LOGINวันต่อมา ภริตามาถึงบริษัทในเวลาแปดโมง เธอเดินไปที่ล็อกเกอร์เก็บกระเป๋า เปลี่ยนชุดเสร็จสรรพก็พร้อมเริ่มทำงาน
“เอ…ทำไมวันนี้พนักงานเยอะจังนะ” หญิงสาวแปลกใจเล็กน้อยที่วันนี้บริษัทมีคนเดินไปมาพลุกพล่าน แต่เพราะหน้าที่ของแม่บ้านมีเพียงแค่ทำความสะอาดเท่านั้น จึงไม่ได้สนใจว่าตอนนี้เหล่าพนักงานกำลังวุ่นวายสิ่งใดอยู่
“วาด” พิมพาเห็นว่าภริตาเพิ่งมาจึงเอ่ยเรียกขึ้น
คนถูกเรียกหันไปมองตามเสียง เห็นเพื่อนยืนพิงพนังอยู่จึงทำหน้าฉงนแกมแปลกใจเล็กน้อย
“อ้าวพิม ไมมาอยู่นี่อ่ะ วาดนึกว่าขึ้นไปข้างบนแล้วซะอีก” เธอทัก
“เรารอวาดอยู่น่ะ”
“อ่อ…ไปสิ วาดเปลี่ยนเสื้อเสร็จพอดี ไปกันเถอะเดี๋ยวไม่ทันตอกบัตร” ภริตาชวนพร้อมกับดันประตูล็อกเกอร์ ก่อนจะชวนกันเดินมาตอกบัตร แต่พอคว้าอุปกรณ์ทำมาหากินเท่านั้น หัวหน้าแผนกทำความสะอาดก็โพล่งขึ้น
“วันนี้ ทุกคนต้องขึ้นไปจัดโต๊ะที่ห้องประชุมใหญ่นะ เพราะจะมีแขกสำคัญมาที่นี่”
“ห๊ะ! อะไรนะ” เสียงนั้นไม่ได้ดังมาจากปากของพิมพาหากแต่เป็นเสียงของภริตาที่ไม่เพียงขมวดคิ้วสงสัย ทว่ามือเล็กๆ ของเธอดันไปกุมมือของเพื่อนอัตโนมัติ
ทุกคนหันไปที่เธอเป็นตาเดียวไม่เว้นแต่หัวหน้าฝ่าย
“มีอะไรหรือเปล่า ภาพวาด” เสียงของหน้าฝ่ายวัยกลางคนถามขึ้น ภริตาเริ่มคืนสติ ยิมแหยรีบส่ายหน้าปฏิเสธ
“เปล่าค่ะหัวหน้า พอดีสายผ้ากันเปื้อนหลุดค่ะเลยตกใจ” เธอแก้ตัว
“รีบจัดการให้เรียบร้อย อีกสักพักเหล่าผู้บริหารและแขกสำคัญก็คงน่าจะมากันแล้ว”
“ค่ะ หัวหน้า” ถึงจะรับปากออกไป แต่ภริตาเริ่มรู้สึกร้อนรนแปลกๆ ครั้นแปะป่ายมือควานหาหน้ากากอนามัยในกระเป๋าผ้ากันเปื้อนกลับพบเพียงความว่างเปล่า
“มีอะไรป่าววาด” พิมพาเห็นท่าทีหลุกหลิกของเพื่อนจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย ทว่าภริตาไม่ตอบแต่ย้อนถามถึงสิ่งที่ตนอยากได้แทน
“พิมมีแมสติดมาสักอันมั้ย”
“ไม่มีอ่ะ” อีกฝ่ายส่ายหน้า
“คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง ช่วงนี้โควิดก็ไม่มีล่ะ ไม่ต้องใช้ก็ได้ เรารีบไปเถอะ เดี๋ยวโดนหัวหน้าดุ” พิมพาตอบ ก่อนจะดึงมือของภริตาไปรวมตัวกับคนอื่นๆ
เป็นครั้งแรกที่ภริตายอมรับว่าเธอทำงานด้วยใจพะวักพะวง ไม่มีสมาธิ สายตาเอาแต่สอดส่ายหาใครบางคนอยู่ตลอดเวลา
เพี้ยง!!!
