“ก็จริงเพคะ หากเป็นอาภรณ์ของคุณหนูใหญ่จะไม่ทิ้ง บ่าวเห็นพระองค์สวมกลับมาจากนอกวัง ยังเป็นของที่คนอื่นเคยสวมใส่ ก็ไม่รู้ว่าสะอาดหรือไม่ จึงทิ้งเป็นขยะไปเพคะ” จี๋เสียงเริ่มหน้าซีด รู้สึกว่าครั้งนี้ตัวเองก่อเรื่องใหญ่แล้วจ่านเหยียนพึมพำ “ให้ตายเถอะ ครั้งนี้จะเอาเสด็จย่าที่ไหนไปชดใช้เขาเล่า?”จะให้เสด็จย่าของเขาคลานออกมาจากโลงตัดเย็บให้เขาใหม่ชุดหนึ่งก็ไม่ได้กระมัง?กัวอวี้เห็นจ่านเหยียนหน้าตาตึงเครียด จึงเดินเข้ามาถาม “ทรงเป็นอันใดไปหรือเพคะ?”จี๋เสียงเอ่ยอย่างประหวั่นพรั่นพรึง “กัวกูกู บ่าวทำผิด ทำให้คุณหนูใหญ่กริ้วแล้วเจ้าค่ะ”แต่ไหนแต่ไรมาจี๋เสียงเป็นคนบุ่มบ่าม ทำงานสะเพร่าเสมอ กัวอวี้จึงพูดอย่างหงุดหงิด “เจ้าทำอันใดผิดอีก? ทำปิ่นปักผมของคุณหนูใหญ่หายหรือ? หรือจะเป็นต่างหู? หรืออันใด?”“บ่าวทิ้งอาภรณ์ที่คุณหนูใหญ่สวมกลับมาวันนั้นเจ้าค่ะ” จี๋เสียงเอ่ยอ้อมแอ้มน้ำตาคลอ“อาภรณ์บุรุษนั้นหรือ? คุณหนูใหญ่ตรัสว่าไม่ต้องการแล้วมิใช่หรือ?” วันนั้นกัวอวี้ก็ได้ยินจ่านเหยียนพูดเหมือนกันว่าไม่ต้องการแล้วจ่านเหยียนเท้าหน้าผาก มองกัวอวี้อย่างเศร้าหมอง “เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่าชุดนั้นเป็นอย่างไ
ทั้งสองโต้กันสองสามคำก็เริ่มสงบจิตใจสนทนา“นี่ พูดจริง ๆ นะ ท่านคิดเห็นอย่างไรกับมู่หรงเจี้ยน” จ่านเหยียนใช้ศอกกระทุ้งเขาแล้วถามมู่หรงฉิงเทียนชายตา “เกี่ยวอันใดกับเจ้าด้วย?”“ก็คุยกันหน่อย”“ดูเหมือนว่าเจ้าจะใส่ใจเขามากนะ” มู่หรงฉิงเทียนไม่ตอบแต่ถามกลับจ่านเหยียนยิ้มเอ่ย “ข้าเคยบอกแล้ว เพราะเขาคือฮ่องเต้ ดังนั้นข้าจำเป็นต้องประคับประคองเขา นี่คือเรื่องที่ข้าเคยรับปากกับอดีตฮ่องเต้”“เจ้ากับเขามิได้มีสายใยสามีภรรยา” น้ำเสียงของมู่หรงฉิงเทียนพิลึกเล็กน้อย“แต่ก็มีสถานะสามีภรรยา ตำแหน่งไทเฮายังเป็นพระองค์ที่ประทานให้ หากไม่มีพระองค์ ข้าก็ไม่มีลาภยศสรรเสริญมีอำนาจเรียกลมเรียกฝนในปัจจุบัน ”จ่านเหยียนยิ้มกล่าว“ไสหัวไป!” เขาเตะนางทีหนึ่งจ่านเหยียนเอื้อมมือตีตำแหน่งที่เขาเตะมา “กระโปรงตัวใหม่ ระวังจะทำเปื้อน ท่านที่เป็นอ๋องยากไร้จะชดใช้ไม่ไหว”“ทุเรศสิ้นดี” มู่หรงฉิงเทียนปราดตามองนางด้วยความดูถูก“ท่านสิทุเรศ ท่านดูเสื้อผ้าของท่าน เอาของอาซานมาชัด ๆ สั้นขนาดไหน เท้าเบ้อเร่อโผล่ออกมาแล้ว!” จ่านเหยียนหัวเราะคิก ๆ พลางเตะน่องของเขามู่หรงฉิงเทียนดึงชุดลงมา แต่มันสั้นจริง ๆ จึงคลุม
