Masuk“ของดี ของดี ของดี!!!” น้ำเสียงตื่นเต้นดีใจของเยว่ฉีดังระงมไปทั่วพื้นที่ นางวิ่งไปตรวจดูโดยรอบ สถานที่แห่งนี้คล้ายกับพื้นที่แถวชนบท มีบ่อน้ำขนาดใหญ่ กลางบ่อน้ำมีต้นไม้ตั้งตระหง่านยืนต้นสูงเด่นเป็นสง่า ไกลออกไปมีภูเขาซึ่งมีหมอกปกคลุม มีกระท่อมไม้ไผ่หลังหนึ่งไม่ไกลจากบ่อน้ำ ด้านหลังกระท่อมมีป่าไผ่ขึ้นอยู่อย่างเป็นระเบียบ ข้างกันไม่ไกลจากกระท่อมหลังน้อยมีที่ดินขนาดใหญ่ประมาณสิบหมู่เต็มไปด้วยหญ้า
เยว่ฉีเลือกที่จะเดินเข้าไปในกระท่อมก่อนเป็นอันดับแรก พอขาก้าวเข้าไปในกระท่อมพลันมีเสียงหนึ่งปรากฏขึ้นมาในหัว
‘ยินดีต้อนรับผู้สืบทอดคนใหม่ นี่คือมิติขนาดเล็กที่ข้าทิ้งไว้ รอให้ผู้มีวาสนาได้มาค้นพบ’
หลังประโยคนี้จบลงความตื่นเต้นดีใจยิ่งทวีขึ้นบนใบหน้างดงาม เยว่ฉีฉีกยิ้มกว้างราวกับคนบ้ายกมือขึ้นจับสองแก้มบิดใบบิดมา ท่าทางเขินอาย
แต่ประโยคต่อมากับทำให้นางต้องชะงัก
‘ผู้มีวาสนาคนใหม่เป็นสตรีสติฟั่นเฟือนหรอกหรือ? ไร้ประโยชน์แล้ว ไร้ประโยชน์แล้ว’
ถึงจะไม่เห็นหน้าเยว่ฉีก็รู้ว่าหากอีกฝ่ายมายืนตรงหน้า คงส่ายหน้าเอือมระอานางแน่นอน
เยว่ฉีจึงจำเป็นต้องเก็บอาการตื่นตะลึงดีใจเอาไว้ก่อน หุบยิ้มเอ่ยเสียงตวัดปลายเล็กน้อย
“ท่านปล่อยให้ข้าดีใจสักครู่ไม่ได้หรือ? ข้าเพียงดีใจที่ได้ของดีมา หาใช่คนบ้า”
นางได้ยินเสียงถอนหายใจมาจากที่ใดก็ไม่รู้ เริ่มสงสัยแล้วว่าเสียงที่ได้ยินในหัวนั้นอยู่ที่ใด
‘เจ้าไม่ต้องสงสัยในตัวข้า หาไปก็ไม่มีทางเจอ ข้าเป็นเพียงจิตที่ยังหลงเหลืออยู่ในมิติแห่งนี้ สถานที่นี้ถูกผูกติดอยู่กับจิตของข้า เพื่อเฝ้ารอคนมีวาสนามาสานต่อเจตนารมณ์’
“เจตนารมณ์?”