อย่าให้เจอเล้ยย
แม้จะรู้แน่แก่ใจแล้วว่า ที่นี่คือถิ่นเขา ทว่าภริตาก็ไม่พร้อมที่เผชิญหน้าแบบจะๆเสียที ต่อให้เมื่อวานได้เจอกันแล้ว แต่ก็เป็นการเจอที่เอเมอร์ไม่รู้ว่าเธอคือใคร หรือบางทีเขาอาจจะลืมเธอไปแล้วก็ได้ อย่างน้อยก็ขอเธอทำใจที่จะสารภาพผิดกับเหตุการณ์ที่เธอเคยทำกับเขาไว้
เมื่อเวลาบีบบังคับเข้ามาก็เป็นการยากที่ภริตาจะหลบอยู่หลังบาร์เครื่องดื่มได้อีกต่อไป เพราะหน้าที่ของเธอคือการจัดโต๊ะประชุมให้สวยงาม สะอาด และเป็นระเบียบให้เสร็จก่อนเที่ยง
“ขึงให้แน่นเลยนะพิม” ภริตาบอกเพื่อน ขณะที่ตัวเองกำปลายผ้าไว้จนข้อนิ้วเล็กๆ ปรากฎรอยแดง
เธอไม่อยากแก้งาน จึงตั้งใจทำให้ดีที่สุด เพื่อจะได้ไม่เสียเวลา โชคดีมากที่เพื่อนร่วมงานเป็นพิมพาที่มีปณิธานเดียวกัน คือ ทำให้ดี ทำให้ไว จะได้พักก่อนเที่ยง
“ฮึบ”
หลังสิ้นเสียง ‘ฮึบ’ ผ้าสีขาวสะอาดที่มีกลิ่นหอมของดอกมะลิจางๆ ถูกเธอและพิมพาขึงจนตึงก่อนจะถูกปูไว้บนโต๊ะ ตามมาด้วยแจกันดอกไม้สดประจำจุดที่กะระยะให้พอดีกับขนาดความยาวของโต๊ะ
เมื่อความเพลิดเพลินเข้ามา ภริตาก็ผ่อนคลายจนลืมความกังวล จนกระทั่งใกล้เที่ยง หญิงสาวก็รู้สึกถึงรังสีความร้อนบางอย่างที่แผ่มาจากด้านหลังหากพยายามไม่หันหลังไปมองจวบจนเสียงที่เต็มไปด้วยอำนาจเอ่ยขึ้น
“เบี้ยว”
แค่คำสั้นๆ แต่กลับมีอิทธิพลมากพอที่จะทำให้ใครบางคนหันขวับกลับไปยังต้นเสียง
ภริตาหน้าซีดเผือด ตกใจ เผลอขยุ้มผ้าในมือแน่นจนเพื่อนร้องท้วง
“วาด ยับหมดแล้วนะ กำซะแน่นเลย วาด!”
“หา! โทดที” หญิงสาวพึมพำก่อนคลายมือออกจากผ้า
ภริตาทำงานแบบสั่นๆ เหมือนคนเป็นไข้ ขณะที่ผู้บริหารหนุ่มลูกครึ่งหรี่ตามองคนที่เขาเกือบจะลืมหน้าไปแล้ว คนที่เคยทำให้เขาเกือบตายในคืนนั้น โชคดีที่ลูกน้องคนสนิทพาเขาไปส่งโรงพยาบาลทันเวลาไม่อย่างนั้นเขาคงต้องจากโลกนี้ไปแล้ว
เอเมอร์จ้องมองแม่บ้านสาวด้วยท่าทีที่นิ่งสงบ เขาไม่อยากทำให้ลูกกวางน้อยตื่นตระหนกหรอก แต่ที่แน่ๆ
เธอกล้ามากที่มาเหยียบจมูกเขาถึงถิ่น!
