน“หือ”“คุณว่าเขาจะคุยกันยังไงคะ” ภริตาพูดแล้วพลางขยิบตามองบุรุษร่างสูงใหญ่ที่นั่งร่วมโต๊ะ หากทว่าต่างคนต่างนิ่งเงียบ“ภาษาใบ้ไง” เอเมอร์ตอบกลับ“คุณก็”“ไปเถอะ ปล่อยให้พ่อพ่อเขาคุยกันเถอะ เจ้าอินดี้หิวแล้วล่ะ” เอเมอร์ชวนก่อนจะเดินนำเธอไปหาลูกน้อย ปล่อยให้ชายวัยใกล้หกสิบทั้งสองคนที่เหมือนจะสื่อสารกันไม่รู้เรื่องจ้องหน้ากันเงียบๆคนหนึ่งเป็นคนไทยแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่อีกคนเป็นคนต่างชาติที่แม้จะมาอยู่ปร
กลางดึกของวันที่อากาสเย็นเยียบ ภริตาตื่นมาก็สัมผัสกับความเปียกชื้นตรงกลางหว่างขา เธอรีบปลุกร่างใหญ่ที่นอนอยู่ข้างๆ กัน“ที่รัก”“…”เงียบไร้เสียงตอบรับ ภริตาจึงเอื้อมมือมาเขย่าแขนกำยำพร้อมกับปลุกเรียกอีกครั้ง“ที่รักตื่นสิ ฉันปวดท้อง”“หืม?”คำว่าปวดท้องทำให้อดีตมาเฟียหนุ่มกระพือตาเปิด ขยี้เปลือกตาไปมาสักพักเพื่อปรับแสง ก่อนลุกนั่งแล้ววิ่งวุ่นจัดการทุกอย่างให้พร้อมสรรพภริตาเริ่มหน้ายับย่น ความปวดเริ่มกระจายวงกว้าง“ที่รัก...ฉันเจ็บท้อง” เธอร้องบอกสามี“ทนหน่อยนะ เดี๋ยวก็ได้เห็นหน้าลูกแล้ว”ใบหน้าสวยพยักหน้ารับ ฝืนใจข่มความเจ็บก่อนส่งมือให้ช่วยพยุงพากันลงด้านล่างของเพ้นท์เฮ้าส์ เพราะเป็นเวลาดึกถนนโล่ง เพียงไม่ถึงยี่สิบนาที เอเมอร์ก็พาภริตามาถึงโรงพยาบาล และทันทีที่มาถึงร่างของว่าที่คุณแม่ก็ถูกเข็นเข้าไปด้านในเอเมอร์เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดปลอดโรคตามคุณหมอผู้เป็นเจ้าของไข้ กระทั่งผ่านไปไม่ถึงสิบนาทีเวลาแห่งการรอคอยก็มาถึง&l
หลังผ่านความวุ่นวายทุกอย่าง เอเมอร์ตัดสินใจพาภริตามารู้จักครอบครัว ด้วยเขาคิดอยากจะสร้างอนาคตร่วมกันและวางแผนสำหรับชีวิตที่กำลังจะมีไอ้ต้าวก้อนออกมาดูโลกในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าภายในรถคันหรู เอเมอร์มีท่าทีสบายๆ แต่ภริตากลับมีสีหน้าเคร่งเครียดจนชายหนุ่มต้องเอ่ยถามขึ้น“เป็นอะไร นั่งนิ่งเชียว”“กลัวค่ะ”“กลัวอะไร”“กลัวคุณแม่คุณ” น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาติดกังวล แต่คนฟังอย่างเอเมอร์ปล่อยขำออกมาเสียงดัง“ฮ่า ฮ่า ฮ่า กลัวอะไร แม่ฉันไม่ได้มีเขี้ยวงอกออกมาซะหน่อย” มาเฟียหนุ่มเอ่ยขำๆ แต่ภริตาเริ่มเขม่นตามาแบบขวางๆ“คุณก็หัวเราะได้ซิ ไม่รู้หรือไงว่าศึกระหว่างแม่ผัวลูกสะใภ้ทำผัวเมียพังมานักต่อนักแล้ว วาดไม่ไปได้มั้ย ขอลงตรงนี้เลย” พูดจบมือเล็กก็เตรียมพร้อมปลดล็อกประตูรถ“ขี้ขลาด!”หญิงสาวที่กำลังจะหนีสะดุ้ง“เรื่องอะไรมาด่าวาดด้วยเล่า”“ไม่ให้ด่าได้ไง เรื่องมันยังไม่ทันเกิด แต่เธอก็กลัวจนหัวหดเสียแล้ว ไม่สมกับเป็นเมียฉ