‘เจตนารมณ์ที่ต้องการมีศิษย์สักคน’
“ท่านมีกระทั่งมิติ แต่ยังไม่มีใครอยากจะเป็นศิษย์ท่านอีกหรือ? ถึงข้าจะไม่รู้เรื่องการฝึกปราณเท่าที่ควร แต่ว่าคนที่มีมิติควรจะเป็นคนที่แข็งแกร่งจนผู้คนอยากเข้าหาไม่ใช่หรือ? หรือข้าเข้าใจผิด”
‘ที่เจ้าพูดล้วนถูกต้อง เพียงแต่ว่าก่อนที่ข้าจะได้รับศิษย์ก็ถูกไล่ล่าจากคนที่หวังอยากจะครอบครองสิ่งที่ข้ามี หากเจ้าออกไปจากมิตินี้แล้วห้ามบอกเรื่องมิติให้ผู้ใดรู้ นอกจากคนที่เจ้าไว้ใจจริง ๆ เพราะการมีอยู่ของมิติเป็นสิ่งที่หลายคนปรารถนา’
ฟังมาถึงตอนนี้เยว่ฉีพลันรู้สึกว่าตนเองเก็บเผือกร้อนมาได้เสียแล้ว ลำพังอยู่กันสองสามคนยังลำบาก หากมีข่าวว่านางมีของวิเศษแผ่ออกไป ชีวิตนี้คงยากจะอยู่ต่อแล้ว
นางสลัดความคิดเรื่องที่ยังมาไม่ถึงทิ้งเอ่ยถาม
“ท่านคงมิใช่คนชั่วร้ายจนถูกผู้อื่นตามล่าใช่ไหม?” ประโยคนี้เบาหวิวทั้งยังกล้า ๆ กลัว ๆ
‘เข้าใจผิดไปใหญ่แล้ว คนที่ต้องการของของข้าต่างหากที่ชั่วช้า ของที่ข้ามีข้าล้วนหามาอย่างสุจริต ไม่ได้ไปปล้นใครมา’
โล่งอกได้แล้ว เสียงเขาดูจะโมโหมากคงไม่ได้โกหกนางจริง ๆ
“ข้าเชื่อท่าน เช่นนั้นท่านที่ข้าไม่ทราบชื่อ ข้าขอพูดอย่างไม่ปิดบังครอบครัวข้าเป็นเพียงครอบครัวธรรมดา อีกทั้งสามีข้า...” พูดมาถึงตอนนี้ก็ให้รู้สึกขัดเขินอยู่บ้าง ตลอดอายุเกือบสามสิบปีในโลกเดิม นางคือสตรีที่ครองโสดไม่เคยมีคู่ครอง
มาโลกนี้อายุไม่เท่าใดก็มีสามีเป็นตัวเป็นตนเสียแล้ว
‘…’ อีกฝ่ายรอฟังอย่างตั้งใจว่านางจะพูดอันใดต่อ
“บ้านข้ามีสามีขาพิการผู้หนึ่ง ถึงจะเป็นผู้ฝึกปราณทว่าก็ป่วยจนไม่สามารถฝึกปราณได้ และยังมีเด็กชายตัวน้อยคนหนึ่ง ข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะฝึกปราณได้หรือไม่ ข้าคิดว่าความปรารถนาของท่านอาจจะไม่สมหวัง”
ใช่ว่าเยว่ฉีไม่รู้สึกเสียดาย ได้พบของดีทั้งทีนางก็อยากใช้ให้เกิดประโยชน์ ถึงจะมีความเสี่ยงอยู่บ้างก็ไม่เป็นไร ดังคำกล่าวที่ว่า หากไม่กล้าเสี่ยงก็ไม่มีทางพบความสำเร็จ แถมนางยังไม่คิดส่งต่อให้ผู้อื่น ด้วยกลัวว่าคนพวกนั้นจะฆ่าปิดปากนาง แต่จะให้โกหกออกไปและถวายตัวเป็นศิษย์นางก็ทำไม่ลง ไม่อยากหลอกลวงใครก็ไม่รู้
ถึงตอนนี้นางจะพูดโกหกออกไปจริงแต่นานวันเข้าความจริงจะต้องเปิดเผยออกมา
จิตที่ยังหลงเหลืออยู่พึงพอใจกับการแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาของนาง ความรู้สึกเคลือบแคลงใจว่าผู้มีวาสนาตัวน้อยจะเป็นคนละโมบโลภมากสลายลงไปหลายส่วน
มีความจริงใจ กล้าพูดออกมาตรง ๆ ถูกใจเขายิ่งนัก ถือว่ามีโชคในระดับหนึ่งที่ได้พบสตรีตรงไปตรงมาเช่นนี้
ผู้คนส่วนมากมักคิดถึงเพียงผลประโยชน์ของตน ทั้งยังเรียกร้องอยากได้ไม่มีจบสิ้น พอไม่ได้ก็หักหลัง หรือทิ้งขว้างสิ่งที่คิดว่าไม่มีประโยชน์ แตกต่างจากสตรีตรงหน้า นางไม่คิดปิดบังความไม่พร้อมของตนเอง ก้มหน้ารับด้วยความสัตย์จริง
‘เจ้าบอกว่าสามีขาพิการหรือ? ป่วยแล้วขาพิการใช่หรือไม่?’
