ระหว่างทางลงเขาจนถึงบ้านนั้น มีชาวบ้านทักตลอดทาง ต่อให้บุรุษบ้านหวังพยายามทำตัวปกติแค่ไหนก็มีคนสงสัยอยู่ดี โดยเฉพาะ นางไฉ่หง เพื่อนสาวของนางจากชุนสะใภ้รองบ้านหวัง
"โอโยว เจียวจิ้นพวกเจ้ากับบุตรชายแบกอะไรลงมากันมากมายเพียงนี้" มู่หลินปรายตามองนางไฉ่หง ที่เป็นสาวอวบเกือบจะอ้วนแล้ว โบกแป้งหนาจนคิดว่าใช้แป้งสาลีทาหน้า ปากที่แดงจนแทบจะเรียกได้ว่าแดงจนเหมือนคนกินเลือดมา ทำไมแต่งแบบนี้ถึงกล้าออกจากบ้านกันนะ
"ข้าได้ผักป่ากับปลามานิดหน่อย" บิดาแสนซื่อของข้านั้นตอบกลับอย่างว่าง่ายทันที
นางไฉ่หงที่ถือวิสาสะเดินมารื้อตะกร้า ไวกว่านางไฉ่หงก็มู่หลินนี่แหละ นางดีดก้อนหินไปที่ข้อเท้านางไฉ่หง ทำให้นางไฉ่หงสะดุดล้มหน้าทิ่มดิน แถมดินยังเข้าปากเพราะมั่วแต่พูดมากไม่ทันได้หุบปากตอนล้มลง ปากที่แดงอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งแดงเข้าไปอีกเพราะเป็นเลือดที่ไหลออกมาจากฟันที่หักไปซี่หนึ่ง
"กรี๊ดดดด พวกเจ้าพลักข้าใช่หรือไม่" ดีที่บุรุษบ้านหวังทั้งสามยืนห่างนางไฉ่หงตั้งห้าก้าว แล้วชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ก็ช่วยพูดให้ด้วย เพราะเป็นนางไฉ่หงที่ล้มลงไปเอง
"นี่ ไฉ่หง เจ้าล้มเองแล้วจะโทษเจียวจิ้นกับบุตรได้อย่างไร" นางเจียงอิน สะใภ้ใหญ่ของบ้านหาน ที่มีมิตรไมตรีต่อบ้านของเจียวจิ้นอย่างดี ชาวบ้านคนอื่นๆก็พยักหน้าพร้อมทั้งบอกเห็นด้วย
"ข้าว่าเจ้าไปหาหมอก่อน พวกเจ้าก็พานางไฉ่หงไปส่งบ้านแล้วเรียกหมอหู่มาดู" แม่เฒ่าหานเอ่ยสำทับลูกสะใภ้ให้รีบพานางไฉ่หงไปส่งบ้านพร้อมทั้งตามหมอมาดูด้วย
นี่ขนาดยังเดินไม่ถึงบ้านก็มีปัญหาแล้ว ถ้าหากขายได้เงินมาไม่รู้จะมีปัญหาขนาดไหน มู่หลินที่รำคาญพวกชาวบ้านหนึ่งชาวบ้านสอง ก็นึกอย่างหัวเสียจนถึงบ้าน ถ้าเป็นภพก่อนไม่ต้องรอให้โดนคนว่าหรอกแค่คิดจะเอ่ยปาก มู่หลินก็คงฆ่าทิ้งทันที
พอกลับถึงบ้านเจียวโจวก็รีบปิดประตู อย่างหนาแน่น ผู้นำครอบครัวอย่างเจียวจิ้นก็เรียกทุกคนมานั่งที่โถงกลางแล้วปรึกษากันทันที
"ข้าว่านำไปขายให้ร้านยาวันนี้เลยท่านพ่อ เวลายังเหลือยังไม่เข้ายามเว่ย(13.00-14.59น.) เดินทางเข้าเมือง ครึ่งชั่วยาม(1ชั่วยาม=2ชั่วโมง / ครึ่งชั่วยาม=1ชั่วโมง)ก็ถึง ถ้ายังไม่ขายคืนนี้ข้าคงนอนไม่หลับ" เมื่อพี่ใหญ่พูดจบทุกคนก็พยักหน้าเป็นไก่จิกเลยทีเดียว ยกเว้นก็แต่มู่หลิน
"ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าว่านำดอกขนาดกลางสามดอกกับขนาดเล็กห้าดอกไปขายก่อน ถ้าขายมากไปจะเกิดอันตรายได้เจ้าค่ะ" มู่หลินที่ออกความเห็นไปนั้น ทุกคนคิดตามก็พบว่าเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล
"แล้วที่เหลือจะทำเช่นใด เก็บในบ้านพ่อก็กลัวชาวบ้านจะรู้ แล้วโจรจะเข้ามาปล้น" มู่หลินรู้สึกว่านางต้องบอกความลับกับครอบครัวแล้ว ก่อนที่ทุกคนจะหวาดระแวงกับเห็ดหลินจือกองนี้ พอจะรวยก็มีเรื่องเครียดของคนรวย มู่หลินได้แต่ถอนหายใจ
"ทุกท่านดูนี้นะเจ้าค่ะ" มู่หลินที่ยื่นมือข้างที่มีกำไลไปที่กองเห็ดแล้วพูดเบาๆว่าเก็บ กองเห็ดตรงหน้าหายไปทันที บุรุษทั้งสามเมื่อเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็สะดุ้งตกใจ พี่รองถึงกลับล้มจากเก้าอี้ มีท่านแม่ถึงจะตกใจแต่ก็รักษากิริยาไว้ได้
"หลินเออร์/หลินเออร์"
"น้องเล็ก/เจ้า" แต่ละคนกว่าจะหาเสียงเจอก็ได้แต่เรียกชื่อมู่หลินเท่านั้น
พี่ใหญ่ที่ได้สติเร็วที่สุด วิ่งออกไปนอกห้องโถงแล้ววนดูรอบบ้านว่ามีใครแอบมามองหรือไม่ พอกลับมาทุกคนก็เริ่มกลับมามีสติแล้ว
"นี่คือสิ่งที่ข้าได้บอกท่านพ่อกับท่านพี่ตอนอยู่บนเขาว่ากลับถึงบ้านข้ามีเรื่องจะบอก" จากนั้นมู่หลินก็เล่าเหตุการณ์ว่าตั้งแต่ที่นางหลับไปสามวัน เหมือนฝันไป เป็นฝันที่เลวร้ายแต่ก็เหมือนจะดี ที่นางเป็นเด็กกำพร้า แล้วมีคนรับเลี้ยงแต่ก็เลี้ยงแบบหวังผล(ไม่ได้บอกเรื่องเป็นนักฆ่า) สอนให้รู้จัดการเอาตัวรอด การต่อสู้ วิชาการแพทย์ของโลกนั้น และการแพทย์แบบในยุคนี้ (ที่นางยอมเล่าเกือบหมดเพราะถ้าวันไหนเก่งขึ้นมาจะได้ไม่ต้องนั่งถามหรือสงสัยอีก)
มู่หลินบอกทุกคนว่านางทั้งเหงาและคิดถึงทุกคนแต่ไม่ตื่นสักที จนวันที่นางถูกรถชน ก็เหมือนรถม้าแต่เป็นเหล็กมู่หลินอธิบายแบบนี้ นางถึงได้ฟื้นมาพบทุกคนอีกครั้ง ระหว่างที่มู่หลินเล่านั้นทุกคนหลั่งน้ำตาตลอดเวลาเพราะเกือบจะเสียลูกสาวเสียน้องเล็กไป มู่หลินบอกทุกคนว่ามีท่านยายใจดีให้กำไลมา บอกว่าให้มู่หลินเตรียมตัวเพื่อกลับบ้าน มู่หลินจึงพาทุกคนเข้าไปในมิติเพื่อดูของที่นางซื้อมา