เอเมอร์แสยะยิ้ม ยิ่งเห็นท่าทางคนตัวเล็กตัวสั่นงันงก เขาก็ยิ่งชอบใจยืนกดดันอยู่ข้างๆ ไม่ไปไหน
“เสร็จแล้ว เราไปทำโต๊ะโน้นต่อนะพิมจะได้ไปพัก” ภริตาเอ่ยชวนเพื่อน ซึ่งฝ่ายนั้นก็พยักหน้าหงึกหงัก แต่ทั้งคู่กลับต้องสะดุ้งโหยงเมื่อน้ำเสียงเยียบเย็นสั่งการขึ้น
“รื้อใหม่”
ภริตากับพิมพาหันไปมองคนออกคำสั่งสลับกับมองผ้าปูโต๊ะที่หากเพ่งดูดีๆ ออกจะตึงกว่าโต๊ะตัวอื่นด้วยซ้ำ แต่ก็นั้นละ ที่นี่เขาใหญ่กว่าใครนี่ สุดท้ายจึงจำใจรับคำไปสั้นๆ ว่า ‘ค่ะ’
สองเพื่อนสาวคู่หูดึงผ้าปูโต๊ะตัวเก่าออกก่อนเปลี่ยนเป็นผืนใหม่แทน บรรจงปูอย่างประณีตเบามือให้มีรอยยับน้อยที่สุดจนเรียบตึงแน่นเปรี๊ยะ
“เรียบร้อยแล้วค่ะ” เธอหันไปรายงานด้วยอารมณ์ขุ่นมัว จนลืมไปว่าตัวเองมีความผิดติดตัว ถึงอย่างนั้นอีกฝ่ายกลับย้อนมาทันที
“ตรงไหน?”
คำตอบกวนๆ ที่ดังขึ้นจากริมฝีปากบางทำให้ภริตากำมือแน่น เธอกับพิมพาบรรจงปูอย่างสุดฝีมือ แต่ดูพ่อคุณตอบมาสิ
มันน่าฟาดด้วยรองตรีนเบอร์ 38นัก!
“ปูใหม่”
“ค่ะ”
ภริตารับคำสั่งที่ไร้เหตุผลนั่นอีกครั้ง ขณะที่พิมพาเริ่มหน้าซีด
สองสาวเริ่มปูผ้าผืนใหม่เป็นครั้งที่สามอย่างอดทน ทำทุกอย่างเหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยน แต่ก็กลับได้คำตอบเดิมอีกครั้ง
“ปูใหม่ มันเอียง” คนมีอำนาจบอกหน้าตาย แต่ขีดความอดทนของภริตาได้ขาดสบั่นลงจึงจิกกัดไปเล็กๆ
“ท่านประธานต้องไปตรวจสายตาบ้างนะคะ”
ได้ผล คนที่ถูกเธอต่อว่าเป็นคนสายตาเอียงนิดๆ ทำเอาคนที่กำลังเอาคืนเขม่นมองมา
“นี่หาว่าผมสายตาเอียง?”
“ไม่ได้เอียงค่ะ” เธอตอบกลับยิ้มๆ ก่อนเชือดเฉือนทิ้งท้าย “แต่น่าจะตาบอด ถึงมองเห็นความจริงเพี้ยนไป”
เอเมอร์กัดฟันกรอด ตวัดสายตามองถึงพนักงานอีกคนที่ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวด้วย แต่ดันโชคร้ายที่มาคบยัยนี่
“เธอไปได้แล้ว” เขาบอกพนักงานอีกคนที่ตอนนี้ก้มหน้างุดจนแทบจะถึงพื้น
“ค่ะๆ” พิมพารับคำสั่นๆ หากก็ไม่ลืมไปบอกเพื่อน “วาดฉันไปก่อนนะ”
“อื้ม”
ภริตาพยักหน้ารับ รู้ดีว่าต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดที่ท่านประธานหนุ่มกำลังฟาดงวงฟาดงาอยู่ตอนนี้ มาจากตนจึงไม่อยากให้พิมโดนหางเลขไปด้วย การที่เขาเล่นงานเธอแบบนี้ เขาจำเธอได้อย่างแน่นอน
“ทำสิ รออะไรล่ะ หรือจะรอให้เรียกตำรวจ” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยขึ้นหลังลับร่างของพิมพา ภริตาหันไปมองหน้าคนพูดอย่างตกใจก่อนเดินออกห่างจากเขาแล้วทำหน้าที่ของตนเองต่อ แม้ในใจจะหวาดกลัวว่าเขาจะทำอย่างที่พูดจริง
เอเมอร์ยืนคุมเชิงหญิงสาวอยู่ใกล้ๆ ทั้งที่ในใจอยากจะกระชากร่างเพรียวเข้าไปชำระความในห้องสองต่อสอง บอกตรงๆ ว่าเซ็กส์ของเธอคืนนั้นทำเขาจำได้ไม่รู้ลืม…แถมเธอยังกล้าวางยาพิษกับเขาอีก แค้นนี้เขาต้องชำระอย่างสาสม
“เบี้ยว ทำใหม่” เสียงทุ้มดุเอ่ยตามหลัง
“ตรงไหนค่ะที่เบี้ยว” ภริตาถามกลับ บอกตรงๆ ตอนนี้เธอไม่รู้ว่าจะต้องแก้จากตรงไหน เพราะเธอรื้อผ้าปูโต๊ะมาจนมือแดงไปหมดแล้ว แต่ก็ยังไม่ตรงใจคนเจ้าอารมณ์อยู่ดี
“คิดจะแข็งข้อกับฉันเหรอ คิดดีๆ นะสาวน้อย”
“เฮ้อ...”