ประโยคคำถามของจิตที่เหลืออยู่สร้างความประหลาดใจให้เยว่ฉี นึกว่าเขาจะบอกว่า เช่นนั้นเจ้าก็ออกไปจากมิติข้า เสียอีก เพราะนางอาจจะให้สิ่งที่เขาต้องการไม่ได้ แต่อีกฝ่ายกลับถามถึงสามีนาง
“ใช่ เขาบอกข้าว่าต้องพิษจนทำให้ไม่สามารถฝึกปราณได้ อีกทั้งระดับการฝึกปราณยังลดลงจากเดิมเหลือเพียงระดับสาม”
‘สามีเจ้าอายุเท่าใด’
“หากข้าจำไม่ผิด อายุยี่สิบปีเต็มเมื่อไม่นานมานี้”
‘แล้วระดับละ’
“ก่อนป่วยอยู่ฝึกปราณขั้นหก หลังป่วยเหลือเพียงฝึกปราณขั้นสาม”
‘พวกเจ้าอาศัยอยู่ดินแดนใด’
“ดินแดนระดับล่างเฟยฮ่าว” เยว่ฉีตอบคำถามต่อไปเรื่อย ๆ ถึงจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการสิ่งใด แต่นางก็เชื่อว่าคงไม่ใช่สิ่งไม่ดี
คนไม่ทราบชื่อผู้นี้คงไม่มีเจตนาร้ายกับคนพิการใช่ไหม? ถึงมีไปก็สร้างประโยชน์อันใดต่อเขาไม่ได้ อีกทั้งฟังจากน้ำเสียงยังเป็นเพียงความสงสัยใคร่รู้ไม่มีสิ่งใดมากกว่านั้น
‘มีพรสวรรค์ สามีเจ้าเป็นผู้มีพรสวรรค์ยิ่ง!!!’
น้ำเสียงตื่นเต้นระคนดีใจดังขึ้นในหัว อายุยี่สิบก็เป็นผู้ฝึกปราณขั้นหกแล้ว อีกทั้งยังอยู่ดินแดนระดับล่างที่ทรัพยากรมีอยู่อย่างจำกัด หากไม่บอกว่ามีพรสวรรค์แล้วจะเป็นอันใดไปได้ ในดินแดนระดับสูงกว่าอาจจะหาคนที่ก้าวมาถึงระดับนี้ได้ไม่ยากมากนัก แต่ทว่าก็ใช่จะหาได้ง่ายดายปานนั้น หากไม่ใช่ว่าทรัพยากรที่หาได้มีมากกว่าดินแดนระดับล่าง ดินแดนระดับสูงเองก็คงมีจำนวนผู้ฝึกปราณขั้นหกไม่ต่างกันมากนัก
‘ฟังจากที่เจ้าเล่ามาแล้วสามีของเจ้าเป็นคนไม่เลวใช่หรือไม่?’
