ยามอิ๋น(03.00-04.59น.) มู่หลินลุกเตรียมตัวเข้าป่าพร้อมบิดาและพี่ชาย มีเพียงท่านแม่ที่อยู่ดูแลบ้าน บุรุษบ้านหวังถามมู่หลินตลอดทางเดิน
"น้องเล็กไหวไหม" พี่ใหญ่
"น้องเล็กพักก่อนดีหรือไม่" พี่รอง
"หลินเออร์ ขึ้นหลังพ่อไหม" บิดา
"หลินเออร์..."
"น้องเล็ก..."
"..."มู่หลิน
ครั้งนี้เข้าป่ามาหลายคนจึงทำการวางกับดักนั้นเร็วยิ่งขึ้น พอเข้ายามซื่อ(09.00-10.49น.) บิดาจึงเดินหาที่นั่งพักบริเวณลำธารเพื่อพาบุตรชายหญิงกินอาหารเช้า อาหารที่พกมาก็เป็นพวกแผ่นแป้ง มู่หลินที่กินแผ่นแป้งไม่ลงเนื่องจากทุกวันที่ผ่านมาจะมีแต่แผ่นแป้งกับน้ำข้าวเท่านั้น เธอเดินไปสำรวจลำธารเพื่อมองหาลู่ทางในการจับปลา
พี่ชายทั้งสองเมื่อเห็นมู่หลินก้มหน้าทำอะไรที่ริมลำธารจึงเดินเข้าไปดูน้องสาวด้วยความเป็นห่วงกลัวน้องน้อยจะตกน้ำ(น้ำก็แค่เข่า)
"น้องเล็กเจ้าทำอันใด" พี่ใหญ่ที่เห็นน้องเล็กเอาก้อนหินมาวางล้อมเป็นหลุมด้วยความสงสัยจึงเอ่ยปากถามไป
"น้องกำลังทำหลุมดักปลา"
"ปลาว่ายเร็วเพียงนี้ จะเข้าหลุมที่เจ้าทำได้เช่นใด"
"อ๊ะ นะ นั่น น้องเล็กปลาเข้ามาแล้ว"พี่รองที่กำลังจะสอบถามมู่หลินตามแบบพี่ใหญ่ก็ต้องตกใจที่มีปลาหลูยวี(ปลากะพง) ตัวใหญ่อยู่ในหลุมที่มู่หลินล้อมไว้
มู่หลินไม่รอช้าจับปลาแล้วโยนขึ้นด้านบนให้พี่ใหญ่ช่วยทำให้ ส่วนตัวเธอเดินหาสมุนไพรดับกลิ่นคาว เธอเดินไปไม่ไกลก็เจอ หนิงเหมิงเฉ่า(ตะไคร้) เธอดึงขึ้นมากำมือก็รีบเดินกลับมาเพราะท้องที่เริ่มร้องประท้วงแล้ว
พี่ใหญ่ที่เตรียมปลาเสร็จแล้ว พี่รองที่กำลังก่อไฟ มองน้องเล็กอย่างมึนงง ว่ามู่หลินเอาหญ้ามาทำอะไร มู่หลินจึงอธิบายว่า มันไม่ได้เรียกว่าหญ้ามันคือ หนิงเหมิงเฉ่า ช่วยกำจัดกลิ่นคาวปลาได้ แล้วมู่หลินก็หันไปบอกพี่ใหญ่ให้ผ่าท้องปลาเอาไส้ออก แล้วยัดหนิงเหมิงเฉ่าเข้าไป จะทำให้ปลาไม่มีกลิ่นแล้วยังไม่มีรสชาติขมอีกด้วย
ทั้งสี่คนกินปลาตามแบบการย่างของมู่หลิน ทำให้พวกเขาดวงตาสว่างวาบขึ้นมาทันที่ เนื้อปลาที่ได้มีรสชาติหวาน ไม่ขม ไม่มีกลิ่นคาวแบบที่น้องเล็กบอกจริงๆ
"หลินเออร์ เจ้ารู้ได้อย่างไร หากทำเช่นนี้เนื้อปลาที่ได้จะไม่มีกลิ่นคาว เนื้อยังหวานอีกด้วย" บิดาถามขึ้นหลังจากที่กินปลาย่างหมดตัวแล้ว แต่พี่รองเหมือนยังไม่พอใจเดินไปจับปลาในหลุมมาทำการย่างใหม่แบบที่มู่หลินได้ทำ
"ขะ ข้า กลับถึงบ้านข้าขอเล่าพร้อมกับท่านแม่ได้หรือไม่ท่านพ่อ"มู่หลินเธอตัดสินใจจะเล่าแค่บางส่วนให้ครอบครัวฟังก่อน เพราะเรื่องทุกอย่างต่อไปก็ไม่อาจปิดบังได้ทั้งหมด ยังไงทุกคนก็หวังดีกลับเธออย่างแท้จริง