เมื่อโดนเขาขู่ ภริตาก็ท่องเลขหนึ่งถึงสิบด้วยความอดทนจัดการปูผ้าคลุมโต๊ะอีกครั้ง โดยที่มีท่านประธานหนุ่มยืนจ้องจับผิดไม่ไปไหน แต่จนแล้วจนรอด ก็หาได้ถูกใจเขา
“แจกันไม่สวย ไปเปลี่ยนมาใหม่ไป!”
ภริตาตวัดสายตาเขม่นไปยังคนตัวสูง ท่องคำว่า ‘อดทนๆ’ ก้าวเท้าไปหยิบแจกันใบใหม่พร้อมกับดอกไม้สดอีกจำนวนหนึ่ง เหลียวมองหาเพื่อนก็เห็นพิมพาหลีกหนีไปไกลหลายโยชน์
“อย่าคิดจะหาพวกเลย เพื่อนเธอเขาฉลาด ไม่อยู่รอความซวยจากเธอหรอก” เสียงของผู้มีอำนาจลอยมา ภริตาทำเฉยเหมือนทองไม่รู้ร้อนรีบทำหน้าที่ของตัวเองให้เสร็จๆ
3เดือนต่อมาภริตากำลังนั่งถักหมวกเพื่อให้เจ้าตัวเล็กได้สวมใส่ในช่วงหน้าหนาว หรือเวลาที่เอเมอร์พาเธอกับลูกไปเที่ยวที่ต่างประเทศในอนาคต ตอนนี้ลูกน้อยของภริตาได้มีอายุครบหกเดือนเต็มแล้ว แถมยังชอบส่งยิ้มให้ป๊ากับมี๊อีกด้วยเอเมอร์เมื่อเห็นลูกเริ่มเล่นได้ก็เห่อซื้อของขวัญชิ้นโตๆ ให้ลูกมาเป็นโขยง ทั้งที่ของทุกชิ้นลูกก็ยังเล่นไม่เป็นเลยด้วยซ้ำ ดูท่าคุณพ่อป้ายแดงคงจะเห่อลูกไปอีกนานปรี๊น!ปรี๊น!เสียงแตรรถบีบเรียกให้ภริตารีบออกไปต้อนรับการกลับมาของสามี ร่างบางวางเครื่องมือการถักผ้าลงก่อนที่จะลุกขึ้นเดินไปหาเอเมอร์ที่บริเวรหน้าประตูใหญ่ร่างสูงสวมชุดสูทราคาแพงขึ้นบันไดตรงเข้ามากอดภรรยาคนสวยพร้อมกับหอมอีกสองฟอดภริตาถึงกับต้องตีที่แขนเอเมอร์เป็นเชิงเอ็ดเพราะกลัวว่าคนใช้ในบ้านจะมาเห็นเข้า“เดี๋ยวคนอื่นก็เห็นหรอกค่ะ”“อายทำไม ผัวเมียกอดหอมกันมันเป็นเรื่องธรรมชาตินะวาด”“คุณก็!”“เรารีบเข้าบ้านเถอะ ฉันคิดถึงเธอกับลูกจะแย่แล้วรู้มั้ย”ร่างสูงโอบไหล่ภรรยาสาวและพ
หลังจากที่ผู้หลักผู้ใหญ่ตกลงกันเสร็จสิ้นนัยนาก็รับหน้าที่ไปจัดการเรื่องการ์ดเชิญแขกที่จะมาร่วมงาน ส่วนภาพวาดและเอเมอร์จึงมานั่งคุยกันถึงเรื่องวันงาน“วาดขอจัดงานไม่ต้องใหญ่โตมากนะคะ เราเชิญเฉพาะแค่แขกที่สนิทจริงๆ ก็พอค่ะ”เสียงใสพูดกับสามีด้วยรอยยิ้มบางๆ แต่เอเมอร์กลับเลิกคิ้วเข้มขึ้นอย่างตั้งคำถาม ฐานะของเขาก็ออกจะใหญ่โตขนาดนี้ทำไมภรรยาถึงอยากให้จัดงานแค่เพียงงานเล็กๆ“ทำไมล่ะ เธอไม่อยากจัดงานใหญ่ๆ ให้ตัวเองมีหน้ามีตาในสังคมงั้นเหรอ”“ไม่หรอกค่ะ วาดอยากจัดแบบอบอุ่นมีแค่คนกันเอง วาดว่ามันดูเรียบง่ายและไม่วุ่นวายดีค่ะ”“งั้นเหรอ”“ค่ะ แล้วอีกอย่างลูกเราก็ยังอายุไม่ถึงหนึ่งขวบเลย ไว้ให้ลูกครบหนึ่งขวบเมื่อไหร่วาดอยากจะจัดงานอีกรอบ และอยากให้เราสองคนพาลูกเข้าประตูวิวาห์ด้วยค่ะ เพื่อเป็นพยานรักให้กับเราสองคน คุณว่าไงคะ?”ภาพวาดร่ายยาวถึงความตั้งใจของเธอที่อยากมีลูกมาร่วมพิธีด้วย ทำให้เอเมอร์มองหน้าสวยพร้อมกับยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู“รู้ตัวมั้ยว่าเธอน่ารักมาก”มือห