“ถึงข้าจะอยู่กับเขาได้ไม่นาน แต่จากนิสัยใจคอแล้วเป็นบุรุษที่มีคุณธรรมผู้หนึ่ง ยอมรับในสิ่งที่เป็นอยู่แต่ก็ไม่ด้อยค่าตนเอง”
‘เยี่ยมคุณสมบัติเหมาะสม เช่นนั้นเจ้าก็นำน้ำในบ่อไปให้เขาทานเสีย ค่อย ๆ รักษาไปเรื่อย ๆ ไม่นานก็จะกลับมาเดินและฝึกปราณได้’
“ท่านพูดจริงหรือ!?” เยว่ฉีอดที่จะตกใจระคนดีใจไม่ได้ อาการของหานลั่วอี้ที่หมอมากมายต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่สามารถรักษาให้หายได้ มาตอนนี้คนที่นางไม่รู้จักแม้กระทั่งหน้าตากลับพูดออกมาอย่างสบาย ๆ ว่าสามารถรักษาได้ ราวกับว่าอาการป่วยของเขาเป็นเพียงป่วยไข้ธรรมดา
‘ข้าไม่หลอกผู้มีวาสนาต่อข้า ทั้งยังมีคู่ครองเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ แต่ข้าขอบอกเจ้าเอาไว้อย่าง อย่าให้คนอื่นรับรู้ถึงการมีอยู่ของมิติ จนกว่าเจ้าจะแข็งแกร่งมากพอ และอีกอย่างน้ำในบ่อน้ำนั้นไม่ใช่น้ำธรรมดา ถึงจะมีอยู่อย่างไม่จำกัดเพราะต้นไม้ใหญ่กลางบ่อ แต่ก็ห้ามใช้พร่ำเพรื่อ เพราะหากดื่มเข้าไปครั้งเดียวในปริมาณมากจะส่งผลเสียมากกว่าผลดี’
“ขอบคุณท่านมาก” เยว่ฉีทำความเคารพจากใจจริง หากหานลั่วอี้อาการดีขึ้นได้จริง ๆ ย่อมเป็นผลดีต่อครอบครัว
‘ไม่เป็นไร ข้าล้วนทำเพราะต้องการ อีกทั้งสามีเจ้ามีคุณสมบัติเหมาะจะเป็นลูกศิษย์ข้า’
อ๋อ...ที่แท้ท่านหวังสิ่งนี้เอาไว้นี้เอง
“ท่านผู้สูงส่งไม่ทราบว่าข้าขอทราบชื่อของท่านได้หรือไม่” เยว่ฉีได้ทีเอ่ยประสบออกไป
‘เรียกข้าว่า ผู้อาวุโสหมิงก็แล้วกัน ถึงอย่างไรข้าก็อยู่มานานกว่าเจ้า’
“เจ้าค่ะผู้อาวุโสหมิง” ใบหน้าเยว่ฉีเปื้อนยิ้มอยู่ตลอด จวบจนนางออกมาจากมิติได้แล้วใบหน้าก็ยังคงประดับรอยยิ้ม สวนทางกับสีหน้าคนรอไปไกล
หานลั่วอี้สัมผัสที่ได้ว่านางกลับมาแล้วจึงออกมาจากบ้าน พลันเห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มของภรรยา ในมือนางถือหนังสือเล่มหนึ่ง คำพูดที่ต้องการจะเอ่ยถามพลันสลายหายไปเพราะรอยยิ้มสดใสและประโยคคำพูดของนาง
“หานลั่วอี้ ข้าดีใจจริง ๆ ที่ได้แต่งงานกับท่าน”