บิดาและพี่ชายทั้งสองพยักหน้าเป็นการตอบรับ หลังจากปลาตัวที่สองได้หมดลง บุรุษบ้านหวังที่เห็นหลุมดักปลามีปลาเข้ามานับสิบตัวก็คิดจะกลับบ้านกันเลยเพราะมีอาหารแล้วแถมยังสามารถแบ่งไปขายได้ด้วย แต่มู่หลินบอกให้ลองเดินเข้าไปสำรวจด้านในอีกหน่อยเผื่อเจอของที่กินได้จะได้ไม่เสียเที่ยว เธอเองก็คงไม่ได้เข้ามาบ่อยๆแน่เพราะบุรุษบ้านหวังคงไม่ยินยอมง่ายๆ
อาจจะเป็นเพราะโชคช่วย หรือจะด้วยความโชคดีก็ตาม เดินจากตรงริมลำธารไปได้ไม่นานก็เจอกับท่อนไม้ใหญ่ที่ตายแล้ว และใช่เป็นอย่างที่พวกคุณคิด
"ท่านพ่อ พี่ใหญ่ พี่รอง ทางนี้เจ้าค่ะ เร็วเจ้าค่ะ"
บุรุษบ้านหวังทั้งสามตกใจกับเสียงร้องของมู่หลินจึงรีบพุ่งมาทันที
"หลินเออร์"
"น้องเล็ก/เจ้าเป็นเช่นใด"
"ท่านพ่อ ท่านพี่ พวกท่านดูนี้เจ้าค่ะ บ้านเราจะมีเงินซื้อเสบียงหน้าหนาวแล้วเจ้าค่ะ"มู่หลินที่ปกติไม่ค่อยแสดงอารมณ์ใดมากมาย ยังกล่าวออกมาด้วยความตื่นเต้น ทั้งดีใจที่ไม่ต้องทนกินน้ำข้าวกับผักดอง หรือแผ่นแป้งแห้งๆที่แทบจะกลืนไม่ลงอีกแล้ว และอีกอย่างก็จะได้ไม่ต้องหาข้ออ้างที่จะเอาของในมิติออกมาขายอีกด้วย
"หะ เห็ดหลินจือแดง ใช่หรือไม่หลินเออร์" ท่านพ่อที่พูดตะกุกตะกัก พี่ใหญ่กับพี่รองที่ยังยืนอึ้งกับเห็ดหลินจือตรงหน้า เพราะดอกมันใหญ่ขนาดสองฝ่ามือต่อกัน บางดอกยังใหญ่กว่านั้นอีก ที่เล็กสุดเห็นจะเป็นดอกเท่าฝ่ามือท่านพ่อ แต่ก็ยังใหญ่อยู่ดี
"พวกท่านอย่ามั่วแต่ตกใจสิเจ้าค่ะ ช่วยข้าเก็บหน่อย เก็บแบบนี้นะเจ้าค่ะ" มู่หลินอธิบายพร้อมกับใช้มีดค่อยๆแซะออกอย่างเบามือ ดอกเห็ดจะได้ไม่เสียหาย
เห็ดหลินจือที่ได้ มีดอกใหญ่ขนาดสองฝ่ามือจำนวน สามดอก ดอกขนาดกลางห้าดอก ดอกเท่าฝ่ามืออีกสิบดอก บุรุษบ้านหวังรู้ถึงราคาของมันว่ามีราคาแพงแต่ไม่รู้มูลค่าจริง แค่จำนวนที่ได้ก็ตกใจจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว คนที่เหลือช่วยอะไรมู่หลินมากไม่ได้
นางจำเป็นต้องออกคำสั่งให้ผู้เป็นบิดาและพี่ชายหาผักป่าและใบไม้มาปิดบังสายตาชาวบ้านคนอื่น บิดาและพี่ใหญ่จึงเป็นคนที่แบกตะกร้าใส่เห็ดหลินจือลงเขาไป มู่หลินเอ่ยบอกทุกคนที่กำลังเดินอย่างไร้สติให้ไปจับปลากลับบ้านด้วย ทั้งสามจึงเดินตามมู่หลินไปที่ลำธาร
"ท่านพ่อ พี่ใหญ่ พี่รอง ถ้าท่านยังทำเหมือนวิญญาณออกจากตัวแบบนี้ ชาวบ้านได้สงสัยขอดูตะกร้าพวกท่านแน่" นับว่าได้ผล หลังจากที่นางขู่ไปนั้น ทั้งสามก็กลับมาปกติมากกว่าก่อนหน้านี้นิดหน่อย พี่รองจึงต้องเป็นคนแบกปลา กลับเพราะไม่มีใครยอมให้มู่หลินแบกของเลยสักคน