เมื่อทุกคนได้เห็นทุกอย่างในมิติพร้อมทั้งข้าวของต่างๆก็ยิ่งตกใจ มู่หลินเลยให้ทุกคนนั่งพักเพื่อสงบสติก่อน นางจะเป็นคนทำอาหารเอง ก็คือทำในมิติให้ทุกคนกินในนั้น แต่ท้องอิ่มอาจจะมีสติเพิ่มขึ้น
หลังกินอาหารกันแล้ว ทุกคนกินข้าวได้เยอะขึ้น เพราะเป็นข้าวสวยที่เม็ดข้าวเต็ม ไม่ใช่ปลายข้าวกับน้ำข้าว หลังมื้ออาหารทุกคนลงความเห็นกันว่าพรุ่งนี้ค่อยไปขายเห็ดแล้วเก็บที่เหลือไว้ในมิติของมู่หลิน
ค่ำคืนนั้นคนบ้านหวังของเจียวจิ้นก็มีปฏิญาณเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคือเรื่องของมู่หลินจะต้องเป็นความลับของครอบครัวการปกป้องดูแลมู่หลินนั้นทุกคนปกป้องมาตลอดอยู่แล้ว
เจียวจิ้นกับเหมยฮวาถึงกลับนอนไม่หลับเพราะฟังเรื่องวิญญาณของมู่หลินหลุดออกไปที่อื่น ถ้าลูกสาวกลับมาไม่ได้จะเป็นเช่นไร เจียวจิ้นถึงกับคิดว่าถ้านางจางซิงกับนางจางชุนมาหาเรื่องอีกเขาจะจัดการขั้นเด็ดขาด นางเหมยฮวาก็คิดว่าตนเองต้องเข้มแข็งกว่านี้เพื่อต่อต้านคนที่คิดร้ายกับลูกสาวเพราะนางไม่ต้องการเสียลูกสาวไปอีกแล้ว
พี่ใหญ่กับพี่รองก็คิดว่าต่อจากนี้ไปต้องให้น้องเล็กฝึกการต่อสู้ให้ตนเองเพื่อจะได้ปกป้องน้องเล็กและครอบครัวได้ อีกสิ่งหนึ่งที่สองพี่น้องต้องทำให้ได้คือ น้องเล็กต้องการให้ทั้งคู่เข้าสำนักศึกษาถึงจะสอบไม่ได้แต่ต้องมีความรู้ติดตัว ทุกคนมีความคิดที่ต่างกันแต่จุดหมายที่เหมือนกันคือปกป้องความลับและดูแลมู่หลิน แต่มู่หลินนั้นนอนหลับฝันดีไปแล้ว
เช้าที่สดใสของมู่หลินคนเดียว เพราะคนอื่นนั้นขอบตาดำเนื่องจากแทบไม่ได้นอนเลย มู่หลินที่เหมือนยกหินออกจากอกก็ดูอารมณ์จะดีเป็นพิเศษ นางสามารถเอาของในมิติออกมาทำกินได้แล้ว ท่านแม่ให้เติมข้าวสารแค่ครึ่งถัง กับเครื่องปรุงที่เอาออกมาวางไว้ได้ก็มีแค่เกลือกับน้ำตาลอย่างละนิดหน่อย หากใครมาที่บ้านแล้วเห็นของมากมายคนจจะสงสัยเอาได้อาหารที่มู่หลินทำเช้านี้ นางไม่ได้ทำอะไรมากเพราะเป็นมื้อเช้า มู่หลินต้มข้าวต้มหมูสับ ทอดปาท่องโก๋กินคู่กัน แล้วนางยังนำนมออกมาบำรุงทุกคนในบ้านด้วยเพราะเนื่องจากขาดสารอาหารเป็นเวลานานร่างกายแต่ละคนจึงผอมเกินไป พี่ใหญ่ พี่รองและตัวมู่หลินนั้นก็ดูจะไม่โตเต็มวัยเหมือนเด็กในรุ่นเดียวกันหลังจากกินอาหารเช้าแล้วท่านพ่อพาบุตรทั้งสามเดินทางเข้าเมือง ท่านแม่นั้นไม่ไปด้วยเพราะต้องการตัดชุดให้กับทุกคนแทน เมื่อคืนก่อนออกจากมิติมู่หลินพาท่านแม่ไปเลือกผ้าที่จะใช้ตัดชุดผ้าที่มู่หลินซื้อมาเก็บไว้นั้นมีทั้งผ้าฝ้ายเนื้อหยาบไปจนถึงผ้าไหมเนื้อดี ถ้าต้องให้ท่านแม่เป็นคนเลือกเพราะชาวบ้านจะได้ไม่สงสัยเกินไป ผ้าฝ้ายเนื้อหยาบที่ชาวบ้านทั่วไปใช้ใส่ทำงานนั้นหนึ่งพับประมาณ100-200อีแปะ ชาวบ้านโดยทั่
ระหว่างทางลงเขาจนถึงบ้านนั้น มีชาวบ้านทักตลอดทาง ต่อให้บุรุษบ้านหวังพยายามทำตัวปกติแค่ไหนก็มีคนสงสัยอยู่ดี โดยเฉพาะ นางไฉ่หง เพื่อนสาวของนางจากชุนสะใภ้รองบ้านหวัง "โอโยว เจียวจิ้นพวกเจ้ากับบุตรชายแบกอะไรลงมากันมากมายเพียงนี้" มู่หลินปรายตามองนางไฉ่หง ที่เป็นสาวอวบเกือบจะอ้วนแล้ว โบกแป้งหนาจนคิดว่าใช้แป้งสาลีทาหน้า ปากที่แดงจนแทบจะเรียกได้ว่าแดงจนเหมือนคนกินเลือดมา ทำไมแต่งแบบนี้ถึงกล้าออกจากบ้านกันนะ"ข้าได้ผักป่ากับปลามานิดหน่อย" บิดาแสนซื่อของข้านั้นตอบกลับอย่างว่าง่ายทันที นางไฉ่หงที่ถือวิสาสะเดินมารื้อตะกร้า ไวกว่านางไฉ่หงก็มู่หลินนี่แหละ นางดีดก้อนหินไปที่ข้อเท้านางไฉ่หง ทำให้นางไฉ่หงสะดุดล้มหน้าทิ่มดิน แถมดินยังเข้าปากเพราะมั่วแต่พูดมากไม่ทันได้หุบปากตอนล้มลง ปากที่แดงอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งแดงเข้าไปอีกเพราะเป็นเลือดที่ไหลออกมาจากฟันที่หักไปซี่หนึ่ง "กรี๊ดดดด พวกเจ้าพลักข้าใช่หรือไม่" ดีที่บุรุษบ้านหวังทั้งสามยืนห่างนางไฉ่หงตั้งห้าก้าว แล้วชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ก็ช่วยพูดให้ด้วย เพราะเป็นนางไฉ่หงที่ล้มลงไปเอง "นี่ ไฉ่หง เจ้าล้มเองแล้วจะโทษเจียวจิ้นกับบุตรได้อย่างไร" นางเจียงอิน
ยามอิ๋น(03.00-04.59น.) มู่หลินลุกเตรียมตัวเข้าป่าพร้อมบิดาและพี่ชาย มีเพียงท่านแม่ที่อยู่ดูแลบ้าน บุรุษบ้านหวังถามมู่หลินตลอดทางเดิน"น้องเล็กไหวไหม" พี่ใหญ่"น้องเล็กพักก่อนดีหรือไม่" พี่รอง"หลินเออร์ ขึ้นหลังพ่อไหม" บิดา"หลินเออร์...""น้องเล็ก...""..."