หญิงสาวตรงหน้ายังคงแย้มยิ้ม ทว่าบรรยากาศกดดันกลับทำให้คนทั้งสามไม่กล้าแม้จะขยับตัว พลังจิตแผ่กระจายออกไป ปกคลุมทั่วทั้งร่าง ก่อนจะควบคุมให้เข้าไปโจมตีจิตของอีกฝ่ายยังไม่ทันจะได้เข้าใกล้กว่าหนึ่งจั้ง คนทั้งสามก็หมดสติล้มลงไปนอนบนพื้นเสียแล้วรอยยิ้มงดงามหดหาย ใบหน้าเผยความรู้สึกเสียดาย หลุบตาลงมองคนทั้งสาม พร้อมเอ่ยออกมาว่า“จบแล้วหรือ?”น้ำเสียงเสียดายถูกเอ่ยออกมา หญิงสาวเอียงคอเล็กน้อยด้วยความสงสัย ก่อนจะหันหลังเดินห่างออกมาตัดสินผู้ชนะบนลานประลอง พร้อมม่านพลังที่จางหายไปทั้งที่เป็นคำพูดและน้ำเสียงเรียบเฉย ไร้ซึ่งความกดดัน แต่กลับสามารถกระตุ้นความรู้สึกของคนที่มองอยู่ด้านบนได้เป็นอย่างดี“สตรีผู้นั้นเป็นใครกัน จัดการได้ยอดเยี่ยมมาก รอยยิ้มของนางทำเอาข้าขนลุกซู่ไปทั้งตัว” อู๋หนิงอันที่มองการแข่งขันอยู่ถึงกับตาแข็งค้าง ไม่คิดว่าสตรีที่ดูไม่มีพิษภัย พอเผยยิ้มร้ายจะทำให้คนตัวแข็งค้าง“ข้าชอบนาง ข้าจะเลือกนางมาเป็นคนของตระกูลข้า !!” อู๋หนิงอันเอ่ยเสียงหนักแน่น ไม่ได้พบเจอสตรีที่มีท่าทีถูกใจนางเช่นนี้มานานแล้ว นางตื่นเต้นจนอยากจะลงไปทักทายเสียตอนนี้“เหอะ คนเช่นนี้ต้องมาที่ตระกูลไท่เท่า
เวลาหนึ่งวันไม่ถือว่านาน แต่สำหรับคนที่เข้าร่วมศึกจัดอันดับนั้น เวลาหนึ่งวันคือช่วงเวลาบีบเคล้นพวกเขาให้หายใจลำบากเมื่อการทดสอบรอบแรกสิ้นสุดลง ในที่สุดพวกเขาก็โห่ร้องออกมาได้เสียที ไม่ใช่โห่ร้องออกมาจากความดีใจเพียงอย่างเดียว แต่โห่ร้องออกมาเพราะความโล่งใจ ที่ในที่สุดก็ผ่านรอบแรกมาได้การแข่งขันรอบสองจะถูกจัดขึ้นวันพรุ่งนี้ ยังพอมีเวลาให้เตรียมตัวศิษย์ทั้งหลายเดินทางออกจากลานประลองแล้ว ศิษย์หลายคนมีสีน่าเศร้าสร้อยเพราะไม่ผ่านการแข่งขันรอบแรก หลายคนเอ่ยปลอบเพื่อนที่รู้จักกันพร้อมบอกว่ายังมีการแข่งขันอีกครั้ง สามารถเข้าร่วมได้เสมอ หรือไม่หากมั่นใจในความสามารถตนเองก็สามารถขอท้าสู้คนที่อยู่ในรายชื่อผู้แข็งแกร่งได้ซึ่งถือเป็นสิ่งที่เยว่ฉีเพิ่งได้รู้ตั้งแต่เข้ามาในสำนัก นางไม่เคยได้ใช้เวลาอย่างจริง ๆ จัง ๆ ในสำนักเลย หากไม่เข้าไปฝึกฝนในมิติ ก็เข้าไปฝึกฝนในหุบเขา ขนาดสวนสมุนไพร หรือห้องแรงโน้มถ่วงก็ยังไม่เคยเข้าไปเหยียบเลยสักครั้งหอสมุดยิ่งแล้วใหญ่ อาจารย์บอกว่าในมิติมีหนังสือเพียงพอแล้วไม่จำเป็นต้องไปเสียแต้มกับของแบบนั้นนางผู้ได้ชื่อว่าศิษย์ผู้เชื่อฟังจึงไม่เคยเข้าไปในหอสมุดวันที่สอ