เช้าที่สดใสของมู่หลินคนเดียว เพราะคนอื่นนั้นขอบตาดำเนื่องจากแทบไม่ได้นอนเลย มู่หลินที่เหมือนยกหินออกจากอกก็ดูอารมณ์จะดีเป็นพิเศษ นางสามารถเอาของในมิติออกมาทำกินได้แล้ว ท่านแม่ให้เติมข้าวสารแค่ครึ่งถัง กับเครื่องปรุงที่เอาออกมาวางไว้ได้ก็มีแค่เกลือกับน้ำตาลอย่างละนิดหน่อย หากใครมาที่บ้านแล้วเห็นของมากมายคนจจะสงสัยเอาได้อาหารที่มู่หลินทำเช้านี้ นางไม่ได้ทำอะไรมากเพราะเป็นมื้อเช้า มู่หลินต้มข้าวต้มหมูสับ ทอดปาท่องโก๋กินคู่กัน แล้วนางยังนำนมออกมาบำรุงทุกคนในบ้านด้วยเพราะเนื่องจากขาดสารอาหารเป็นเวลานานร่างกายแต่ละคนจึงผอมเกินไป พี่ใหญ่ พี่รองและตัวมู่หลินนั้นก็ดูจะไม่โตเต็มวัยเหมือนเด็กในรุ่นเดียวกันหลังจากกินอาหารเช้าแล้วท่านพ่อพาบุตรทั้งสามเดินทางเข้าเมือง ท่านแม่นั้นไม่ไปด้วยเพราะต้องการตัดชุดให้กับทุกคนแทน เมื่อคืนก่อนออกจากมิติมู่หลินพาท่านแม่ไปเลือกผ้าที่จะใช้ตัดชุดผ้าที่มู่หลินซื้อมาเก็บไว้นั้นมีทั้งผ้าฝ้ายเนื้อหยาบไปจนถึงผ้าไหมเนื้อดี ถ้าต้องให้ท่านแม่เป็นคนเลือกเพราะชาวบ้านจะได้ไม่สงสัยเกินไป ผ้าฝ้ายเนื้อหยาบที่ชาวบ้านทั่วไปใช้ใส่ทำงานนั้นหนึ่งพับประมาณ100-200อีแปะ ชาวบ้านโดยทั่
ระหว่างทางลงเขาจนถึงบ้านนั้น มีชาวบ้านทักตลอดทาง ต่อให้บุรุษบ้านหวังพยายามทำตัวปกติแค่ไหนก็มีคนสงสัยอยู่ดี โดยเฉพาะ นางไฉ่หง เพื่อนสาวของนางจากชุนสะใภ้รองบ้านหวัง "โอโยว เจียวจิ้นพวกเจ้ากับบุตรชายแบกอะไรลงมากันมากมายเพียงนี้" มู่หลินปรายตามองนางไฉ่หง ที่เป็นสาวอวบเกือบจะอ้วนแล้ว โบกแป้งหนาจนคิดว่าใช้แป้งสาลีทาหน้า ปากที่แดงจนแทบจะเรียกได้ว่าแดงจนเหมือนคนกินเลือดมา ทำไมแต่งแบบนี้ถึงกล้าออกจากบ้านกันนะ"ข้าได้ผักป่ากับปลามานิดหน่อย" บิดาแสนซื่อของข้านั้นตอบกลับอย่างว่าง่ายทันที นางไฉ่หงที่ถือวิสาสะเดินมารื้อตะกร้า ไวกว่านางไฉ่หงก็มู่หลินนี่แหละ นางดีดก้อนหินไปที่ข้อเท้านางไฉ่หง ทำให้นางไฉ่หงสะดุดล้มหน้าทิ่มดิน แถมดินยังเข้าปากเพราะมั่วแต่พูดมากไม่ทันได้หุบปากตอนล้มลง ปากที่แดงอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งแดงเข้าไปอีกเพราะเป็นเลือดที่ไหลออกมาจากฟันที่หักไปซี่หนึ่ง "กรี๊ดดดด พวกเจ้าพลักข้าใช่หรือไม่" ดีที่บุรุษบ้านหวังทั้งสามยืนห่างนางไฉ่หงตั้งห้าก้าว แล้วชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ก็ช่วยพูดให้ด้วย เพราะเป็นนางไฉ่หงที่ล้มลงไปเอง "นี่ ไฉ่หง เจ้าล้มเองแล้วจะโทษเจียวจิ้นกับบุตรได้อย่างไร" นางเจียงอิน