มู่หลินครั้งนี้เข้าป่ามาหลายคนจึงทำการวางกับดักนั้นเร็วยิ่งขึ้น พอเข้ายามซื่อ(09.00-10.49น.) บิดาจึงเดินหาที่นั่งพักบริเวณลำธารเพื่อพาบุตรชายหญิงกินอาหารเช้า อาหารที่พกมาก็เป็นพวกแผ่นแป้ง มู่หลินที่กินแผ่นแป้งไม่ลงเนื่องจากทุกวันที่ผ่านมาจะมีแต่แผ่นแป้งกับน้ำข้าวเท่านั้น เธอเดินไปสำรวจลำธารเพื่อมองหาลู่ทางในการจับปลา พี่ชายทั้งสองเมื่อเห็นมู่หลินก้มหน้าทำอะไรที่ริมลำธารจึงเดินเข้าไปดูน้องสาวด้วยความเป็นห่วงกลัวน้องน้อยจะตกน้ำ(น้ำก็แค่เข่า) "น้องเล็กเจ้าทำอันใด" พี่ใหญ่ที่เห็นน้องเล็กเอาก้อนหินมาวางล้อมเป็นหลุมด้วยความสงสัยจึงเอ่ยปากถามไป"น้องกำลังทำหลุมดักปลา" "ปลาว่ายเร็วเพียงนี้ จะเข้าหลุมที่เจ้าทำได้เช่นใด""อ๊ะ นะ นั่น น้องเล็กปลาเข้ามาแล้ว"พี่รองที่กำลังจะสอบถามมู่หลินตามแบบพี่ใหญ่ก็ต้องตกใจที่มีปลาหลูยวี(ปลากะพง) ตัวใหญ่
รลินอยู่ในร่างของหวังมู่หลินได้หนึ่งอาทิตย์แล้ว หมู่บ้านที่เธออยู่นั้นมีชื่อว่า หมู่บ้านชุนหง อยู่ในตำบลชุนไห่ อำเภอโยวโจว อยู่ห่างจากเมืองหลวงแคว้นฉู่ 1,000 ลี้ (1ลี้=500เมตร) ครอบครัวของเธอไม่มีใครให้เธอหยิบจับทำอะไรเลย ก่อนหน้านี้เธอได้สำรวจกำไลแล้วปรากฏว่าของที่เธอซื้อไว้ตามเธอมาครบทุกอย่างจริงๆ แล้วในกำไลนั้นยังเป็นมิติอีกด้วย โดยของทั้งหมดของเธออยู่ในโกดังขนาดใหญ่อย่างเป็นระเบียบ มีกระท่อมหลังน้อยที่ด้านในไม่น้อยเลย ด้านในของกระท่อมนั้นมีห้องทั้งหมด 4 ห้องนอน 1 ห้องโถง 1 ห้องตำรา และมีห้องน้ำกับห้องส้วมแยกชัดเจน เธอพอใจกับห้องน้ำและห้องส้วมมากด้านนอกของกระท่อมนั้นมีน้ำลำธารกว้างสองจั้ง(1จั้ง=3.33เมตร) มีสวนสมุนไพร สวนผัก ผลไม้ เต็มพื้นที่ไปหมด รลินถึงกับก้มขอบคุณคุณยายที่มอบกำไลนี้ให้เธอ เธอไม่มีเวลาสำรวจพื้นที่ทั้งหมดมากนักเพราะครอบครัวเธอมักจะวนเวียนพลัดเปลี่ยนกันมาคอยดูแลเธอครอบครัวของหวังมู่หลิน1.หวังเจียวจิ้น บิดา อายุ 37 ปี2.เหมยฮวา มารดา อายุ 32 ปี (ไม่มีแซ่ อายุโดยประมาณเพราะความจำเสื่อม ทราบชื่อจากหยกที่พกติดตัวมาสลักไว้ว่าเหมยฮวา)3.หวังเจียวโจว พี่ชายคนโต อายุ 15