ฝั่งหวานเว่ยก็มีสภาพไม่ต่างกัน นางกระโดดมายืนข้างเสินเทียน ทั้งสองคนหันหลังเข้าหากัน สายตาแน่วแน่ไม่คิดยอมแพ้ ทั้งที่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบเยว่ฉีผู้นั่งมองเหตุการณ์ยกยิ้มยื่นมือเข้าช่วยเล็กน้อยคงไม่เป็นไรกระมัง ว่าแล้วก็ขยายพลังจิตลงไปด้านล่าง โอบล้อมคนทั้งสิบเอาไว้ อาศัยช่วงที่อีกฝ่ายกำลังได้ใจ โจมตีเข้าไปในจิตให้เสียหลักสองคนที่เหลือมองเห็นความผิดปกติเล็กน้อย อาศัยโอกาสที่เยว่ฉีสร้างให้ โจมตีอีกฝ่ายจนหมดสติ จากนั้นก้มลงเก็บป้ายหยกออกมา“สนุกพอแล้วก็ออกมา” เป็นเสินเทียนที่เอ่ยขึ้น การโจมตีเมื่อสักครู่มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นเยว่ฉี เพราะคงไม่มีคนใจดีที่ไหนยื่นมือเข้าช่วยคนที่ตนไม่รู้จักเขากวาดตามองบริเวณโดยรอบ ก่อนจะมองเห็นเยว่ฉีนั่งแกว่งขาไปมาท่าทางสบายใจอยู่บนกิ่งไม้ ข้างกายนางมีหานลั่วอี้ยืนมองอยู่“สนุกมากไหม? ที่เห็นพวกข้ากำลังเสียเปรียบ”“สนุกมาก ได้เห็นสีหน้าลำบากใจของเจ้าข้ายิ่งมีความสุข” นางเอ่ยยิ้ม ๆ กระโดดลงมาจากต้นไม้ แต่ก่อนร่างกายจะถึงพื้นลมสายหนึ่งก็มารองใต้เท้านางรู้ว่าเป็นฝีมือใคร จึงหันไปเอ่ยขอบคุณเสินเทียนมองทั้งสองคนที่สภาพยังดีอยู่ จึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย“พว
การแข่งขันยังคงดำเนินต่อไปศิษย์หลายคนถูกคัดออกในเวลาไม่นาน ในขณะที่ศิษย์อีกหลายคนสามารถสะสมแต้มได้ครบ และผ่านเข้ารอบถัดไปสองสามีภรรยาเยว่หานผู้โชคดีได้พบศิษย์เข้ามามอบแต้มให้ถึงมือ ไม่อยากจะเชื่อว่าหลังจากนั้นมาทั้งสองคนจะไม่พบใครอีกเลย“ลั่วอี้พวกเราดวงซวยเกินไปหรือไม่?” หญิงสาวเอ่ยถามด้วยความสงสัยผ่านมาสองชั่วยามแล้วนับตั้งแต่เข้ามาในป่า นอกจากสัตว์อสูรที่เข้ามาหาเรื่องเป็นครั้งคราวแล้ว พวกเขาก็ไม่พบศิษย์คนใดอีกเลย ราวกับว่าไม่มีใครอยู่ในหุบเขาแห่งนี้แล้วบุรุษถูกถามผินหน้ามองภรรยา มุมปากหยักขึ้นเล็กน้อย“ภรรยายังมีเวลาอีกมาก”“ข้ารู้ แต่บางทีก็อดคิดไม่ได้ ท่านไม่คิดว่ามันแปลกหรือ? ผ่านมาสองชั่วยามแล้วนับตั้งแต่เข้ามาในหุบเขา นอกจากสองคู่แรกที่เข้ามาหาเรื่องเอง พวกเรายังไม่พบใครอีกเลย”“บางทีจุดที่พวกเราปรากฏตัวอาจจะห่างไกลจากศิษย์คนอื่น”เยว่ฉีคิดตามแล้วพยักหน้า ถึงอย่างนั้นนางก็ยังสงสัยศิษย์เข้ามาในหุบเขาตั้งมากมาย เหตุใดถึงหาไม่เจอ!!นางอาจจะคิดมากไปเองก็ได้ ยังเหลือเวลาอีกมากกว่าเวลาการแข่งขันจะสิ้นสุดลง ไม่แน่บางทีเดินหน้าต่อไปอีกไม่กี่ก้าวพวกเขาอาจจะพบศิษย์คนอื่น ๆคิดได้ด