ดวงวิญญาณแตกสลายคืออภิมหาสังหารในโลกาเพราะมันหมายถึงทุกสิ่งคืนสู่ความว่างเปล่าและที่นางทำได้เพียงหนึ่งเดียวก็คือตามหาเขาให้เจอโดยด่วน จากนั้นก็ปราบเขา ช่วยดวงวิญญาณที่เขากลืนกินออกมายามนี้พลังเจ็ดวันของนางสูญไปแล้วกว่าครึ่ง หากตามหาเขาไม่พบในสามวันนี้ นั่นจะต้องดึงเวลาไปหลังสี่สิบวันแล้วมีคทามังกรอยู่ นางกลับไม่กลัวว่าเขาจะโจมตีกลับ ต่อให้เขาโจมตีกลับมาก็ทำร้ายนางมิได้ คทามังกรคือประมุขแห่งมังกร มังกรทุกตนในสี่สมุทรต้องฟังคำสั่งของคทามังกรทั้งสิ้นแน่นอน นอกจากเทพมังกรที่ช่วยผานกู่เบิกฟ้าดินท่านนั้นเพียงแต่นางชอบควบคุมทุกอย่างอยู่ในมือ นางรู้สึกว่าเช่นนี้จึงจะอุ่นใจที่สุด ก็อย่าง... อย่างมู่หรงฉิงเทียนในเวลานี้“ท่านเซียนยังมีเรื่องอื่นในใจหรือ?” พระอาจารย์เป่ากวงถามจ่านเหยียนเงยหน้ามองเขา ตามด้วยปฏิเสธ “ไม่มี”พระอาจารย์เป่ากวงคลี่ยิ้ม “ไม่มีจะดีที่สุด”จ่านเหยียนเห็นดวงตาที่ราวกับมองทุกอย่างทะลุปรุโปร่งก็รู้สึกไม่ค่อยสบอารมณ์ “ข้าจะกลับแล้ว”พระอาจารย์เป่ากวงค้อมตัวเล็กน้อย “ส่งท่านเซียน”จ่านเหยียนเดินเร็วมาก พริบตาเดียวชายเสื้อก็หายวับไปนางเพิ่งเดินบนระเบียงทาง
จ่านเหยียนยืนอยู่ในลานตำหนักดูทุกคนเก็บกวาดครู่หนึ่ง กัวอวี้จึงเดินมาเอ่ย “ดึกแล้ว คุณหนูใหญ่รีบบรรทมเถอะเพคะ”จ่านเหยียนบิดขี้เกียจพลางแหงนหน้ามองม่านรัตติกาล จันทราทอแสงสุกใสผลุบ ๆ โผล่ ๆ หลังชั้นเมฆ จ่านเหยียนถามกัวอวี้ “พระอาจารย์เป่ากวงอยู่ที่ไหน?”“ยามนี้เกรงแต่จะจำวัดแล้วเพคะ” กัวอวี้ตอบ“มิเป็นไร ข้าจะไปพบเขาหน่อย” จ่านเหยียนเก็บเรื่องเอาไว้ในใจ อยากหาคนระบายสักหน่อยกัวอวี้เอ่ย “เช่นนั้นก็ได้ บ่าวจะไปกับคุณหนูใหญ่ พระอาจารย์กับท่านนักพรตอยู่ที่เรือนรับรองเพคะ” (เรือนสำหรับรับรองราชทูตหรือแขกพิเศษ อยู่ห่างจากวังหลวงมาก จำเป็นต้องเดินเท้าระยะเวลาหนึ่ง)“ไม่ละ เจ้าพักผ่อนเร็วหน่อยเถอะ ข้าอยากเดินคนเดียว เมื่อครู่กินแน่นเกินไป เดินสักหน่อยจะได้ย่อยอาหารด้วย” จ่านเหยียนกล่าวจบก็เดินออกไปข้างนอกกัวอวี้มองเงาหลังของจ่านเหยียน จากหว่างคิ้วของนาง เห็นได้ว่านางมีเรื่องในใจ เพียงแต่ด้วยสถานะของนางไม่สะดวกจะถามพระอาจารย์เป่ากวงยังไม่จำวัด เขาราวกับรู้ล่วงหน้าว่าจ่านเหยียนจะมา ดังนั้นจ่านเหยียนเพิ่งเข้าประตูเรือนรับรอง เขาก็ผลักประตูออกมา“หลวงจีน เจ้ารู้ว่าข้าจะมาหรือ” จ่านเหย