“ทำไมต้องเป็นคุณด้วยนา”เสียงทุ้มเอ่ยถามอดีตคนรักเก่าอย่างที่ไม่อยากจะเชื่อสายตาว่าสามีของภาพวาดจะเป็นลูกชายของเธอจริงๆ“ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะคะว่าหนูวาดเป็นลูกสาวของคุณ” นัยนาตอบชายหนุ่มไปด้วยความสัตย์จริง เธอเองก็ไม่เคยคิดว่าโลกมันจะกลมขนาดนี้“ผม…”เกริกถึงกับพูดอะไรไม่ออก หลายปีมานี้เขาไม่เคยลืมเธอได้เลย แต่โชคชะตากลับเล่นตลกทำให้สองคนวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ทุกอย่างมันสายเกินไปเสียแล้ว เพราะเขาทั้งคู่ต่างคนก็ต่างเริ่มต้นใหม่เรื่องทั้งหมดเป็นเพียงแค่เรื่องในอดีตเท่านั้น!“ฉันดีใจนะคะที่คุณเลี้ยงลูกสาวเติบโตมาได้เป็นอย่างดีเลย หนูวาดน่ารักมากๆ ส่วนเรื่องของเรามันจบไปนานแล้ว”นัยนาส่งยิ้มจริงใจให้เกริกในขณะที่ลูกๆ กำลังพากันงงกับเหตุการณ์เบื้องหน้า แต่ทั้งภาพวาดและเอเมอร์ต่างก็หันมาสบตากันโดยที่ไม่มีใครพูดอะไร เพราะไม่อยากขัดบทสนทนาของผู้ใหญ่ทั้งสอง เขาทั้งสองฟังอยู่เงียบๆ และปะติดปะต่อเรื่องราวเอาเอง“ลูกชายคุณก็หล่อ…น่าจะได้พ่อมาเยอะนะ”เก
หนึ่งเดือนผ่านมาบิดาของภริตาก็ลงมาเยี่ยมหลาน ภริตาดีใจมากที่ได้เจอหน้าพ่อเป็นครั้งแรกในรอบปี ตอนแรกเธอคิดว่าจัดงานเลี้ยงเล็กๆ แต่เอเมอร์กลับเห็นว่าไหนๆ พ่อตาก็ลงมาเจอหน้าหลานทั้งที จึงคิดใช้โอกาสนี้ให้สองครอบครัวมาทำความรู้จักกัน เพราะส่วนหนึ่งเขาก็อยากคุยเรื่องแต่งงานด้วยและแล้วงานเซอร์ไพรส์ก็เกิดขึ้นในเย็นวันหนึ่ง จากที่จะเลี้ยงกันเล็กๆ ภายในครอบครัวก็กลายเป็นงานเลี้ยงแบบมีพิธีการย่อมๆ“คุณ” ภริตาสะกิดเรียกสามี เมื่อเห็นอาการของสองพ่อที่มาเจอกันในงาน“หือ”“คุณว่าเขาจะคุยกันยังไงคะ” ภริตาพูดแล้วพลางขยิบตามองบุรุษร่างสูงใหญ่ที่นั่งร่วมโต๊ะ หากทว่าต่างคนต่างนิ่งเงียบ“ภาษาใบ้ไง” เอเมอร์ตอบกลับ“คุณก็”“ไปเถอะ ปล่อยให้พ่อพ่อเขาคุยกันเถอะ เจ้าอินดี้หิวแล้วล่ะ” เอเมอร์ชวนก่อนจะเดินนำเธอไปหาลูกน้อย ปล่อยให้ชายวัยใกล้หกสิบทั้งสองคนที่เหมือนจะสื่อสารกันไม่รู้เรื่องจ้องหน้ากันเงียบๆคนหนึ่งเป็นคนไทยแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่อีกคนเป็นคนต่างชาติที่แม้จะมาอยู่ปร