ยามอิ๋น(03.00-04.59น.) มู่หลินลุกเตรียมตัวเข้าป่าพร้อมบิดาและพี่ชาย มีเพียงท่านแม่ที่อยู่ดูแลบ้าน บุรุษบ้านหวังถามมู่หลินตลอดทางเดิน"น้องเล็กไหวไหม" พี่ใหญ่"น้องเล็กพักก่อนดีหรือไม่" พี่รอง"หลินเออร์ ขึ้นหลังพ่อไหม" บิดา"หลินเออร์...""น้องเล็ก...""..."มู่หลินครั้งนี้เข้าป่ามาหลายคนจึงทำการวางกับดักนั้นเร็วยิ่งขึ้น พอเข้ายามซื่อ(09.00-10.49น.) บิดาจึงเดินหาที่นั่งพักบริเวณลำธารเพื่อพาบุตรชายหญิงกินอาหารเช้า อาหารที่พกมาก็เป็นพวกแผ่นแป้ง มู่หลินที่กินแผ่นแป้งไม่ลงเนื่องจากทุกวันที่ผ่านมาจะมีแต่แผ่นแป้งกับน้ำข้าวเท่านั้น เธอเดินไปสำรวจลำธารเพื่อมองหาลู่ทางในการจับปลา พี่ชายทั้งสองเมื่อเห็นมู่หลินก้มหน้าทำอะไรที่ริมลำธารจึงเดินเข้าไปดูน้องสาวด้วยความเป็นห่วงกลัวน้องน้อยจะตกน้ำ(น้ำก็แค่เข่า) "น้องเล็กเจ้าทำอันใด" พี่ใหญ่ที่เห็นน้องเล็กเอาก้อนหินมาวางล้อมเป็นหลุมด้วยความสงสัยจึงเอ่ยปากถามไป"น้องกำลังทำหลุมดักปลา" "ปลาว่ายเร็วเพียงนี้ จะเข้าหลุมที่เจ้าทำได้เช่นใด""อ๊ะ นะ นั่น น้องเล็กปลาเข้ามาแล้ว"พี่รองที่กำลังจะสอบถามมู่หลินตามแบบพี่ใหญ่ก็ต้องตกใจที่มีปลาหลูยวี(ปลากะพง) ตัวใหญ่
รลินอยู่ในร่างของหวังมู่หลินได้หนึ่งอาทิตย์แล้ว หมู่บ้านที่เธออยู่นั้นมีชื่อว่า หมู่บ้านชุนหง อยู่ในตำบลชุนไห่ อำเภอโยวโจว อยู่ห่างจากเมืองหลวงแคว้นฉู่ 1,000 ลี้ (1ลี้=500เมตร) ครอบครัวของเธอไม่มีใครให้เธอหยิบจับทำอะไรเลย ก่อนหน้านี้เธอได้สำรวจกำไลแล้วปรากฏว่าของที่เธอซื้อไว้ตามเธอมาครบทุกอย่างจริงๆ แล้วในกำไลนั้นยังเป็นมิติอีกด้วย โดยของทั้งหมดของเธออยู่ในโกดังขนาดใหญ่อย่างเป็นระเบียบ มีกระท่อมหลังน้อยที่ด้านในไม่น้อยเลย ด้านในของกระท่อมนั้นมีห้องทั้งหมด 4 ห้องนอน 1 ห้องโถง 1 ห้องตำรา และมีห้องน้ำกับห้องส้วมแยกชัดเจน เธอพอใจกับห้องน้ำและห้องส้วมมากด้านนอกของกระท่อมนั้นมีน้ำลำธารกว้างสองจั้ง(1จั้ง=3.33เมตร) มีสวนสมุนไพร สวนผัก ผลไม้ เต็มพื้นที่ไปหมด รลินถึงกับก้มขอบคุณคุณยายที่มอบกำไลนี้ให้เธอ เธอไม่มีเวลาสำรวจพื้นที่ทั้งหมดมากนักเพราะครอบครัวเธอมักจะวนเวียนพลัดเปลี่ยนกันมาคอยดูแลเธอครอบครัวของหวังมู่หลิน1.หวังเจียวจิ้น บิดา อายุ 37 ปี2.เหมยฮวา มารดา อายุ 32 ปี (ไม่มีแซ่ อายุโดยประมาณเพราะความจำเสื่อม ทราบชื่อจากหยกที่พกติดตัวมาสลักไว้ว่าเหมยฮวา)3.หวังเจียวโจว พี่ชายคนโต อายุ 15