กล่าวจบ นางก็มองมู่หรงฉิงเทียนแวบหนึ่ง “อาซาน เจ้าว่าใช่หรือไม่?”มู่หรงฉิงเทียนมองนางหน้าเรียบ ๆ ไม่ตอบมู่หรงเจี้ยนอึ้ง นางพูดประโยคนี้ออกมาได้อย่างไร? แม้เสด็จอาจะรู้ดี แต่รู้กับพูดให้ชัดเจนมันไม่เหมือนกันนะเขามองมู่หรงฉิงเทียนอย่างละอายใจทีหนึ่ง เห็นเขาไม่เปลี่ยนสีหน้าจึงเบาใจเล็กน้อย ฉีกยิ้มกล่าวกับจ่านเหยียน “เสด็จแม่ตรัสเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”มู่หรงฉิงเทียนลุกขึ้นยืน “ไทเฮากับฝ่าบาทค่อย ๆ เสวย กระหม่อมรู้สึกเพลีย ๆ อยากกลับไปพักก่อนพ่ะย่ะค่ะ”มู่หรงเจี้ยนลุกขึ้นยืนทันที เพียงแต่คิดว่าเวลานี้มู่หรงฉิงเทียนปลอมตัวเป็นอาซานอยู่ จึงนั่งลงอย่างเก้กัง เอ่ย “อื่ม เจ้าไปเถอะ”มู่หรงฉิงเทียนมองตาขวางจ่านเหยียนทีหนึ่ง “ไทเฮาเสวยน้ำจันทร์ให้มาก น้ำจันทร์นี้ไม่เลว เสวยอย่างไรก็ไม่ตาย”กล่าวจบก็สาวเท้าเดินกลับเข้าระเบียงทางเดินจ่านเหยียนมองเงาหลังเขาอย่างมีความคิด เขาเดินถูก เขารู้ว่าห้องของอาซานอยู่ที่ไหน เขาเคยมาหรือ?มู่หรงเจี้ยนให้คนบนโต๊ะออกไปแล้วถามจ่านเหยียนอย่างกระวนกระวายใจเล็กน้อย “วันนี้เราพูดผิดไปหรือไม่ ดูเหมือนเสด็จอาจะไม่ค่อยพอใจสักเท่าไร”จ่านเหยียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงผ่
ครั้งนี้มู่หรงฉิงเทียนเงียบไปนานมาก ดื่มสุราติดต่อกันหลายจอก มู่หรงเจี้ยนหวาดกลัวอยู่ในใจ กระทั่งเริ่มเสียใจกับคำกล่าวของตัวเองเมื่อครู่ก็ขณะที่เขากำลังจะเอ่ยปฏิเสธคำกล่าวก่อนหน้าของตัวเอง จู่ ๆ มู่หรงฉิงเทียนก็เอ่ยปากขึ้น“อื่ม มีความคิด ทำตามนี้เถอะ”ราวเมฆดำทะมึนสลายไปจากท้องฟ้า แสงตะวันผ่องอำไพทะลุลงมาเป็นสาย ๆ มู่หรงเจี้ยนรู้สึกว่าสมองสดใสอบอุ่นขึ้นมาทันทีเขาพูดไม่ออกอยู่นาน ได้แต่มองมู่หรงฉิงเทียน มองจ่านเหยียนอยู่อย่างนี้จ่านเหยียนเห็นท่าทางของเขาแล้วจึงกุมหลังมือของเขา “เอาละ ฮ่องเต้ เสวยหน่อยเถอะ”สุราจอกหนึ่งโยนมาที่หลังมือของจ่านเหยียนตรง ๆ จ่านเหยียนหดมือกลับฉับพลัน จอกสุราจึงตกอยู่บนหลังมือของมู่หรงเจี้ยนมู่หรงเจี้ยนตกตะลึงพรึงเพริด หันขวับมองมู่หรงฉิงเทียนอาเสอและคนอื่น ๆ ก็มองมู่หรงฉิงเทียนเหมือนกันจ่านเหยียนจึงได้แต่มองมู่หรงฉิงเทียนด้วยมู่หรงฉิงเทียนเอ่ยด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “บนพระหัตถ์ของพระองค์ ‘ผู้สูงวัย’ มียุงตัวหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ”เขาเน้นคำว่า ‘ผู้สูงวัย’ หนัก ๆ เน้นความจริงที่จ่านเหยียนคือเสด็จแม่ของมู่หรงเจี้ยนจ่านเหยียนยังคงรักษาสีหน้าเป็นปกติ “อื่ม