"ท่านแม่ น้องเล็กเป็นอย่างไรบางขอรับ" รลินที่รู้สึกตัวแล้วแต่ยังไม่สามารถลืมตาได้ ได้ยินเสียงพูดคุยของเด็กผู้ชายอายุ15-16ปี กับผู้หญิงอายุประมาณ 37-40ปี "หลินเออร์ ยังไม่รู้สึกตัว ฮึก.. หลินเออร์ นอนนานไปแล้วลูก ฮึก..." เสียงผู้เป็นแม่ร่ำไห้มือก็ลูบหน้ารลินไปด้วย"ท่านหมอหู่ว่าอย่างไรขอรับ น้องเล็กจะตื่นเมื่อใด" ผู้เป็นพี่ยังคงถามอาการน้อง แม้จะพยายามเข้มแข็งเพียงใดแต่เสียงที่สั่นนั้นรับรู้ได้ว่ากำลังเสียใจอย่างที่สุดเพราะกลัวคำตอบของผู้เป็นมารดาว่าน้องสาวนั้นจะไม่รอด"หมอหู่บอกหมดทางช่วยแล้ว ถ้าวันนี้น้องไม่ตื่น ฮึก.. ฮืออออ" ผู้เป็นแม่เอ่ยได้เพียงแค่นั้นก็ร้องไห้เสียงดังจนคนด้านนอกรีบวิ่งเข้ามาดู"เหมยฮวา หลินเออร์เป็นอย่างไร"ผู้ที่เข้ามาใหม่จากที่รลินฟังน้ำเสียงเป็นชายอายุประมาณ 40-42 ปี "น้องเล็ก ฮือออออ" เด็กคนนี้อะไร ยังไม่มีใครบอกว่าฉันตายเลยจะร้องอะไรขนาดนั้น รลินที่เริ่มจะหงุดหงิดจากเสียงร้องไห้ก็ขมวดคิ้ว พี่ชายคนโตที่สังเกตเห็นรีบร้องออกมาทันที"ท่านพ่อ ท่านแม่ น้องเล็กรู้สึกตัวแล้วขอรับ" พร้อมทั้งกระโดดมาถึงข้างเตียงเพื่อจับมือน้องแล้วเรียกชื่อตตลอดรลินที่รู้สึกว่าถ้ายัง
หลังเลิกงาน รลินกลับไปที่คอนโดของเธอ เธอซื้ออาหารที่ร้านประจำกลับไปด้วย ระหว่างทางที่เดินไปที่รถเธอตรวจดูว่าได้รับอาหารครบหรือไม่ "เก็บข้าวผัดไว้กินพรุ่งนี้เช้าดีกว่า" ตอนที่เธอพูดเสร็จข้าวผัดก็หายไปจากในถุง เหลือเพียงข้าวต้ม เธอหันซ้ายหันขวาเพื่อดูว่ามีใครเห็นเหมือนที่เธอเห็นไหม แต่บริเวณโดยรอบแม้จะมีคนเดินแต่ไม่มีใครมองเธอเลยเธอรีบกลับขึ้นรถทันที แม้จะนิ่งแค่ไหน ผ่านเหตุการณ์ต่างๆมาตั้งมากมาย ครั้งนี้เธอยอมรับว่าเธอตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ เธอทดลองเรียกข้าวผัดเข้าออกอีกหลายครั้ง เธอลองเอาสิ่งของต่างๆรอบตัวที่พอจะหาได้ใส่เข้าไปปรากฎว่ามันเข้าไปได้และออกมาได้จริงๆตามที่เธอนึก เมื่อถึงคอนโดเธอทบทวนคำพูดของคุณยายเจ้าของกำไล ที่บอกว่าเธอมีเวลาแค่สามวัน เธอจะต้องตายหรือทะลุมิติตามพล็อตนิยายที่เคยอ่าน แม้จะไม่มีเวลาว่างจนอ่านนิยายเหมือนคนทั่วไปแต่ก็ยังมีนิยายพวกนี้ติดห้องไว้เธอจึงตัดสินใจลางานสามวันทันที ที่ลาได้เพราะเธอเคลียร์เคสผ่าตัดไปหมดแล้ว และคนไข้ของเธอก็ไม่มีอาการน่าเป็นห่วง มีเพียงคุณยายเจ้าของกำไลเท่านั้นที่เธอรับเป็นเคสพิเศษ ถ้าหากมีอะไรฉุกเฉินผู้ช่วยของเธอก็คือพยาบาล ห