กลางดึกของวันที่อากาสเย็นเยียบ ภริตาตื่นมาก็สัมผัสกับความเปียกชื้นตรงกลางหว่างขา เธอรีบปลุกร่างใหญ่ที่นอนอยู่ข้างๆ กัน“ที่รัก”“…”เงียบไร้เสียงตอบรับ ภริตาจึงเอื้อมมือมาเขย่าแขนกำยำพร้อมกับปลุกเรียกอีกครั้ง“ที่รักตื่นสิ ฉันปวดท้อง”“หืม?”คำว่าปวดท้องทำให้อดีตมาเฟียหนุ่มกระพือตาเปิด ขยี้เปลือกตาไปมาสักพักเพื่อปรับแสง ก่อนลุกนั่งแล้ววิ่งวุ่นจัดการทุกอย่างให้พร้อมสรรพภริตาเริ่มหน้ายับย่น ความปวดเริ่มกระจายวงกว้าง“ที่รัก...ฉันเจ็บท้อง” เธอร้องบอกสามี“ทนหน่อยนะ เดี๋ยวก็ได้เห็นหน้าลูกแล้ว”ใบหน้าสวยพยักหน้ารับ ฝืนใจข่มความเจ็บก่อนส่งมือให้ช่วยพยุงพากันลงด้านล่างของเพ้นท์เฮ้าส์ เพราะเป็นเวลาดึกถนนโล่ง เพียงไม่ถึงยี่สิบนาที เอเมอร์ก็พาภริตามาถึงโรงพยาบาล และทันทีที่มาถึงร่างของว่าที่คุณแม่ก็ถูกเข็นเข้าไปด้านในเอเมอร์เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดปลอดโรคตามคุณหมอผู้เป็นเจ้าของไข้ กระทั่งผ่านไปไม่ถึงสิบนาทีเวลาแห่งการรอคอยก็มาถึง&l
หลังผ่านความวุ่นวายทุกอย่าง เอเมอร์ตัดสินใจพาภริตามารู้จักครอบครัว ด้วยเขาคิดอยากจะสร้างอนาคตร่วมกันและวางแผนสำหรับชีวิตที่กำลังจะมีไอ้ต้าวก้อนออกมาดูโลกในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าภายในรถคันหรู เอเมอร์มีท่าทีสบายๆ แต่ภริตากลับมีสีหน้าเคร่งเครียดจนชายหนุ่มต้องเอ่ยถามขึ้น“เป็นอะไร นั่งนิ่งเชียว”“กลัวค่ะ”“กลัวอะไร”“กลัวคุณแม่คุณ” น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาติดกังวล แต่คนฟังอย่างเอเมอร์ปล่อยขำออกมาเสียงดัง“ฮ่า ฮ่า ฮ่า กลัวอะไร แม่ฉันไม่ได้มีเขี้ยวงอกออกมาซะหน่อย” มาเฟียหนุ่มเอ่ยขำๆ แต่ภริตาเริ่มเขม่นตามาแบบขวางๆ“คุณก็หัวเราะได้ซิ ไม่รู้หรือไงว่าศึกระหว่างแม่ผัวลูกสะใภ้ทำผัวเมียพังมานักต่อนักแล้ว วาดไม่ไปได้มั้ย ขอลงตรงนี้เลย” พูดจบมือเล็กก็เตรียมพร้อมปลดล็อกประตูรถ“ขี้ขลาด!”หญิงสาวที่กำลังจะหนีสะดุ้ง“เรื่องอะไรมาด่าวาดด้วยเล่า”“ไม่ให้ด่าได้ไง เรื่องมันยังไม่ทันเกิด แต่เธอก็กลัวจนหัวหดเสียแล้ว ไม่สมกับเป็นเมียฉ







![DarkZ [II] TRILOGY](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)