"ท่านแม่ น้องเล็กเป็นอย่างไรบางขอรับ" รลินที่รู้สึกตัวแล้วแต่ยังไม่สามารถลืมตาได้ ได้ยินเสียงพูดคุยของเด็กผู้ชายอายุ15-16ปี กับผู้หญิงอายุประมาณ 37-40ปี "หลินเออร์ ยังไม่รู้สึกตัว ฮึก.. หลินเออร์ นอนนานไปแล้วลูก ฮึก..." เสียงผู้เป็นแม่ร่ำไห้มือก็ลูบหน้ารลินไปด้วย"ท่านหมอหู่ว่าอย่างไรขอรับ น้องเล็กจะตื่นเมื่อใด" ผู้เป็นพี่ยังคงถามอาการน้อง แม้จะพยายามเข้มแข็งเพียงใดแต่เสียงที่สั่นนั้นรับรู้ได้ว่ากำลังเสียใจอย่างที่สุดเพราะกลัวคำตอบของผู้เป็นมารดาว่าน้องสาวนั้นจะไม่รอด"หมอหู่บอกหมดทางช่วยแล้ว ถ้าวันนี้น้องไม่ตื่น ฮึก.. ฮืออออ" ผู้เป็นแม่เอ่ยได้เพียงแค่นั้นก็ร้องไห้เสียงดังจนคนด้านนอกรีบวิ่งเข้ามาดู"เหมยฮวา หลินเออร์เป็นอย่างไร"ผู้ที่เข้ามาใหม่จากที่รลินฟังน้ำเสียงเป็นชายอายุประมาณ 40-42 ปี "น้องเล็ก ฮือออออ" เด็กคนนี้อะไร ยังไม่มีใครบอกว่าฉันตายเลยจะร้องอะไรขนาดนั้น รลินที่เริ่มจะหงุดหงิดจากเสียงร้องไห้ก็ขมวดคิ้ว พี่ชายคนโตที่สังเกตเห็นรีบร้องออกมาทันที"ท่านพ่อ ท่านแม่ น้องเล็กรู้สึกตัวแล้วขอรับ" พร้อมทั้งกระโดดมาถึงข้างเตียงเพื่อจับมือน้องแล้วเรียกชื่อตตลอดรลินที่รู้สึกว่าถ้ายัง
หลังเลิกงาน รลินกลับไปที่คอนโดของเธอ เธอซื้ออาหารที่ร้านประจำกลับไปด้วย ระหว่างทางที่เดินไปที่รถเธอตรวจดูว่าได้รับอาหารครบหรือไม่ "เก็บข้าวผัดไว้กินพรุ่งนี้เช้าดีกว่า" ตอนที่เธอพูดเสร็จข้าวผัดก็หายไปจากในถุง เหลือเพียงข้าวต้ม เธอหันซ้ายหันขวาเพื่อดูว่ามีใครเห็นเหมือนที่เธอเห็นไหม แต่บริเวณโดยรอบแม้จะมีคนเดินแต่ไม่มีใครมองเธอเลยเธอรีบกลับขึ้นรถทันที แม้จะนิ่งแค่ไหน ผ่านเหตุการณ์ต่างๆมาตั้งมากมาย ครั้งนี้เธอยอมรับว่าเธอตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ เธอทดลองเรียกข้าวผัดเข้าออกอีกหลายครั้ง เธอลองเอาสิ่งของต่างๆรอบตัวที่พอจะหาได้ใส่เข้าไปปรากฎว่ามันเข้าไปได้และออกมาได้จริงๆตามที่เธอนึก เมื่อถึงคอนโดเธอทบทวนคำพูดของคุณยายเจ้าของกำไล ที่บอกว่าเธอมีเวลาแค่สามวัน เธอจะต้องตายหรือทะลุมิติตามพล็อตนิยายที่เคยอ่าน แม้จะไม่มีเวลาว่างจนอ่านนิยายเหมือนคนทั่วไปแต่ก็ยังมีนิยายพวกนี้ติดห้องไว้เธอจึงตัดสินใจลางานสามวันทันที ที่ลาได้เพราะเธอเคลียร์เคสผ่าตัดไปหมดแล้ว และคนไข้ของเธอก็ไม่มีอาการน่าเป็นห่วง มีเพียงคุณยายเจ้าของกำไลเท่านั้นที่เธอรับเป็นเคสพิเศษ ถ้าหากมีอะไรฉุกเฉินผู้ช่วยของเธอก็คือพยาบาล ห