“ลั่วอี้พวกเราเรียกได้ว่าเป็นที่ชื่นชอบหรือไม่?” เยว่ฉียืนนิ่งอยู่ด้านหลังหานลั่วอี้ ใช้พลังจิตตรวจสอบพื้นที่โดยรอบ ชายหนุ่มสกัดการโจมตีที่พุ่งมาจากทุกทิศทาง สีหน้าเรียบเฉย“ภรรยาพวกเขาคงหมายตาเจ้ากระมัง”“ระหว่างการแข่งขันเนี่ยนะ?! เสียสติไปแล้วหรือ” หญิงสาวส่ายหัว เอ่ยเสียงเรียบ“ท่านจัดการได้หรือไม่? ข้ายังไม่อยากเผยความสามารถเท่าใดนัก”“ภรรยาเจ้าสามารถยืนนิ่งปล่อยให้สามีปกป้อง” เยว่ฉีถึงกับหลุดขำให้ประโยคหวานพูดออกมาด้วยหน้านิ่ง ๆ ได้ยังไงกันนะ เป็นบุรุษที่มีความสามารถเสียจริง“เชิญสามีปกป้องข้า” ว่าจบก็หย่อนตัวลงนั่งบนโขดหินที่ยืนเมื่อสักครู่ คนมาล้อมจู่โจมถึงกับงงงวย ทว่าไม่นานพวกเขาก็เข้าใจแม้จะบอกว่านั่งนิ่งให้ปกป้อง แต่ความจริงแล้วเยว่ฉีกำลังนั่งตรวจสอบว่าพวกเขาทั้งหมดซ่อนตัวอยู่ที่ใด จากนั้นส่งที่อยู่ทั้งหมดเข้าไปในหัวหานลั่วอี้เพื่อยืนยันว่าจุดที่ชายหนุ่มสัมผัสได้กับจุดที่นางเห็นตรงกันจากนั้นลมสายหนึ่งก็พุ่งเข้าจู่โจมคนทั้งสี่จนหมดสติในการโจมตีเดียว“ง่ายกว่าที่คิดเสียอีก” หญิงสาวลุกขึ้นนั่ง ปัด ๆ เศษดินออกจากมือ ยื่นมือออกไปรับป้ายหยกที่หานลั่วอี้ใช้พลังยึดมาทั้งสองคนแ
หลังผ่านการฝึกฝนอย่างหนักใช้ชีวิตอยู่ในหุบเขาหลังสำนักมานานในที่สุดวันที่พวกเขารอคอยก็มาถึงศึกจัดอันดับเพื่อกลายเป็นหนึ่งในร้อยอันดับผู้แข็งแกร่งได้เริ่มต้นขึ้นแล้วบนลานกว้างเต็มไปด้วยเหล่าศิษย์ที่เข้าร่วมศึกจัดอันดับ ชายหนุ่ม หญิงสาวเลือดร้อนที่ต้องการเข้าชิงหนึ่งในที่นั่งร้อยอันดับแรก ต่างรวมตัวกันอยู่บนลานประลองเหนือพวกเขาขึ้นไปด้านบน อาจารย์อาวุโสพร้อมอาจารย์ท่านอื่น ๆ ต่างยืนเรียงรายด้วยสีหน้ายิ้มแย้มบนที่นั่งพิเศษเช่นเดียวกับตอนแรกนอกจากนั้นยังมีคนจากดินแดนระดับสูงที่กำลังกวาดตามองพวกเขาอยู่สายตาเสาะหาและพิจารณาเหล่านั้นกำลังจับจ้องทุกคนบนลานประลอง“สวัสดีเหล่าเด็กผู้กระหายความแข็งแกร่งในที่สุดศึกจัดอันดับระหว่างศิษย์ด้วยกันเองก็มาถึงแล้ว ครั้งนี้พิเศษกว่าทุกครั้ง เพราะมีศิษย์เข้าร่วมจำนวนมากจึงต้องมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการแข่งขันเล็กน้อย”อาจารย์อาวุโสลอยออกมากลางลานประลองเหนือศิษย์ทั้งหลาย เขาวาดมือบนอากาศครั้งหนึ่ง ป้ายหยกขนาดเท่ากับป้ายชื่อก็ลอยมาตรงหน้าพวกเขา“สิ่งนี้เรียกว่าป้ายหยกประจำตัว บนนั้นจะมีแต้มอยู่สองแต้ม สิ่งที่พวกเจ้าต้องทำมีเพียงอย่างเดียว คือเปลี่ยนแต้มบ







